หญิงงามที่มหิตาเทวีประสงค์ร้ายด้วยพระทัยหวาดระแวงนั้น กลับแสดงความห่วงใยพระนางเสียมากมาย ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาพร้อมๆ กับสับสนในพระทัย เมื่อได้ยินว่าเป็นเพราะรับประทานของแสลงไม่ถูกโรค จึงทำให้บาดแผลอักเสบขึ้นมาอีกครั้ง มหิตาเทวีจึงค่อยเบาฤทัยและผ่อนคลายท่าที
"เฮ้อ...อย่างนั้นก็ค่อยเบาใจ ว่ามิใช่เกิดจากกะ..." เกือบจะทรงหลุดความลับในพระทัยออกมา แต่ก็ยั้งโอษฐ์ไว้ทัน
"เพคะ เป็นหม่อมฉันไม่ดีเอง รับประทานของไม่ระวังหลงลืมว่ามีบาดแผลอยู่" มือเรียวยกขึ้นบีบกระชับมือบอบบางซึ่งบัดนี้เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของพระนาง
"พี่กุสุมาลย์...คือข้า...ข้าขอโ.."
"ทรงประสงค์สิ่งใดเพคะ?"
ความดีงามของนางทำให้มหิตาเทวีเป็นทุกข์ จึงอยากเอ่ยปากขออภัยต่อนาง แต่ทว่าพระนางยังมิกล้าหาญพอที่จะยอมรับว่าได้ทำร้าย หญิงที่เป็นดังภคินีอีกคนขององค์เองได้ จึงได้แต่กลืนถ้อยคำที่คิดจะตรัสนั้นลงพระศอไป
"ไม่...ไม่มี คือข้า...เวียนหัวในนี้อบอ้าวนัก ข้าอยากจะออกไปเดินเล่นให้ปลอดโปร่งในอุทยานเสียหน่อย"
"แต่ว่า...พักสักประเดี๋ยวเถอะเพคะ สีพระพักตร์ยังไม่ดีขึ้นเลย หม่อมฉันเกรงว่าเสด็จออกไปอาจลมจับเอาได้"
"เงียบเถอะน่า!! ข้าบอกว่าจะไปก็ไปสิ!!"
ยิ่งกุสุมาลย์แสดงความเอาใจใส่และอาทรพระนางเพียงใด มหิตาเทวียิ่งอึดอัดขัดข้องใจยิ่งนัก ถึงกับเผลอตวาดใส่นางด้วยอารมณ์อันขุ่นมัวจนนางโฉมงามหน้าเสียไป
"ข้า...เอ้อ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพี่กุสุมาลย์ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ แต่พี่น่ะไปพักเถอะ กินยาแล้วก็ไปนอนเสียจะได้หายเร็วๆ เดี๋ยวข้าให้ปทุมมากับพี่ศรีดาราไปเป็นเพื่อนแทน มิต้องเป็นห่วงหรอก" ประโยคปลอบประโลมหลั่งออกมาดังน้ำรินชโลมใจ กุสุมาลย์จึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้
"ขอบพระทัยเพคะ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะสั่งห้องเครื่องให้ทำน้ำมะตูมตามไปถวายที่ ศาลาในอุทยานนะเพคะ เผื่อว่าทรงดำเนินมากแล้วจะพระศอแห้ง"
"ขอบใจพี่มาก..." ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงเหือดแห้งเต็มที ในดวงเนตรนั้นฉายแววรวดร้าว มิต้องการให้กุสุมาลย์มาดูแลเอาใจใส่พระองค์ ทั้งที่พระนางเองเผลอคิดร้ายกับมิตรที่ดีที่สุดอย่างนางพี่เลี้ยงคนสนิทด้วยซ้ำ
