Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ทรายโอบฟ้า ตอนที่ 1-3 vote ติดต่อทีมงาน

เสียงที่เคาะประตูยามวิกาลปลุกร่างชราของชายสูงวัยให้ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เขาพึมพำบ่นตลอดทางระหว่างที่เดินโขยกเขยกมาเปิดประตูด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงอาการหงุดหงิดอารมณ์เสียที่ถูกใครบางคนมารบกวนเวลาพักผ่อนอันมีค่า

               “ใครว่ะ มีอะไรมาปลุกข้าดึกๆ ดื่นๆ ถ้ามาไม่ดีกูยิงไส้ทะลุนะโว้ย”

               “ลุงคำ นี่ผมเองนะ ตรัยไง เปิดประตูให้ผมก่อนสิ” คนฝั่งตรงข้ามประตูตอบกลับมาเสียงเบาคล้ายไม่ต้องการให้ใครได้ยินมากนัก ลุงคำผงกศีรษะรับรู้ วางปืนยาวที่ถือมาป้องกันตัวไว้บนเก้าอี้ก่อนลงมือปลดกลอนบนล่างต้อนรับแขกผู้มาเยือนยามวิกาล

               “ไหนว่าเองจะมาตั้งแต่สองวันที่แล้วไง นี่ข้านึกว่าจะไม่มาแล้วนะ”

               “ขอโทษนะลุง พอดีมีเรื่องฉุกละหุกนิดหน่อย กว่าผมจะหาทางมาหาลุงได้แทบตาย ขอผมเข้าไปก่อนนะ แล้วจะเล่าให้ฟังทั้งหมด”

               ข้าวก้นหม้อที่เหลือของลุงคำหมดในพริบตา กับข้าวตรงหน้าเหลือเพียงจานที่ว่างเปล่า ตรัยเรอเสียงดังออกมาหลังจากกระดกน้ำจากขันใบใหญ่ เขาไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะทานจุได้มากขนาดนี้

               “เฮ้ย เอ็งไปตายอดตายอยากที่ไหนมาวะ ไอ้ตรัย” คนถามทำหน้านิ่วขณะมอง

               “ไม่ได้ไปตายอดตายอยากที่ไหนมาหรอกลุง แค่ไม่ได้กินอะไรมาแต่เช้าเพราะมัวแต่หลบตำรวจอยู่ ไม่ไหว เพ่นพ่านกันแบบนี้ ออกมาข้างนอกยากชะมัด ผมไม่ยักจะรู้ว่าตัวเองเป็นที่ต้องการมากของทางการ”

               “แน่นอนละ งานที่เอ็งทำ ทำให้คนอื่นเขาวายวอดมาไม่รู้กี่พันล้านแล้ว เอ็งเก่งนะที่หลบหนีมาได้ พวกเพื่อนๆเอ็งถูกจับหมดใช่ไหมวะ”

               “มีบางคนที่ไหวตัวทันรีบชิ่งออกมาก่อน อย่างเพื่อนผมคนหนึ่งไงที่ผมกำลังจะไปซ่อนตัวอยู่กับเขา ผมคงอยู่ไทยต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ เออ  สิ่งที่ผมขอให้ลุงหามาให้ ลุงหามาได้ไหมครับ”

               ชายสูงวัยกระตุกยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง หันหลังเดินกลับไปที่ตู้ติดข้างฝาหลายชั้นซึ่งเป็นที่เก็บสมุนไพรตากแห้งของแก ก้มๆเงยๆอยู่แถวนั้นไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมซองสีน้ำตาลซองหนึ่ง

               “เอ้านี่ ดูสิใช่อย่างที่เอ็งต้องการไหม”

               ตรัยรีบคว้าเอาซองมาจากมือลุงคำ ล้วงมือเข้าไปข้างในหยิบเอาสมุดเล่มเล็กปกสีน้ำตาลออกมาเปิดดู เห็นภาพตัวเองเด่นหราหน้าแรก ใต้ภาพระบุชื่อของใครสักคนที่ไม่ใช่ชื่อของเขา

               “เหมือนมากครับลุงคำ ทั้งตราประทับ ลายน้ำ เพื่อนลุงนี่ฝีมือเยี่ยมจริงๆ”

               “เอ็งอย่าคิดว่าเป็นของปลอมสิ  มองให้เป็นของจริงจะได้สนิทใจ แล้วเอ็งจะไปวันไหน ลุงจะได้นัดเรือให้”

               “ขอเร็วที่สุดได้ไหม ผมอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ ไม่งั้นผมทำลุงเดือดร้อนแน่”

               “ถ้างั้นข้าจะลองขอเป็นคืนพรุ่งนี้ให้ เอ็งพร้อมใช่ไหมตรัย”

               “ผมน่ะพร้อมนานแล้วล่ะ  รอวันไปเท่านั้นเอง”

