Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< บัลลังก์ลูกไม้ ::..[45]>> vote ติดต่อทีมงาน

-สี่สิบห้า-


บ้านน้อยหลังนั้นตั้งอยู่หลังลาดเนิน รูปทรงสี่เหลี่ยมเกือบจัตุรัส ไม่แคบ แต่ก็ไม่ถึงกับกว้าง ทั้งการจัดแต่งก็เรียบง่าย ไม่มาก แต่ไม่น้อย ละล้วนเป็นระเบียบ บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี

เมื่อทิวาวาร ม่านฟ้าจะเผยให้เห็นตัวบ้านเป็นแบบหลังคาจั่ว สร้างจากไม้สนตลอดทั้งหลัง ฝั่งหนึ่งเลี้ยงไม้เลื้อย ใบเขียวมัน รูปหัวใจกระจิริด ให้ดอกสีบานเย็นรูปดาวกระจาย ตัดกับส่วนใหญ่ที่ปลูกใส่กระถางสานบนขอบหน้าต่าง เป็นดอกใหญ่สีละม้ายเหลืองขมิ้น ห่างไปไม่ไกลคือคอกไม้ ที่เจ้าของคอกยังทอดน่องและเล็มหญ้าอย่างอิ่มหมี

สิ่งที่ต่างจากบ้านไม้ในอะแลมเบิร์กอย่างเห็นได้ชัด คือบ้านนี้มีหน้าต่างถี่ยิบ เหมือนผู้เป็นเจ้าของ รักจะทอดสายตาทัศนาทิวทัศน์ไปแสนไกล

ซึ่งไม่แปลก...

รอบรายล้วนวิจิตรพิไล ไม่ผิดวาดจากปลายพู่กันจิตรกรชั้นเอก

ด้านหน้า ลาดเนินที่ค่อยยกตัวสูงขึ้นไปคือลานโล่ง หญ้าต้นสั้นๆ กลับพรรณรายด้วยช่อดอกสีเหลืองทอง ต่อเมื่อวาโยโชยชายจะพลิ้วไหวคล้ายระยิบระยับ ไม้ใหญ่ยืนต้นห่างไปเป็นระยะ ฤดูกาลย้อมยอดเป็นสีเขียวชอุ่มต่างเฉด สังเกตเห็นภูผาฝั่งตรงข้าม เตี้ยต่ำแค่ก้อนหินเหนือขอบเนิน ส่วนมากถูกบดบังด้วยซุ้มไม้ ที่เกาะกลุ่มเห็นชัดน่าจะเป็นจุดที่ถนนสู่หมู่บ้านชาวน้ำ ทอดไปหว่างพฤกษพรรณอันโค้งคุ้มประดุจหลังคา

ด้านหลัง พื้นที่สูงต่ำคลับคล้ายลูกฟูกค่อยลดระดับลงสู่ชายน้ำ มีพุ่มเตี้ยๆ ตัดสลับกับสนแหลมไม่สูงมากนัก มองไกลๆ ประพิมพ์ประพายลูกไม้แตะขอบพื้นกระจกบานมหึมา ภาพสะท้อนจากเทือกทิวสลับซับซ้อน ตลอดจนแผ่นฟ้าเบื้องบน ระบายให้ผืนทะเลสาบกลายเป็นสีฟ้าคราม สลับเทาอ่อนเข้ม ช่วงที่เป็นสีขาว ยากจะแยกว่าส่วนไหนคือยอดภูอันปกด้วยปุยหิมะ ฤาส่วนไหนคือปุยเมฆา บางคราวท่ามกลางระลอกระริกพลิ้ว มัสยาจะผลุบโผลง ดุจท้าทายนกปากยาวปีกขาว ที่ร่อนโฉบลงบนผิวน้ำประหนึ่งเริงระบำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อสาย...ตอนที่หิ้วหอบผ้าเค็ม ทั้งของตัวแขกและผู้เป็นเจ้าของลงมาซักล้างริมชายน้ำ ฝ่ายหญิงอดตื่นเต้นชี้ชมภาพที่เห็นรางๆ อยู่ลิบๆ มิได้

“ฝ่...เอ้อ...”

