121.
ฟ่านไป่หนิงมองอาคันตุกะคนล่าสุดอย่างเหลือเชื่อ ก่อนนึกได้ว่านางเองมิใช่หรือ ที่เคยขอร้องเฉิงยู่กงปฐมาจารย์สำนักเพลิงหาญให้ช่วยตามหาเหอหมิงเฉิง เพื่อสอบถามประวัติในอดีตของซินแสเทวะ ด้วยคิดว่าอาจใช้เป็นเบาะแสสืบหาตัวจริงของประมุขรัตติพิกลได้...
คิดถึงตรงนี้ สีหน้านางก็หม่นหมองลง เหอหมิงเฉิงเห็นแล้วถอนหายใจ เอ่ยเสียงแผ่ว
ประมุขรัตติพิกลก็คือหวงไป่หวินใช่หรือไม่
ท่าน...วิเคราะห์ได้จากข่าวที่ราชสำนักปล่อยออกไปเช่นนั้นหรือ
มิใช่หรอก เฉิงยู่กงเป็นฝ่ายปฏิเสธแทนเหอหมิงเฉิง ท่านเหอระแคะระคายว่าอาจเป็นหวงไป่หวินก่อนหน้านั้นแล้ว พอข้าตามหาตัวท่านเหอพบและทราบเรื่องนี้เข้า ก็รีบพากันเดินทางมาหาพวกเจ้ายังนครหลวงทันที แต่พอมาถึงหมู่ตึกตระกูลสือก็ได้ทราบว่าอาหลุนประกาศตัดขาดจากสกุลและสาบสูญไม่ทราบข่าวคราว ข้าแม้รู้ว่าพวกเจ้าคงเข้าวังไปแล้วแต่ก็จนปัญญาจะติดต่อ ทั้งไม่กล้าบอกใครเรื่องหวงไป่หวินเพราะมันยังเป็นแค่การสันนิษฐานของท่านเหอ ไร้ซึ่งหลักฐานยืนยัน ขืนกระทำสุ่มสี่สุ่มห้าเกิดข่าวหลุดไปถึงหูหวงไป่หวินเข้า มันอาจวางแผนฆ่าพวกเจ้าปิดปากก็ได้ พวกข้าจึงพำนักอยู่ที่ตระกูลสือเพื่อหารือว่าจะทำอันใดต่อไป ระหว่างนั้นเองอาหลุนก็ส่งคนมาหาพอดี ข้ายินดีมากจึงขอร้องเจ้าบ้านสือว่าอยากพาท่านเหอมาพูดคุยกับพวกเจ้าก่อน คราแรกเจ้าบ้านสือก็อยากมาพบเช่นกัน แต่ข้าขอร้องว่ามีความจำเป็นต้องการเวลาส่วนตัว เจ้าบ้านสือจึงจำใจรั้งอยู่ที่บ้านเพื่อรอพวกเจ้า
พอเสร็จสิ้นการอธิบายยืดยาวฟ่านไป่หนิงก็ผินหน้าไปทางเหอหมิงเฉิง ฝ่ายนั้นจึงกล่าวว่า
ตั้งแต่แยกจากพวกเจ้าในครั้งสุดท้าย ข้าและครอบครัวก็พากันหลบซ่อนตัวมาตลอด ระหว่างนั้นจึงมีเวลาทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ซ้ำไปซ้ำมา กระทั่งจู่ ๆ ก็หวนนึกว่าคนที่วางยาองค์น้อยและหลานชายข้าเหอเสี้ยวเทียนนั้น มีจุดประสงค์ใดกันแน่ ด้วยเด็กทั้งสองล้วนไม่มีความสำคัญทางด้านผลประโยชน์กับบุคคลใดแม้แต่น้อย กระทั่งได้คิดว่า จุดประสงค์ของแผนการนี้ก็ได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดแล้วมิใช่หรือ
คือการทำให้ท่านและอาจารย์แตกหักกัน นางตอบเสียงแผ่ว เหอหมิงเฉิงพยักหน้า เอ่ยสืบต่อ
หากข้าและซินแสเทวะทะเลาะกัน...ใครจะได้ผลประโยชน์ ข้าคิดหัวแทบแตกก็ยังหาคำตอบมิได้ จนเมื่อได้ข่าวกิเลนเงินแห่งวังหลวงเลื่อนตำแหน่งไปดูแลไท่ซั่งหวง จึงปะติดปะต่อเรื่องราวสำเร็จ มันส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยล้า ข้าและครอบครัวเคยหลบหนีราชสำนักมาตลอด พอเริ่มแน่ใจว่าทางนั้นคงไม่สนใจพวกข้าแล้วจริง ๆ จึงคิดเปิดเผยตัวอีกครา นึกไม่ถึงว่าช่วงหลังกลับโดนพรรคอสุราอาฆาตภายใต้การบงการของสมาคมรัตติพิกลตามล่าตัวซ้ำ การรับข่าวคราวจากโลกภายนอกจึงล่าช้าไปมาก กว่าจะทราบมรณกรรมของซินแสเทวะแล้วรีบติดต่อสหายในยุทธจักรอีกครา แม้ประจวบเหมาะให้ได้พบจอมยุทธ์เฉิงเข้า แต่ก็สายเกินไปมากแล้ว
กล่าวถึงตรงนี้ก้อนสะอื้นก็จุกลำคอจนต้องนิ่งไปเป็นคำรบสอง ขณะเดียวกันชื่อซินแสเทวะก็ทำให้ฟ่านไป่หนิงหดหู่จนหมดอารมณ์ซักถาม บรรยากาศเงียบงันลงอีกครั้ง เฉิงยู่กงหันมองซ้ายขวาแล้วกระแอมใส่สือหย่งหลุนว่า
พูดคุยกันที่นี่ดูจะไม่สะดวก เจ้าพอมีสถานที่เหมาะสมบ้างไหม
สือหย่งหลุนคิดนิดเดียวก็พยักหน้ารับ ขบวนทั้งสี่จึงพากันเอ่ยลาชางฮุ่ยเยว่แล้วออกเดินทาง ใช้เวลาไม่นานก็บรรลุถึงวัดแม่ชีแห่งหนึ่ง ฝนหยุดตกแล้ว สือหย่งหลุนเจรจากับแม่ชีผู้ดูแลชั่วครู่ก่อนนำพวกพ้องสู่บริเวณด้านในพลางอธิบายว่า
ตระกูลสืออุปถัมป์วัดนี้อยู่ สวนหินด้านในจึงเป็นที่เฉพาะของคนในตระกูล ข้าขอร้องแม่ชีไว้ว่าต้องการสถานที่ส่วนตัว ท่านจะคอยกันคนให้
สวนหินหาได้มีแต่ก้อนศิลาแข็งกระด้างอย่างเดียวไม่ แม่ชียังปลูกไม้ดอกประดับประดาอย่างพิถีพิถัน ช่วงฤดูนี้ก็แผ่กลีบบานสะพรั่งแซมสีหม่นทึบของหินรูปร่างต่าง ๆ กลายเป็นความขัดแย้งที่เพิ่มเสน่ห์แปลกตาไปอีกแบบ ฟ่านไป่หนิงทำท่าชื่มชมบรรยากาศงดงาม ทว่าดวงตากลับเหม่อลอยไร้จุดหมาย สือหย่งหลุนจึงรอจนทุกคนหย่อนตัวลงยังเก๋งที่พักกลางสวน ค่อยเป็นคนเริ่มการสนทนา
