Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Half Twins บทที่ ๓ vote ติดต่อทีมงาน

Psycho man: แปลว่าภูมิคุ้มกันยังน้อยอยู่ค่ะ ติดตามอ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะหายกลัว (โฆษณาชวนเชื่อ ^^')

และยังคงโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
แฟนเพจเก๊าเอง ><
http://www.facebook.com/treepunt

เลิกโฆษณาแล้วมาอ่านต่อกันดีกว่าเนอะ

ตอนเก่าค่ะ
อารัมภบท และ บทที่ ๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12879288/W12879288.html
บทที่ ๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12911942/W12911942.html

###

บทที่ ๓ แมวสื่อวิญญาณ

คืนนั้นกว่าผมจะหลับลงได้ ก็ใกล้สว่างอีกเช่นกัน ดังนั้น ในเช้าวันต่อมา จึงไม่ใช่เช้าที่สดใสนัก

ผมกับทวยะเดินลงมาจากห้อง เตรียมตัวไปหามื้อเช้ากินกันที่โรงอาหาร ก่อนจะเข้าห้องเรียนในวันแรก

ระหว่างที่เดินผ่านใต้หอชาย ผมก็เห็นแมวเทาตัวนั้นอีก มันนอนหมอบทำท่าไม่สนใจโลกอยู่ที่เดิม แม้เจ้าหง่าวจะพยายามชวนมันเล่นอย่างไร มันก็ไม่สนใจ หากแต่เมื่อมันหันมาเห็นผมกับทวยะเท่านั้น ดวงตาสีเหลืองอำพันของมันก็ลุกวาวขึ้นทันที

เห็นดวงตาคู่นั้นแล้ว ทำให้นึกถึงดวงตาของชายชุดเทาเมื่อคืน ยิ่งนึกก็ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจ

ทวยะเองก็คงเห็นมัน และเห็นผมสยิวกายด้วยความสยอง เขาตบหลังคอผม แล้วดันให้ผมเดินออกมาจากบริเวณนั้น

แต่จะทำอย่างไร ผมก็สลัดภาพชายชุดเทาออกไปจากหัวไม่ได้เสียที จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ และขึ้นมายังห้องเรียนแล้ว ความสนใจของผมจึงค่อยถูกเบี่ยงเบนไป...

รดาเดินเข้าห้องมาพร้อมกับปากที่ปิดสนิท ผมไม่เห็นเธอหันไปทักทายเพื่อนๆ ที่ผ่านไปมาเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ เลยสักคน

ทว่าอันที่จริงแล้วคนที่เบนความสนใจของผมไปไม่ใช่รดา หากแต่เป็นเด็กผู้ชายที่เดินตามเธอมาด้วยต่างหาก

เขาก็คือเด็กในชุดคนไข้ที่ผมเห็นเมื่อวาน และรดาก็ทำเป็นไม่สนใจเขาอีกเช่นเคย...

ไม่ใช่แค่รดา ไม่มีใครสนใจเขาเลยต่างหาก เหมือนเขาไม่มีตัวตน!

ผมเห็นเด็กคนนี้มานั่งเล่นอยู่บนพื้นห้อง ข้างโต๊ะของรดาตั้งแต่คาบเรียนแรก แต่ดูเหมือนไม่มีใครเห็น ไม่มีใครทัก ที่สำคัญครูที่เข้ามาสอนก็ไม่พูดอะไร นั่นจึงทำให้แน่ใจว่า ไม่มีใครเห็นเขาแน่ๆ นอกจากผม

แบบนี้ก็ไม่ใช่คนแล้วล่ะ...

ผมสรุปเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร... ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่า จะบอกว่ากลัวนั้นก็กลัวอยู่ แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็เป็นแค่เด็ก และไม่มีท่าทีสนใจอะไรเลยนอกจากรดา เขาไม่เคยหันมามองผม คงไม่รู้กระมังว่าผมกำลังสังเกตเขาอยู่

ดังนั้นในตอนพักระหว่างคาบเรียน ผมจึงรีบไปหาทวยะที่ห้อง บอกกับเขาว่าผมเห็นเด็กผู้ชายคนนี้ คนที่ไม่มีใครเห็น ด้วยหวังว่าเพื่อนผมจะทำอะไรสักอย่าง

“อย่างนั้นหรือ” เขาพูดขึ้นเพียงสั้นๆ หลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมด ท่าทางของเขาก็ดูไม่ใส่ใจเลยสักนิด

“นี่นายไม่คิดจะทำอะไรกับเด็กนั่นเลยหรือ”

ทวยะส่ายหน้านิดหนึ่ง สีหน้าของเขาดูนิ่งเฉย ราวกับสิ่งที่ผมบอกเป็นเพียงเรื่องฝนตกแดดออก

“ยังไม่ใช่ตอนนี้” เขาบอกออกมา ก่อนจะไล่ให้ผมกลับมาที่ห้องเรียนของตัวเอง

แม้ในช่วงพักกลางวัน เมื่อผมชี้ให้เขาดูเด็กผู้ชายคนเดิม ซึ่งกำลังยืนมองรดาต่อแถวซื้อก๋วยเตี๋ยวอยู่ในโรงอาหารนั้น ทวยะก็เพียงแค่เหลือบมองนิดหนึ่ง แล้วจึงเดินไปสั่งข้าวผัดพริกแกงที่ร้านอาหารตามสั่ง

เอาเถอะ ถ้ามันยังไม่ถึงเวลา ผมก็จะรอดูว่าเมื่อไหร่จึงจะถึง และจะรอดูว่าทวยะจะทำอย่างไรกับเจ้าเด็กนี่

---

ตลอดชั่วโมงเรียนในภาคบ่าย ผมไม่มีสมาธิรับรู้วิชาที่เรียนเลย ซึ่งอันที่จริง ผมก็ไม่ได้มีสมาธิกับการเรียนมาตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะมัวแต่คอยสังเกตเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ตลอด และจากการสังเกต ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงต้องมีอะรผูกพันธ์กับรดาแน่ๆ สายตาของเขายามมองรดา ดูราวกับลูกหมาอ้อนขอความรักอย่างไรอย่างนั้น

จะว่าไป เขาก็ดูน่าสงสาร ท่าทางของเขา ดูเหมือนต้องการความสนใจจากรดาบ้าง แต่ในเมื่อเธอมองไม่เห็น แล้วจะไปสนใจเขาได้อย่างไร

ระหว่างที่มองดูอยู่ บางที ผมก็มีความคิด อยากจะไปสะกิดเพื่อนของผม บอกให้เธอรู้ว่าเด็กชายคนนี้กำลังตามติดเธออยู่ แต่เมื่อคิดอีกที หากบอกไปแบบนั้น ถ้าเธอไม่ว่าผมบ้า ก็คงคิดว่าผมแกล้งหลอกให้เธอกลัวเป็นแน่ ดีไม่ดีจะพาลเกลียดผมไปเลยก็ได้

ผมไม่อยากถูกเกลียด ดังนั้นจึงทนปิดปากไว้ ไม่พูดอะไรออกไปจนกระทั่งเลิกเรียน

เย็นวันนั้น เมื่อผมกลับมาที่หอพัก ก็เห็นทวยะนั่งเล่นกับเจ้าหง่าวที่ใต้หอแล้ว เขากำลังรอผมอยู่ บอกให้ผมไปเก็บกระเป๋าแล้วลงมาข้างล่าง

ตอนนั้นเจ้าแมวเทาก็นอนหมอบอยู่ข้างๆ ทวยะด้วยเช่นกัน เมื่อมันเห็นผม มันก็จ้องนิ่งราวกับผมเคยไปดึงหนวดมันอย่างนั้น

“ไปหอหญิงกัน” เขาบอกเมื่อผมกลับลงมาที่ใต้หอแล้ว พลางลุกขึ้นยืน ปัดกางเกงสองสามทีแล้วจึงออกเดินนำ

