Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 40 vote ติดต่อทีมงาน

มาแล้วครับ ตอนที่ 40

สำหรับตอนที่ 39 ที่ผ่านมานะครับ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12935754/W12935754.html

ขอบคุณคอมเมนต์ และกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ คุณรพิชา,คุณนุ้ย นารีจำศีล, น้องอินทรายุธ,คุณ mimny,คุณ มานีโอลา,คุณ Travel to the moon, คุณกุหลาบมอญ,คุณไก่ kdunagin,คุณปุ้ย npuiy, อาจารย์จี Psycho man, คุณเรียวรุ้ง, คุณ wor_lek, คุณ mementototem,คุณ แก้วกังไส ครับ
บทที่ 40


           เสียงห้าวกระหึ่มดังมาจากด้านหลังโดยไม่ทันคาดคิด บัดนี้พายุฝนรุนแรงแต่แรกเริ่มซาเม็ดลงจนเหลือเพียงปรายฝนแผ่วผิว ปีระการีบหันขวับกลับไปทางต้นเสียงนั้น แต่แล้วก็ต้องส่งเสียงหวีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อมองเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนแฉลบผ่านหน้าลงมาอย่างรวดเร็ว


            “โพละ!”


              เป็นร่างสูงใหญ่ของผู้กองคมจักรนั่นเองที่ถูกฟาดด้วยท่อนไม้ในมือของบุคลปริศนา นายตำรวจหนุ่มผู้ไม่ทันระวังตัวมาก่อน ถึงกับเสียหลักแล้วล้มคว่ำลงไปนอนกองหมดสติอยู่กับพื้นทันที เมื่อไม้ท่อนหนึ่งในกำมือผู้บุกรุกฟาดลงมายังตำแหน่งท้ายทอยของเขาอย่างเหมาะเหม็งไม่พลาดเป้า


            แล้วร่างนั้นก็ก้าวตรงดิ่งเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าหล่อน ด้วยอาการอันมาดมั่นอหังการ ในมือข้างขวาของมันยังมีท่อนไม้ขนาดเขื่อง หยาดน้ำทีไหลลงมาทางปลายด้ามคล้ายจะมีเจือด้วยสีแดงของโลหิต!


            และเมื่อนั้นเองที่ปีระกามีโอกาสมองเห็นร่างของมันได้ชัดเจน  ปีระกาอุทานคล้ายไม่เชื่อสายตาตนเอง


         เจ้าเสือเข่นฟ้า!


           แม้จะอยู่ในเสื้อคลุมรุ่มร่ามที่พยายามปกปิดหน้าตา แต่หล่อนก็จำทุกอิริยาบถอันแตกต่างจากคนทั่วไปได้ไม่ผิดพลาด หญิงสาวหันกลับไปทางเบื้องหลัง บัดนี้ร่างเจตภูตของคุณผอบแก้ว กำลังจางแสงลงทุกขณะ ทุกอณูที่หลอมรวมเป็นกายเนื้อเริ่มโปร่งแสงเบาบางขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นก็ยังมองเห็นแววแห่งความประหวั่นพรั่นพรึงปรากฏขึ้นบนส่วนที่เคยเป็นใบหน้านั้น


          “ในที่สุดฉันก็รู้ความจริงทั้งหมดเสียที”


          เสียงห้าวห้วนด้วยพลังอำนาจอันเต็มเปี่ยมกลับคืนมาอีกครั้ง เสือเข่นฟ้า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ สิงหเมฆินทร์... ราชสีห์ผู้โผนทะยานขึ้นเทียมเมฆา ไม่ต่างกับพยัคฆ์ที่เผ่นโผนขึ้นเข่นฟ้าให้ยอมสยบกับอำนาจของมัน


            ราชสีห์ตนนั้นกลับคืนสู่สภาพแท้จริงของมันแล้วในบัดนี้ พร้อมกับความทรงจำที่ชัดเจนสมบูรณ์โดยไม่มีผู้ใดหาญกล้าเข้าขัดขวางมันอีกต่อไป


            เมื่อค้างคาวทองปรากฏคืนสู่ทับสนธยา พลังอำนาจที่มันเคยสกัดกั้นเอาไว้ก็จักทลายลง เหลือเพียงแค่หากัลปาลัยให้พบเท่านั้น ก็ย่อมไม่มีอุปสรรคที่จะกลับไปแก้แค้นมันอีกครา


           ไอ้เศาร์!!