               “งั้นเอ็งนอนพักเอาแรงก่อนนะ ข้าว่าถ้าไม่มีอะไรติดขัด พรุ่งนี้เอ็งน่าจะได้ไปจากที่นี่ได้ ไปประเทศอะไรของเอ็งวะ ข้าจำชื่อไม่ได้ เรียกยากฉิบ”

               “ประเทศอุสตาเดียน่ะลุง เพื่อนผมอยู่ที่นั่น ประเทศเล็กๆแบบนั้นคงไม่มีใครคิดว่าอาชญากรอย่างผมจะหนีไปกบดานอยู่ ลุงแค่หาเรือให้ผมออกจากไทยได้พอ ผมจะซ่อนตัวจนกว่าเรื่องจะเงียบ ส่วนการจะไปยังที่นั่นได้ ผมมีวิธีของผม หวังว่าหนังสือเดินทางที่ลุงให้คนปลอมให้ จะแนบเนียนพอตบตาเจ้าหน้าที่”

               “เชื่อมือเพื่อนลุงเถอะน่า ลุงพาพวกผิดกฎหมายระดับราชายาเสพติดหนีออกนอกราชอาณาจักรไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง เอ็งระวังตัวให้ดีแล้วกัน อย่าไปทำให้ใครเขาจับพิรุธได้ล่ะ”

               “ผมจะระมัดระวังตัวครับลุง ขอบคุณที่ช่วยเหลือผม” ตรัยดึงกระเป๋าสะพายออกมาจากไหล่ เปิดเข้าไปหยิบธนบัตรปึกหนึ่งออกมายื่นให้ชายชรา “สำหรับความมีน้ำใจของลุงครับ ผมมีเงินสดแค่นี้ครับ เงินที่เหลือผมต้องหาทางไปเบิกจากธนาคารที่สวิสต์เอาทีหลัง”

               “เฮ้ย อย่าน่าลุงไม่ได้ทำไปเพื่อหวังเงินเอ็งนะ เพราะเอ็งเป็นหลานเพื่อนผู้มีพระคุณของลุง ลุงไม่ช่วยคงไม่ได้ ไม่เอาๆ เอ็งเก็บไว้เถอะ”

               “รับไปเถอะครับ ผมจะได้สบายใจ” ตรัยยัดเงินใส่มือลุงคำก่อนที่แกจะอ้าปากบอกปัดอีกครั้ง “ลุงตัวคนเดียวลูกหลานก็ไม่มีมาเหลียวแล ผมไม่อยู่แล้วใครจะแวะเวียนมาดูแลลุงเล่าครับ เงินนี้อาจไม่มากนักแต่พอจะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวันจนครบปีได้ ถ้าผมไม่ตายเสียก่อน ผมจะหาทางส่งมาให้ลุงอีก”

               ชายสูงวัยก้มมองเงินในมือ น้ำตาปริ่มคลอออกมาด้วยใจที่ตื้นตัน “ตรัย ถึงเอ็งจะเป็นคนที่ตำรวจหมายหัวไว้ แต่เอ็งไม่ใช่คนเลว เอ็งเป็นคนดีมากต่างหาก ข้าเชื่อว่าคนดีผีย่อมคุ้ม เอ็งต้องไม่เป็นไรเชื่อข้าสิ”

               “ผมกลัวผีอยากเอาผมไปเป็นเพื่อนมากกว่าล่ะสิ แต่ผมก็เชื่ออยู่อย่างนะว่าผีบางตัวไม่อยากให้ผมไปแย่งที่ฝังศพมัน” ตรัยพูดติดตลก ก้มมองตัวเองหลังจากเริ่มได้กลิ่นตุๆ “ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้ว ทนตัวเองไม่ไหว ขอตัวก่อนนะลุง”

               “ที่นอนเอ็งอยู่ห้องข้างบน เป็นห้องเก่าของหลานลุง คับแคบไปหน่อย พอนอนได้ใช่ไหม”

               “ผมนอนได้ทุกที่แหละ น่าจะดีกว่าไปนอนตามพงหญ้าแน่นอน”

               “งั้นขึ้นไปนอนไป เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าจะหาอาหารมาให้ ไม่ต้องออกไปให้ใครเห็นหน้า เข้าใจไหม”

               “ครับลุงคำ” ตรัยรับปาก หยิบเอากระเป๋าสะพายเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ลุงคำถอนใจโล่งอก เดินไปปิดประตูบ้าน ในที่สุดภารกิจที่ค้างคามาเกือบสองอาทิตย์จบสิ้นเสียที ใบหน้าชราเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสอง ดวงตาฝ้าฟางมีแววครุ่นคิด