ท่านเหอคิดจะทำอันใดหรือ
แต่เฉิงยู่กงกลับเอ่ยแทนว่า ก่อนอื่น เจ้าจงเล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดให้ท่านเหอฟังเสียก่อนเถอะ
สือหย่งหลุนจึงทำตามคำขอของอาจารย์ปู่โดยดี หลังฟังจบอดีตขุนนางราชสำนักก็เผยแววตาเศร้าสลด เอ่ยเสียงเบาทว่าหนักแน่น
ซินแสเทวะสั่งเสียไว้ว่ามิให้แก้แค้นหวงไป่หวินเช่นนั้นหรือ
ถูกแล้ว และจนป่านนี้...ข้ากับไป่หนิงก็ยังหาเหตุผลอธิบายมิได้
อืม ข้าเองมิใช่ซินแสเทวะคงยากจะให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ แต่อย่างน้อย ข้าก็พอเล่าได้ว่าตอนที่หวงไป่หวินยังอยู่กับซินแสเทวะนั้น มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง และทุกอย่าง...กลายเป็นเช่นปัจจุบันนี้ได้อย่างไร
ประโยคดังกล่าว กระตุ้นให้ดรุณีน้อยที่ยังมีอาการซึมเซา บังเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง
เหอหมิงเฉิงหลับตาลง ภวังค์เริ่มล่องลอยไปสู่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมด...
**********
ตุ้บ ๆๆ
เสียงฝีเท้าซอยถี่เรียกความสนใจเหอหมิงเฉิงจนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ ยามนั้นมันเพิ่งอายุได้สี่สิบปี ริ้วรอยบนใบหน้าบังเกิดแค่เล็กน้อย มีเพียงจอนผมที่เปลี่ยนเป็นสีเทาแซมดำแลภูมิฐาน หากดวงตาที่แฝงความใคร่ครวญล้ำลึกยังคงไม่แปรเปลี่ยน มันลุกเดินไปถึงทางออกในจังหวะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดี แล้วพอผลักบานประตูออก คนด้านนอกก็รีบก้มศีรษะคำนับ เหอหมิงเฉิงจึงทักขึ้น
อ้าว จอมยุทธ์ฝางนี่เอง มีธุระอันใดจึงรีบร้อนเพียงนี้ แม้ตามศักด์แล้วฝางปิงเต๋าศิษย์คนโตของซินแสเทวะผู้นี้จะอยู่ต่ำกว่ามันหนึ่งขั้น แต่ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกัน มันจึงเรียกหาเป็นจอมยุทธ์เสียแทน
อาจารย์ให้ข้ามาเรียนเชิญท่านขอรับ แต่พอมาถึงกลับไม่พบใครเลย จึงถือวิสาสะเดินหาจนถึงที่นี่ขอรับ
ฮึ ๆ คงไปซื้อของในเมืองกันกระมัง ถ้าซินแสเทวะอยากพบข้า เราก็รีบไปกันเถอะ
ปกติจากบ้านเหอหมิงเฉิงไปยังเรือนเพลินบุปผากินเวลาประมาณสามเค่อ (1 เค่อ = 15 นาที) แต่วันนี้เหอหมิงเฉิงต้องเร่งฝีเท้าตามฝางปิงเต๋าจึงใช้เวลาน้อยกว่ามาก ไม่นานก็ผ่านกลไกในสวนดอกไม้ที่มันคุ้นชินจนถึงบ้านไม้ไผ่ ซึ่งซินแสเทวะเจ้าจื้อสุยก็รอคอยอยู่ในห้องโถงแล้ว ทว่า...ที่นั่นหาได้มีแต่เจ้าของบ้านตามลำพังไม่
รอจนลูกศิษย์เดินไปหลบยังมุมห้องอย่างสงบเสงี่ยม เจ้าจื้อสุยค่อยผายมือแนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน ท่านเหอ นี่คือเอ้อไห่เซิ่นสหายสนิทของข้าเอง
ช่วงนั้นเอ้อไห่เซิ่นยังมิได้ฉายาจอมยุทธ์เซียนสุขสันต์ ทั้งอยู่ในวัยฉกรรจ์มิได้ถูกประสบการณ์ขัดเกลาจนบุคลิคอาจหาญเช่นกาลปัจจุบัน ทว่าเหอหมิงเฉิงมีนิสัยชอบคบค้าสมาคมอยู่แล้ว จึงยิ้มรับสหายใหม่แต่โดยดี หากจุดสนใจแท้จริงของมันกลับเป็นสตรีผมทองตาสีฟ้าที่งดงามดั่งเทพธิดาพร้อมทารกน้อยในอ้อมกอด ซึ่งนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาใครอยู่หลังเอ้อไห่เซิ่นต่างหาก
ซินแสเทวะหันมาทางเอ้อไห่เซิ่น ฝืนยิ้มเอ่ยว่า ท่านเหอผู้นี้รับราชการตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับการไว้วางพระทัยจนเลื่อนตำแหน่งสูง แต่ลาออกมาพักผ่อนหลายปีแล้ว ย่อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับราชสำนักได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นคนรู้จักเก็บความลับ เจ้าวางใจเถอะ
เมื่อมีคำรับรองแข็งขัน เอ้อไห่เซิ่นจึงยินยอมแนะนำสองแม่ลูกให้เหอหมิงเฉิงรู้จัก
นี่คือสนมชุ่ยจินและพระโอรส ข้าพาพวกนางออกจากวังมาได้สักพักแล้ว
อดีตขุนนางขมวดคิ้วแน่น พลางพินิจสตรีผมทองด้วยความกังขา นางหวาดผวาแววตานั่นจึงกระถดตัวหนี ทำให้ผ้าที่ห่อตัวเด็กเผยอออก เผยผมสีน้ำตาลทองเด่นชัด เหอหมิงเฉิงผงะแทบล้มคว่ำ ลุกขึ้นชี้หน้านางมือสั่น