         “ไม่! ไม่นะ”


          เสียงสำรวลร่าอย่างโลดลำพอง ขณะที่ดวงวิญญาณผู้ต้องการขัดขวางทุกวิถีทางเริ่มไร้สิ้นพลังแรงกล้าเฉกเดิม คำพูดก่อนหน้าของปีระกา อาจจะทำให้ความแข็งกร้าวด้วยแรงพยาบาทแต่แรกเริ่มอ่อนลงกอปรกันไปด้วย จึงทำให้คุณผอบแก้ว ไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจที่เหนือกว่าเธอได้ เหนือกว่าในทุกอย่างตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน!


                “หลีกไปเสียผอบแก้ว... ไม่มีประโยชน์ ผู้หญิงคนนี้แหละจะนำทางฉันไปหาค้างคาวทอง และกลับสู่กัลปาลัยอีกครั้ง”


            “แกจะทำอะไรปีระกา ไม่นะ ไม่!”


               เหลือเพียงอณูละเอียดเล็กราวเศษธุลีที่คุมเป็นกายานั้น แม้แต่สรรพสำเนียงก็แผ่วโหยเต็มทน แสงจันทร์อันกระจ่างจ้าเริ่มทอลอดผ่านม่านเมฆครึ้มทะมึนลงมา อาบร่างสูงตระหง่านชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวค่อยๆปลดผ้าคลุมศีรษะออกจากกันช้าๆ จนเห็นแม้กระทั่งรอยไหม้เกรียมบนผิวหน้าอัปลักษณ์ ผิวหน้าที่ต้องปกปิดเอาไว้ด้วยผ้าคลุมอย่างที่ได้มีโอกาสเห็นเป็นครั้งแรกนั่นเอง


                ปีระกาเพิ่งสัมผัสความห่วงกังวลของดวงวิญญาณอีกฝ่าย ที่มีต่อหล่อนเป็นครั้งแรก แท้จริงคุณผอบแก้ว ไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเธอเลย เพียงแต่ไม่ต้องการให้หญิงสาวเข้าไปขัดขวางความประสงค์ของเธอเองเท่านั้น


               นี่อาจจะเป็นความผูกพันทางสายโลหิตของคุณย่าทวดที่มีต่อเหลนคนนี้...


              ร่างน้อยถูกตวัดด้วยพลังแรงของวงแขนกำยำจากอีกฝ่ายที่พุ่งเข้าประชิด จนร่างบอบบางเซปะทะแผ่นอกกว้าง เสียงหัวเราะหึหึเข้มข้นด้วยอำนาจและความอำมหิตจนหญิงสาวขนลุกซู่ โดยเฉพาะประโยคต่อมา


             “ฉันจะกล้าทำอะไรกับทายาทเพียงคนเดียวของเราได้เล่า ผอบแก้ว...”


                “ของเรา?”

             ****************************


               ปัญหาทุกอย่างคงจะคลี่คลายหมดสิ้นแล้ว ทั้งคุณหลวงผู้ทรยศความรักของหล่อน ก็ถูกขังเอาไว้ภายในกัลปาลัยนั้นตลอดกาล... และไอ้สิงหเมฆินทร์ ปีศาจจากนรกที่ข่มเหงหล่อน ก็กลายเป็นชายไร้ความทรงจำและหายไปจากทับสนธยาโดยไม่ทราบข่าวคราวใดๆอีก


