Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เจ้าหญิงบหอคอยกับเด็กชายลูกชาวนา vote ติดต่อทีมงาน

เจ้าหญิงบนหอคอยกับเด็กชายลูกชาวนา

กาลละครั้งหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่มีตัวเลขบงบอกบนหน้าปฏิทิน เจ้าหญิงผู้เลอโฉมถูกแม่มดใจร้ายจับกักขังเอาไว้บนหอคอยที่สูงเสียดฟ้านั้น... พ่อพูดพร้อมชี้นิ้วออกไปให้เด็กชายดู เขาเงยหน้าขึ้นมองตามนิ้วของพ่อ เลยสูงขึ้นไปตามแนวก้อนอิฐที่เรียงต่อกัน หอคอยนี้มันดูสูงจริงๆ เหมือนอย่างที่พ่อบอก เด็กชายเห็นบานหน้าต่างเล็กๆ อยู่บนยอดของหอคอย เขาเห็นเงาของใครบางคนตัดกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย ยืนหว้าเหว่อยู่ตรงหน้าต่างบานนั่น

“แล้วทำไมแม่มดถึงต้องถูกจับเจ้าหญิงขังไว้บนนั้นด้วยละพ่อ” เด็กชายถามโดยไม่ได้หันมองหน้าพ่อของเขา มือข้างหนึ่งของเด็กชายคอยป้องสายตาจากแสงแดด พยายามเพ่งมองภาพเลือนรางที่ไกลลิบๆ ตรงบานหน้าต่าง

“ก็เพราะแม่มดอิจฉาในความงามของเจ้าหญิงไงละ”

ความพยายามของเด็กชายไม่มีทีท่าว่าจะเป็นผล บนนั้นมันอยู่ไกลเกินไปกว่าที่สายตาของเขาจะมองเห็น เขาจึงหันกลับมาสบตากับพ่อ ชายวัยสี่สิบกว่ากับผิวหน้าหยาบกร้านที่ยืนอยู่ข้างๆ “ทำไม่แม่มดถึงต้องอิจฉาด้วยละครับ หน้าตาของแม่มดคงอัปลักษณ์ น่าเกลียด น่ากลัว มากเลยใช่ไม่ครับพ่อ”

“เปล่าหรอก” พ่อยิ้ม แพร่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ความอิจฉามันส่วนหนึ่งของมนุษย์ปุถุชนทุกๆ คน เพราะมนุษย์เกิดมาบนความเท่าเทียบที่ไม่ได้เท่าเทียมกันของทุกยุคทุกสมัย ทำให้กลุ่มคนถูกแบ่งแยก ตามเชื่อชาติวรรณะ นำไปสู่ความเลื่อมล้ำและการเอารัดเอาเปรียบในกลุ่มชน”

เด็กชายมองหน้าพ่อแล้วหยุดคิด เขายังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าไม่เท่าเทียบเหมือนอย่างที่พ่อบอก บางทีเขาอาจยังเด็กเกินไปกว่าจะเข้าใจของคำที่มีความหมายซับซ้อนอย่างนั้น  แต่เขาก็พยายามสรุปเอาเองตามความเข้าใจ มันก็คงไม่ได้ต่างอะไรจากพ่อที่ตัวสูงกว่าเขา “เจ้าหญิงคงเหงามากใช่ไม่ครับพ่อ ที่ต้องอยู่บนนั้นอย่างโดดเดี่ยว เจ้าหญิงยังถูกขังอยู่บนนั้นอีกนานแค่ไหนครับพ่อ” เด็กชายวกถามในเรื่องเดิมเพราะสิ่งที่เขาอยากรู้ในตอนนี้ไม่ใช่ความหมายของความเท่าเทียมอะไรนั้น แต่เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงบนหอคอย

“เจ้าหญิงกำลังรอเจ้าชาย”

“เจ้าชาย” เด็กชายเอ่ยชื่อนั้นซ้ำ

“ใช่ มีแต่เพียงเจ้าชายเท่านั้นที่สามารถช่วยเจ้าหญิงลงมาจากบนหอคอยนั้นได้”

“แล้วตอนนี้เจ้าชายอยู่ไหนละครับพ่อ”

“พ่อก็ไม่รู้หรอก บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องเล่า บางทีมันอาจจะเป็นแค่นิทาน และบางทีมันอาจจะไม่มีเจ้าชายจริงๆ เหมือนอย่างที่เจ้าหญิงเฝ้ารอก็เป็นได้”

