Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
................เรื่องของเขา...........................(เรื่องสั้นรีรัน) vote ติดต่อทีมงาน



      เหนือจอมปลวกใหญ่มีสัปคับสีทองอร่ามตา ตั้งมั่นเป็นสง่าชวนมอง ฉากหลังอันแลคล้ายม่าน คือหมอกอวลลอยอ้อยอิ่ง พลิ้วไหววนเวียน ไม่จางหรือจากไปไหน

เสียงหวีดกรีดร้อง ระงมวิงวอนต่อใครสักคน ดังแว่วแล้วเลือนหาย คล้ายโหยไห้จนขาดใจ แล้วกลับกำเนิดแรงเฮือกใหม่ วนเวียนร่ำร้องต่อไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตลอดท้องฟ้า จนสุดสายตาและรอบบริเวณ แผ่นพื้นที่ทรงกาย นอกจากตั้งไว้ด้วยจอมปลวกใหญ่ ทั้งหมดล้วนกลืนกันเป็นสีเดียว คือสลัวมัว...หม่นหมอง

ที่อันงาม ที่เดียวอันชวนมอง คือสัปคับสีทองโดดเด่น

สายตาของนาง ผู้คู้เข่าเฝ้ารอ จึงจับจ้องแต่บนนั้น สัปคับว่างเปล่าเหนือจอมปลวก

บัลลังก์ของผู้เป็นใหญ่ในที่นี้

พลัน!

ประกายสีทองก็คลุ้งฟุ้ง อวลตรลบแล้วคลี่คลาย แก้วมณีดวงหนึ่งปรากฏขึ้นราวเนรมิต เลื่อนลอยอ้อยอิ่ง ทุลักทุเลเหมือนคนหลับไม่เต็มตื่น กว่าจะตั้งศูนย์สถิตนิ่งบนบัลลังก์นั้น ก็ยังทันให้นางอมยิ้ม นึกขันผู้เป็นจ้าวแห่งยม

ดวงแก้วขยับขยาย ยืดออกเป็นองค์ ประทับห้อยขาซ้ายชันขาขวา พักแขนขวาบนเข่าขวา วางศอกซ้ายบนพนักแขนซ้ายของสัปคับ แล้วนิ่งอยู่

เสียงขำครึดๆ ดังลอดจมูก จากนางผู้ลืมหมอบกราบคุดคู้ดังควร สายตานางแลเลยเหนือศีรษะของผู้นั่งวางท่าสง่างาม กลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ทั้งกายสั่นระริกด้วยรู้ว่ามิบังควร จึงพยายามระงับไว้สุดกำลัง

"หยุด...!"

เสียงตวาดก้องปานฟ้าถล่ม ผู้บันลือสีหนาทกระทืบบาทซ้ำ จอมปลวกคือดินเปราะ ก่อขึ้นเป็นเนินพูน สะเก็ดขุยจึงร่วงกราว ก้อนดินเล็กๆ กระเด็นกระดอน บ้างตกกระทบศีรษะ บ้างกลิ้งมาหยุดข้างกาย

"ข้า...บอกให้...หยุด!"

ตาแดงดั่งเพลิงสุม จ้องเขม็งเกรี้ยวกราด ผู้ตวาดซ้ำทันทะลึ่งพรวดลุกขึ้น ก่อนเท้าสิงห์ข้างหนึ่งของสัปคับ จะจมลงในจอมปลวก จนบัลลังก์ทองเอียงกะเท่เร่หมดสง่า

"หยะ...หยุ...หยุด หยุดแล้วพิคะ"

ร่างที่ขำตัวสั่นระริก น้ำตาไหลพรากๆ หูแดงจมูกแดงได้อย่างน่าอัศจรรย์

"นังกาสรใช้แรง โง่เง่ายังกล้ากำแหง หรือชาติหน้าอยากเกิดเป็นควาย"

"เช่นนั้นจะต่างกันรึยังไงพิคะ"

"นั่นไง ไม่ทันขาดคำก็สำแดงกำพืดโง่งม!"