              แม้ว่าเรื่องราวของขุนพิพิธจะมีตำรวจมาสืบหา แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไปในที่สุด ไม่ต่างกับคลื่นกระทบฝั่ง หล่อนไม่รู้ไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น ไม่เคยรู้เลยว่าเหตุการณ์ในคืนนั้นเป็นอย่างไร และนายอาตม์ก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง จนกระทั่งเวลาผ่านไปนับปีนั่นแหละ ที่ผอบแก้วจึงเข้าใจว่าร่างของชายหนุ่มที่เคยเข้ามาติดพันหล่อนจะถูกฝังอยู่ใต้ลานกุหลาบแสนสวย ข้างทับสนธยามาโดยตลอด ร่างกายของเขาคงจะเป็นอินทรียสารที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับมวลมาลีเหล่านั้น จนผลิดอกเบ่งบานสวยงามเกินกว่ากุหลาบดอกใดที่เคยเห็นมาก่อน


                หล่อนกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับพระนคร สงครามเริ่มสงบลงแล้ว ผอบแก้วจะปล่อยปราสาททับสนธยาแห่งนี้ให้ทิ้งร้างและมีเพียงชายชราอมตะผู้เป็นอมนุษย์ผู้นั้น เป็นผู้เฝ้าดูแลมันต่อไปเองไม่ต่างกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่รอคอยเจ้านาย


            ที่มันไม่วันจะคืนกลับมาอีกตลอดกาล!


             ตั้งใจว่า การเดินทางไปครั้งนี้ จะไม่หวนกลับมาเหยียบปางงิ้วดำ และทับสนธยาอีกชั่วชีวิต


               แต่แล้วทุกอย่างก็พังพินาศไม่มีชิ้นดี เมื่อร่างกายของหล่อนเองเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของตนเอง แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่อาการป่วยไข้จากโรคร้ายใดๆเข้ามาแผ้วผ่าน ทว่าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น...


             ผอบแก้วพบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์!!


             *************************


                เด็กทารกเพศชายถือกำเนิดขึ้นในเวลาต่อมา สภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ในขณะที่ผู้เป็นมารดาเพียงแต่ผินมองมาแค่เพียงนิดเดียว แล้วก็เบนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง


          “อย่างน้อยคุณหลวงก็ยังมีทายาทสืบสกุลของท่าน”


            ชาวบ้านทุกคนในปางงิ้วดำต่างเข้าใจว่าเด็กชายผู้สืบทอดนามสกุลวงศ์วนาผู้นี้ คือทายาทแห่งหลวงอนุรักษ์วนาดร ผู้หายตัวไปอย่างลึกลับในผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลของปางงิ้วดำ ทุกคนต่างพากันคิดว่าท่านอาจจะเสียชีวิตหรือถูกกองทหารของฝ่ายตรงข้ามจับตัวไป หรือบางทีก็อาจจะเป็นฝีมือโจรป่าที่อาฆาตพยาบาทเป็นการส่วนตัวในสมัยที่ท่านช่วยทางการจับตัวพรรคพวกของมันไปนั่นเอง


            และจากนั้นก็ไม่ปรากฏข่าวคราวของท่านอีกเลยแม้แต่ซากศพเป็นหลักฐานใดๆก็ไม่ปรากฏ แม้ว่าจะมีกองกำลังเจ้าหน้าที่จากกองป่าไม้และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามออกติดตามค้นหาสักเพียงใด หากก็คว้าน้ำเหลวจนหมดสิ้น


            ไม่พบแม้แต่ซากศพของคุณหลวง


              ท่าทีเงียบขรึมแผกไปจากคุณอบ นายหญิงแห่งปางงิ้วดำ ทำให้ทุกคนเข้าใจไปว่า คุณผอบแก้วคงจะเสียใจต่อการจากไปของผู้เป็นสามี และจำต้องรับผิดชอบดูแลคฤหาสน์หลังงามนามทับสนธยานี้ไว้แต่เพียงลำพัง


            “ก็ยังดีนะ ที่ท่านจะได้มีลูกไว้แก้เหงา”


               หลายคนพูดคุยซุบซิบด้วยความหวังว่า ผู้เป็นเจ้านายจะกลับคืนมาในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ทารกน้อยผู้นี้ ผอบแก้วส่งให้นายอาตม์เป็นผู้ดูแล และชายชราก็เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ความจริงทั้งหมด


               “ฉันเกลียดมัน! มันไม่ได้เกิดมาจากความรักของฉัน มันเป็นตัวแทนของความอัปยศในชีวิตฉันต่างหาก!”