“จะไปทำอะไรที่หอหญิง” ผมถาม ระหว่างที่ก้าวตามมา

“ก็เรื่องวิญญาณเด็กนั่นไง” เขาหันมาตอบ แล้วจึงชี้นิ้วไปยังแมวเทา ก่อนจะออกคำสั่ง “อุ้มมันไปด้วย”

ผมสะบัดหันกลับไปมองเขา เบิกตาโตเป็นการประท้วง ...ทำไมต้องเอามันไปด้วย แล้วทำไมต้องเป็นผม

ทว่าทวยะไม่รอให้ผมโอดครวญ เขาก้าวยาวๆ ห่างออกไปแล้ว ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเจ้าแมวเทาลุกเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าผม ดวงตาสีอำพันของมันตวัดจ้องเขม็งมาที่ผม ชั่วครู่ มันก็กระโดดแผล็วตามหลังทวยะไป ผมจึงได้แต่วิ่งเหยาะๆ ตามไปด้วยเช่นกัน

หอหญิงอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงเรียน จากหอชาย เดินตรงไปทางทิศตะวันออก ผ่านอาคารเรียนหลังที่สาม แล้วตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นหอหญิง

สำหรับกฎของหอหญิงที่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากหอชาย คือ ให้เฉพาะเพศแม่ขึ้นตึก ดังนั้นเมื่อผมกับทวยะมาถึงแล้ว จึงต้องใช้โทรศัพท์ภายใน ซึ่งแขวนอยู่ข้างบันได โทรเรียกคนที่เราต้องการพบให้ลงมาใต้หอ

“มีอะไรหรือ” ปลายสายส่งเสียงมา หลังจากที่รู้ว่าคนโทรขึ้นไปเป็นใคร

“เอ้อ คือ...” ผมอ้ำอึ้งไป เพราะไม่ได้เตรียมคำตอบมา “เรื่อง...อ้อ! จะมาถามการบ้านเลขเมื่อตอนบ่ายน่ะ”

“ไม่ถามพวกผู้ชายที่หอนายล่ะ คนเก่งกว่าฉันก็มีตั้งเยอะ”

ได้ยินคำถามนี้แล้วผมก็อยากตบปากตัวเอง จะหาข้ออ้างทั้งทีกลับไม่คิดให้ละเอียดเสียก่อน

“เอาเถอะๆ” เธอบอกมาอย่างรำคาญ “ไหนๆ ก็มาแล้ว เดี๋ยวฉันลงไปก็ได้”

ผมกับทวยะนั่งรออยู่ที่ม้านั่งใต้หอสักครู่ ประตูลิฟท์ด้านหนึ่งก็เปิดออก รดาเดินออกมาจากลิฟท์โดยถือหนังสือที่ใช้เรียนในวิชาคณิตศาสตร์มาด้วย ทว่ากลับไม่มีวิญญาณของเด็กชาย

“มองหาอะไรน่ะ ไทวะ” รดาถามขึ้น หลังจากเดินเข้ามาใกล้ม้านั่งที่พวกเรานั่งอยู่ และคงเห็นท่าทีมีพิรุธของผม

“เอ้อ เปล่าๆ” ผมตอบปฏิเสธ ทว่าไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงทวยะถามขึ้น

“รดามีน้องชายด้วยหรือ”

เสียงของทวยะไม่ดังนัก หากแต่คำถามกลับดึงความสนใจของรดาไปที่เขาทันที เธอจ้องมองทวยะด้วยแววตาฉงนฉงาย

“เธอเป็นใคร รู้ได้ยังไงว่าฉันมีน้องชาย”

“ข้อแรก ฉันเป็นรูมเมทของไทวะ” ทวยะบอก พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ใครเห็นก็ต้องรู้สึกเย็นใจ “ส่วนข้อสอง ฉันคงตอบเธอไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องของเธอ เมื่อปีที่แล้ว”

รดานิ่งไป เธอจ้องเพื่อนผมด้วยความประหลาดใจ จากนั้น ดูเหมือนความเศร้าจะเข้ามาครอบคลุมหัวใจของเธอแทน

“ใช่ ฉันมีน้องชาย” เธอบอกเสียงสั่น “แต่เขาตายไป เมื่อปีที่แล้ว...”