               หลานชายเพื่อนรักจะรอดเงื้อมกฎหมายได้หรือไม่ อนาคตข้างหน้าสำหรับตรัยดูเลื่อนลอยเคว้งคว้างเหมือนเรือที่เดินหน้าอย่างไร้จุดหมายเสียจริง ลุงคำได้แต่ภาวนา อย่าให้เป็นอย่างที่แกสังหรณ์ใจเลย แต่ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนถูกกำหนดมาด้วยกระทำของตนเองหมดแล้ว  สิ่งที่เลี่ยงได้อยากที่สุดในโลกก็คือผลของการกระทำของตนเอง

               ในอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา ตรัยสามารถหลบหนีออกจากแผ่นดินเกิดมายังประเทศที่สามได้ด้วยความช่วยเหลือของลุงคำโดยการลอบหนีขึ้นเรือขนสินค้าขนาดกลาง และรอดพ้นจากสายตาตำรวจน้ำมาอย่างหวุดหวิด คงเพราะผิวพรรณคมเข้มของเขาซึ่งกลมกลืนได้ดีกับคนงานบนเรือทำให้ไม่มีใครสงสัยว่าเป็นคนนอกปลอมตัวหลบหนีออกนอกประเทศ ชายหนุ่มนึกขอบคุณรูปพรรณสัณฐานที่ได้มาจากพ่อและแม่ มามีประโยชน์มหาศาลต่อตัวเองก็วันนี้

               หนังสือเดินทางในกระเป๋าช่วยทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง  ถึงไม่ใช่ของจริงแต่เพราะสิ่งนี้เองทำให้เขาเดินข้ามจากประเทศหนึ่งมายังอีกประเทศหนึ่งได้อย่างราบรื่น ตรัยนึกอยากจะตอบแทนคนที่ปลอมแปลงให้เขาเหลือเกิน แนบเนียนและเหมือนของจริงมาก สามารถตบตาเจ้าหน้าที่สนามบินมาได้จนถึงอุสตาเดีย

               “เชิญเลยขอรับนายท่าน สนใจจะให้ผมเป็นไกด์พิเศษนำทางไหมครับ ผมยินดีรับใช้ท่านทุกอย่าง เพียงท่านบอกมาว่าอยากไปตรงไหนของอุสตาเดียเราจะพาไปหมด  เราคิดค่าบริการราคาไม่แพงครับ”
               คทาชายร่างผอมในชุดกรอมยาวเดินลิ่วตรงเข้ามาหาดักหน้าตรัยทันทีที่เขาเดินออกมาจากประตูอาคารผู้โดยสารขาออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย ดึงเอาแว่นตากันแดดออกจากใบหน้าเพื่อจะได้ให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้าปฏิเสธของเขาได้เต็มตา

               “คงไม่จำเป็นหรอก ผมไปเองได้ ประเทศนี้ไม่ได้กว้างขวางจนถึงกับต้องใช้ไกด์”

               “โอ๊ะๆ เดี๋ยวก่อนสิขอรับ คุณผู้ชาย กระผมว่าท่านสมควรอย่างยิ่งที่จะมีกระผมเป็นคนนำทางไปให้ ดูท่าท่านเพิ่งมาครั้งแรกใช่ไหมขอรับ” ไกด์ผิวสีไม่ยอมให้ตรัยเดินผ่านไปง่ายๆ ลูกค้ามาถึงที่อย่างไรเสียจะต้องตามตื๊อให้ถึงที่สุด

               ทีแรกตรัยนึกรำคาญแต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน อุตส่าห์มีคนพาไปหาเพื่อนรักถึงที่ หากคลำทางไปเองอาจจะช้าแล้วเสี่ยงต่อการถูกตำรวจทะเลทรายจับตัวไปสอบสวน

               “คิดราคายังไงว่ามา” ชายหนุ่มเริ่มต้นต่อรองค่าตัว

               “กระผมจะคิดให้เป็นพิเศษเลยขอรับนายท่าน ค่านำทางต่อวัน วันละร้อยเหรียญดอลล่าห์ขอรับ”

               “โอ้โห นี่คิดจะขูดเลือดขูดเนื้อกันเลยหรือไง ไม่เอาแล้วล่ะ ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้น”ตรัยแกล้งทำเป็นไม่สนใจ เตรียมก้าวเท้าเดินผ่านหน้าคทาชายผู้นั้นไป

               “งั้นแปดสิบดอลล่าห์ก็ได้ครับ กระผมลดให้ท่านแล้วกัน”

               ต่อรองครั้งแรก เขาเริ่มอยากใจอ่อนยอมให้ตามที่อีกฝ่ายขอมา พอเล่นตัวอีกรอบ คราวนี้ คนเสนอราคายอมลดให้เกือบครึ่ง

               “โธ่ นายท่านกระผมยอมขาดทุนเลยนะขอรับ”

               “แล้วไงล่ะ จะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ผมจะไปจ้างคนอื่นนะ”