              เด็กทารกร้องไห้จ้า ทันทีเมื่อถูกส่งเข้าสู่อ้อมแขนผอมลีบผู้เป็นมารดา และหญิงสาวก็เพียงแต่รับมาเพ่งมองใบหน้าเล็กๆในห่อผ้า แล้วรีบส่งคืนกลับไปด้วยความรังเกียจ อากัปกิริยาเหล่านั้นผ่านเข้าสู่การรับรู้ของเด็กทารกไร้เดียงสาโดยอัตโนมัติ ชะรอยว่าจะล่วงรู้ถึงความเกลียดชังที่ส่งผ่านมายังตนเอง หนูน้อยจึงยิ่งส่งเสียงแผดร้องมากยิ่งขึ้น


             “เอามันออกไป ไปไหนก็ได้ เพราะมันไม่ใช่ลูกของฉัน!”


             หล่อนแผดเสียงตะเบ็งแข่งกับเสียงทารกจนตัวเองหอบหายใจหนักหน่วงราวใกล้ขาดห้วง ความคั่งแค้น ผิดหวัง และทุกอย่าง ยิ่งทำให้ผอบแก้วเก็บตัวอยู่เพียงลำพัง บัดนี้ไม่มีที่ไปอีกแล้ว ในเมื่อสังคมชาวบ้านและชาวเมืองต่างล่วงรู้ถึงการมีบุตรน้อย... ทายาทคนเดียวของหลวงอนุรักษ์วนาดร!


               ไม่ต่างกับโซ่ตรวนแห่งเกียรติยศที่พันธนาการเอาไว้ จนไม่อาจปลดเปลื้อง เด็กชายพยับถูกเลี้ยงดูโดยปราศจากความอบอุ่นของผู้เป็นมารดา ที่เอาแต่ปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในโลกแห่งความฝัน จนไม่เคยสนใจเด็กชายเพียงคนเดียวอีกต่อไป


                พยับเติบโตมาเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนแอ เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ตลอดเวลา และมีท่าทีถอยห่างจากผู้เป็นแม่ ที่ตนเองรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าไม่เคยมีความรัก ความอบอุ่นมอบให้ เหลือเพียงชายชรานามลุงอาตม์ผู้เดียวเท่านั้นที่ให้ความเอ็นดูรักใคร่ แม้ว่าเขาจะมีท่าทางประหลาดๆอยู่บ้างก็ตาม


       “คุณหนูเคยเห็นค้างคาวบ้างไหมขอรับ?”


             “เห็นสิ ลุงอาตม์ มันชอบอาศัยอยู่ตามป่า ในถ้ำไง ฉันเคยเห็นมันบินออกมาจากซอกใต้หลังคาตึกอยู่บ่อยๆ บางทีมันอาจมาทำรังอยู่ในนั้นก็ได้นะ”


              เด็กชายตอบด้วยเสียงซื่อ ท่าทางไร้เดียงสานั้นทำให้ชายชราต้องลอบถอนหายใจด้วยความเวทนา


              “ไม่ใช่ครับคุณหนู ผมหมายถึงค้างคาวที่เป็นสีทองน่ะครับ”


              “มีด้วยเหรอ ฉันไม่เคยเห็นหรอก ค้างคาวที่ไหนจะมีตัวเป็นทองน่ะ”