มหิตาเทวีใช้สายพระเนตรมองส่ง จนกุสุมาลย์คลานถอยหลังไปจนถึงบานทวาร และลุกขึ้นเดินข้ามธรณีออกไป ด้วยพระทัยอันว้าวุ่นยิ่งนัก ข้างฝ่ายนางโฉมงามกลับเข้าใจไปว่าแววเนตรฉายแวววิตกกังวลนั้น เกิดขึ้นด้วยพระทัยอันดีงามเป็นห่วงใยอาการเจ็บป่วยของนาง จึงปลาบปลื้มชื่นหัวใจยิ่งนักที่ได้รับความเมตตาจากผู้เป็นนายถึงเพียงนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความหลังครั้งเก่ายังพรั่งพรูหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำอีกมากมาย กุสุมาลย์กำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ หากแต่นางไม่ได้รู้สึกรู้สมใดกับความเจ็บปวดทางกายมานานนับพันปีแล้ว ที่คงเหลือมีแต่รอยบาดแผลกลัดหนองในดวงใจที่ยังไม่ทุเลาลงแม้แต่น้อย นางเฝ้ารอวันชำระหนี้พยาบาทข้ามภพนี้ให้สาสม รอยแผลในใจจึงจะจางหายไปได้ หญิงงามซึ่งบัดนี้เหลือโฉมอันสะสวยเพียงซีกหน้าด้านเดียว ยกมือขึ้นสัมผัสรอยแผลไหม้เกรียมจนกลายแผลเป็นบนนวลแก้มขวาด้วยมืออันสั่นเทา
แม้จะสังขารจะสิ้นสลายเป็นเพียงธุลีไปตามกาลแล้วก็ตาม หากจิตวิญญาณยังอยู่ยั้งยืนยงด้วยใจอันมาดหมายขออาฆาตจองเวรมหิตาเทวีนางกษัตริยาอันเป็นต้นเหตุ แค่ตรึกตรองถึงนวลหน้าแน่งน้อยที่เคยโอบอุ้มเฝ้าทะนุถนอมมาแต่ครั้งยังเป็นกุมารีองค์น้อย อีกทั้งยังรักใคร่ห่วงหาอาทรนางดังน้องสาวร่วมอุทร แล้วไยจึงทำร้ายนางได้ถึงเพียงนี้ กุสุมาลย์ทั้งรักทั้งชิงชังนางยิ่งนัก สุดท้ายจิตอันเกิดจากความโศกตรมก็แปลเปลี่ยนมาเป็นพยาบาทมาดร้ายแทน
หญิงงามจากอดีตกาลเดินตามหลังเคียงฟ้าไปจนตลอดทั้งวัน พบเห็นเหตุการณ์ที่มิรันตีจงใจแกล้งเจ้าหล่อนอยู่หลายหน ไม่ว่าจะเป็นแกล้งเบาๆ อย่างการพูดปั้นเรื่องขึ้นเหน็บแนมให้คนที่ตนเรียกว่าเพื่อนเสียใจ หรือหนักข้อขึ้นถึงขั้นทำให้เจ็บตัว ทั้งที่ทั้งสองไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันโดยตรง เคียงฟ้าเองก็ใช่ว่าจะซื่อเสียจนไม่รู้เหลี่ยมของเพื่อน แต่ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธเคือง จึงพยายามคิดว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญ
ตั้งแต่เช้าของวันนั้นมิรันตีเล่าให้หล่อนฟังว่า มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับตัวหล่อนเกิดขึ้นในคณะ บ้างก็ว่าหล่อนหยุดเรียนไปเพราะทำใจไม่ได้ที่ถูกผู้ชายทิ้ง จนกระทั่งเที่ยงวันคนเป็นเพื่อนแต่เปลือกนอกก็ยังไม่เลิกพูดใส่ไคร้ให้หล่อนเจ็บร้อน ทังสองเพิ่งไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมาจากโรงอาหาร และประคองถาดออกมารับประทานกันยังโต๊ะคณะ
"บ้าสิ! ฉันยังไม่มีแฟนแอนก็รู้" เคียงฟ้าปฏิเสธเสียงสั่น
"ก็ใช่น่ะสิ....แต่เรื่องเธอไปยืนร้องกรี๊ดๆ อยู่บนสะพานนั่นน่ะ เขาลือกันว่าเธอถูกสลัดรักเลยจะฆ่าตัวตาย"
"บ้าจริงลือเข้าไปได้ ไปเอาเรื่องบ้าๆ แบบนี้มาจากไหนกัน? " หญิงสาวยิ่งฟังยิ่งหัวเสียหารู้ไม่ว่าคนที่ปล่อยข่าวก็คือคนข้างตัวหล่อนนี่แหละ
"นั่นยังไม่เท่าไรนะ..."
