Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กับดักรักสองโลก 8. vote ติดต่อทีมงาน

.

.


8.

เหตุใดความเศร้าสร้อยเสียใจของบุคคลผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าอกหัก มักอยู่ควบคู่ไปกับการควานหาสิ่งมึนเมาอย่างแอลกอฮอล์เปลี่ยนนิสัย กระแทกความรู้สึกรับรู้ให้ขาดสติสัมปชัญญะ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าอยากเมาให้หัวราน้ำ คงไม่มีใครอธิบายได้ นอกเสียจากเจ้าตัวเท่านั้นที่ทราบถึงสาเหตุดีที่สุด ว่าทำไม..


ในหลายเหตุผลของผู้อื่นคงไม่อาจเอ่ย หากแต่บุรุษหนุ่มอย่างกันยวัฒน์คำตอบเดียวคือดื่มเพื่อลืมเรื่องราวเลวร้ายในจิตใจ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดเขาไม่สามารถลืมเรื่องทุกข์ตรมในใจได้เลยแม้สักวัน การหมั้นหมายของหญิงสาวอันเป็นที่รักใกล้เข้ามาทุกที คงเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนี้ เธอผู้นั้นจะตกเป็นของคนอื่นทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงการหมั้นหมายแต่สักขีพยานคงมีรับรู้ทั่วกันเกือบทั้งประเทศ


เขาอยากเกลียดเธอเหลือเกินที่ทำให้ผู้ชายอกสามศอกเสียสูญ ไร้ซึ่งตนเอง ขาดความมั่นใจ ไม่หลงเหลืออีกแล้วความไว้เนื้อเชื่อใจในเรื่องของความรัก จากที่เคยคิดว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามแต่ ณ เวลานี้มันคือเรื่องเลวร้ายสำหรับเขา หากทว่าจิตใจดวงนี้ใยจึงเกลียดไม่ลงเสียทีกับคนที่ทั้งรักทั้งเคือง เขายังคงไม่เข้าใจตนเองเกี่ยวกับคำตอบว่าทำไม และเมื่อไรถึงจะจบสิ้นเสียทีกับความรู้สึกจะขาดใจเช่นนี้


“ไอ้กันย์.. นี่เอ็งจะกินเหล้าให้ตายกันไปข้างเลยหรือไง”


เพื่อนร่วมวงดนตรีเดินดูอาการคนตรอมใจ ที่ในมือยังถือแก้วเหล้าไม่มีวางพักแม้ซักนาที กับแค่ผู้หญิงไม่รักดีคนเดียวทำให้เพื่อนสนิทเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ความห่วงใยเริ่มก่อร่างสร้างตัวในใจ ควรทำอย่างไรให้เพื่อนหยุดอาลัยอาวรณ์


“ข้าไม่ตายหรอกน่า.. อย่าห่วงไปเลย”


“ในเมื่อผู้หญิงเขาไม่เห็นค่าและเลิกกับเอ็งไปแล้ว จะแคร์ทำไมวะ หาใหม่ดิเพื่อน”


“ถ้ามันทำใจได้เร็วขนาดนั้นก็ดีสินะ..”


ไม่เจอกับตัวคงไม่มีใครเข้าใจ กับความรู้สึกเหล่านี้ ใช่ว่าเขาอยากเจอะเจอเสียที่ไหน ปล่อยวางจากทุกอย่างคือสิ่งเดียวที่เขาอยากทำให้ได้โดยไว แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้แก่ใจตนเอง แก้วในมือถูกยกขึ้นเทของเหลวสีชาเข้าปากรวดเดียวหมด


“นี่ก็เกือบสว่างแล้ว ข้าว่าเอ็งกลับบ้านไปนอนเหอะ ผับปิดตั้งนานแล้วนะเว้ย”