ถึงอย่างไรคำติดโอษฐ์ก็ยังทำตะกุกตะกัก กับสีพักตร์พลันซ่านขึ้น เพราะผู้ถูกเรียกทรงหันมาทำนัยนากรุ้มกริ่ม แวววาว สะท้อน ‘สัญญา’ ชัดกว่าทะเลสาบสะท้อนภาพแผ่นฟ้าเสียอีก

‘ใครพูดผิดต้องถูกลงโทษด้วยการหอมแก้ม!’

ท่าที่ถอนพระทัย เหมือนจะทรงเหนื่อยหน่าย...เพราะต้องลงโทษอีกฝ่ายไม่รู้แล้ว จึงเป็นท่าที่ทรงเสแสร้งชัดๆ ด้วยถึงอย่างไรก็ทรงจุดรอยแย้มมุมโอษฐ์ ทั้งถึงกับวางตะกร้าผ้า ขยับกล้ามพระมังสะพาหาและพระกรเสมือน ‘อบอุ่นวรกาย’ …พร้อมสำหรับตระกองรัด!

“เมื่อกี้ข้างซ้ายไปแล้ว คราวนี้เอาเป็นข้างขวา”

ท่าย่างสามขุมเข้ามา พาให้คนจะถูกทำโทษ ลืมองค์สาวพระบาทถอยหนี

“ยังไม่ได้พูดผิดนะ! หม่อมฉันแค่...!”

หลุดไปแล้วก็ต้องทรงตะครุบโอษฐ์ เบิกเนตรกว้างอย่างตกพระทัย

ผู้ทำโทษยกดรรชนีทั้งสองข้างชี้มา เลิกขนงแล้วเอียงพระพักตร์ส่ายครึ่งๆ เป็นสัญญาณว่า...เห็นไหม? ยังไงก็ไม่รอด!

“อย่างนี้ไม่ต้องเลือกข้างไหนแล้ว ผิดสองครั้งก็ต้องโดนทั้งสองข้าง”

หลังจากถูกโอบรั้ง เพื่อสูดปรางทั้งสองฟอด คนถูกกอดทำพักตร์ยุ่ง

“กว่าจะถึงโมลาสโม่ มีหวังหมะ...น้อง...” คราวนี้เริ่มทรงรู้จักรวบเป็นเสียงเดียวกันได้

“...คงกระดูกแก้มหัก!”

“อย่างนั้นจะให้โอกาสหอม ‘พระปราง’ พี่คืน อ้ะ!”

ตั้งพระทัยรับสั่งผิด พลางป่องปรางข้างหนึ่งหันให้แต่โดยดี แถมหยีเนตรเสียข้างยังกับเกรงจั๊กจี้

“ไม่!”

“อะไรกัน?! ขี้โกง!” เจ้าของดำริโวยวาย

“ต๊าย! มัวแกล้งน้อง จะทระ...พลาดแล้วเห็นมั้ย ดูนั่นค่ะ!”

ผู้ที่เริ่มสามารถรวบคำ สร้างศัพท์ใหม่ได้ชำนาญ แทบจะชี้ไปเต้นไปตรงตามศัพท์...ทั้ง ‘ตื่น’ ทั้ง ‘เต้น’

อีกฝ่ายจึงทรงยอมหันตามแต่โดยดี หากไม่วายทำพระเนตรหรี่

“ไหน?”

“นั่นไงคะ ควันขาวๆ จะลอยมาปิดอีกแล้ว”

อย่างแนบเนียน...และโดยอัตโนมัติ...เจ้าของคำถาม “หนาย?” ก็ทรงกระเถิบมาวางพักตร์ใกล้ ในทำนองจะได้เห็นจากมุมมองที่ตรงกัน

“นั่นน่ะ!”