ยิ่งเล่ามิรันตียิ่งเติมสีเพิ่มมากกว่าเดิม หล่อนรู้สึกฮึกเหิมกว่ายาวปรกติมากนัก เหมือนมีใครบางคนบอกว่าหล่อนทำถูกต้องแล้ว ถ้าหากหญิงสาวผู้มากด้วยจริตคนนี้มีตาทิพย์ หล่อนคงมองเห็นว่าใครกันเป็นผู้กระซิบข้างหู ให้หล่อนปล่อยถ้อยคำทำร้ายความรู้สึกเคียงฟ้าอยู่ไม่หยุดหย่อนแบบนี้
"ที่แย่น่ะ คือเขาลือกันว่าเธอโดนผู้ชายหลอกฟัน พอรู้ว่าเธอท้องก็ทิ้ง"
"หา!!?" เคียงฟ้าหยุดกึ๊กทันทีที ใบหน้าหล่อนแดงก่ำไปด้วยความโกรธสองมือสั่นเทาจนถาดอาหารที่ซื้อมาแทบจะหล่นจากมือ จึงรีบวางลงบนโต๊ะตัวที่ใกล้มือที่สุดแม้จะยังเดินไม่ถึงโต๊ะคณะก็ตามที
"จริงๆ นะ ฉันไม่ได้โกหก ฉันได้ยินมากับหูเลย" มิรันตียังเติมไฟร้อนไม่เลิกรา
"ใคร? ใครกันบอกฉันมาเดี๋ยวนี้แอน ฉันจะไปถามเขาต่อหน้าเลยทำไมมาพูดให้ฉันเสียหายแบบนี้?" งูพิษในคราบเพื่อนของหล่อนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างสมใจเล็กน้อย ก่อนจะแกล้งตีสีหน้าวิตกกังวล
"ไม่เอาน่าฟ้า อย่ามีเรื่องเลย ให้มันแล้วไปแล้วเถอะ จะไปเอาอะไรกับปากคนเล่า"
"แต่ฉันเสียหาย!! มากด้วย นี่มันศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงเลยนะ" หล่อนเดือดดาดมากขึ้นทุกขณะ ในขณะที่หญิงผู้ไร้ร่างยืนกอดอกคลี่ยิ้มมองดูเหตุการณ์อย่างสาแก่ใจ
'แม่มิรันตี...เอาอีกสิ...ให้นางนี่ร้อนรนกว่านี้ ให้อับอายยิ่งกว่านี้'
เสียงกระซิบแว่วมาตามสายลม แต่มิรันตีและเคียงฟ้าไม่ทันรู้สึกตัว เพราะตกอยู่ในห้วงอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งนั้นโมหะเผาใจจนร้อนเร่า อีกคนนั้นเล่าก็ถูกความริษยาบังตา จนพูดจามุสาปั้นน้ำเป็นตัวออกมาเสียมากมาย โดยหลงลืมความละอายไปเสียสิ้น
"ใช่ฉันเข้าใจ...แต่เราเป็นผู้หญิง เราเป็นฝ่ายเสียหายนะ เธอหยุดเรียนไปจริงๆ จะไปต่อว่าข่าวจะยิ่งแพร่ไปน่ะสิ ว่าเธอเพิ่งไปทำแท้งมาจริงๆ" นัยน์ตาร้ายๆ ของมิรันตีเก็บอาการลิงโลดไม่อยู่ หล่อนแสร้งส่งเสียงให้ดังขึ้นจนคนรอบข้างหันมามองกันเป็นทิวแถว
"ทำแท้ง? นี่ลืออะไรกันบ้าบอคอแตก นี่ฉันแค่เป็นไข้หยุดไปไม่กี่วันแค่นี้ลือกันไปขนาดนี้ได้ยังไง? ฉันไปท้องกับใครที่ไหนในเมื่อฉันไม่มีแฟน"
"โอ้ย...ฟ้าเอ้ย สมัยนี้ไม่ต้องมีแฟนก็ท้องได้ ยิ่งแก้ตัวจะยิ่งฉาวกว่าเดิมน่ะสิ เงียบๆ ไว้ดีกว่า" เมื่อเห็นว่าเพื่อนของหล่อนมีทีท่าลังเลใจ ก็รีบฉวยโอกาสใส่เหตุผลที่ตนปั้นแต่งขึ้นเองให้ฟังเป็นการใหญ่