ท่านท้าวยักท่าอย่างเป็นต่อ ชำเลืองไปขยิบตาให้สัปคับเอียงกลับตั้งตรง แล้วค่อยนั่งลงอย่างระมัดระวัง

เดชะบารมี ใช้ได้ง่ายเพียงนี้คือแค่ขยิบตา นางผู้ไม่รู้ว่าตนหลงมาแต่ไหน จึงรู้สึกเกรงพลานุภาพขึ้นบ้าง กลั้นอกกลั้นใจสูดน้ำมูกน้ำลายลงคอ แล้วขยับท่าทางให้นอบน้อมที่สุด

"ว่าไรนังควายเขาหาย มีเรื่องร้อนอันใด จึงต้องรบกวนข้า"

ผู้กล่าววาจาค่อยเกิดจิตเมตตาขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นดังนั้น แม้ไม่ค่อยยินดีมายุ่งเกี่ยวตัดสินชาตะของเดรัจฉาน แต่เสียงถามก็ผ่อนความโกรธลงอักโข

"อิฉันจะได้กลับชาติไปเกิดเป็นรึมนุษย์พิคะ"

"แล้วอย่างไรเล่าวะ ทำไมต้องปลุกข้า...ให้ตื่นมาตอนนี้ สุวรรณสุวารมันไม่มีปัญญาส่งเจ้าไปเกิดเรอะ"

ท่านท้าวยมโลก พูดพลางชำเลืองหา ผู้ถูกขานชื่อล้วนหายหัว มันคงแฝงตัวอยู่กับพยับหมอกแถวนี้ละ แต่ไม่กล้าเสนอหน้าเพราะมีผิด

"ท่านเขาวัวทั้งสองว่าอิฉันจะไปเกิดเป็นรึมนุษย์พิคะ"

นางกาสรไม่แน่ใจว่าตอบได้ตรงคำถามหรือไม่ เพราะแค่จะเรียงคำออกมายังไม่รู้ว่าถูกหรือผิด พอหยุดพูดน้ำตาก็ไหลพราก แต่คราวนี้นางนิ่งไม่ส่งเสียง ได้แต่ก้มหน้ารอ

"หรือเอ็งไม่อยากเกิดเป็นคน"

"มิใช่...หามิได้พิคะ แต่เพราะชาติที่ผ่าน อิฉันเป็นนางควายพิการต่ำต้อย ไร้เขาให้เพื่อนค่อนขอด ตราควายคือเขาโค้งยังหามิได้ ศักดิ์ศรีของความเป็นควายจึงมิเคยหาได้รึตลอดชาติพิคะ"

"สัญชาติควาย ถึงไม่มีเขาก็ไถนาได้ ใครก็รู้"

"คนตามไถใครก็รู้พิคะ แต่พวกควายด้วยกันมันชังน้ำหน้า"

"ถึงตรอมใจหมกหน้ากับปลัก ให้มันขาดใจตายมางั้นสิ"

"มิใช่...หามิได้พิคะ แต่เพราะตอนนั้นให้ตรอมใจอย่างไรก็ไม่ยอมตาย ไร้เขาจนแก่จนเฒ่าค่อยขาดใจ พอดีสิ้นใจในปลัก เลยเหมือนจมปลักจนตาย แต่ที่แท้ไม่เคยมีเจตนาฆ่าตัวตายรึเลยพิคะ"

สำเนียงนางกาสรแสนซื่อ ทั้งหมดที่กล่าวออกมา ล้วนเป็นความจริงตามที่ตนเข้าใจ แต่ท้าวยมยังสับสน ด้วยไม่รู้ว่าเกี่ยวกันอย่างไรกับการจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์

เวลานี้ อาจเพราะตื่นเร็วเกินไป คือยังนอนได้ไม่เต็มอิ่ม หัวจึงเบาโหวงจนไม่เฉียบแหลม สติอันเคยมีสำหรับการรู้แจ้งแทงตลอดก็มัวลง ภาษาคนคงว่าเมาขี้ตาด้วยถูกปลุกกะทันหัน จึงยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ติด

"อิฉันกลัวว่าชาติหน้า ไปเกิดเป็นคนจะรึไม่สมประกอบพิคะ"

นางว่าไปตามคิด ใจกลัวอย่างนั้นจริงๆ และยิ่งเมื่อเห็นท่าทางท่านท้าวมหายมตรงหน้า ก็ยิ่งปักใจใหญ่ ข้างในนั้นยังนึกขัน แต่กระแสเมตตาในถ้อยถามประโยคหลังๆ ทำให้นางกลืนความเห็นขันนั้นไว้ได้ เกือบจะทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่สายตายังไม่วายชำเลืองมองเป็นระยะ

"ในประวัติศาสตร์คน ไม่มีใครมีเขา เจ้าจะกังวลไย"

"มิใช่ หามิได้พิคะ...เมื่อก่อนตาย เพราะไม่มีเขา เพื่อนมองแล้วแลเลย เห็นว่าหมดศักดิ์หมดศรี ยิ่งกว่าควายเขาเกหรือควายเผือกผิดพวก แต่อย่างท่านท้าวกล่าวรึมิมีผิดพิคะ...ไม่มีเขาอิฉันก็ไถนาได้ ทำได้ทั้งที่ไม่มีเครื่องบำรุงศักดิ์เสริมศรี ตรอมใจก็ต้องจำใจอยู่ ด้วยจนใจจะด่วนตายไปทำไมมี นึกน้อยใจก็แต่วาระสุดท้าย ต้องตายจมปลัก ไร้ใครสักตัวมาเหลียวแล..."