ท่าน...คบชู้สู่ชาย ทำผิดราชประเพณีรึ
แม้มันจะมิได้เป็นข้าราชบริพารแล้ว แต่ความผิดที่กระทำต่อองค์เหนือหัวเช่นนี้ อย่างไรก็ยอมรับมิได้ สนมชุ่ยจินถูกสายตาเกรี้ยวกราดนั่นกระทำจนต้องขดศีรษะมือไม้สั่น ซินแสเทวะจึงรีบยกมือห้ามสหาย กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง
ท่านเหอเข้าใจผิดแล้ว ข้าได้ซักถามนางอย่างละเอียด ทารกผู้นี้คือเชื้อไขฮ่องเต้แน่นอน
ขณะเดียวกันชุ่ยจินยังคงตัวสั่นด้วยความเกรงกลัว เจ้าของบ้านจึงแอ่ยปากให้ศิษย์นำตัวนางและบุตรไปพักผ่อนยังห้องข้าง ๆ หวังว่าหากไม่เห็นสีหน้าถมึ-ทึงของเหอหมิงเฉิงแล้วนางจะสงบใจได้ง่ายขึ้น ด้านเหอหมิงเฉิงก็รู้จักซินแสเทวะดีว่าหากไม่มีความเชื่อมั่นมันจะไม่มีวันยืนยันเช่นนี้ ดังนั้นมีทีท่าอ่อนลง แต่แววตายังแสดงความกังขามิคลาย เจ้าจื้อสุยเดาใจมันได้จึงเอ่ยสืบต่อ
สำหรับลักษณะของทารกที่เกิดมาเช่นนี้ คงบ่งบอกได้อย่างเดียว...ฮ่องเต้น่าจะมีเชื้อสายชนชาติอื่นปะปนอยู่ไม่น้อย มันฝืนยิ้มใส่อาการตกตะลึงของสหายอีกครา ใช่แล้ว เรื่องมันร้ายแรงมาก ข้าถึงต้องเชิญท่านมาปรึกษาอย่างไรเล่า
มันหันไปทางชายแขนเดียว เอ่ยว่า ไห่เซิ่น เจ้าก็ช่วยเล่าที่มาที่ไปของสนมชุ่ยจินซึ่งได้รับฟังจากเจ้าตัวให้ท่านเหอทราบด้วยเถอะ
เอ้อไห่เซิ่นกระทำตาม อดีตขุนนางนิ่งอึ้งไปพักใหญ่กับความร้ายแรงของเรื่องราว ยกมือเท้าหน้าผากก้มหน้าครุ่นคิดเป็นนานสองนานถึงมีเสียงหลุดลอดออกมา
เช่นนั้นข้าคงต้องถามพวกท่านกลับ ท่านตัดสินใจจะทำอย่างไรต่อไป?
เอ้อไห่เซิ่นเป็นคนแรกที่ตอบคำถาม เมื่อยื่นมือช่วยเหลือแล้ว ก็ต้องกระทำให้ถึงที่สุด!
ด้วยมโนธรรม ข้าเองย่อมละทิ้งนางไม่ได้ ซินแสเทวะเอ่ยตามมา แต่ข้าเข้าใจความลำบากใจของท่าน จึงขอเรียนว่าท่านไม่จำเป็นต้องมาจมปลักโคลนร่วมกับพวกข้าก็ได้ ขอเพียงมิแพร่งพรายเรื่องนางออกไปเท่านั้น
เหอหมิงเฉิงเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างเคร่งขรึม พวกท่านอย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าแล้งน้ำใจ ทว่าแม้จะออกจากราชสำนักมาเนิ่นนาน แต่สำนึกของข้าราชบริพารก็หาได้เสื่อมถอยไปตามกาล กิจการในวังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เบื้องสูงเบื้องต่ำจะลงมือกระทำควรผ่านการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ ข้าจึงจำเป็นต้องทราบความคิดเห็นพวกท่านเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติของตนเอง และเมื่อนั้น...
หยุดเถอะ เอ้อไห่เซิ่นกระแทกเสียงหนัก คนถ่อยอย่างข้าฟังวาจาพร่ำเพร้อแล้วไม่เข้าใจ ท่านจะช่วยหรือไม่ก็โปรดบอกมาตรง ๆ
ต้องช่วยแน่ เหอหมิงเฉิงเผยอยิ้มโดยไร้ความโกรธเคืองต่อกิริยาก้าวร้าวของอีกฝ่าย เพราะเป้าหมายพวกท่านแค่ต้องการช่วยเหลือนางโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของข้า เพียงแต่...
เพียงแต่อันใด หรือกระทั่งจะช่วยเหลือยังต้องตั้งข้อแม้ ชายแขนเดียวขึ้นเสียงใส่ ความเน่าเฟะในวงราชการทำให้มันมิเคยไว้ใจอดีตขุนนางผู้นี้เลย
มิใช่เช่นนั้น พวกท่านย่อมทราบแก่ใจว่าอิทธิพลราชสำนักยิ่งใหญ่แค่ไหน ซึ่งข้ามิได้คิดโอ้อวด...แต่ด้วยความรู้และเส้นสนกลในที่มี ข้ามั่นใจว่าตนเองสามารถรับมือราชสำนักได้อย่างละมุนละม่อม ทว่าพวกท่านต้องสัญญาว่าจะกระทำตามแผนของข้าโดยไม่บิดพลิ้ว มิเช่นนั้นพวกเราคงจบสิ้นกันหมด
แล้วก่อนที่เอ้อไห่เซิ่นจะตวาดกลับ ซินแสเทวะเจ้าจื้อสุยก็รีบเอ่ยแทรกว่า
เจ้าอย่าวู่วาม ท่านเหอไว้ใจได้ หากท่านรับปากแล้วสนมชุ่ยจินต้องปลอดภัยแน่
ชายแขนเดียวจึงสงบปากคำยินยอมนั่งนิ่งรับฟังเหอหมิงเฉิงกล่าวว่า
ข้าเห็นว่าควรให้สนมชุ่ยจินพำนักที่เรือนเพลินบุปผานี้ แต่จอมยุทธ์เอ้อต้องรีบเดินทางออกไปทันที
ทำไมถึงทำเช่นนั้น ความใจเย็นเอ้อไห่เซิ่นขาดผึงลงอีกครั้ง หรือคิดวางหลุมพรางให้ราชสำนักจับตัวข้า เพื่อสร้างความชอบกลับเข้ารับราชการ