กันยวัฒน์พยายามควบคุมสติคิดตามคำพูดของเพื่อนเกลอ เขาลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับบ้าน ในใจฉุกคิดถึงอมนุษย์ร่างงามขึ้นมากะทันหัน เวลานี้เขาปล่อยให้นางอยู่ลำพัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างไม่อาจรับรู้ กันยวัฒน์สะบัดหน้าไล่ความมึนงง เรียกสติกลับคืน


“เออ.. เดี๋ยวข้ากลับแล้ว”


ร่างสูงหยัดยืนพยายามพยุงร่างกายให้คงที่


“ขับรถไหวเหรอว่ะ ให้ข้าไปส่งไหม”


“ไม่เป็นไร.. สบายมากเรื่องแค่นี้.. แล้วเจอกัน..”


“สรุปพรุ่งนี้เอ็งเอาไง.. จะไปไหมงานหมั้น”


คำถามส่งตรง พาอารมณ์หวั่นไหวก่อตัว นิ่งคิดชั่วครู่.. เป็นคำถามก่อนร่ำลาที่พาคิดหนักจริงจัง เขายังคงเอาแน่เอานอนไม่ได้กับสภาวะจิตใจย่ำแย่เวลานี้เกี่ยวกับคำตอบที่ยังลังเล ควรเป็นเช่นไรค่อยว่ากัน..


“อืม.. ถ้าไปคงเจอกัน..”


“เออ โชคดีเว้ย..”



++++



เวลาหนึ่งวันบนโลกมนุษย์ช่างแสนสั้น แต่สำหรับนีลาน่าดูยาวนาน เนื่องจากนางอยู่ไปวันๆ ไม่มีสิ่งใดให้ทำซักอย่าง เริ่มเกิดความเบื่อหน่ายเต็มกลืน จานชามที่เคยล้างเก็บไว้เรียบร้อย โดนรื้อมาล้างใหม่เป็นรอบที่สอง สาม และสี่ สะอาดจนขึ้นเงาวับเป็นประกายเมื่อสะท้อนกับแสงไฟนีออน เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งของตนเองและเจ้าของถิ่น นางหยิบออกมารีดถูจนเรียบกริบครบทุกชิ้นที่แขวนไว้ ทุกซอกทุกมุมของที่อาศัยแทบไม่เห็นฝุ่นไรปรากฏแก่สายตา เมื่อไหร่เจ้ามนุษย์โลกโลกันต์ถึงจะกลับมาเสียที นีลาน่าได้แต่รออย่างใจจดจ่อ ชะเง้อมองยังหน้าประตูหลายต่อหลายครั้ง ไม่เห็นวี่แววของมนุษย์โลกที่อยากพบเจอ


พรายสาวรู้สึกร้อนรน กระสับกระส่าย อยากทำตามแต่ใจต้องการ หากยังกล้าๆ กลัวๆ ต่อคำสั่งเจ้าของบ้านจึงยังลังเลกับความคิดภายในใจ ร่างงามเดินพล่านวนไปเวียนมาชั่งใจคิด ในเมื่อหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งที่จะทำ นีลาน่าจึงตัดสินใจยอมดื้อรั้นอีกสักครั้ง ถึงแม้กันยวัฒน์เคยห้ามปรามไม่ให้นางขึ้นไปเล่นน้ำยังสระบัว แต่เวลานี้ไร้ตัวตนคนออกคำสั่ง หากแอบขึ้นไปสัมผัสสักหน่อยจะเป็นไร ว่าแล้วนางจึงเยื้องย่างตรงยังบันไดทันที..


แต่ทว่า.. ร่างบางต้องชะงักกึก เมื่อเสียงเปิดประตูไล่ตามหลัง ทำให้รู้ได้ทันทีนางคงคิดช้าไปเสียแล้ว ในเมื่อเจ้ามนุษย์โลกันต์กลับมาถึงถิ่นคงหมดสิทธิ์ได้ขึ้นไปเริงรื่นสัมผัสท้องน้ำตามต้องการ


“จะขึ้นนอนแล้วเหรอคุณ..”