เด็กชายรู้สึกเห็นใจเจ้าหญิงขึ้นมาในทันที การรอคอยของเจ้าหญิงนั้นเป็นเหมือนเส้นทางทอดยาวที่ไม่มีจุดหมาย ตัวของเด็กชายนั้นเบื่อการรอคอยเป็นที่สุด ช่วงเวลาแห่งการรอคอยคือช่วงเวลาแห่งความเชื่องช้าที่แสนจะยืดยาว เขานึกถึงสองสามวันก่อนที่เขาไปตกปลาริมหนองน้ำท้ายหมู่บ้านกับพ่อ เขาต้องพยายามนั่งนิ่งเงียบอย่างน่ารำคาญเพื่อรอให้ปลามากินเบ็ด “แล้วทำไมถึงต้องเป็นเจ้าชายเท่านั้นละครับพ่อที่สามารถช่วยเจ้าหญิงได้”

“ก็เพราะว่าเจ้าชายมีเชื้อสายกษัตร เจ้าชายมีความกล้าหาญที่ไม่เคยกลัวภัยอันตรายใดๆ เจ้าชายเป็นผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลม และเจ้าชายมีจิตใจดีงามที่สามารถเอาชนะความชั่วร้ายของแม่มดได้”

เด็กชายหยุดคิด... “แล้วทำไมเราถึงไม่ช่วยเจ้าหญิงละครับพ่อ แม่มดใจร้ายไม่ได้อยู่ตรงนี้สักหน่อย บางทีเราอาจแอบช่วยเจ้าหญิงได้โดยแม่มดไม่รู้”

“ลูกอยากเป็นเจ้าชายอย่างนั้นเหลอ”

“ผมสามารถเป็นเจ้าชายได้ด้วยอย่างนั้นเหรอครับพ่อ”

“ได้ ใครก็ตามที่สามารถช่วยเจ้าหญิงลงมาจากหอคอยนั้นได้ เขาคนนั้นจะกลายเป็นเจ้าชายแล้วได้แต่งงานกับเจ้าหญิง และจะเป็นผู้ปกครองเมืองนี้”

“ต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงด้วยเหลอครับ” เด็กชายเริ่มชักลังเล เขายังเป็นเด็กที่เพิ่งอายุสิบเอ็ดขวบเมื่อเดือนที่แล้ว มันคงจะเป็นอะไรที่แปลกประหลาดที่เด็กชายอย่างเขาจะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับหญิงแก่ๆ ที่ถูกกักขังมาเป็นเวลาเนิ่นนาน

พ่อยิ้มเหมือนอ่านนัยน์ตาของลูกชายออก “เจ้าหญิงไม่ได้แก่ขนาดนั้นหรอก เจ้าหญิงถูกกักขังอยู่ท่ามกลางกาลเวลา ความเนิ่นนานนั้นเป็นเพียงช่วงเวลาแห่งมนตรา ไม่ใช่ช่วงเวลาตัวเลขบนหน้าปฏิทิน ความงดงามของเจ้าหญิงจึงยังเป็นนิรันตราบเท่ามนตรานั้นยังไม่เสื่อมคลาย”

“แล้วอย่างนั้นเราจะช่วยเจ้าหญิงลงมาได้ยังไงละครับพ่อ”

พ่อยกมือหยามกร้านของแกขึ้นมาลูบหัวเด็กชาย “เจ้าชายจะต้องช่วยเจ้าหญิงด้วยตัวของเขาเองเท่านั้น” แล้วพ่อจึงปลีกตัวออกไปเดินยังร่มไม้ใกล้ๆ พ่อเอนหลังพิงกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่ดูไม่ใหญ่มาก ก่อนจะดึงถุงใบจากยาเส้นออกมาจากกระเป๋ากางเกง พ่อคลี่ก้านใบจากออก แล้วยัดยาเส้นใส่เข้าไปอย่างชำนาญ ก่อนจะม้วนใบจากนั้นให้เป็นเกลียวเหมือนอย่างที่เด็กชายเคยเห็นอยู่ประจำ

พ่อของเด็กชายมีอาชีพเป็นชาวนาเหมือนๆ กับปู่ที่ท่านเพิ่งเสียไปเมื่อสองปีที่แล้ว มันเป็นอาชีพของครอบครัวที่สืบทอดกันมาหลายช่วงอายุคน จากผืนนาผืนใหญ่กว่าห้าสิบไร่ถูกแบ่งปันเป็นผืนนาเล็กๆ เหลือเพียงไม่กี่ไร่ให้กับพ่อและลูกคนอื่นๆ ของปู่ อีกไม่นานนักเขาอาจจะต้องสืบทอดอาชีพชาวนานี้ต่อจากพ่อ ผืนดินที่นาอาจจะถูกแบ่งให้ดูเล็กลงไปอีกเพราะเด็กชายยังน้องสาวอีกคน อนาคตของเด็กชายที่กำลังจะเรียนจบชั้นปอหกในเทอมหน้า ยังดูไม่แน่นอนว่าเขาอยากเรียนต่อในชั้นมัธยมหรือเปล่า