เสียงตอนท้ายประโยคขาดหายไปด้วยแรงสะอื้นเบาๆ ทวยะตบม้านั่งข้างตัว เป็นเชิงให้เธอนั่งลง “อยากจะเล่าอะไรรึเปล่า ถ้าอยากจะเล่า พวกเรายินดีฟัง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงปลอบโยน

รดาหย่อนตัวนั่งลงข้างทวยะ เธอยกมือปาดน้ำตาตัวเองนิดหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้า กลืนก้อนสะอื้นลงคอ

“น้องของฉัน...เขาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว” เธอเริ่มเล่า “เมื่อสองปีก่อน เขาเริ่มเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หมอวินิจฉัยแล้วก็ให้ทำเคมีบำบัดเข้าทางเส้นเลือดทุกสามเดือน ส่วนพ่อกับแม่ เพื่อหาเงินมารักษาน้อง ก็เลยต้องทำงานหนัก ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เรามีกันอยู่สองคนพี่น้อง ฉันก็เลยต้องเป็นคนดูแลเขา ทุกครั้งที่เขาทำเคมีบำบัด ก็จะมีอาการข้างเคียง ทั้งอาเจียน ทั้งผมร่วง ปวดกระดูก ร่างกายก็อ่อนแอ มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก...ทรมานมากจริงๆ”

เล่าถึงตอนนี้ น้ำตาทะลักออกมาเป็นสาย เพื่อนผมจึงเอื้อมมือแตะบ่าเธอเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร พวกเราเงียบกันหมด

“เขาได้รับเคมีบำบัดอยู่ห้าคอร์ส หลังจากคอร์สที่ห้า ร่างกายเขาอ่อนแอมาก และมีโรคแทรก เขามีเชื้อราในปอด อาเจียน และท้องเสียอย่างหนัก ในที่สุด เขาก็สู้กับมันไม่ไหว เขา...”

รดาซุกหน้าลงกับมือตนเอง เปล่งเสียงโฮออกมาอย่างไม่อาจข่มกลั้นอีกต่อไป

ผมฟังเรื่องของน้องชายเธอแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ... ชีวิตช่างโหดร้ายเหลือเกิน

พวกเราปล่อยให้รดาร้องไห้สักพัก ทวยะยังคงจับบ่ารดาไว้เพื่อให้กำลังใจ เมื่อเธอสงบลงบ้างแล้วก็เงยหน้าขึ้นมากอีก ใบหน้าเปียกปอนไปด้วยน้ำตา ผมกับทวยะเองก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษที่คอยพกผ้าเช็ดหน้าเพื่อซับน้ำตาสาว จึงได้แต่ปล่อยให้เธอปาดน้ำมูกน้ำตาเอาเอง

“เธอพร้อมจะฟังเรื่องหลังจากนั้นหรือยัง” ทวยะถามเสียงนิ่ง และหนักแน่น แสดงถึงความจริงจัง

“หลังจากนั้น...” รดาทวนคำด้วยความสงสัย พร้อมกับหันมาจ้องรูมเมทของผม

“หลังจากที่น้องของเธอเสียชีวิตน่ะ”

ทวยะ...นายช่างเป็นคนตรงเสียนี่กระไร คนกำลังเสียใจอยู่ จะพูดอ้อมๆ หน่อยไม่ได้หรือ

คิ้วของรดาย่นจนแทบจะชนกัน สายตางุนงงจ้องมองเพื่อนผม แต่ไม่พูดอะไร ทวยะจึงพูดต่อ

“น้องชายของเธอ หลังจากเสียชีวิตที่โรงพยาบาล วิญญาณของเขาก็ถูกพาไปยังโลกของคนตาย ที่นั่น เขาจะต้องรอคำพิพากษาเพื่อที่จะเกิดใหม่ อาจจะเกิดบนสวรรค์ บนโลก หรือในนรกก็ตาม แต่สิ่งที่ทำได้ในระหว่างที่อยู่ในโลกของคนตายคือการรอคอย”

รดาฟังถึงตอนนี้ ก็พลันผุดลุกขึ้น พร้อมตวาดเสียงแหลม

“อย่าเอาเรื่องหลอกเด็กมาพูดพล่อยๆ แบบนี้นะ!”