ซินแสเทวะนิ่วหน้า ปรามว่า อย่าได้กล่าวเหลวไหล อดีตท่านเหอก็เป็นขุนนางที่กำลังก้าวหน้าอยู่แล้ว แต่เพราะทนการฉ้อราษฏ์ไม่ไหวจึงได้ออกมาใช้ชีวิตสงบสุข จะหวนกลับไปอีกครั้งทำไม
จอมยุทธ์เอ้อโปรดเข้าใจด้วยเถอะ เหอหมิงเฉิงพูดเสียงอ่อน เหตุที่ข้ายินดีช่วยเหลือเนื่องด้วยพระโอรสองค์นี้ก็คือความลับที่สั่นคลอนราชบัลลังก์ แม้การปกครองยุคปัจจุบันใช่จะดีนัก ทว่าการเปลี่ยนแปลงซึ่งนำไปสู่สงครามระหว่างอำนาจเก่าและใหม่จะนำความเดือดร้อนสู่ราษฎรเสียยิ่งกว่า แต่ข้าก็มิใช่คนอำมหิตที่จะทำลายเด็กไร้เดียงสาลงได้ จึงเห็นว่าการซ่อนคนไว้ยังสถานที่แห่งนี้ คือวิธีซึ่งเหมาะสมที่สุด
แล้วทำไมข้าจึงต้องไป แทนที่จะได้อยู่ช่วยพวกท่านปกป้องนาง
เพราะการไปของท่านจะปกป้องได้ดีกว่า ลองตรองดูเถิด หากราชสำนักคิดไล่ล่าสองแม่ลูก ย่อมต้องเพ่งเล็งมาที่ท่านเป็นคนแรก แต่กระทั่งข้าซึ่งใกล้ชิดกับซินแสเทวะยังไม่รู้เรื่องที่พวกท่านเป็นสหายสนิทกัน ในยุทธจักรยังจะมีใครทราบอีกหรือ ดังนั้นถ้าท่านรีบเดินทางไปให้ไกลที่สุดแล้วค่อยเปิดเผยร่องรอยเรียกความสนใจจากราชสำนักไปทางนั้น ทุกคนก็จะอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
ยามนั้นอดีตขุนนางไม่ทราบว่าฮ่องเต้และขันทีรับใช้ส่วนพระองค์พากันวางแผนไปอีกอย่าง จึงได้วิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ ด้านเอ้อไห่เซิ่นพอได้ยินวิธีการของมันแล้วก็พลันโอนอ่อนลง แววตาซึ่งมองยังเหอหมิงเฉิงเริ่มมีความความนับถือขึ้นเจือจาง
แผนที่ดี ตกลง ข้าจะทำตามนี้
ซินแสเทวะจึงเดินไปพาตัวชุ่ยจินกลับมายังห้องโถง แล้วปล่อยให้เอ้อไห่เซิ่นบอกต่อนางด้วยตนเองว่ามันต้องรีบออกเดินทาง
ทะ...ท่านจะไปแล้วหรือ สนมชุ่ยจินเอ่ยประโยคแรกของวันด้วยอาการหวาดผวา ชายแขนเดียวจึงได้แต่เอ่ยปลอบประโลม
อย่าได้กังวลเลย คนเหล่านี้ล้วนไว้ได้ใจ รับรองว่าเจ้าจะอยู่อย่างสบายใจ ส่วนข้า...จำเป็นต้องไปเพื่อความปลอดภัยของเจ้า
ตะ...แต่ แต่จะทิ้งข้าไว้ที่นี่ทำไม ไม่พาข้ากลับวังหลวงเสียเล่า
คำพูดนั้นทำเอาอดีตขุนนางเหอหมิงเฉิงขมวดคิ้ว นึกในใจว่าดูนางสามารถพูดจาโต้ตอบได้ น่าจะเข้าใจภาษาฮั่นในระดับหนึ่ง ไฉนจึงกล่าวเสมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงเพียงนี้ ดังนั้นคิดจะอ้าปากอธิบายให้ฟัง มิคาดกลับถูกซินแสเทวะแตะบ่าเป็นเชิงปราม พลางหันไปบอกให้เอ้อไห่เซิ่นปลอบใจสตรีผมทองไปก่อน ส่วนมันรีบดันตัวเหอหมิงเฉิงไปมุมห้อง กระซิบว่า
ก่อนท่านมาไห่เซิ่นปรึกษาข้าว่าตอนที่พานางหนีออกจากวัง นางสลบไปด้วยความตกใจสุดขีด ครั้นฟื้นขึ้นมากลับจำเรื่องราวตอนฮ่องเต้สั่งฆ่าบุตรตนมิได้เลย หากก็มิได้มีอาการแตกตื่นกับคนแปลกหน้าเช่นไห่เซิ่น คล้ายจิตใต้สำนึกนางจะบ่งว่ามันไว้ใจได้ ไม่ว่าไห่เซิ่นพาไปที่ใดนางก็ติดตามโดยดี เพียงแต่มักขอร้องให้มันพากลับเข้าวัง ไห่เซินสงสัยจึงพยายามตะล่อมถามจนนางเปิดปากว่า ตนเองคิดว่าฮ่องเต้ให้มันพานางและลูกออกท่องเที่ยวนอกวังเพื่อเป็นรางวัลที่นางคลอดพระโอรส แล้วจะมีดำรัสเรียกนางกลับในภายหลัง ไห่เซิ่นกังวลกับอาการหลงผิดนี้มาก จนตัดสินใจพานางมาหาข้า หากด้วยเวลาฉุกละหุก ข้าตรวจอาการนางได้แค่คร่าว ๆ แต่ก็พบว่านางบังเกิดความสะเทือนใจอย่างหนัก จนบางขณะคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลุดพ้นจากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ข้าว่า...ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่ควรให้นางเผชิญหน้ากับความจริง
หากที่นางพูดมันกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง แค่ความสะเทือนใจรุนแรงจะทำให้เกิดอาการถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ผู้ป่วยที่ข้าเคยพบมักมีอาการแปลก ๆ มาระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นแค่อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ จนคนใกล้ชิดมิได้ใส่ใจ ก่อนที่จู่ ๆ จะเกิดความผิดปกติรุนแรงฉับพลัน ข้าจึงสันนิษฐานว่านางอาจมีลักษณะผิดปกติมาก่อนหน้า หากมิได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง กระทั่งการสั่งฆ่าพระโอรสกลายเป็นชนวนให้จิตใจเสียสมดุลรุนแรง จึงกลายเป็นเช่นนี้