กันยวัฒน์ทักทายผู้อาศัย เมื่อเห็นนางทำท่าทำทางรุกรี้รุกรนเตรียมเดินขึ้นยังชั้นบนของที่พัก นีลาน่าค่อยๆ พลิกกายกลับส่งสายตามองตามคนตั้งคำถามที่มือเอื้อมปิดประตูและถอดรองเท้ายกเก็บยังตู้ด้านข้างริมผนังกำแพง


“เอ่อ.. ใช่.. เรากำลังจะไปนอน”


“แปลกดีนะ ทุกทีคุณบอกไม่ชอบนอน แต่วันนี้กลับเดินขึ้นนอนโดยที่ผมไม่ต้องไล่”


สายตากลมโตหลบมองทางอื่น เกรงจะโดนจับเท็จได้ ใช่เสียที่ไหน.. สระบัวต่างหากคือจุดหมาย เสียดายที่เจ้ามนุษย์โลกกลับมาขัดจังหวะเสียก่อน นีลาน่าได้แต่พร่ำบ่นในใจ พลางเหลือบมองคู่สนทนาเป็นระยะ


“...”


“ไม่มีอะไรแล้ว เชิญคุณตามสบายเถอะ”


“งั้นเราขอลา..”


นีลาน่าหันหลังกลับ ก้าวเหยียบบันไดอย่างเชื่องช้า ใจสั่นระทึกไม่เป็นจังหวะ ระส่ำระส่าย คงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นให้ต้องกังวลหรอกใช่ไหม นางได้แต่ภาวนาในใจ


“เฮ้!!”


สองเท้าที่ย่างก้าวหยุดชะงักกะทันหันตามเสียงอุทาน นีลาน่าหลับตาปี๋ กลัวความผิดร้ายแรง ตายแน่แล้วเวลานี้ อีกไม่นานคงได้ถูกยักษ์มารหักคอสูญสิ้นชีพ


“...”


“นี่คุณ.. ล้างจานอีกแล้วเหรอ! และทำอิท่าไหน ทำไมมันแตกละเอียดยังงี้ล่ะ!”


พรายสาวค่อยๆ หันหลังกลับ เผชิญความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป ในเมื่อต้นเรื่องก่อเหตุคือนางเอง คำแก้ตัวควรมีมาลบล้างข้อกล่าวหาเช่นกัน


“คือ.. เรา..”


“โอ๊ยตาย!! เสื้อผ้าผม มีแต่รูพรุน นี่คุณเปิดความร้อนทะลุแกนหรือไง มันถึงไหม้แบบนี้!”


กันยวัฒน์คว้าเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโปรด สาวเท้ารวดเร็วหยุดยืนเบื้องหน้าพรายสาวอย่างหัวเสีย ทำไมเงือกน้อยตนนี้ถึงได้มีแต่ก่อเรื่องให้ปวดสมองได้ตลอดเวลา


“เรา.. ไม่ตั้งใจ”


“ผมคงปล่อยให้คุณว่างมากเกินไป”


เสียงถอนใจหนักหน่วง สีหน้าเอือมระอามองตรงยังสายตาสำนึกผิด กันยวัฒน์เข้าใจดีคงโทษนางไม่ได้ เขาเองต่างหากที่ปล่อยปละละเลย คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาหนักอกหนักใจ


“เราขอโทษ.. อภัยให้เราได้หรือไม่”


“เอาล่ะๆ ช่างมันเถอะ ก็แค่จานแตกสามสี่ใบ เสื้อไหม้อีกสองตัวเอง จะเอาผิดคุณก็เท่านั้น ขึ้นไปนอนเถอะ ผมทั้งเมาทั้งมึนกลับมาเจอคุณคนเดียวถึงกับสร่างเลยรู้ไหม..”