เธอจ้องทวยะอย่างเอาเรื่อง หากแต่เพื่อนผมก็ยังคงรักษาอาการสงบเอาไว้ ยิ้มเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นยืนบ้าง

“ตอนนี้น้องของเธอหนีออกมาจากโลกของคนตายเพื่อมาหาเธอ ระยะนี้เขาอยู่กับเธอตลอดเวลา แต่เธอไม่เห็นเขาหรอก” ทวยะชำเลืองมองผมนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปพูดต่อ “ไทวะเป็นคนเห็น...”

แล้วทวยะก็บอกลักษณะของเด็กผู้ชายที่ผมเคยชี้ให้เขาดูก่อนหน้านี้ นั่นทำให้รดาถึงกับนิ่งงัน พลางส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่เชื่อหู

“บ้าไปแล้ว... เป็นไปไม่ได้!” เธอร้องออกมา

“ถ้าอยากเห็นน้องของเธอ ฉันมีวิธี” ทวยะบอกต่อ “แต่เธอต้องบอกให้เขาตามเธอมาที่หอชายในคืนพรุ่งนี้ ประมาณสองทุ่ม พวกเราจะรออยู่ใต้หอ”

“แล้วจะให้บอกยังไงล่ะ ในเมื่อฉันไม่เห็นเขา”

“แค่กลับขึ้นไปบนห้อง แล้วพูดลอยๆ ขึ้นมา เขาก็รับรู้แล้ว เพราะเขาอยู่กับเธอตลอดเวลา...ยกเว้นตอนนี้”

พูดจบ ทวยะก็เริ่มออกเดินจากบริเวณนั้น ผมจึงลุกจากม้านั่ง บอกลารดา แล้ววิ่งตามทวยะกลับไป โดยมีเจ้าแมวเทากระโดดแผล่วตามมาติดๆ

---

ในตอนที่เราออกมาจากหอหญิงนั้น ฟ้าเริ่มมืดแล้ว การเดินผ่านอาคารเรียนมืดๆ ในเวลาที่ไม่มีคนนั้นช่างให้ความรู้สึกวังเวงน่าขนลุกเป็นที่สุด

ตลอดทาง ผมรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่กล้าหันกลับไปมอง ได้แต่เร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินข้างทวยะเพื่อให้อุ่นใจขึ้น ผมเข้าใจว่าความกลัวทำให้ผมคิดไปเอง ทว่าความรู้สึกที่เหมือนมีคนตามหลังมานั้น ก็ยังไม่ยอมหายไป

สักครู่หนึ่ง เพื่อนผมก็ชลอฝีเท้าลง และหยุด จากนั้นจึงหันมามองผมนิดหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับ ผมเห็นดังนั้นก็ทำตาม หากแต่เมื่อหันกลับไป จึงพบว่าเจ้าแมวเทานี่เอง ที่ผมให้ผมรู้สึกว่ามีใครตามมาอยู่ตลอด

“เขาหนีคุณใช่ไหม” ทวยะถามขึ้น โดยที่สายตาจับจ้องอยูที่แมวเทา...เหมือนว่าเขาพูดกับแมวรู้เรื่อง

เจ้าแมวเทาไม่ได้พูดตอบ...แน่ละ ถ้ามันพูดตอบได้ ผมคงวิ่งป่าราบ แต่ถึงมันจะไม่พูดตอบ มันกลับผงกศีรษะเล็กน้อย... เป็นอันว่า เพื่อนผมคุยกับแมวได้!

ทวยะถอนหายใจนิดหนึ่ง “เอาเถอะ ยังไงคืนพรุ่งนี้คงได้ตัว แต่ต้องใช้เวลาหน่อย คุณเข้าใจใช่ไหม”

คราวนี้เจ้าแมวเทาไม่ได้ผงกศีรษะ หากแต่ตัวของมันกลับค่อยๆ ยืดยาวขึ้น เส้นขนสีเทาก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นผ้าสีเทา หางหดหายไป ร่างกายสูงขึ้นกลายเป็นชายชุดเทาถือตะเกียงที่ผมเห็นในลิฟท์เมื่อคืน!