เหอหมิงเฉิงขมวดคิ้ว มันไม่มีความรู้ทางการแพทย์ พยายามนึกอย่างไรก็ไม่เข้าใจอาการอย่างที่อีกฝ่ายระบุมา ทว่ามันยังเชื่อมั่นในความสามารถของสหายพอที่จะพยักหน้ารับทราบ เจ้าจื้อสุยค่อยเผยรอยยิ้มโล่งใจ หันไปมองสตรีคนเดียวในห้องด้วยความเวทนา
แม่นางชุ่ยจิน สหายแขนเดียวของข้าผู้นี้เผอิญมีธุระด่วนจึงต้องขอให้แม่นางอยู่ที่นี่ก่อน ไว้รอเรื่องในวังหลวงสงบลงเมื่อไหร่ ค่อยพาเจ้ากลับไปดีหรือไม่
สรรพนามที่ซินแสเทวะใช้กับสนมชุ่ยจินนั้นเหอหมิงเฉิงพอจะเข้าใจ ในเมื่อต้องให้นางอยู่ที่นี่ก็ควรเปลี่ยนคำเรียกหาเสียดีกว่า
หญิงผมทองกวาดมองคนพูดอย่างเลื่อนลอย วังหลวงไม่สงบ ข้ายิ่งควรกลับไปหาฝ่าบาท พระองค์ตรัสเสมอว่าเวลาอยู่กับข้าความเคร่งเครียดจากราชกิจจะผ่อนคลอยลง ข้าต้องช่วยเหลือฝ่าบาท
ซินแสเทวะเจ้าจื้อสุยเบือนหน้าหนี เอ้อ ช่วงนี้ฮ่องเต้ราชกิจยุ่งเหยิงมาก...มากจริง ๆ คงไม่มีเวลามาปกป้องเจ้าจากเรื่องวุ่นวาย และอาจส่งผลถึงความปลอดภัยของบุตรแม่นางด้วยนะ
เท่านั้นเองชุ่ยจินก็รีบกอดทารกแนบอก ไม่นะ ฝ่าบาทกับข้ารอบุตรคนนี้มาเนิ่นนาน จะปล่อยให้เป็นอันใดไม่ได้
ใช่ ๆ เอ้อไห่เซิ่นรีบสนับสนุน เจ้าต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเด็ก...เอ้อ แบบนี้เรียกหาลำบาก เจ้ามิลองตั้งชื่อบุตรเสียเลยเล่า
ชื่อหรือ สตรีผมทองกระพริบตาปริบ ๆ ข้าเองพอพูดภาษาฮั่นได้ แต่ให้ถึงขั้นตั้งชื่อคง...จริงซิ จอมยุทธ์เอ้อลำบากเพื่อพวกเราไม่น้อย ให้ท่านตั้งชื่อย่อมเหมาะสมยิ่ง
คำขอร้องนั่นทำเอาชายแขนเดียวเบ้หน้า ข้ามันก็แค่นักเลงที่รู้จักเอาตัวรอดไปวัน ๆ เท่านั้น จื้อสุย...ช่วยข้าทีเถอะ
ฮ่า ๆ ข้าเองก็เป็นคนป่าคนดอย คงต้องไหว้วานไปถึงท่านเหอเสียแล้วล่ะ
ขณะเหอหมิงเฉิงจะปฏิเสธ เอ้อไห่เซิ่นก็ขัดขึ้นก่อนว่า
โอ ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ท่านเหอ...ถือเสียว่าให้เกียรติข้าเถอะ แม่นางชุ่ยจิน ท่านไม่รังเกียจใช่หรือไม่
ถ้าจอมยุทธ์เอ้อเห็นว่าดี ข้าหรือจะคิดเป็นอื่นได้
เหอหมิงเฉิงจึงได้แต่ยิ้มรับฝาดเฝื่อน พินิจสองแม่ลูกอย่างละเอียดมากขึ้น จุดเด่นของพวกมันย่อมเป็นสีผมและสีตา ทว่าคงนำใช้มาตั้งเป็นชื่อจนดึงความสนใจจากผู้อื่นมิได้
อดีตขุนนางผายมือไปทางทารก เอ่ยว่า ยามเห็นผมนั่นก็ชวนให้คิดถึงรวงข้าวทองอร่าม ดุจผืนแพรสว่างไสวสุดลูกหูลูกตา จรดขอบฟ้าใสกระจ่างดั่งสีของดวงตาเล็ก ๆ ที่จ้องมองมาอย่างไร้ความเกรงกลัว นั่นคือทิวทัศน์งดงามจับใจ หากจะยิ่งโดดเด่นเมื่อประดับด้วยเมฆขาวลอยล่องอิสระมิถูกสิ่งใดผูกมัด ข้าจึงขอตั้งชื่อมันว่าไป่หวิน (เมฆขาว)
ไป่หวินรึ เอ้อไห่เซิ่นทวนคำช้า ๆ ดี ชื่อที่ดี
ชุ่ยจินก็ยิ้มรับแล้วเอ่ยว่า เช่นนั้นบุตรข้าคงมีนามว่าจูไป่หวินซินะ
สามบุรุษแอบสะดุ้งแทบพร้อมกัน แซ่จูนั้นเป็นแซ่ประจำตระกูลฮ่องเต้ราชวงศ์หมิงมาแต่ไหนแต่ไร ย่อมมิอาจให้ทารกใช้แซ่นี้อย่างเด็ดขาด
เอ้อ...ข้าว่าอย่าใช้แซ่จูจะดีกว่า ชายแขนเดียวว่าอ้อมแอ้ม นางจึงหันมาถาม
เพราะเหตุใด
ขณะเอ้อไห่เซิ่นจนคำพูด เหอหมิงเฉิงก็ชิงตอบเสียแทน
อย่างที่แจ้งไว้ตอนต้นว่าช่วงนี้ในวังวุ่นวาย การให้ทารกใช้แซ่จูอาจสร้างความสับสนมากขึ้น น่าจะหาแซ่อื่นมาใช้ไปพลาง ๆ ก่อน
ชุ่ยจินมีอาการลังเลแต่ก็ยอมเอ่ยปาก คหบดีที่ดูแลข้าก่อนเข้าวังมีแซ่หวง และเคยอนุญาตให้ข้าใช้แซ่เดียวกันได้
เช่นนั้นก็หวงไป่หวิน เอ้อไห่เซิ่นกล่าวเสียงสดใส เป็นชื่อที่ดี ข้าชอบนะ
ซินแสเทวะพยักหน้า ผินมองสองแม่ลูกก่อนผายมือไปทางประตู ปลายนิ้วทั้งหมดมุ่งตรงไปยังสวนดอกไม้รอบบ้าน ประกายแดดกำลังคลอเคลียกลีบดอกมิห่างหาย ฝูงผึ้งและผีเสื้อแวะเวียนทางโน้นทางนี้ราวบุรุษหนุ่มพร่ำพรอดคู่ชู้ชื่น แต่งแต้มเติมสีละลานตาอย่างสุดที่มือมนุษย์จะสร้างสรรค์ หากในความงามนั้นก็แฝงความสงบเยือกเย็น ปัดเป่าความวุ่นวายภายนอกคล้ายเพียงฝันตื่นหนึ่ง...