‘นั่น’ คือจุดเหนือยอดที่ยังเป็นสีเทาแกมเขียวหนึ่ง แห่งภูสล้าง ณ ฝั่งตรงข้าม...จุดไกลโพ้นแทบลิบตาแล ปรากฏหอคอยคู่ ทะลุสูงจากขอบสันเขา เลือนรางด้วยหมอกควันจาง จนส่วนยอดแทบละลายไปกับความพร่างขาว  

“หอคอยบูเลทิน”

สุรเสียงตอบ นุ่มนวล ระคนเลื่อนลอย เหมือนทรงตกอยู่ในภวังค์แห่งภาพลวงตานั้นเช่นกัน

ภาพฝัน...อันมิช้าจะเลือนสลายไปในหมู่เมฆ...

ภวังค์ดังกล่าวพลอยมลาย ครั้นผู้ชี้นำทรงหันกลับ ความใกล้ทำให้ปลายนาสิกสัมผัสข้างปรางสากของอีกฝ่ายเต็มเปา

“อย่างนี้ถือว่ายุติธรรมดีแล้ว!” คนถูกลงโทษ กลับลอยพักตร์อย่างพึงพระทัย ดำเนินไปอุ้มตะกร้าแล้วนำสู่ชายตลิ่ง

ผู้ได้ลงโทษแท้ๆ มุ่นพักตร์ ขยับโอษฐ์โดยปราศจากเสียงได้ความว่า...ไก่เจ้าเล่ห์!

“อย่าลืมนะว่าพี่มีตาหลัง”

รับสั่งนั้นเริ่มทำให้ผู้ฟังแน่พระทัย...ไม่ใช่ ‘ตาหลัง’ หากแท้จริงมีเนตรยังกับสับปะรด แถมยังได้ยินเสียงในใจคนอื่นอีกตะหาก!

“ฝ...” เจ้าของ ‘เสียงในใจ’ พัฒนาขึ้นได้หน่อย เพราะครั้นจะปล่อยคำผิด ก็พลันกดชิวหาได้ทัน

“ท่านพี่...” เรียกออกมาได้แล้วก็แทบถอนพระทัยโล่งอุระ

“...วางทิ้งไว้ให้น้องจัดการเองดีกว่าค่ะ กลับขึ้นไปที่บ้านเถอะ เผื่อมาโดตื่นขึ้นมาอยากได้อะไรด้วย...”

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผู้เร่งเดินทางกลับถูก ‘รั้ง’ …ต้องฆ่าเวลาโดยมาซักผ้าอยู่ที่นี่

เหตุที่ทำให้ไปต่อมิได้!

...ตั้งแต่เช้า หลังเสร็จจากสรงที่หลังบ้าน ครั้นเสด็จกลับเข้ามา เจ้าหญิงเพอร์นีเลียทรงกรีดลั่นด้วยความตระหนก

‘มาโด?! มาโด!!!’

เพราะภาพที่เห็น คือสตรีผู้เป็นประหนึ่งเจ้าของบ้าน นอนล้มคว่ำอยู่กับพื้น นมสดจากเจ้าของคอกข้างบ้าน หกเรี่ยราดเป็นกองใหญ่ ในเมื่อถังไม้หลุดจากมือผู้ถือลงไปกลิ้งกะเท่เร่อยู่อีกทางหนึ่ง

ระหว่างทรงพลิกร่างนั้นหงายขึ้นสำรวจร่องรอยบาดเจ็บ อาคันตุกะฝ่ายชายก็ทรงเปิดประตูห้อง รี่มาถึงองค์

เจ้าหญิงเพอร์นีเลียกำลังประทับนั่งประคองคนเจ็บ ที่สำคัญคือมัวทรงตระหนกกังวลจนไม่อาจถอนสายพระเนตรห่างจากมาโด จึงไม่มีทางทอดพระเนตรสีพักตร์ของคนร่างสูงใหญ่ได้ถนัด

ทรงตีค่าอาการประทับยืนนิ่งงัน เป็นการตื่นพระทัย จนอีกฝ่ายทรงทำกระไรไม่ถูก

‘โชคดีไม่มีบาดแผล!’

‘ตัวก็ไม่ได้ร้อน...ที่แปลว่าเป็นลมเพราะป่วยไข้ด้วยใช่มั้ย?’