มือบางบีบประสานกันอย่างเกรงๆ รู้สึกสำนึกผิดอย่างเต็มใจ ดีแค่ไหนที่ไม่ทันขึ้นไปยังสวนหย่อมให้เป็นปัญหาสร้างความโกรธเคืองแก่บุรุษเบื้องหน้าจนปวดสมองอีกเรื่อง นีลาน่าค่อยๆ พาร่างกายเยื้องย่างเข้าห้องนอนเงียบเชียบอย่างผู้ก่อความผิดโดนคาดโทษ  



++++



ท้องฟ้ากว้างใหญ่ทาบทาด้วยความมืดมิด ถึงแม้จะใกล้สว่างเต็มทีในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนี้ แต่มันยังพอหลงเหลือแสงระยับปรากฏให้เห็น ความสว่างของดวงดาวส่องระยิบวิบวาวรายล้อมดวงจันทร์ทรงกลมสีเหลืองนวล กันยวัฒน์พาร่างกายหยุดนั่งยังสวนหย่อมจำลองชั้นบนสุดของที่พักอาศัย ปล่อยใจล่องลอยสู่ภาพเก่าครั้งอดีต วันนี้แล้วสินะจุดจบของการจากลาและต้องยอมตัดใจจริงจังเสียที ควรหรือไม่จะเอ่ยคำอวยพรสุดท้ายแด่บุคคลผู้ซึ่งยังรักมั่น และควรหรือไม่ที่ต้องเผชิญความจริงเพื่อยอมรับให้ได้ว่าสิ่งหวงแหนหลุดลอยจากไป  


ความเจ็บปวดยังคงเวียนวนในจิตใจและความรู้สึก สัมผัสร้อนผ่าวควบคุมรอบดวงตาคมกริบ น้ำตาของลูกผู้ชายจะปล่อยให้มันไหลออกมาไม่ได้ เขาพยายามเงยหน้าขึ้นฟ้าปิดเปลือกตาให้สนิทลง สะกดเก็บอารมณ์อ่อนไหวให้มันกลืนกลับเข้าภายใน แต่ดูเหมือนสายไป หยดน้ำแห่งความอ่อนแอค่อยๆ ไหลจากปลายหางตารดลงข้างแก้ม


นิ้วเรียวยื่นปาดเช็ดน้ำตาที่หลั่งไหลให้แห้งเหือดจางหาย สัมผัสอบอุ่นเนียนนุ่มทำให้กันยวัฒน์สะดุดอารมณ์หวั่นไหวลืมตากว้างมองยังเบื้องหน้าด้วยอาการตกตะลึง


“นีลา.. คุณมาอยู่นี่ได้ไง!”


“เราขึ้นมาอยู่ตรงนี้นานแล้ว แต่เจ้ามีเหตุอันใด ทำไมถึงยอมสูญเสียหยดน้ำตาอันมีค่า”


“มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ!”


มือบอบบางถูกปัดออกพร้อมกันยวัฒน์ลุกหนีเดินกลับเข้ายังตัวบ้านรวดเร็ว นีลาน่าได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้าง คงมีเรื่องสะเทือนใจอย่างถึงที่สุดบุรุษผู้นั้นถึงได้เศร้าสร้อยเพียงนี้ เพราะสำหรับเงือกพรายหยดน้ำตามีค่ามากเกินกว่าจะให้ไหลรินออกมาอย่างง่ายดาย แม้จะเจ็บปวดเพียงใดคงต้องอดกลั้นไว้ให้ถึงที่สุด


นีลาน่าถอนใจ รู้สึกสลดตาม ไม่ควรเลยที่จะยืนตรงนี้ เหตุเพราะนางคิดถึงถิ่นอาศัยแค่เพียงแหงนมองเห็นดวงจันทร์ส่องสว่างมันทำให้นางได้เข้าใกล้เมืองเกิดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วายจะถูกรังเกียจแม้แต่ต้องการปลอบประโลมนางยังทำไม่สำเร็จ