               “ไปครับไป นายท่านจะเดินทางไปไหนก่อนเป็นทีแรกขอรับ”

               ตรัยยิ้มนิดๆ ตาคนนี้แววตาหลุกหลิกดูเจ้าเล่ห์ก็จริง แต่ไม่น่ามีพิษมีภัยกับอะไร ทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่มีใครสงสัย

               “หาโรงแรมราคาไม่แพงให้ผมได้ไหม ผมอยากอาบน้ำ และนอนสักคืนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน แล้วนี่อะ” ตรัยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบมือถือรุ่นกำลังพอดีมือยืนให้อีกฝ่าย “เอามือถืออันนี้โทรติดต่อผมนะ เบอร์ตามที่บันทึกไว้ แล้ว เดี๋ยว ไกด์ชื่ออะไร ผมจะได้เรียกถูก”

               “บาลีอาขอรับท่าน เรียก บาลีเฉยๆ ก็ได้ครับ”

               “บาลี ชื่อเรียกสั้นและง่ายดีนะ งั้นไปส่งผมที่โรงแรมก่อน ว่าแต่เราจะไปยังไง รถประจำทางหรือรถไฟ”

               “ไปรถส่วนตัวของกระผมดีกว่าขอรับนายท่าน เชิญทางนี้ครับ” บาลีผายมือไปทางขวา ตรัยมองตามมือชายร่างผอม เห็นรถจี๊บกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน เขาพยักหน้าเล็กน้อย ดูพอใจถึงแม้จะไม่ได้เป็นรถดูหรูหราก็ตาม

               กว่าจะเข้าได้พักโรงแรม ตรัยกับบาลีอาใช้เวลาอยู่นานในการสื่อสารกับพนักงานตรงหน้าเคาน์เตอร์ เพราะเป็นประเทศเล็กๆและเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน จึงหาคนที่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษเหมือนบาลีได้ยากมาก กว่าจะเข้าใจความต้องการใช้
เวลาไปร่วมหลายนาที

               บาลีอากลับไปแล้ว ทิ้งให้ลูกทัวร์เพียงคนเดียวได้พักผ่อนอยู่ในห้องตามลำพัง ตรัยทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนหลังจากทำตนเองให้สดชื่นด้วยการลงไปแช่ในอ่างน้ำ พร้อมจิบเบียร์เย็นๆที่บริกรเพิ่งยกมาเสริฟให้ถึงที่

               ชายหนุ่มหยิบเอาคอมพิวเตอร์ส่วนตัวออกมา พิมพ์รหัสผ่านเข้าเครื่องเพื่อเปิดดูเมล์หรือข้อความที่อาจมีใครส่งมาให้

               “ช่วงนี้ข่าวต่างๆจากพรรคพวกเงียบหายไป คงกำลังซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งของมุมโลก” ร่างสูงล่ำเอนกายทอดตัวลงบนที่นอนนุ่มโดยมีโน๊ตบุก็เครื่องเล็กวางกลางลำตัว มือหนึ่งยกมาก่ายหน้าผากพร้อมถอนใจเฮือกใหญ่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่หนีรอดออกมาได้

               ตรัย หรืออีกชื่อหนึ่งว่าอิลตรัย ผู้ชายที่เกิดมากับคำว่าไม่พร้อมไปเสียทุกอย่างนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก  ชีวิตตรัยมีแต่แม่เท่านั้นที่เลี้ยงดูเขาตามมีตามเกิด ยังดีที่ได้ลุงและป้าให้ความอุปการะช่วยเหลือจุนเจือในบางครั้ง

               ส่วนพ่อบังเกิดเกล้านั้นหรือ เขาไม่มีพ่อมาก่อนที่ตนเองจะเกิดเสียอีก รู้แต่ว่าพ่อไม่ใช่คนไทยและอยู่ไกลกันมากเหลือเกิน

               ความอดอยากแร้นแค้นในอดีตสร้างให้ตรัยกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ ถีบตัวเองจากเด็กข้างถนนไม่มีอนาคตสู่การเป็นนักเขียนโปรแกรมมือหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่เมื่อตอนเรียนจบใหม่ๆ แต่ไม่มีอะไรในโลกนี้แน่นอน เมื่อยุคฟองสบู่เฟื่องฟู เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตค่อยคืบคลานเข้าสู่หายนะมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่นานตรัยก็กลายเป็นคนตกงานต้องมาหารับจ้างเข็นปลาอยู่ที่ตลาดใหญ่จนกระทั่งวันหนึ่งโชคชะตาได้พลิกผันเปลี่ยนไป