          เด็กชายส่ายศีรษะ หัวเราะกับคำถามนั้น โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววผิดหวังในดวงตาใสราวลูกแก้วนั้น เวลาผ่านไปพร้อมกับการเจริญเติบโตทางร่างกายของคุณพยับ จากเด็กชายที่เก็บตัวขี้อาย มาเป็นเด็กหนุ่มที่เริ่มมีความร่าเริงขึ้นตามประสาวัยรุ่น หากผอบแก้วก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำอาการเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใดก็ยิ่งมากขึ้นทวีคูณ แทบไม่มีผู้ใดเข้าหน้าหญิงวัยสะคราญที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยกลางคนผู้นี้ได้เลย แม้แต่อาตม์


                  ผอบแก้วมีแต่ความเงียบงัน เหมือนคนเป็นใบ้ ร่างกายที่ผุดผาดงดงามบัดนี้เหี่ยวแห้ง อย่างคนที่ปราศจากการสนใจดูแลตัวเอง หรือแม้แต่ลูก หล่อนไม่เคยโอบร่างพยับด้วยความรัก หรือแม้แต่จะปรายหางตามอง และเด็กหนุ่มเองก็ไม่ต้องการความรักของหล่อนอีกต่อไป


          ถ้าหากว่าเด็กหนุ่มจะไม่หลุดปากพูดชื่อหนึ่งออกมาเสียก่อน...


              “วันก่อนผมเห็นคนมาด้อมๆมองๆ ที่ด้านนอกบ้านของเราด้วยนะลุงอาตม์”


                  พยับจะพูดจากับอาตม์อย่างสนิทสนมมากกว่าทุกคน บัดนี้โลกของเขาเริ่มขยายวงกว้างออกไปสู่สังคมด้านนอก เขาไม่อยากจะอยู่กับแม่ที่ไม่เคยรัก ไม่สนใจพูดจา และบ้านหลังทึมทะมึนที่กว้างใหญ่หากอ้างว้างเหลือคณนาเช่นนี้ เขาต้องการมีเพื่อนไว้พูดคุย สนทนา ไม่ใช่อยู่เพียงลำพังกับความเงียบงันและน่าเบื่อหน่ายตลอดทั้งคืน


          “แล้วคุณหนูเข้าไปคุยกับเขาหรือเปล่า?”


                อาตม์ถามโดยไม่ทันเฉลียวใจ ชายชรานั่งยังเก้าอี้ข้างโต๊ะรับประทานอาหารที่ขนาดกว้างใหญ่คอยรับใช้เด็กหนุ่มไม่ต่างกับทาสผู้ซื่อสัตย์ ในขณะที่คุณผอบแก้ว นั่งเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะ กำลังรับประทานอาหารของเธอไปอย่างเงียบๆ เหมือนไม่ได้สนใจใดๆรวมถึงการสนทนานั้น


               “ปละ-เปล่าครับลุง แต่ผมเห็นหน้าเขาด้วยล่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ หน้าดำเป็นถ่าน ยังกะถูกไฟคลอกหน้ามาเลยครับ”


           พูดยังไม่ทันจบ เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นจากหัวโต๊ะ ผอบแก้วกวาดมือออกไป ปัดจานข้าวและแก้วน้ำกระเด็นลงกระทบพื้นกระเบื้องเสียงเปรื่อง


               และในขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความงุนงงสับสน หล่อนก็ถลันลุกพรวดขึ้นโดยไม่สนใจเก้าอี้ที่หงายล้มลงไปฟาดพื้น แล้ววิ่งถลากลับขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัวชั้นบน โดยไม่ได้สนใจบุคคลทั้งสองที่นั่งตกตะลึงอยู่กับที่


            อาตม์และผอบแก้วไม่อาจรู้เลยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระตุ้นความสนใจของเด็กหนุ่ม มากจนกระทั่งต้องออกไปพบชายปริศนาผู้นั้นอีกเป็นครั้งที่สอง!!