++++



ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลงต่ำ เดินทางผ่านเส้นขอบฟ้าเข้าสู่ช่วงเวลาพลบค่ำ บรรยากาศครึกครื้นเริ่มต้นภายในโรงแรมหรูหราระดับห้าดาวซึ่งเต็มไปด้วยแขกเหรื่อผู้มาร่วมฉลองความยินดีแด่การหมั้นหมายของบุตรสาวเศรษฐีและบุตรชายนักธุรกิจชื่อดังลำดับต้นๆ ของประเทศ คนใหญ่คนโตมีหน้ามีตาเห็นอยู่บ่อยครั้งยังวงสังคมชั้นสูงล้วนถูกอัญเชิญมาเพื่อเป็นสักขีพยาน นักข่าวช่างภาพทั้งหลายแห่ทำข่าวให้วุ่น ดูอลหม่านทั้งงานรื่นเริง


เสียงซุบซิบนินทาของสังคมไฮโซดังเซ็งแซ่รอบบริเวณ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำไม่ว่าจะโลกไหนหรือระดับชนชั้นใดก็ตาม แต่กับมนุษย์บางคนคงไม่ใส่ใจสิ่งใดเวลานี้ มือบอบบางยกโทรศัพท์ต่อสายตรงยังเพื่อนชายคนสนิท เมื่อกวาดสายตามองไปรอบงานจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวยังไม่โผล่มายืนปรากฏกายให้เห็น ทั้งที่ผู้คนทั้งหลายต่างทยอยเข้ามาจนแน่นขนัดใกล้เวลาเปิดงานเต็มที


“แฟรงค์.. ทำไมยังไม่มาอีก งานจะเริ่มแล้วนะ”


พรีมาดาในชุดราตรียาวระดับแนวพื้นพรม สีออกส้มโอรสอ่อนหวานเข้ากับความน่ารักสดใสของเธอผู้ซึ่งเป็นเจ้าของงานมงคลค่ำคืนนี้ เสียงใสกรอกใส่เครื่องมือสื่อสารอย่างร้อนรนเล็กน้อย เธอไม่ได้ห่วงว่าใครบ้างจะมาหรือไม่มาร่วมงานเลี้ยงฉลอง หนึ่งคนเท่านั้นที่เธอรอคอย..


“แล้วกันย์จะมาหรือเปล่า.. พรีมยังไม่เห็นกันย์เลย”


ดวงตาวูบไหวเมื่อปลายสายส่งผ่านตอบกลับ แฟรงค์เองก็ไม่อาจคาดเดาถึงจิตใจเพื่อนสนิทได้ว่าเวลานี้อารมณ์แปรปรวนเช่นไร และการตัดสินใจมาร่วมฉลองความยินดีให้กับเธอที่ยังฝังใจรักมั่นจะเจ็บปวดสาหัสสักแค่ไหน คงต้องรอคอยกันต่อไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นงานมงคล


“พรีม.. มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะแก.. แขกเต็มงานแล้วนะ”


“กำลังโทรหาแฟรงค์หน่ะ ยังไม่เห็นพรรคพวกเขามากันเลย”


“อ้าว! อิตาแฟรงค์ยังไม่มาอีกเหรอ ฉันเห็นเกล้ากับวิณอยู่ข้างนอกนิ”


“แล้วกันย์ล่ะ.. เธอเห็นเขาไหม..”


“อื้ม.. เท่าที่มองเมื่อกี้ ไม่เห็นนะ ว่าแต่.. กันย์จะกล้ามาเหรอแก แฟนเก่าหมั้นกับคนอื่นทั้งคนนะ..”