               “ฉันมาเสนองานใหญ่ที่จะทำให้เธอมีเงินเดือนเลี้ยงตัวได้อย่างสบายโดยไม่ต้องมาลำบากแบบนี้อีก สนใจไหมล่ะ ถ้าเธอไม่ใช่พวกอุดมการณ์เกินไป งานนี้เหมาะกับคนเก่งอย่างเธอที่สุดแล้วตรัย มาอยู่กับฉัน แล้วฉันจะสร้างเธอให้กลายเป็นมือหนึ่งด้วยตัวฉันเอง”

               คำพูดของปีเตอร์ อาจารย์คนแรกของเขาผุดขึ้นมาในความทรงจำ ตรัยยังคงจำเขาได้อย่างแม่นยำ ไม่เพราะคนผู้นี้หรอกหรือที่ทำให้เขากลายเป็นนักแฮกเกอร์ตัวฉกาจที่สร้างกำไรมหาศาลให้กับหลายบริษัท ในขณะเดียวกันก็ทำให้อีกหลายคนล่มจมจนฆ่าตัวตายมาแล้ว

               รู้ว่าผิดแต่ให้ทำอย่างไรได้ เมื่อตัวเองได้ถลำลึกไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับมาเป็นไอ้ตรัยลูกชาวประมงคนธรรมดา ในเวลานี้เขาได้กลายเป็นอาชญากรมือฉมัง เป็นที่ต้องการของตำรวจทั้งโลก

               “แม่ครับ หวังว่าแม่คงสบายดีนะ น้องหนูด้วย ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ใกล้สอบแล้วคงจะอ่านหนังสืออยู่ใช่ไหม”เขายิ้มอยู่คนเดียวในความสลัว มีเพียงแสงรำไรจากโคมไฟบนหัวเตียงเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่ให้ความสว่าง เขาล้วงมือเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงออกมา เปิดดูรูปของแม่และน้องสาวต่างพ่อด้วยแววตาเป็นประกาย  ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปก็เพื่อคนรักทั้งสอง เงินทุกบาททุกสตางค์ส่วนหนึ่งที่หามาได้ ตรัยได้ส่งให้แม่ไว้ใช้จ่ายและเป็นค่าเทอมของน้องหนู น้องสาววัยสิบเจ็ดปีของเขา

               ตรัยหลับตาลง ปล่อยความคิดทุกอย่างล่องลอยออกไปจากสมอง เขาควรจะต้องนอนได้แล้ว พรุ่งนี้และวันต่อไปไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้กระทั่งเจ้าตัว

               บาลีอาโทรมาปลุกลูกทัวร์แต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มเพิ่งงัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ “บาลีรออยู่ที่ล๊อปบี้ก่อน เดี๋ยวผมขอตัวอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ แล้วจะตามไป” เขาสั่งคนที่จะมานำทางผ่านทางเครื่องมือสื่อสารก่อนตัวเองจะลุกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ

               ร่างผอมสูงนั่งกระดิกเท้าไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ เมื่อตอนที่ตรัยเดินลงไปถึง พอบาลีอาเห็นชายหนุ่มลงมาแล้วก็รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นมาช่วยถือกระเป๋าและของใช้ส่วนตัวให้

               “บาลีช่วยถือกล้องพอ กระเป๋าสะพายใบแค่นี้ผมถือเองได้” ตรัยบอกกับชายหน้าปรุแบบนั้น เขาไม่ไว้ใจให้ใครมาถือกระเป๋าส่วนตัวเขาเด็ดขาด ความลับหลายอย่างที่จำเป็นต้องเก็บไว้ถูกบรรจุอยู่ข้างใน และอาจทำให้เขาต้องระเห็จไปนอนในคุกแทนการได้ออกท่องเที่ยวตามทะเลทราย

               “เชิญนายท่านไปที่รถขอรับ ว่าแต่นายท่านอยากจะไปไหนขอรับ บอกกระผมมา กระผมจะได้วางแผนได้ถูก”

               ตรัยยิ้มนิดๆ ไม่ได้ตอบกลับไปทันที ดึงเอากระเป๋าสะพายหลังออกมาเปิดซิปหน้าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา มีลายมือเขียนหวัดๆเป็นภาษาอังกฤษปนภาษาพื้นเมือง “ไปตามที่อยู่นี้ได้ไหม”

               บาลีอายื่นมือออกไปรับมาพิจารณาดู คิ้วของไกด์จำเป็นย่นคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะกลับมาคลายตัวเช่นเดิม

               “หมู่บ้านลาต๊อกใกล้รัฐเซอร์ไบ ไกลไม่ใช่เล่นนะขอรับ ลำพังรถของกระผมคงไม่ถึงหรอก แถวนั้นแห้งแล้งและร้อนจัด รถอาจจะพังเสียก่อนถึงจุดหมายปลายทาง”

               “อ้าวแล้วแบบนี้ผมควรจะไปยังไงล่ะ ไม่มีวิธีเดินทางอื่นเลยหรือ”