ไม่ต้องสงสัยเลย ผมวิ่งจริงๆ แต่วิ่งไปหลบหลังทวยะ ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงไม่วิ่งหนีไปให้ไกลกว่านี้ อาจเป็นเพราะผมรู้ว่าทวยะช่วยผมได้ หรืออาจเป็นเพราะผมอยากรู้ว่าคนประหลาดนี่เป็นใครกันแน่ หรืออาจจะทั้งสองอย่างรวมกัน

“มะ...มันอะไรกันวะ ทวยะ” ผมถามเสียงสั่น

“ไม่ต้องกลัว นายยังไม่ตาย เขาไม่สนใจนายหรอก” ทวยะบอกเสียงเรียบ ไม่ได้รู้สึกถึงอาการล้อเล่นในน้ำเสียงเลย

“ระ...หรือว่า ขะ...เขาเป็น”

“คนส่วนใหญ่เรียกเขาว่ายมทูตน่ะ”

“ว้าก! แล้วมาทำอะไรแถวนี้” ผมร้องออกไปด้วยความตระหนก

ทวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงยกมือเขกศีรษะผมทีหนึ่ง ก่อนจะหันมาตวาดใส่ “นายนี่มันน่ารำคาญชะมัด เมื่อกี้ตอนคุยกับรดาก็น่าจะรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”

จบคำเขาก็สาวเท้าก้าวยาวๆ กลับหออย่างหงุดหงิด ทิ้งผมไว้ข้างหลังกับแมวยมทูต ผมจึงต้องรีบวิ่งตามไปให้ทัน ถึงเขาจะดุผม แต่อยู่ใกล้เขาก็ยังให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า...

---

คืนต่อมา ผมกับทวยะลงมาใต้หอในเวลาเกือบสองทุ่ม เจ้าแมวเทาไม่ได้อยู่แถวนั้น มันทำให้ผมสบายใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่ไว้ใจ จึงไม่ยอมอยู่ห่างจากทวยะเกินสามก้าวเลย

สองทุ่มตรง เราก็เห็นรดาเดินมาตามทาง ตรงมายังที่ซึ่งพวกเรายืนอยู่ เมื่อเธอเข้ามาใกล้ ผมจึงเห็นว่าด้านหลังเธอ มีวิญญาณเด็กคนนั้นตามมาด้วยจริงๆ

เด็กคนนั้นยังคงอยู่ในชุดของโรงพยาบาล ท่าทางของเขาก็ดูเหงาไป

“ฉันมาแล้ว ไหนล่ะน้องของฉัน” รดาบอกเสียงกระด้าง ใจหนึ่งคงยังไม่เชื่อเท่าใดนัก

ทวยะยิ้มบางๆ แล้วเดินผ่านตัวเธอไปหยุดอยู่ทางด้านหลัง รดามองตามเขา หมุนตัวกลับ จ้องไปที่เพื่อนของผม ซึ่งกำลังย่อตัวนั่งบนส้นเท้า

“เธอใช่ไหม ที่เป็นน้องชายของรดา” ผมเห็นเขาพูดกับเด็กคนนั้น ทว่ารดาคงไม่เห็น เพราะเธอทำท่าทางเลิ่กลั่ก มองผมสลับกับทวยะด้วยสายตางุนงงเสียเต็มประดา

ผมเห็นเด็กคนนั้นพยักหน้าตอบทวยะ จากนั้นเพื่อนผมจึงถามต่อ “อยากคุยกับพี่สาวไหม”

เด็กคนนั้นเบิกตาโต แล้วยิ้มขึ้นมาอย่างร่าเริง ความหวัง ทำให้ความเศร้าและความเหงาที่เกาะกินจิตใจมลายไปสิ้น