พรีมาดาใจกระตุกวูบไหวในคำพูดของเพื่อนด้านข้างที่ลดระดับเสียงพูดจาสลดแทนคนเอ่ยถึงเมื่อครู่ บางทีพรีมาดาเองคงลืมนึกถึงจิตใจของคนรักเก่าไปเสียสนิท คำเชิญของเธอไม่เคยคิดทำร้ายหัวใจแกร่งอย่างกันย์วัฒน์ให้เจ็บช้ำน้ำใจแม้แต่น้อย เหตุผลเดียวเพียงเพราะต้องการให้เขาอภัยในเส้นทางที่เธอจำเป็นต้องเลือกเดินเท่านั้นคือตัวการสำคัญ ถึงแม้จะหวั่นใจเพียงใด หากความหวังว่าเขาจะมาร่วมยินดีในวันนี้ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง


“พรีมก็หวังแค่ว่า.. กันย์จะมาอวยพรให้พรีม..”


“นี่! เธอคงสมหวังแล้วล่ะยัยพรีม โน้นไง.. กันย์มาแล้ว”


พรีมาดาเอี้ยวกายกลับ มองตามยังจุดสนใจที่เพื่อนข้างๆ บอกต่อ ในใจกลับรู้สึกชุ่มชื่นอีกครั้ง ไม่รอช้าสองเท้าก้าวเดินยังบุคคลที่เธอรอคอยกับการปรากฏตัวของเขาทันที โดยมีเพื่อนสาวเดินตามหลังไปติดๆ



สองเพื่อนเกลอในชุดสูทหรูหราคลี่ยิ้มทักทายพร้อมส่งสายตาให้กำลังใจยังบุรุษผู้บอบช้ำที่ก้าวเดินมาร่วมวง รอยยิ้มเยือกเย็นแสยะขึ้นมุมปากทักทายกลับ เขาคงบ้าไปแล้วจริงๆ ที่มายืนเสนอหน้าอยู่ในงานวันนี้ กันยวัฒน์ตอกย้ำตนเองในใจ วันนี้ทั้งวันเขาใช้เวลาตัดสินใจและครุ่นคิดอยู่นาน ว่าควรหรือไม่ที่ต้องมายืนตรงนี้ จิตใจสองฝ่ายขัดแย้งต่อต้านกันเอง จนในที่สุดความต้องการก็ชนะเสียงห้ามปราม


“ไอ้แฟรงค์ล่ะ..”


กันยวัฒน์เอ่ยถามเพื่อนซี้อีกคนที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา


“มันกำลังมา เห็นบอกรถติด ไหนวะเด็กใหม่ของเอ็ง ที่ไอ้แฟรงค์ว่าสวยนักหนา ไม่เห็นพามาเลย”


“เด็กใหม่บ้าอะไร.. แค่เหตุบังเอิญที่ต้องเลี้ยงดูก็เท่านั้น”


“เห้ย! ถึงขนาดต้องเลี้ยงดู มันชักยังไงๆ แล้วนะไอ้กันย์”


“หยุดเลยพวกเอ็ง.. จะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่แล้ว แค่ไอ้วิณเลยเถิดไปคน นี่เอ็งก็เป็นไปด้วยอีกคนเหรอไอ้เกล้า”  


กันย์วัฒน์ปรามเพื่อนทั้งสองที่ยืนขำขันพยายามสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานลดความตึงเครียด เนื่องจากพอจะสัมผัสได้จากแววตาว่าเวลานี้ความเจ็บปวดยังคงวนเวียนเต็มอกของเพื่อนสนิทอย่างแน่นอน


“กันย์..”


เสียงหวานใส สะดุดความรู้สึก พาวงสนทนาของกลุ่มเพื่อนซี้นิ่งเงียบหยุดเสียงกะทันหัน พลางส่งสายตามองตามคนทักทายเป็นตาเดียว กันยวัฒน์กำหมัดแน่นควบคุมความรู้สึกให้คงทีก่อนหันหาคนเคยคุ้น


“...”


“พรีมคิดว่ากันย์จะไม่มาหาพรีมแล้วซะอีก”


“...”