สุรเสียงผู้มาทีหลัง เรียบเฉยจนแทบไม่แสดงถึงความรู้สึกระทึกใด ผิดกับอีกฝ่ายที่ทรงจดจ่อจนลืมสังเกต หรือเอะพระทัยในลักษณาการชนิดนั้น

‘อาจจะทำนมหก เลยลื่นล้มสลบไป’

‘แปลก...ไม่ยักได้ยินกระทั่งเสียงถังหล่น’

แท้ที่จริงคือตลอดเพลานั้น เจ้าของสุรเสียงนิ่งสนิทไม่ผิดท่วงอิริยาบถ ทรงกอดอุระหลวมๆ หลุบพระเนตรจ้องราวจะรับสั่งกับคนสลบไปกระนั้น

‘เอาตัวไปที่เตียงก่อนดีกว่า ทรงช่วยหม่อมฉันหน่อยเพคะ’

สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานพาให้ลืมองค์ และทีอย่างนี้...ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้า ‘คนอื่น’ ผู้มักทักท้วงเพื่อหาข้อทำโทษ กลับมิทรงนำพากระทั่งเกรง ‘ความลับ’ จะหลุดรั่ว

ในที่สุด ครั้น ‘จ้อง’ จนแน่พระทัยแล้วว่า คนหลับจะ ‘ยัง’ ไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ องค์เหนือหัวจึงทรงยอมก้มลงช้อนร่างนั้นขึ้น

‘เอาไว้ที่ห้องนายของเขาก่อนแล้วกัน คงอีกนานกว่าจะฟื้น’

‘แล้วถ้านายของมาโดกลับมา?’

‘เห็นจะ ‘ยัง’ ไม่กลับมาง่ายๆ เหมือนกัน’

น่าแปลกที่ทรงวาจาสิทธิ์นัก หรือจะเพราะเป็นพาทีแห่งองค์นริศวรก็ไม่ทราบ หลังจากจัดการคนเจ็บจนเรียบร้อย รวมทั้งเจ้าหญิงเพอร์นีเลียทรงเช็ดตัวและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้แล้ว ยังคงไร้วี่แววว่ามาโดจะตื่น หรือผู้เป็นนายจะคืนมา

‘ทำยังไงดีเพ...คะ?’ ครั้นเหตุการณ์เริ่มคลี่คลาย พระสติที่ลอยหายถึงหวนกลับ

‘น้องไม่อยากทิ้งเขาไว้คนเดียวอย่างนี้เลย’

ผู้ปรารภ ไม่ทรงหาญออกโอษฐ์ตรงไปตรงมา ด้วยทรงทราบอยู่ดีว่าราชภารกิจที่รออยู่ย่อมสำคัญ...กว่า ฉะนั้น เรื่องจะขอให้ทรงสละเพลาเพียงเพื่อคนๆ เดียวคงไม่บังควร

ผู้อ่อนต่อโลก และทรงมองแทบทุกอย่างในแง่งาม ไม่มีทางทรงตระหนักถึงดำริที่แท้ ภายใต้พระกิริยาทอดพระเนตรคนเจ็บนิ่งเฉย

ทรงแปลไปอีกทางว่า องค์เหนือหัวน่าจะกำลังทรงดุลพระเมตตากับหน้าที่อยู่จริงๆ ทำให้ยังไม่อาจออกโอษฐ์ ตัดสินพระทัยอย่างเฉียบคมง่ายดายได้เช่นเคย

และค่าที่มัวจับสีพระพักตร์อยู่อย่างนั้น ผู้ปรารภจึงไม่มีโอกาสทอดพระเนตรความเปลี่ยนผันใน ‘คนเจ็บ’ เช่นกัน...

การทอดจังหวะตัดสินพระทัยนาน...ดูจะกระตุ้นให้ดวงตาใต้เปลือกที่ปิดอยู่นั้น ถึงกับกลิ้งเกลือกกระวนกระวาย!

“เราคงต้องอยู่รอ ‘ดู’ อาการจนกว่าเขาจะฟื้น หรือนายเขาจะกลับ”

“ขอบ...คุณในน้ำใจค่ะ!”