คำสาธยายเหมือนพร่ำ แฝงแววน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่ใจสู้ ลงแรงแข่งสังขารกับพวกควายสมประกอบ ว่าช่วยคนไถนำย่ำข้าวได้ไม่แพ้ใคร แต่ยังไม่วายถูกประณามหยามเหยียด

"...ท่านท้าวเจ้าขา เกิดชาติหน้าอิฉันเกรงว่าจะไม่มีศักดิ์ไม่มีศรีดังชาติเก่า อิฉันอยากจะขอ..."

มหายมตบเข่าฉาด ทันทีที่ได้ยินจุดประสงค์หลัก หนวดกระดิกริกๆ ด้วยไม่รู้จะขำหรือโกรธา ยกมือขึ้นเกาขนคางหรอมแหรมเพราะยังไม่ได้โกน ก่อนเขม้นมองนางกาสรโดยถ้วนถี่ แล้วฝืนยิ้ม ฝืนใจต่อถ้อยสนทนา

"โลภ!...เอ็งมันโลภมาก!...เอ็งมันโลภมาไม่รู้ตั้งกี่ชาติ รู้หรือไม่ทำไมต้องเกิดเป็นควาย ไถนาปลูกข้าวให้คนกิน เพราะเอ็งเคยเป็นคนคด ขายชาติขายแผ่นดิน จึงต้องพลีกำลังกายทั้งสิ้นกลับคืน ซ้ำยังต้องทนทุเรศไร้เขา..."

"ท่านท้าวเจ้าขา!"

"หยุด...ที่ต้องทนทุเรศไร้เขา เพราะต้องให้เจ้าได้อับอาย!"

ราวทั้งโลกเลื่อนลั่นสั่นไหว ด้วยไฟโกรธถูกจุดจนติด เพราะพิษแห่งความไม่รู้และไม่รู้จักพอ ท่านท้าวเจ้าแห่งยม นึกรังเกียจนางกาสรตรงหน้า ถึงแม้มันจะแสนซื่อ หรือคิดอยากได้อยากมี ด้วยปมด้อยยังติดหัวใจ แต่หาใช่มากล้าต่อรอง แค่ได้เกิดเป็นคนก็บุญหัวของมันนัก ท่านท้าวจึงประกาศกร้าวเป็นโองการก้องบริเวณ

"เลือกเอานังกาสร จะกลับไปเกิดเป็นควายมีเขา หรือไปเกิดเป็นมนุษย์ไร้ศักดิ์ศรี!"

นางควายผู้จะได้เกิดเป็นคน ถึงกับตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก ปากคอสั่นด้วยเกรงอำนาจบารมีขององค์ผู้ตวาดถามยิ่งนัก แต่เท่าที่เคยผ่านชีวิตอย่างนั้น อย่างที่ไร้เขา อย่างที่ให้ใครๆ เขาหมิ่น ตนคงทนรับสภาพอย่างนั้นอีกไม่ได้ จำใจกลืนสะอื้นแล้วค่อยตอบคำเบาๆ

"หาก...หากไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี อิฉันขอกลับไปเกิดเป็นควาย...เอ่อ...เป็นควายมีเขารึดีกว่าพิคะ"

ทันใด!

สภาพรอบตัวที่มัวหม่น ก็แดงฉานปานไฟโหม เสียงร้องโหยหวนที่ระงมงึมงำกลายเป็นเสียงกรรโชกเย้ยหยันอยู่รอบกาย ผู้ที่ขันหนักคือคนที่นั่งห้อยบาทข้างหนึ่งบนสัปคับ ถึงกับหูแดงจมูกแดง น้ำตาปริบอย่างสุดระงับเพราะแรงหัวร่อ

"ข้าไม่น่าเสียเวลากับเอ็ง เสียเวลานอนมาให้เสียอารมณ์"

ถึงตอนนี้ ผู้หมอบคุดคู้อยู่เบื้องล่าง ก็ตามอารมณ์ท่านท้าวไม่ถูก คิดว่าที่ตนคิดไปได้ไม่ตลอด หัวเบาโหวงไม่เฉียบแหลม สำแดงความโง่ออกไปกับคำตอบที่ผ่านมา เพราะตนไร้เขาบนหัว ความอับอายที่มีอยู่แต่เดิมจึงยิ่งทวีคูณ รู้สึกคล้ายทั้งตัวยิ่งหดเล็ก ลีบลงเหมือนเห็บหมัดขาดอาหาร