“ขอบคุณนะ ที่กันย์ยอมมาอวยพรให้พรีม”


ความเจ็บปวดกระตุ้นย้ำที่จิตใจแข็งแกร่ง อีกนานแค่ไหนถึงจะชนะต่อสิ่งรุมเร้าที่กัดกร่อนความรู้สึกในเวลานี้ไปได้ มือแข็งแรงบีบกำแน่นกว่าเดิม เขาคงต้องพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อควบคุมอารมณ์และสภาพจิตใจให้เข็มแข็ง เป็นครั้งแรกที่สายตาของกันยวัฒน์ยอมมองคนรักเก่าอย่างเต็มใจตั้งแต่เธอทำให้เขาเจ็บปวดปางตาย ใบหน้าสดใสยังคงคุ้นเคยในสายตาคู่นี้ รอยยิ้มอ่อนหวานยังคงมีเหมือนเดิมตั้งแต่รู้จักและคบหากันมา พรีมาดายังคงเป็นคนเดิม คนที่เขาเคยรักมากมาย แต่หลังจากนี้คงไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว..


“อยู่ให้มีความสุข.. เลิกเอาแต่ใจได้แล้วนะ คงไม่มีใครตามใจคุณได้บ่อยๆ”


มือแข็งแรงสั่นไหว ค่อยๆ เอื้อมยก อยากสัมผัสรับรู้ไออุ่นอีกครั้งสุดท้าย


“พรีมครับ.. ผู้ใหญ่ท่านเชิญด้านโน้นครับ”


กันยวัฒน์ชะงักมือกลางอากาศ วาดลงข้างลำตัวกำไว้แน่นตามเดิม รอยยิ้มสดใสของสองคู่หมั้นบีบคั้นหัวใจแตกละเอียด ไร้ซึ่งสภาพดี ความเจ็บปวดกระหน่ำตอกตรึงอกข้างซ้าย สาแก่ใจแล้วใช่ไหมกับการก้าวเท้าเหยียบย่ำหัวใจตนเอง..


“พี่รุธ.. นี่เพื่อนๆ พรีมค่ะ”


“สวัสดีครับ..”


“กันย์ เกล้า วิณ นี่พี่รุธจ๊ะ”


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ..”


น้ำเสียงประสาน ตอบรับการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นมารยาททางวงสังคม ภาพคนรักเก่าเอื้อมมือควงแขนคู่หมั้นที่ดูอย่างไรก็เหมาะสมดังกิ่งทองใบหยก ไม่มีสักนิดที่เขาจะเทียบเคียงได้เลย ถูกต้องที่สุดแล้วที่ยอมปล่อยให้เธอเลือกเดินตามเส้นทางอย่างตั้งใจ เวลานี้เขาคงลดระดับได้แค่เพื่อนเท่านั้นจริงๆ ก็ดี.. เอาให้ช้ำเลือดช้ำนองจะได้จบสิ้นเสียทีกับความรู้สึกร้าวราน  


“พรีมไปก่อนนะ เดี๋ยวว่างแล้วจะแวะมาหา”


รอยยิ้มจางกระตุกมุมปาก ส่งต่อความยินดียังคู่รักเบื้องหน้าที่เยื้องย่างเดินจากไป เจ้าภาพของงานฉลองก้าวเดินคู่กันพร้อมโปรยยิ้มระหว่างทางให้แขกเหรื่อรอบกาย


“ไอ้เกล้า.. ดูท่าเพื่อนเราคงใกล้บ้าเต็มที เสียใจแทบตายแต่มันยังยิ้มออกมาได้”


เสียงแหบห้าวค่อนแคะใส่ พาคนฟังรู้ตัว ใช่.. คงใกล้บ้าเต็มทีหรือไม่ก็คงจะโง่เต็มกลืน เวลานี้คล้ายสติหลุดลอยออกจากร่างกาย กันยวัฒน์ไม่ตอบสนองใดๆ คงต้องปล่อยอารมณ์ให้อาลัยอาวรณ์เนิ่นนาน