          ***********************


           พยับบังคับม้าผ่อนความเร็วของมันลง เมื่อเริ่มออกสู่ถนนลูกรังที่มีหลุมบ่อเป็นหย่อมๆตลอดเส้นทาง เส้นทางเล็กๆเหล่านี้ ด้านหนึ่งจะมุ่งตรงไปสู่ถนนสายหลักที่กำลังก่อสร้างกันอยู่ สำหรับเป็นเส้นทางเข้าตัวเมือง ในขณะที่อีกเส้นจะผ่านเข้าสู่แนวป่าละเมาะขนาดเล็ก แล้วจึงทะลุไปสุดที่หมู่บ้านชาวพื้นเมืองอันเป็นหมู่บ้านสุดท้ายชายแดน ติดกับเทือกเขาและผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล


             เด็กหนุ่มรู้สึกถึงอิสระในยามอยู่บนหลังอาชา และโลดแล่นไปกับการควบขับให้มันตรงไปตามทิศทางที่ใจปรารถนา เขาเบื่อบ้านเต็มทน และคิดว่ามีโอกาสจะเข้าไปเรียนในเมือง หรือไปให้ไกลยิ่งกว่านั้น ถ้าไม่ติดว่าคำพูดของอาตม์ที่คอยกระตุ้นเตือนอยู่เสมอ


              “คุณหนูเป็นลูกของคุณหลวงอนุรักษ์ และคุณพ่อของคุณหนูก็รักบ้านหลังนี้มาก คุณหนูต้องคอยอยู่ดูแลรักษามันไว้นะครับ ถ้าคุณพ่อล่วงรู้ถึงความดีนี้ ท่านจะได้ภาคภูมิใจในลูกของท่าน”


                      เด็กชายพยับในวันนั้น พยักหน้ารับอย่างภาคภูมิใจ เขาเคยได้ยินกิติศัพท์ความดีงามของคุณพ่อมาตั้งแต่จำความได้ ใครๆต่างก็พูดถึงคุณหลวงอนุรักษ์ด้วยความชื่นชมและศรัทธา และยังพลอยเสียดายที่ท่านจากไปก่อนเวลาอันสมควร


                พยับเคยยืนมองภาพวาดคุณพ่อที่ประดับไว้หน้ามุขห้องโถงประธานของทับสนธยาด้วยความพิศวง ใบหน้าของท่านงามสง่าคมเข้มสมชายชาตรี แม้จะแตกต่างจากใบหน้าของเขาจนราวกับหลอมมาคนละเบ้าก็ตาม แต่ลุงอาตม์อีกนั่นแหละที่เป็นคนอธิบายให้ฟัง


                 “พอโตเท่าคุณพ่อ คุณหนูก็จะหล่อเหมือนท่านนั่นแหละครับ ผมว่าอาจจะรูปหล่อกว่าคุณพ่ออีกด้วยนา เพียงแต่ตอนนี้ยังเด็กอยู่ ก็เลยยังไม่เห็นชัดเจน”


           และเขาก็เชื่อถือเช่นนั้นมาโดยตลอด เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย ถ้า... ถ้าหากว่า ในวันนั้นตนเองจะไม่ตัดสินใจหยุดม้าลงที่เนินแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน และสายตาทอดมองผ่านแนวทุ่งหญ้าเขียวขจีออกไป


              ร่างในเสื้อคลุมรุ่มร่ามสีดำ กำลังเดินตรงเข้ามาหาเขาเป็นเป้าหมาย พยับจำได้ติดตา นั่นคือชายปริศนา ที่เขาเคยเล่าให้แม่ฟังเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง!!


           *******************


           เขาจดจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนามของตัวเองที่พยายามพร่ำท่องไว้กับตนตลอดเวลา เสมือนเป็นสรณะแห่งชีวิต และชื่อแห่งกัลปาลัย อันเป็นสิ่งที่เขาต้องตามหามันให้พบ


        เชื่อว่านั่นคือหนทางออก!


        พยายามทวนท่องนามตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...