               “มีขอรับ เราคงต้องใช้การขี่อูฐแทนการขับรถขอรับ กระผมจะเอารถไปจอดกับพวกเพื่อนผมที่ตั้งแคมป์อยู่กลางทะเลทรายก่อนแล้วค่อยหาอูฐไป แต่ว่าเราต้องมีค่าอูฐเพิ่มมาอีกนะขอรับ”

               “เท่าไรเท่ากัน ผมยินดีจ่าย ขอแค่ให้มาถึงที่หมายพอ”

               ใช้เวลาไม่นานทั้งไกด์และลูกทัวร์เพียงคนเดียวก็มาถึงยังใจกลางทะเลทรายที่ร้อนจัดและแห้งแล้ง ตรัยจำเป็นต้องสวมชุดพื้นเมืองตัวยาวและมีผ้าโพกหัวคลุมไปมิดชิด ไม่เช่นนั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาคงเต็มไปด้วยฝุ่นทรายที่ปลิวมาแทบจะทุกนาทีที่เดินผ่าน

               บาลีอาพาเขามายังชุมชนหนึ่งซึ่งมีกลุ่มคนนับเกือบร้อยชีวิตมารวมตัวกันอยู่ ชายร่างผอมปล่อยให้ตรัยนั่งรออยู่ในรถ ส่วนตัวเองเดินเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่เกือบริมสุดของจำนวนกระโจมนับหลายสิบหลัง

               “นายท่านขอรับ ลงมาจากรถก่อน เราจำเป็นต้องนอนหลับพักสักตื่นขอรับ”

               “ทำไมเราต้องนอนด้วยบาลี รีบไปเลยไม่ได้หรือ จะได้ถึงไวๆไง”

               “ไม่ได้ขอรับนายท่าน แดดแรงแบบนี้ไม่เหมาะกับการเดินทาง อูฐจะทนไม่ไหวและตายได้หรือพาเราหลงทาง เชื่อกระผมเถอะขอรับ พักนอนเอาแรงเสียสองชั่วโมง พอแดดอ่อนลงเราค่อยไปกันใหม่”

               ตรัยพยักหน้ารับ พร้อมกระโดดลงมาจากรถ ไม่ลืมเอากระเป๋าสะพายแบกลงมาด้วย ถึงไม่ค่อยอยากจะนอนสักเท่าไร แต่เหตุผลของบาลีอาทำให้เขาต้องยอมเชื่อฟังไกด์ผู้นำทาง

               อูฐหน้าตาดีรูปร่างกำยำสามตัวถูกนำตัวมาไว้ให้นักเดินทางก่อนที่คนทั้งสองจะตื่นนอน บาลีอาช่วยตระเตรียมการข้าวของไว้ให้พร้อมทั้งน้ำดื่มในถุงหนังกับอาหารแห้งที่สามารถพกติดตัวไปได้ เพียงพอสำหรับการรอนแรมถึงห้าวันห้าคืน รวมทั้งกระโจมผ้าขนาดเล็กที่สามารถแบกใส่หลังอูฐ หลังจากตรัยจ่ายค่าอูฐและค่าอาหารให้กับพ่อค้าเสร็จสรรพ  การเดินทางจึงเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายคล้อย บาลีอาพูดถูก เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะกับการเดินทางมากที่สุดแล้วเพราะแดดร่มกำลังดี

               เสียงร้องเพลงดังก้องไปทั่วท้องทะเลทราย บาลีอาไม่อยากให้ลูกทัวร์หนุ่มหงุดหงิดกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวและทัศนียภาพเดิมที่มองไปทางไหนจะเห็นแต่เนินทรายสุดลูกหูลูกตา นานๆจะเจออะไรแปลกๆบ้างอย่างเช่นโขดหิน ต้นตะบองเพชรหรือไม่ก็สัตว์เลื้อยคลานหน้าตาประหลาด

               “พอเถอะ บาลี ฉันหนวกหู”  ตรัยบอกให้อีกฝ่ายเลิกแหกปากตะโกนเพลงเสียที นอกจากรำคาญแสบหูฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ยังทำให้เขากลับรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิมอีกเท่าตัว

               “อะ ฮ้า นายท่านไม่ชอบฟังเพลงหรือขอรับ”

               “ชอบ แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์จะมาฟัง พอเถอะ ผมอยากอยู่เงียบ”

               “ขอรับนายท่าน กระผมจะหยุดร้องเพลงแล้วขอรับ”

               พอไม่มีเสียงร้องของคทาชาย จึงเกิดความเงียบขึ้นมาช่วงเวลาหนึ่ง เงียบมากจนหูของตรัยอื้ออึงไปหมด

               “นายท่านขอรับ กระผมจะเปลี่ยนจากการร้องเพลงเป็นการพูดคุยกันดีไหมขอรับ  กระผมว่าเดินทางกันแบบนี้ถ้าต่างคนต่างเงียบ ไม่ไกลสักคนจะเครียดเพราะร้อนจนเกินไปนะขอรับ”