เด็กชายเพ่งแลมองฐานของหอคอยอยู่เพียงไม่นาน เขาก็เริ่มคิดได้ในทันทีถึงแผนการที่เขานึกออก จึงรีบหันหน้ากลับไปทางพ่อที่กำลังเอามือป้องมวนใบจากจุดประกายไฟเช็คอยู่ “บางทีผมอาจต้องปีนขึ้นไปแล้วช่วยเจ้าหญิงลงมา” เด็กชายบอกกับพ่อด้วยความหวังล้นปรี่อยู่นัยน์ตา

“มันสูงนะ” พ่อกล่าวย้ำกับลูกชายด้วยเสียงราบเรียบ พร้อมพ่นควันสีเทาออกมาจากทางจมูก

เด็กชายหันหน้ากลับมามองหอคอย เมื่อเขาเงยมองความสูงของหอคอยขึ้นไป ความหวังล้นปรี่ของเขาก็เหมือนเหือดหายไปในทันที เขาไม่ใช่เด็กที่ถนัดทางด้านปีนป่ายสักเท่าไร่ เขาอาจจะพอปีนได้กับต้นไม้บางต้นที่มีกิ่งก้านเยอะๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปีนหอคอยนี่เพราะมันไม่ได้มีกิ่งก้านยื่นออกมาเลยสักกิ่ง

นัยน์ตาของเด็กชายแนบนิ่ง ยังพอมีหนทางเสมอสำหรับความพยายาม เขาใช้เวลาคิดอยู่อีกสักพัก แล้วเหมือนเขาจะเริ่มนึกออกอีกครั้งในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ “บางทีผมอาจจะต้องใช้บันไดปีนขึ้นไป” เขาหันไปบอกกับพ่อด้วยความหวังล้นปรี่อยู่นัยน์ตาอีกหน

“หอคอยมันสูงขนาดนี้ลูกคิดว่าต้องใช้บันไดสักกี่ขั้น แล้วต้องตัดไม้สักกี่ต้นกว่าจะทำให้บันไดมีความสูงเท่ากับหอคอย”

“ร้อยนึ่ง...” น้ำเสียงของเด็กชายดูจะไม่ค่อยมั่นใจนัก “หรือสองร้อยต้น” เขาหันมองดูโดยรอบ มีต้นไม้มากมายเต็มไปหมด ทั้งต้นใหญ่ที่ต้องใช้หลายคนโอบ หรือต้นเล็กที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ขนาดลำต้นที่เล็กที่สุดก็ยังใหญ่กว่าข้อมือของเขาทั้งสองข้างมารวมกันเสียอีก แค่เขาหยิบขวานขึ้นมาถือก็ยังรู้สึกหนัก แล้วเขาจะมีแรงพอตัดต้นไม้พวกนี้เป็นร้อยๆ ต้นได้เหลอ

เด็กชายถอนหายใจยาว หนนี้ดูเหมือนหนทางของเขาเริ่มรู้สึกแคบลงไปทุกที เด็กชายย้ำเท้าเดินวนไปรอบฐานของหอคอยจนมาบรรจบอยู่ที่ตรงจุดเดิม เขาหันไปมองพ่ออีกครั้ง เขาเริ่มนึกหนทางออกอีกแล้ว แต่คราวที่นัยน์ตาของเด็กชายดูจะไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนครั้งก่อน “ในเมื่อผมปีนหอคอยขึ้นไปไม่ได้ บางทีผมอาจโยนเชือกขึ้นไปให้เจ้าหญิงไต๋ลงมา”

พ่อยิ้มให้กับความพยายามของลูกชาย ก่อนสีหน้าของพ่อกลับมาเรียบเฉย “หอสูงขนาดนั้น แล้วลูกจะส่งเชือกให้เจ้าหญิงได้ยังไง”

เด็กชายยกมือขึ้นเกาหัวอย่างหงุดหงิด แน่นอนแขนของเขาไม่มีเรี่ยวแรงโยนเชือกขึ้นไปให้กับเจ้าหญิงถึงบนนั้น มันไม่มีทางไหนเลยเหรอที่เขาสามารถช่วยเจ้าหญิงได้ เด็กชายเดินวนรอบฐานของหอคอยอีกรอบ อีกรอบ และก็อีกรอบ...

แสงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมา ยามบ่ายของวันเริ่มย่างเข้าสู่ยามเย็น ลมบางๆ ครั้งสุดท้ายของยามบ่ายพัดแผ่วเบาไปกับฝุ่นดินและใบไม้แห้ง พร้อมกับเสียงท้องของเด็กชายที่โอดร้องขึ้นมาย้ำเตือนความหิว ปกติเวลาประมาณนี้หลังเลิกเรียน เด็กชายมักจะซื้อกล้วยแขกเดินกินระหว่างทางเดินกลับบ้าน เขาเดินเข้าไปหาพ่อที่นั่งหลับเอนพิงหลังอยู่กับต้นไม้ เด็กชายยื่นมือออกไปแตะไหลของพ่อแค่เบาๆ พ่อลืมตาโพรนตื่นขึ้นมาทันที

“อ้าว...” นั้นคือคำพูดแรกที่พ่อตื่นขึ้นมาเห็นหน้าเด็กชาย พ่อรีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนเร่งรีบ แต่ไม่ลืมเก็บถุงใบจากที่วางอยู่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงตามเติม พ่อล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกข้าง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดดูเวลา“เผลอหลับไปได้ไงเนี่ย ป่านี้ตาเสริมคงบ่นรออยู่ตายห่าแล้ว”

พ่อพูดถึงตาเสริมคนข้างบ้านที่อยู่ติดกัน บ่ายสามของวันนี้พ่อนัดแนะกับตาเสริมเอาไว้แล้วว่าจะเอาข้าวไปขายโรงสี แต่จากเวลาที่พ่อดูในโทรศัพท์ตอนนี้ก็เกินบ่ายสามไปแล้วห้านาที พ่อได้แต่หวังว่าขายข้าวหนนี้จะได้ราคาดีกว่าหนก่อนๆ รัฐบาลเปลี่ยนจากการขายข้าวเป็นการจำนำ แล้วเปลี่ยนจากการจำนำเป็นการประกันราคา ก่อนจะเปลี่ยนจากการประกันราคามาเป็นการจำนำอีกครั้ง พ่อไม่ได้สนหรอกว่าการกักตุนข้าวเอาไว้มันจะส่งผลเสียอย่างไร พ่อไม่ได้สนหรอกว่าอำนาจการต่อรองราคาข้าวกับต่างประเทศใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ พ่อไม่ได้สนหรอกว่ากลไกราคาข้าวมันจะเป็นยังไง เพราะถ้าหากข้าวราคาเกวียนละหมื่นห้าเหมือนอย่างที่นโยบายของรัฐบอกก็คงไม่มีอะไรอีกที่ต้องสน ถึงแม้ข่าวการทุจริตจะฟังดูหนาหูอยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร เมื่อนักการเมืองฝ่ายหนึ่งถมน้ำลายใส่หน้านักการเมืองอีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ถมน้ำลายใส่หน้ากลับอีกฝ่ายเหมือนๆ กัน ตกลงว่าหน้าของนักการเมืองทั้งสองฝ่ายก็เปียกแฉะไปด้วยน้ำลายกันทั้งนั้น

“แล้วว่าไง” พ่อก้มหน้าถามเด็กชาย “คิดออกแล้วยัง ว่าจะช่วยเจ้าหญิงยังไง”

มีเพียงรอยยิ้มแห้งๆ บนใบหน้าของเด็กชายเท่านั้นที่เป็นคำตอบให้กับพ่อ

พ่อใช้มือข้างหนึ่งลูบผมสั้นเกรียนทรงนักเรียนของเด็กชายอีกครั้ง ก่อนจะจูงมือลูกชายรีบเดินออกไปจากที่ตรงนี้อาจต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะเดินกลับถึงบ้าน และก่อนที่จะเดินกลับผ่านพ้นเขตบริเวณนั้น เด็กชายหันกลับมามองตรงบานหน้าต่างบนหอคอยนั้นอีกครั้ง ด้วยแสงของดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงและมุมของตำแหน่งที่เยื้องออกไป เด็กชายเห็นบนหน้าต่างบานนั้นชัดเจนขึ้น แต่คราวนี้เขาไม่ได้เห็นเงาของเจ้าหญิงยืนอยู่ตรงหน้าต่างนั้นแล้ว และเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีกับสิ่งที่พ่อบอก ว่าทำไมมีแต่เจ้าชายเท่านั้นที่สามารถช่วยเจ้าหญิงได้ มันก็คงจะเหมือนกับความเท่าเทียมอะไรนั้นที่พ่อบอกนั้นแหละ บางทีเขาอาจจะยังเด็กเกินไปกว่าที่จะเข้าใจ

แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 55 15:21:33

จากคุณ : อิดดาเรส
เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 14:57:44




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com