             สิงห์... เสือ... เสือ! นั่นแหละเขาคือเสือ เสือหรือพยัคฆราชผู้เป็นเจ้าป่าพงไพรในดินแดนแห่งนี้ เหมือนกับภาพในห้วงแห่งความทรงจำอันรางเลือน กี่วัน กี่ปี กี่เดือน อันมิอาจจดจำได้ รู้แต่ว่าผจญชีวิตอยู่ในท่ามกลางผืนป่าดงดิบอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยไม่รับรู้ถึงสภาพร่างกายที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนหรือร่วงโรยไปตามกาลเวลา รวมถึงใบหน้าอันอัปลักษณ์เช่นนั้น รอยไหม้เกรียมที่เขาเองก็จดจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นด้วยสาเหตุอันใด


              หากด้วยสภาพดังกล่าวนั้นเอง ที่ทำให้มีหลายคนเชื่อว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้าน และพวกนักเลงชุมโจรที่เคยแตกฉานซ่านเซ็นจากการปราบปรามของทางการ ต่างพากันเข้ามาสามิภักดิ์ และยกย่องให้เขาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกมัน ไม่ต่างกับเป็นศาสดาผู้หนึ่งในชุมโจรเสือร้ายแดนเถื่อนแห่งนี้


           ท่านเสือ... เสือเข่นฟ้า!


           เขาจึงสมมติสร้างฉายานามของตัวเองขึ้นมาใหม่ สร้างประวัติและที่มาของตนเองเพื่อให้มีสิ่งรองรับความน่าเชื่อถือ มิใช่ชายนิรนามผู้ไม่ล่วงรู้แม้แต่ที่มาของตนเอง ด้วยประสบการณ์เมื่อต้องปรับตัวอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง มันได้สอนให้เขารู้จักกลวิธีในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากโลกที่เขาจากมา


        นั่นก็คือการสร้างพลังศรัทธา จากความหลอกลวง!


            ยังมีคนอีกมาก ที่หลับหูหลับตา “เชื่อ”ในสิ่งที่ตนเองเชื่อ เชื่อโดยไม่คิดถึงความถูกต้องหรือเหตุผล ความเป็นจริงใดๆทั้งสิ้น จนยอมแม้กระทั่งสละชีวิตเพื่อเชื่อในสิ่งที่ตนเองเชื่อ!


            และบรรดาคนพวกนั้นก็เชื่อถือเขาสนิทใจ เมื่อได้ฟังนิทานที่ถูกปรุงแต่งขึ้นและสร้างความหวังให้กับพวกมัน


           เมื่อนั้นเริ่มต้นการสร้างอาณาจักรของตนเอง จากกลุ่มคนที่มองเห็นพลังอำนาจในตัวตนของเขา คนพวกนั้นยอมเข้ามาให้เขาบงการ คอยรับใช้ อย่างนอบน้อม เพื่อให้เขานำพาพวกมันไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ในดินแดนที่เขาสร้างความฝันให้แก่พวกมัน


                 “ดินแดนที่ข้าจากมา เต็มไปด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ก่อนที่เราจะไปถึงที่นั่น พวกเราต้องระดมสรรพกำลังให้มากกว่านี้ เพื่อช่วงชิงมันกลับคืนมา”


               ในห้วงแห่งจินตนาการพร่าเลือน เขาเล่าเรื่องราวที่ตกแต่งขึ้นไม่ต่างกับนิทาน เขาถูกทรยศและหลบหนีภัยมาสู่ปางงิ้วดำแห่งนี้ และน่าขันนักที่พวกมันเชื่อฟัง ยอมรับให้เขาเป็นผู้นำ สรรหาทุกอย่างมาปรนเปรอความสุขด้วยการต่อสู้แย่งชิงจากพวกชาวบ้านในหมู่บ้านห่างไกลออกไป ทรัพย์สินที่ได้มา เขาสามารถจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยไม่มีใครกล้าขัดขวาง สำหรับคนพวกนั้นแล้ว มันต้องการเพียงแค่ใครสักคนที่เป็นผู้นำ ผู้นำที่มีความเหี้ยมโหดมากพอ


              และเขาก็พิสูจน์ให้พวกมันเห็นแล้วถึงความอำมหิตนั้น รวมทั้งการเป็นอมตะในโลกแห่งมนุษย์ สิ่งนี้ยิ่งช่วยยืนยันความเชื่อมั่นให้พวกมันอย่างเต็มเปี่ยมโดยไม่มีข้อกังขา


           เหลือเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือทับสนธยา!