งานรื่นเริงสังสรรค์เริ่มต้นเมื่อหลายฝ่ายพร้อมหน้าพร้อมตา เสียงเพลงแห่งความปลื้มปิติเปิดคลอเพื่อสร้างบรรยากาศไม่ให้เงียบเหงา หลังเสร็จสิ้นพิธีการต่างๆ บนเวที ทุกคนล้วนแย้มยิ้มยินดี เจรจาทักทายตามประสาสังคมเมืองชั้นสูง เสื้อผ้าหน้าผมโดยรวมแต่งมาเพื่อประชันความหรูหราฟู่ฟ่าอวดฐานะทางการเงินกันเป็นเรื่องปกติ บางคนประดับประดา สร้อย แหวน กำไล ส่องแสงสะท้อนไฟระยิบระยับราวตู้เพชรเคลื่อนที่ ยิ่งใครหน้าไหนโดดเด่นยิ่งเป็นที่จับตามองแก่ช่างภาพและนักข่าวทั้งหลาย เพื่อเก็บข้อมูลเขียนข่าวซุบซิบแวดวงสังคมของเช้ารุ่งขึ้น


กลุ่มเพื่อนสนิทหลบนั่งสังสรรค์ยังมุมๆ หนึ่งภายในงานเลี้ยงฉลองเพื่อไม่ต้องการยุ่งวุ่นวายกับใครมากนักรอแค่เวลางานเลี้ยงเลิกราจะได้กลับยังที่ของตนเสียที กันยวัฒน์เหม่อลอยไปไกล ภาพความหลังครั้งเก่าวิ่งวนซ้ำซาก รบกวนจิตใจถึงที่สุด


“เฮ้ย! ไอ้แฟรงค์มันโทรมาเปล่าวะไอ้กันย์ หายหัวไปเลยไอ้นี่”


น้ำเสียงเร่งเร้าถามไถ่ เมื่อเห็นเวลาผ่านไปนานสองนาน เพื่อนซี้ที่รอคอยยังคงไม่ปรากฏกาย ด้วยความเป็นห่วงกลัวจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงระหว่างทาง


“เดี๋ยวมันคงมาเองล่ะ..”


“ตายยากจริงๆ แค่บ่นถึงมันก็เดินมาโน้นแล้ว”


เสียงรอบบริเวณที่เคยดังจนปวดโสตประสาทเมื่อครู่เงียบสนิทจนผิดปกติ กันยวัฒน์เริ่มให้ความสนใจเหลือบสายตามองไปรอบงาน สายตาทุกคู่จับจ้องยังบุรุษหนุ่มร่างใหญ่ที่เดินตรงมายังกลุ่มเพื่อนสนิทพร้อมรอยยิ้มทะเล้น แสงแฟลชจากกล้องสว่างแวบวับเป็นระยะตลอดการก้าวเดิน


“โหย.. รถติดสุดยอดเลยว่ะ ถึงมาช้า แต่ก็คุ้ม..”


“อะไรที่ว่าคุ้ม..”


กันยวัฒน์ส่งสายตาแปลกใจทักทายเพื่อนซี้ที่ดูอารมณ์ดีผิดปกติจนสังเกตุเห็นได้ชัดเจน


“ไอ้แฟรงค์.. เอ็งพาใครมา..”


เพื่อนคนอื่นสมทบเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างเบื้องหลัง แฟรงค์เกนสไตล์แย้มยิ้มกว้างพร้อมยืดอก เอี้ยวกายดึงมือคนด้านหลังนำร่างบางให้ขยับเดินมายืนด้านข้าง ตีคู่เทียบเคียงกับเขา ทุกสายตามองด้วยอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน แต่หนึ่งบุรุษที่ดูจะตกใจยิ่งกว่าใครคงไม่พ้นกันยวัฒน์..


“นีลา..!!”



++++

โปรดติดตามตอนต่อไป..

แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 55 06:55:46

แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 55 06:45:19

จากคุณ : มาโซคิส
เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 03:42:20




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com