               “ได้สิ บาลีอยากจะชวนผมคุยอะไรก็คุย ขออย่างเดียว อย่าร้องเพลงเลย ผมทนฟังเสียงบาลีไม่ไหว”

               คทาชายหัวเราะร่วน ดูท่าลูกทัวร์คนนี้จะว่าอยู่ง่ายกันง่าย ไม่ค่อยเรื่องมากเหมือนคนอื่น

               “นายท่านแค่จะมาหาเพื่อนอย่างเดียว หรือคิดจะท่องเที่ยวด้วยขอรับ”

               “ก็ทั้งสองอย่าง เพื่อนผมคนนี้ไม่ได้เจอมาเกือบปี พอเห็นข้อความบนอีเมล์ว่ากำลังจะแต่งงาน เลยต้องมาเสียหน่อย ดีเหมือนกันจะได้ถือโอกาสท่องเที่ยวไปในตัว”

               “อ้อ แบบนี้เอง แล้วทำไมนายท่านมาคนเดียวเล่าขอรับ”

               “ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไรหรอก คนที่คบหาก็คบกันเพียงผิวเผิน ผมเดินทางไปเรื่อยๆ อยู่ที่ไหนได้ไม่นาน ไม่แปลกถ้าจะต้องเดินทางคนเดียวบ่อยๆ”

               “กระผมไม่ได้หมายถึงเพื่อนขอรับ กระผมหมายถึง เอ่อขอประทานโทษนะขอรับ ภรรยาของนายท่าน ทำไมไม่เอามาด้วยละขอรับ”

               ตรัยก้มหน้าหัวเราะเบาๆ บาลีอาโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่แสดงความรู้สึกไม่พอใจเมื่อถูกถามเรื่องส่วนตัว

               “ขนาดเพื่อนตายยังหายาก นับประสาอะไรกับคนรักเล่าบาลี ใครกันจะมาร่วมหัวลงท้ายกับคนไม่มีอนาคตอย่างผม จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย”

               “นายท่านพูดแปลกๆ นะขอรับ เหมือนว่านายท่านมีศัตรูเยอะ หรือว่าที่นายท่านมาที่นี่เพราะต้องการหนีใคร ใช่ไหมครับ”

               ตรัยรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากไปแล้ว จีงหันไปใช้ส่งสายตาเป็นเชิงเตือน พอเห็นแบบนั้นบาลีอาจึงไม่กล้าปริปากเอ่ยถามอะไรอีก

               “ผมว่าเราควรรีบไปกันดีกว่า ใกล้ค่ำแล้ว บาลีบอกผมเองไม่ใช่หรือว่าควรไปถึงแหล่งโอเอซิสก่อนค่ำจะได้มีที่พักที่มี่แหล่งน้ำซึ่งจะสะดวกสบายกว่า”

               “ครับนายท่าน”

               บาลีอารับคำ ถึงตรัยจะทำตัวเป็นกันเองกับเขา แต่ใช่ว่าจะยอมบอกทุกสิ่งโดยง่าย เขายังคงคลางแคลงใจในเบื้องหลังของชายหนุ่ม แต่ไม่คิดติดใจอะไร แค่ลูกทัวร์ธรรมดา พาไปส่งยังจุดหมายปลายทางแล้วก็จบกัน ไม่ต้องพบเจอหน้าค่าตาอีกต่อไป

               เวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมง แสงแดดเริ่มหดหายทีละน้อย ดวงตะวันเบื้องหลังกำลังเคลื่อนคล้อยลงต่ำเกือบลับเนินทราย ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่แถวนั้นนอกจากนักเดินทางสองคนกับอูฐสามตัวกำลังเดินย่ำไปตามผืนทรายอุ่นๆ ทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนแรง

               “อีกนานไหมบาลี ผมจะไม่ไหวแล้วนะ” ตรัยตะโกนถาม เขารู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว และอยากจะหลับตาลงนอนอยู่บนหลังอูฐ

               “ไม่นานขอรับนายท่าน อีกไม่เกินชั่วโมงจะถึงโอเอซิสแล้ว นายท่านเหนื่อยหรือขอรับจะหยุดพักก่อนดีไหมขอรับ”

               “ไม่ล่ะ ไปต่อเถอะ ผมทนได้ อีกไม่ไกลไม่ใช่หรือ”

               “ขอรับนายท่าน”

               ตรัยก้มหน้าลงลอบถอนใจ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มองไปยังผืนทรายไกลโพ้นเบื้องหน้า จะมีแหล่งโอเอซิสจริงอย่างที่บาลีอาบอกมาแน่หรือ ทำไมเขาไม่เห็นอะไรเลยสักนิดนอกจากเนินทรายขาวโพลน