แล้วเจ้าของสถานที่ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนหากแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว
แม่นางชุ่ยจิน อาหวิน ยินดีต้อนรับสู่เรือนเพลินบุปผา
**********
ย้อนกลับมายังสวนหินชานเมืองเป่ยจิง ฟ่านไป่หนิงผู้นิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยเสียงล้า
จากที่ท่านเหอเล่ามา ข้ายังสงสัยว่าศิษย์พี่ใหญ่รู้เรื่องเหล่านี้มากน้อยเพียงใด
หากอยู่ร่วมกันสักวันความต้องแตก ซินแสเทวะจึงตัดสินใจเล่าเรื่องให้จอมยุทธ์ฝางทราบจนหมด เหอหมิงเฉิงตอบ มันเป็นศิษย์ซึ่งภักดีกับอาจารย์ยิ่ง ขอเพียงเป็นความต้องการของซินแสเทวะก็มิเคยบิดพลิ้ว จึงช่วยดูแลอาคันตุกะเป็นอย่างดี หากมันกระทำเพราะคำสั่งเท่านั้น ย่อมไม่บังเกิดความผูกพันกับสองแม่ลูก แล้วต่อมาก็ออกจากเรือนเพลินบุปผาไปตามหนทางตน ข้าจึงไม่ทราบว่าหลังจากนั้นมันยังติดต่อกับอาหวินหรือไม่
ดรุณีน้อยส่ายหน้า ศิษย์พี่ใหญ่เดินทางสู่นอกด่าน แม้อยากติดต่อก็คงทำมิได้ ทว่าประมุขรัตติพิลย่อมมิอาจปล่อยผู้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของตนไว้ ดังนั้นลำบากเพียงใดก็พยายามส่งคนตามฆ่า แต่เผอิญศิษย์พี่ใหญ่ตายไปก่อนที่คนของมันจะลงมือ ส่วนการสั่งให้เศรษฐีไร้ยางอายปลอมตัวเป็นศิษย์พี่ใหญ่คือผลพลอยได้เท่านั้น
เหล่าคนฟังผงกศีรษะเห็นด้วยโดยไร้ข้อโต้แย้ง เหอหมิงเฉิงจึงเล่าเหตุการณ์ในอดีตต่อ
สนมชุ่ยจินอาศัยในเรือนเพลินบุปผาอย่างสงบเสงี่ยมจนครบเดือน ทางราชสำนักก็ยังเงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหว พวกข้าเริ่มนิ่งนอนใจจนเผลอคลายความระแวดระวัง เป็นตอนนั้นเอง...ที่เกิดเรื่องขึ้น!
**********
ยามสนธยาบรรยากาศรอบเรือนเพลินบุปผาก็คล้ายเปลี่ยนไปเป็นอีกโลกหนึ่ง เงาดอกไม้ซึ่งขยับไหวไปตามแรงลมชวนให้คนขวัญอ่อนจินตนาการเตลิดเปิดเปิง แต่เหอหมิงเฉิงกลับเร่งรีบผ่านทางโดยไร้ความสนใจแม้แต่น้อย ทว่าเรือนไม้ไผ่อันมืดมิดเบื้องหน้า ก็ทำให้มันหยุดลงด้วยความกังขาว่าผู้คนในนั้นหายไปที่ใดกันหมด กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังพร้อมฝางปิงเต๋าศิษย์คนโตของซินแสเทวะกำลังวิ่งออกมาจากดงดอกไม้สูงเกือบท่วมหัว
อ้าว ท่านเหอหรอกรึนี่
ใช่แล้วข้าเอง พอดีคนจากหมู่บ้านส่งข่าวว่ามีเด็กเป็นไข้สูงเพิ่มอีกหลายคน กระทั่งหมอในหมู่บ้านก็รับมือไม่ไหว ข้าจึงมาเชิญซินแสเทวะไปช่วยเหลือ
หมู่บ้านชนบทห่างไกลเช่นนี้การดูแลจากทางการมาถึงลำบาก ชาวบ้านพอพบว่าเหอหมิงเฉิงฉลาดรอบรู้จึงแทบยกมันเป็นผู้นำอยู่กลาย ๆ อดีตขุนนางพยายามปฏิเสธมาตลอด แต่ก็ยังยื่นมือช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ จนกลายเป็นนิสัยว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนชาวบ้านมักจะวิ่งมารายงานมันทุกครั้ง แล้วช่วงนี้บังเอิญมีโรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่บ้าน มันจึงขอร้องซินแสเทวะไปคอยช่วยเหลือมาหลายวันแล้ว กระทั่งเมื่อเช้าดูเหตุการณ์จะสงบลงจึงได้บอกให้ซินแสเทวะกลับมาพักที่บ้าน นึกไม่ถึงล่วงเข้าช่วงเย็นโรคกลับลุกลามขึ้นมาใหม่ เนื่องจากเหอหมิงเฉิงปิดบังเรื่องชุ่ยจินและบุตรกับคนทางบ้าน ย่อมไม่อาจส่งคนมาตามซินแสเทวะจนพบเห็นสองแม่ลูกได้ จึงเดินทางมาด้วยตนเอง
ท่านมาในเวลาไม่เหมาะสมเลย ฝางปิงเต๋านิ่วหน้า แม่นางชุ่ยจินพาลูกหลบหนีไป อาจารย์กับข้ากำลังออกตามหานางอยู่
หา! นางหนีไป...ทำไมกัน
ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ช่วงหลังนี่นางมักบ่นถึงวังหลวงหรือฮ่องเต้บ้าง หาก...ข้ามิได้ใส่ใจนัก ครั้นเห็นท่าทางเหมือนกำลังสำนึกผิดของอีกฝ่ายอดีตขุนนางก็ถอนหายใจ มันคุ้นเคยกับชายตรงหน้าจนทราบดีว่าฝางปิงเต๋าอาจเป็นหมอฝีมือดี แต่ความละเอียดอ่อนในการเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นช่างทื่อด้าน ประจวบกับระยะนี้ซินแสเทวะแทบมิได้กลับเรือนเพลินบุปผา การดูแลสองแม่ลูกจึงเป็นหน้าที่ของฝางปิงเต๋าทั้งหมด จนกลายเป็นช่องโหว่อันนึกไม่ถึง
ผู้หญิงซึ่งมีลูกเล็กด้วยจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน อย่าว่าแต่ที่นี่คือเรือนเพลินบุปผา ยอดฝีมือจะผ่านสวนนี่ยังลำบาก นางคงวนเวียนอยู่แถวนี้แน่
ข้าและอาจารย์ก็คิดเช่นกัน ดังนั้นแบ่งฟากออกค้นหานางซึ่งหลงทางอยู่ในสวน บังเอิญข้าเห็นเงาตะคุ่มจึงตามมาพบท่านพอดี ท่านเหอช่วยเหลือสักหน่อยเถอะ โปรดรออยู่ที่นี่ หากนางเดินเปะปะไปตามทางย่อมมีโอกาสย้อนกลับมา ท่านจะได้รั้งตัวไว้
เหอหมิงเฉิงเข้าใจดีว่าท่ามกลางบริเวณกว้างใหญ่ นี่เป็นวิธีที่จะพบตัวชุ่ยจินได้เร็วที่สุด หากก็ยังกำชับอย่างร้อนใจ
พวกเจ้าก็ต้องเร่งมือด้วยนะ เพราะไม่รู้เด็กที่ติดโรคจะทนได้อีกนานแค่ไหน ข้าอยากให้ซินแสเทวะกลับเข้าหมู่บ้านโดยเร็วที่สุด
ฝางปิงเต๋ารับคำก่อนเร่งรุดจากไป ส่วนเหอหมิงเฉิงก็เริ่มเดินยามรอบเรือนไม้ไผ่เพราะไม่แน่ใจว่าสตรีผู้หลบหนีจะโผล่มาจากด้านไหน แต่เป็นนานก็หาพบร่องรอยผิดปกติไม่ อารมณ์ร้อนใจต่อความปลอดภัยของเด็กเพิ่มพูนทุกขณะ จังหวะนั้นเองก็ได้ยินเสียงทารกร้องแว่วมา อดีตขุนนางรีบวิ่งฝ่ากำแพงดอกไม้สูงท่วมหัวไปทางต้นเสียงทันที สตรีแม่ลูกอ่อนตรากตรำจนร่างกายอ่อนล้า มิอาจเร่งฝีเท้าหลบหนีมันตามใจคิด ไม่นานก็โดนจับอย่างง่ายดาย
แม่นางชุ่ยจิน! เหอหมิงเฉิงขึ้นเสียงด้วยแรงอารมณ์ นางจะหลบหนีไปทำไม
สตรีผมทองพยายามดิ้นรนจากพันธนาการ ปากก็พร่ำว่า พอที เลิกโกหกข้าได้แล้ว พวกท่านขังข้าไว้ที่นี่มิให้กลับไปพบฝ่าบาท มีจุดประสงค์ใดกันแน่!
กิริยาดื้อดึงอย่างไร้เหตุผลร่วมกับความกังวลที่ยังค้างคาในใจ ทำให้โทสะอดีตขุนนางพุ่งถึงขีดสุด ขบคิดว่าเกิดเหตุวุ่นวายเพราะซินแสเทวะมิยอมเปิดเผยความจริงแก่นางเสียที อดีตพระชายาผู้นี้ถึงได้เข้าใจผิดมิจบสิ้น
พวกข้าจะมีจุดประสงค์ใดกันนอกจากความปลอดภัยของเจ้า ฝ่าบาทไม่ต้องการเจ้าแม้แต่น้อย เพราะโอรสที่กำเนิดจากครรภ์เจ้าคือต้นเหตุแห่งหายนะของพระราชอำนาจ จนป่านนี้ยังไม่ทราบอีกหรือ!
ชุ่ยจินชะงักค้าง ตวัดมองอีกฝ่ายดุจไม่เชื่อสายตา ไม่จริง ลูกข้าจะเป็นต้นเหตุหายนะได้อย่างไร
เฮอะ เด็กผมทองตาฟ้าย่อมแสดงว่าบิดาก็มีเชื้อสายต้องห้ามสำหรับราชบัลลังก์ เพลาที่มันถือกำเนิดขึ้นมา ชะตาของพวกเจ้าสองแม่ลูกก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจนสิ้นเชิง มิมีวันหวนกลับได้อีกแล้ว!
สตรีผมทองทรุดฮวบอย่างหมดเรี่ยวแรง ทารกก็กลิ้งจากอ้อมกอดจนถึงพื้นร้องไห้จ้า เหอหมิงเฉิงรู้สึกผิดขึ้นครามครัน น้ำเสียงต่อมาจึงอ่อนลงมาก
ข้าเพียงอยากอธิบายให้รู้ว่าหากยังรักชีวิตก็ตัดใจจากวังหลวงและฝ่าบาทได้แล้ว เจ้าวางใจเถอะ...พวกข้าจะดูแลความปลอดภัยให้เป็นอย่างดี
ชุ่ยจินคล้ายมิได้ยินคำใดผ่านหู นางเพียงกวาดมองไปยังทารกที่ยังคงสะอึกสะอื้น หากสายตาเบิ่งค้างนั่นราวกำลังมองทะลุร่างเล็ก ๆ ไปยังความเวิ้งว้างไกลโพ้น
อดีตขุนนางขนลุกเกรียวไปทั่วกาย นี่นางมองเห็นสิ่งใดในความว่างเปล่านั้นหรือ?