ทวยะค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะแขนเด็กคนนั้นอย่างแผ่วเบา แสงสีขาวสว่างเรืองรองขึ้นจากสัมผัสนั้น ค่อยๆ แผ่ไปตามตัวเด็ก แผ่ไปจนทั่วทั้งร่างเด็ก จากนั้นรดาที่ยืนอยู่ก็พลันอ้าปาก ส่งเสียงอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก ระคนยินดี

“ไอ้แห้ง! ไอ้แห้งจริงๆ หรือ” เธอร้องพลางย่อตัวลง เอื้อมมือจะคว้าร่างเด็กมากอด ทว่ากลับไม่อาจคว้าเอาไว้ได้ มีแต่น้ำตาท่วมทะลักออกมาแทน

“ยายดาเห็นผมแล้ว!” เด็กนั่นร้องตอบ “ผมคิดถึงยายดา...”

อ้อ...พี่น้องกันเขาเรียกขานกันแบบนี้เองหรือ

ถืงคำเรียกขานจะฟังดูพิกล แต่มันก็สื่อถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกัน หากไม่ใกล้ชิดแล้ว จะมีชื่อเรียกประหลาดๆ เช่นนั้นได้อย่างไร

ทั้งคู่ต่างคนต่างร้องไห้ น้ำตาพรากเป็นสาย หากเอาขันมารอง คงได้หลายขันอยู่ แต่ทั้งคู่กลับไม่มีคำพูดใดจะกล่าวมากไปกว่าคำเรียกขาน

ระหว่างนั้น ทวยะถอยออกมายืนข้างผม จากนั้นผมจึงเห็นเขาหันมองไปทางขวา ซึ่งตรงนั้นมีพุ่มไม้หนาทึบ เป็นบริเวณที่ครูปานคุยกับพี่ชายเมื่อคืนก่อน ผมมองตามทวยะไปจึงได้เห็นสิ่งที่ทำให้ผมต้องผงะแทบหงายหลัง

...ชายชุดเทาที่ถือตะเกียง!

ทวยะเห็นเขาแล้วก็ยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้เขาคอยก่อน จากนั้นพวกเราจึงหันมาให้ความสนใจกับสองพี่น้องตรงหน้า

“ยายดา ผมอยากอยู่กับยายดา” เด็กชายบอกเสียงอ้อน รดาจึงสูดน้ำมูกครั้งหนึ่งก่อนจะตอบ

“ฉันก็อยากอยู่กับแก ไอ้แห้ง” รดาบอก ทว่าทวยะกลับขัดขึ้น

“น้องของเธอต้องกลับไป รดา หากเขาอยู่ที่นี่ ก็จะเป็นวิญญาณเร่ร่อนวนเวียนอยู่ข้างๆ เธอ ไม่ได้รับการพิพากษา ไปเกิดไม่ได้”

“ขอให้ผมอยู่กับยายดา ผมไม่ไปเกิดก็ได้!” เด็กชายหันมากระแทกเสียงตอบ

“เธออยู่กับพี่ของเธอ แต่พี่ก็จะไม่เห็นเธอ พูดคุยกันไม่ได้ จะมีความหมายอะไร”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ทำให้ยายดาเห็นผมตลอดไปสิ”

ทวยะส่ายหน้า “ทำไม่ได้หรอก ฉันช่วยเธอได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น อีกอย่าง วันหนึ่งพี่ของเธอก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง เธอจะพัวพันอยู่กับพี่เธอตลอดไปไม่ได้หรอก”

“ไม่จริง! ไม่จริง!” เด็กคนนั้นตะโกนออกมา แล้วจึงหันไปทางพี่สาว “ไม่จริงใช่ไหมยายดา...ยายจะไม่มีวันทิ้งผมใช่ไหม”

รดามองหน้าน้องชาย แต่ไม่ตอบ จากนั้นเธอจึงก้มหน้า สะอื้นไห้ต่อ

“ยายดา...ทำไมไม่ตอบ พี่จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม พี่จะไม่ลืมผมใช่หรือเปล่า”