เมื่อท่านผู้เห็นว่าการสนทนาทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องไร้สาระ ก็เลิกคิดจะเสียเวลา เลยเคลื่อนกายลงมาหวังไปเสียจากที่ ทว่าเมื่อผ่านเข้ามาจนเกือบจะเฉียดกายกันได้อย่างนี้ ค่อยเห็นจริงแจ่มชัด ว่ายามควายไร้เขานั้นแสนทุเรศ

ท่านท้าวแตะมือบนหัวเลี่ยนๆ ที่แลตลกเพราะหูใหญ่ลู่หลุบลงข้างแก้ม เมื่อยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งเข้าใจ ใครเห็นใครก็คงอดขำขันมิได้ ในที่สุดเสียงแฝงแววเวทนาก็ถูกถ่ายทอดออกไปอีกคราว

"นังโง่ อาจเป็นเพราะเอ็งไปเป็นควายหลายสิบปี เอ็งลืมหรือไม่รู้จริงๆ ว่าศักดิ์ศรีของคนนั้นต้องสร้างขึ้นมาเอง ใครไปกำหนดบงการไม่ได้ หรือแม้มีแล้วเป็นแล้ว ก็ตัวคนมันเองนั่นแหละเป็นผู้ทำลาย ศักดิ์ศรีนั้นไม่มีใครทำร้ายทำลายมันได้นอกจากตัวคนคนนั้น"

น้ำคำฉ่ำเย็น ชุ่มด้วยกระแสเมตตา จนนางผู้หมอบคู้เข่าขนลุกซู่ตั้งแต่หัวตลอดหาง หางนางเริ่มปัดส่ายริกๆ เพราะความตื้นตัน ในหัวใจหมดห่วงกังวลอันใดอีกแล้ว

แต่พอเงยหน้าจะกล่าว ว่าตนพร้อมไปเกิดเป็นคน แล้วเห็นแน่ๆ ว่าบุรุษตรงหน้าเป็นอย่างไร นางกาสรก็สุดจะทนไหว เส้นตื้นกระตุกครึ่กๆ หัวเราะลั่นและกลิ้งตัวไปมาราวเสียจริต

ที่นางหมุนกลิ้งตัวได้ก็เพราะไม่มีเขา ขำกลิ้งไปจนสุดเฮือกจึงหยุดหอบแฮ่กๆ ยกกีบตีนลูบหัวตัวเองแล้วค้างไว้

"ท่านท้าว...เขาหายแน่แล้วรึพิคะ"

"อะไรของเอ็ง!"

นางกาสรใช้กีบตีนเคาะหัวตัวเองอีกสามครั้ง แล้วชี้มาที่ศีรษะท่านท้าวมหายม

"ฯพณฯ ท่านท้าวมิมีเขามาแต่เดิมรึพิคะ...คิกคิกคิกๆ"

จ้าวแห่งยมเพิ่งเอะใจ ยกมือขึ้นลูบศีรษะบ้าง ทั้งหัวเลี่ยนเพราะลืมสวมเทริดอันมีเขาควายประดับเป็นเกียรติยศ ด้วยรีบมาเพื่อเรื่องชาตะเดรัจฉานตัวนี้ จนพลั้งพลาดให้เสียศรี ให้นางควายมันหัวเราะเยาะเอาได้

ครั้นจะสวมรอยโวยวายแก้ขัดเขิน สำแดงความสะเทิ้นอายก็จะยิ่งเสียสง่า จึงกล้ำกลืนการเสียหน้า กล่าวให้พรอย่างเสียมิได้

"เอาเถอะนังกาสร ข้าจะให้เจ้าไปเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งยังจะให้เจ้าทรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีมิมีใครเทียบ"

สิ้นคำร่างนางควายก็กลายเป็นดวงแก้ว โผพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน ตามลำแสงสีทองซึ่งส่องทอดเปิดช่องทาง ท่านท้าวจ้าวแห่งยมแลตามพลางยิ้ม ขณะเสกเทริดมาเสริมศรี ประดับบารมีให้สมกับเป็นยมบาล ยังนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ

‘ไปให้ดีเถอะวะ ศักดิ์ศรีที่ติดไปกับเอ็งมันเรื่องง่าย ให้ข้าหรือใคร หรือต่อให้มนุษย์พวกนั้นก็เสกสรรปั้นแต่งให้เอ็งได้ แต่การรักษาไว้สิแสนยาก อย่าฟูมฟายกลับมาหาข้าก็แล้วกัน ว่าเพราะต้องรักษาศักดิ์ศรีเลยมีอันกลับลงนรก’



*************

แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 55 10:16:08

จากคุณ : SONG982
เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 10:14:55




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com