        เขามองเห็นแสงสีเหลืองอร่ามราวทองคำล้อมรอบปราสาทหลังนั้นเอาไว้ จนไม่อาจแม้แต่จะย่างกรายผ่านเข้าสู่อาณาเขตของมันได้ เมื่อความร้อนระอุไม่ต่างกับพระเพลิงเผาไหม้จนต้องถอยออกมา


                “ท่านเสือเข่นฟ้าเกรงสิ่งใดในทับสนธยากันหรือ?”


                พวกมันบางคนเคยตั้งข้อสงสัยเมื่อมองไม่เห็นแถบปราการเพลิงเหมือนกับที่เขามองเห็น สิงห์เข่นฟ้าเชื่อว่านั่นคือคำสาป หรือเป็นมหามนตราบางอย่างที่ถูกครอบคลุมเอาไว้ และสิ่งที่มีชื่อว่ากัลปาลัยจะต้องอยู่ภายในนั้นแน่นอน


            บัดนี้ เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพทั้งทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ รวมถึงกำลังส่วนหนึ่งสิงห์เข่นฟ้าสถาปนาตัวเองเป็นเจ้าสิงห์เข่นฟ้าแห่งเชียงแมน โดยไม่มีผู้ใดนึกสงสัย


         และทุกอย่างคงจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนั้น โลกของเขากับโลกของคนในทับสนธยาอาจจะไม่มีโอกาสบรรจบกันอีกเนิ่นนาน ถ้าหากว่า


                  เขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นเด็กชาย ผู้เจริญวัยเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางคนนั้นเสียก่อน


             เด็กหนุ่มที่ชื่อว่า พยับ วงศ์วนา!


         บุตรชายเจ้าของทับสนธยา ผู้อาศัยอยู่ในเคหาสน์หลังมหึมาแห่งปางงิ้วดำนั่นเอง


          รูปร่างลักษณะหน้าตา และบางสิ่งบางอย่างในตัวเด็กคนนั้น กระตุ้นความสงสัยและคุ้นเคยจนเขาแทบจะอดใจเสี่ยงตายบุกเข้าไปในทับสนธยาเพื่อค้นหาความจริงไม่ได้ เพียงแต่เสือเข่นฟ้ายังมิทันได้ตัดสินใจ


           แต่แล้วโอกาสก็มาถึงโดยไม่คาดฝัน เมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นควบม้าออกมาที่ชายป่าด้านนอกถัดจากบริเวณที่เขากบดานอยู่พอดี สิงห์เข่นฟ้าจึงตัดสินใจปลีกตัวเอง ลอบออกมาหาอีกฝ่ายโดยลำพัง


            การเผชิญหน้ากันในครั้งนั้นเอง ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป...


             ************************

ตอบเพื่อนนักอ่านครับ

คุณ mimny : เฉลยแล้วนะครับ

คุณกุหลาบมอญ : คำตอบอยู่ในบทนี้แล้วครับ

คุณscottie : มีคำตอบแล้วในตอนนี้ครับ ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ เหลืออีกสิบกว่าตอนแล้วครับผม

คุณnasa nasa : ปมนี้ อีกไม่กี่ตอนจะรู้แล้วครับ

คุณแก้ว : ยิ่งบทนี้ พฤติกรรมของผอบแก้ว เลยไม่รู้ว่าจะน่าสงสารดีหรือเปล่า

ขอบคุณทุกท่านครับ

หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 13:13:54




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com