“ไอ้แห้ง...” รดาเงยหน้าขึ้นตอบ “ฉันจะไม่ลืมแก ไม่มีทางเด็ดขาด แต่เพื่อตัวแกเอง แกต้องกลับไป ถ้าแกต้องเป็นวิญญาณวนเวียนอยู่กับฉันตลอดไปแบบนี้ แกก็จะไม่มีความสุข ไม่มีอะไรดีกับตัวแกเลย”

“แต่ว่า...” เสียงเด็กชายอ่อนลง

“ไอ้แห้ง แกคงไม่อยากเป็นฝ่ายมองฉันคนเดียว โดยที่ฉันไม่สามารถรับรู้ได้ตลอดไปใช่ไหม”

คำถามของรดาทำเอาเด็กชายเงียบเสียงไป เขาก้มหน้าแล้วสะอื้น จากนั้นต่างคนต่างก็เงียบไปอีก

“เอาล่ะ พร้อมจะกลับไปแล้วหรือยัง” ทวยะถามแทรกความเงียบขึ้นมา “คนมารับ...รออยู่นานแล้ว”

รดาเงยหน้ามองเพื่อนผมสักครู่ แล้วจึงพยักหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะหันมองกลับไปยังน้องชาย “ฉันรักแกนะไอ้แห้ง หวังว่าแกคงจะได้ไปเกิดในที่ดี” เธอบอก ยื่นมือออกแตะแก้มน้องชายที่ไม่อาจสัมผัส แล้วยืดกายยืนขึ้น ผละเดินออกจากบริเวณหอไป โดยไม่หันกลับมาอีกเลย

ผมเห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกชื่นชมผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา... เธอเข้มแข็งมาก

เมื่อรดาลับสายตาไปแล้ว ชายชุดเทาก็มาปรากฏตัวข้างกายเด็ก โดยที่ผมไม่ทันสังเกต...ช่างหลอนเสียจริง

เด็กคนนั้นเงยหน้ามองชายชุดเทา แล้วเบ้ปาก ก่อนก้มหน้าลงไปอีก ชายชุดเทาจึงยกชูตะเกียงในมือขึ้น แสงสีนวลจากตะเกียงฉายลงมาอาบร่างน้อยๆ ของเด็กชาย จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับแสงตะเกียงที่ค่อยๆ หรี่ลง จนกลับเป็นตะเกียงปกติ

ชายชุดเทาหันกลับมาทางเราสองคน โค้งตัวอย่างอ่อนน้อมคราหนึ่ง ร่างของเขาจึงหดกลับเป็นแมวเทา แล้วกระโดดหายเข้าไปในพุ่มไม้

ได้ยินเสียงทวยะถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง

“จบเรื่องแล้วสิ” ผมถามออกไป ทวยะพยักหน้า ก่อนจะก้าวไปกดลิฟท์ขึ้นตึก

“เศร้าจังนะ ทั้งครูปานกับพี่ชาย ทั้งรดากับน้องชาย พวกเขาต่างก็ต้องจากกันเพราะความตาย” ผมออกความเห็น

“ไม่ว่าใครก็ต้องจากกันทั้งนั้น ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย”

“มันก็ยังเศร้าอยู่ดี...”

“แต่ก็เป็นเรื่องปกติ” ทวยะบอกเสียงนิ่ง

“ถ้าเป็นฉันขอเลือกจากเป็นดีกว่า อย่างน้อยก็ยังมีความหวังว่าจะได้พบกันอีก”

“แล้วก็ต้องจากกันอีก”

“ก็จริง...แต่ละคนต้องมีชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป นายพูดเองนี่”

“มันก็ไม่แน่ สำหรับบางคน ไม่ว่าจะยังไงก็แยกจากกันไม่ได้ จนกว่าจะถึงวันตาย”

“เฮ้ย! อย่าพูดน่ากลัวแบบนั้นสิ คนแบบนั้นมีที่ไหนกัน นอกจากจะตัวติดกันน่ะ”

ทวยะไม่ตอบ แค่ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าลิฟท์ไป

###

แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 55 22:44:38

จากคุณ : ตรีพันธ์
เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 55 22:34:37




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com