พริบตานั้นเอง ซินแสเทวะกับฝางปิงเต๋าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาจากคนละฟาก คาดว่าพวกมันคงได้ยินคำเอะอะผสานกับเสียงร้องไห้ของทารกจึงรีบย้อนกลับมา ซินแสเทวะสะดุดเข้ากับทารกบนพื้นจึงรีบอุ้มมันแนบอก หันมองหน้าสหายสลับกับลูกศิษย์อย่างงุนงง
ท่านเหอ? นี่มันเกิดอันใดขึ้นหรือ
ฝางปิงเตาถอนหายใจโล่งอกเมื่อพบสตรีผู้หายตัวไป แล้วขณะที่หมิงเฉิงกำลังจะอธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ซินแสเทวะฟัง ลูกศิษย์มันกลับอุทานขัดขึ้นเพราะเพิ่งนึกได้
อาจารย์ ท่านเหอรุดมาแจ้งว่าเด็กในหมู่บ้านมีอาการไข้สูงอีกหลายคน ข้าฟังแล้วน่าจะไม่ค่อยดีนะขอรับ
ซินแสเทวะขมวดคิ้ว ย้ำถามกับอดีตขุนนางว่า จริงรึ
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ อันตรายของเด็กในหมู่บ้านเบนความสนใจมันจากเรื่องอื่นจนหมดสิ้น ซินแสเทวะพอทราบคำตอบก็รีบยื่นทารกให้ลูกศิษย์ช่วยอุ้มแทน กำชับว่า
ข้ากับท่านเหอจะย้อนไปดูที่หมู่บ้าน เจ้าก็ดูแลแม่นางชุ่ยจินและทารกให้ดี ห้ามคลาดสายตาจนกว่าข้าจะกลับมา เข้าใจหรือไม่
ฝางปิงเต๋ารับคำแข็งขัน บุรุษที่เหลือจึงพากันออกไปทำธุระทันที โดยแทบไม่มีใครทันสังเกตเลยว่า ชุ่ยจินยังคงเหม่อลอยราวไร้วิญญาณ...มิเปลี่ยนทีท่าไปแม้แต่น้อย
**********
กว่าซินแสเทวะเจ้าจื้อสุยจะควบคุมโรคระบาดได้อีกครั้งก็ล่วงเข้าช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น สองสหายรุดสู่เรือนเพลินบุปผาด้วยอาการเหนื่อยล้า และทันทีที่กระดิ่งบนประตูเรือนไม้ไผ่ส่งสัญญาณว่าเจ้าของบ้านกลับมาแล้ว ฝางปิงเต๋าก็กระหืดกระหอบวิ่งสวนมา
อาจารย์ขอรับ ตั้งแต่ท่านออกไปแม่นางชุ่ยจินก็มีอาการเหม่อลอยผิดปกติมาตลอด ลักษณะคล้ายเกิดความกระทบกระเทือนใจรุนแรง แต่พอข้าซักถามนางก็ไม่ยอมบอกอันใดขอรับ
อดีตขุนนางเหอหมิงเฉิงชะงัก ลางร้ายค่อย ๆ ก่อตัวจนท่วมท้น เมื่อนั้นจึงหลุดปากว่า แย่แล้ว หรือนางคิดมากเพราะคำพูดข้า
เจ้าจื้อสุยขมวดคิ้ว ท่านเหอ นี่มันเรื่องใดกันแน่
ผู้ถูกถามก้มหน้าด้วยรู้สึกผิด สารภาพการกระทำของตนจนหมดสิ้น หากมิวายแก้ตัวว่า ข้าแค่อยากให้นางยอมรับความจริงเสีย จะได้ไม่ทำตัววุ่นวายอีกเท่านั้น
โธ่...ท่านเหอ สิ่งที่เกิดขึ้นกับนางมันกะทันหันมากเสียใช่จะทำใจยอมรับได้อย่างสงบ แล้วนางยังเพิ่งคลอดบุตรอีก ท่านคงไม่ทราบว่าสตรีในช่วงเวลานี้บางคนสภาพจิตใจจะอ่อนแอกว่าปกติ เกิดความไขว้เขวได้ง่าย คนอธิบายถอนหายใจก่อนขยายความ ที่ผ่านมาข้าค่อย ๆ ตรวจสอบสภาพจิตใจและศึกษาเรียนรู้นางมาตลอด จึงวิเคราะห์ได้ว่านิสัยพื้นฐานของแม่นางชุ่ยจินนั้นไม่ค่อยสู้คนและมักเก็บความกดดันไว้ในใจคนเดียว ท่านลองคิดดูซิว่าสตรีไร้ญาติพี่น้องต้องพยายามเอาตัวรอดในวังหลวงเพียงลำพัง จะก่อความเคร่งเครียดมากมายขนาดไหน แล้วต่อมาต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่คือการตั้งครรภ์ครั้งแรกในชีวิตเข้าอีก จากการซักถามข้าพอเดาได้ว่านางคงเริ่มมีอารมณ์หดหู่ซึมเศร้าตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์แล้วด้วยซ้ำ โดยตลอดเวลานี้มีสิ่งยึดเหนี่ยวซึ่งช่วยปกป้องความปลอดภัยก็คือองค์ฮ่องเต้เท่านั้น หากเป็นท่านเล่า จะทนรับการทรยศจากผู้ที่เคยไว้ใจเพียงหนึ่งเดียวได้หรือไม่!
เหอหมิงเฉิงหน้าเสีย ขะ...ข้าไม่ทันคิดจริง ๆ ยอมรับว่ามองสถานการณ์ตื้นเขินเกินไป ขออภัยด้วยเถิด
เจ้าของบ้านส่ายหน้า ตอนนี้โทษท่านไปก็ไม่ช่วยแก้ไขอันใดหรอก หันไปทางลูกศิษย์ เจ้าดูแลแม่นางชุ่ยจินอย่างไรบ้าง
ข้าพยายามปรุงยาให้นางทานจะได้นอนหลับสงบสติอารมณ์ หากนางเอาแต่นั่งเฉยไม่ตอบสนองเลยสักนิด ข้า...ข้ายังไม่กล้าฝังเข็มเพื่อควบคุมอาการนางในตอนนี้ จึงได้แต่พานางไปพักผ่อนในห้องกับบุตรขอรับ
ฟังจบซินแสเทวะก็หยิบล่วมยาที่เพิ่งวางลง เช่นนั้นข้าจะลองไปตรวจอาการนางดู
บุรุษทั้งสามต่างทยอยเดินตามกันจนถึงหน้าห้องที่ซินแสเทวะยกให้สตรีผมทองพำนัก เจ้าจื้อสุยลองเคาะประตูเรียกเจ้าของห้องหลายครั้งหากก็ไม่พบการตอบรับ มันจึงหันไปถามศิษย์อีกครั้ง
ตอนเจ้าออกมานางทำอันใดอยู่
เอาแต่นั่งอยู่บนเตียงข้างทารกขอรับ ระหว่างนั้นได้ยินกระดิ่งสัญญาณพอดี ข้าเห็นนางยังสงบเสงี่ยมจึงรีบไปแจ้งข่าวแก่อาจารย์ขอรับ
เช่นนั้นข้างในคงไม่น่าลั่นดาล พึมพำกับตนเองเสร็จซินแสเทวะก็เริ่มตะโกนว่า แม่นางชุ่ยจิน สถานการณ์คับขัน แม้ท่านไม่ต้อนรับพวกข้าก็จำต้องล่วงล้ำเข้าห้องท่าน โปรดอภัยด้วย
สิ้นประโยคมันก็ออกแรงดันประตูทันที จริงดังคาด...ประตูที่ไม่ได้ลั่นดาลไว้ถูกผลักเปิดอย่างง่ายดาย
แต่ครั้นสภาพภายในห้องประจักษ์แก่ตา ซินแสเทวะก็ตกใจสุดระงับ ล่วมยาในมือหล่นตกพื้นดังเปรื่อง!
+++++++++
จากคุณ |
:
จันทร์พันฝัน
|
เขียนเมื่อ |
:
23 พ.ย. 55 19:17:18
|
|
|
|