               “นายท่านขอรับ” น้ำเสียงของบาลีสั่นผิดปกติ เหลียวหลังกลับมามองตรัย สีหน้าไม่สู้ดีนัก

               “มีอะไรหรือบาลี” ชายหนุ่มถาม

               “กระผมว่าเรากำลังจะเกิดปัญหาใหญ่ขอรับ”

               “ทำไม อาหารหมดหรือน้ำหมด หรือว่า นี่อย่าบอกนะว่าบาลีพาผมหลงทาง”

               “ไม่ใช่ครับ แต่ว่า..” บาลีอาอ้ำอึ้งจนตรัยนึกรำคาญ

               “แต่อะไรก็ว่ามา อย่าชักช้า !”

                       “ครับนายท่าน คือว่าเรากำลังจะเจอกับพายุทะเลทรายขอรับ”

               “อะไรนะ พายุทะเลทราย จะเป็นไปได้ไง ท้องฟ้าดูปลอดโปร่ง ไม่เห็นมีเค้าจะมีพายุเลยสักนิด” ตรัยเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามเบื้องบน ทำหน้านิ่วด้วยความสงสัย

               “นายท่านไม่เคยใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลทราย นายท่านคงมองท้องฟ้าไม่ออกหรอกครับ แต่กระผมอยู่มานานเห็นแวบเดียวก็รู้แล้ว พายุทะเลทรายที่กำลังจะมาอยู่ข้างหลังเราโน่นน่ะครับ” บาลีอาชี้มือไปข้างหลัง ชายหนุ่มมองตาม สังเกตดูก็รู้ว่าเป็นจริงอย่างที่บาลีอาบอกเขามา ท้องฟ้าด้านหลังเขาดูอึมครึมมืดครึ้มผิดปกติ

               “แล้วเราควรทำอย่างไรดี”

               “เร่งฝีเท้าขอรับ เราต้องหาที่หลบพายุ ตรงนี้ไม่มีโขดหินอะไรมาช่วยบังเราเลย อันที่จริงเราตั้งกระโจมหลบข้างในก็ได้ขอรับ แต่กระผมเกรงว่าพายุจะแรงจนกระโจมทานน้ำหนักไม่ไหว”

               “งั้นเรารีบไปเร็วเข้า เดี๋ยวเอาสัมภาระมาไว้นี่บ้าง จะได้ไม่หนักที่อูฐตัวเดียว จะทำให้เดินทางช้าลง”

               ตรัยลงจากหลังอูฐ ดึงเอาสิ่งของมาบางส่วนจากอูฐบรรทุกมาไว้กับตัวเอง จากนั้นขึ้นไปบนหลังพาหนะสี่ขาจอมอึดกระแทกสีข้างเพื่อเร่งให้ไปไวขึ้น

               การสังเกตดินฟ้าอากาศของบาลีอาช้าเกินไป ในที่สุดพายุทะเลทรายมาถึงตัวด้วยความเร็วลมเกือบเท่าไต้ฝุ่น ตรัยพยายามจะควบคุมอูฐไม่ให้ตื่นตกใจแต่เพราะความไม่ชำนาญอูฐกับเตลิดหนีไปทางอื่น

               “นายท่านขอรับ ส่งอูฐมาให้ผมขอรับ นายท่านก่อนจะไปไกลกว่า” บาลีอาพยายามตะโกนบอกท่ามกลางเสียงกระหึ่มของพายุหมุน ละอองทรายฟุ้งกระจายเต็มพื้นที่จนแทบมองไม่เห็นอะไร ตรัยพยายามจะคุมอูฐเข้าไปใกล้บาลีอา แต่ยิ่งพาเดินดูเหมือนจะยิ่งไกลกันมากขึ้น

               “ช่วยด้วยบาลี ผมไปไม่ถึง ช่วยผมทีบาลี! โอ้ย” ชายหนุ่มร้องเสียงหลัง ความกลัวตายแล่นผ่านขึ้นมาในสมอง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตเคยเจอเรื่องน่ากลัวมามากแต่ไม่เท่าครั้งนี้เลย ตรัยเอาตัวเองนอนคว่ำแนบกอดตัวอูฐแน่น เอาหลบต่ำลงกันไม่ให้ทรายปลิวเข้าตาได้ เขาไม่รู้แล้วว่าอูฐจะพาเขาเดินไปตรงไหน หรือถูกพายุหอบไป ฝุ่นทรายยังคงโจมตีกระหน่ำฟาดบนร่างชายหนุ่ม เจ็บชาไปทั้งศีรษะ แวบหนึ่งเขาได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนเรียกชื่อเขา จากนั้นทุกอย่างรอบกายก็มืดมิดลง

จากคุณ : myjay
เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 10:22:01




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com