ประโยคนี้แปลเป็นภาษาปกติแล้วไม่น่ามีคนปกติใช้

อย่างไรก็ตาม ผู้รับสั่งมัวซาบซึ้งจึงมิได้ใส่พระทัย และนั่นก็เป็นอีกคราที่ทรงพลาด...

ดวงตาใต้เปลือกค่อยสงบ

คนเจ็บเผลอถอนหายใจทั้งที่หลับตา ราวกับจะโล่งอกที่ทุกอย่าง...

เป็นไปตามแผน...

. . . . . . . . . .



เสียงคลื่นน้ำในทะเลสาบซัดซ่า ระคนกับเสียงหมู่ไม้กระดิก เป็นพื้นหลังของเสียงจุ่มซักผ้าเก่าในถังไม้ข้างชายน้ำ

จนแล้วจนรอด ผู้สวมบท ‘เนธาน’ ก็มิได้ขึ้นไปดูคนเจ็บอยู่ดี ทรงให้เหตุผลว่า

“เขายังไม่ตื่นมาตอนนี้หรอก”

ครั้นพอถูกทูลถาม “ท่านพี่รู้ได้ยังไง?” ก็ทรงเฉไฉไปอีก

“อ้ะ ถ้าไม่เชื่อมาลองพนันกันเลย ใครแพ้คนนั้นจะต้อง...”

“พอเลยพ...คะ เอาเป็นว่าน้องเชื่อว่ามาโดจะยังไม่ตื่น”

“ว้า...ทำไมไม่ลองเล่นดูก่อนล่ะ เขาอาจจะตื่นก็ได้นะ?”

“อย่าเลย กติกาของฝ่...ท่านพี่ มีแต่น้องจะเสียเปรียบ!”

เท่านั้นผู้ถูกเท่าทันก็สรวลอย่างชอบพระทัย แล้วเลยหาทาง ‘เอาเปรียบ’ ใหม่ ด้วยการทำทีจะช่วยซักผ้า ทว่ากลับควานในอ่างได้แต่หัตถ์ของอีกฝ่ายทุกทีไป

“อย่างนี้ช่วยให้ช้ามากกว่า!”

“แหม...ก็ผ้ามันพันพัว”

การซักผ้าน้ำแรกจะใช้สบู่ละลายก่อน สบู่ของมาโดไม่เหมือนชนิดที่ใช้ในพระตำหนักน้อย รวมถึงพระตำหนักอื่นๆ อย่างที่เจ้าหญิงวุ่นวายเคยทรงเสาะไปทอดพระเนตรจนรู้ครบ...ความต่างอยู่ตรงไม่ยักมีกลิ่นหอมๆ

“วิธีผลิตเหมือนกัน คือต้มน้ำให้เดือด แล้วผสมขี้เถ้ากับไขมันลงไป พอกวนเข้ากันแล้วค่อยเติมเกลือ เพื่อช่วยให้สบู่แข็งตัวนานขึ้น ทีนี้ชาวบ้านมักใช้ไขมันสัตว์เพราะราคาถูกและหาง่ายกว่า ในวังร่ำรวยนักก็ใช้น้ำมันมะกอกอย่างดี ผสมกับน้ำหอม”

ดูคล้ายกับว่า ต่อให้เรื่องอะไร ผู้เคยประทับอยู่แต่พระเก้าอี้รถเข็นเหนือยอดปราสาทแท้ๆ กลับทรงทราบไปเสียหมด

“ทำไมท่านพี่ทราบ?”

“ทีเจ้า...ทำไมยังรู้วิธีซักผ้า?” คนถามย้อน พอนึกจะทรงช่วยขึ้นมา ก็ทำให้งานเดินไวขึ้นได้จริงๆ แหละ

“ก็น้องเป็นผู้หญิง ผู้หญิงต้องรู้เรื่องงานบ้านงานเรือน”

“แต่ผู้หญิงที่เป็นเจ้านายไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดขนาดนี้”

รับสั่งอย่างที่แสดงว่า...เป็นอีกเรื่องซึ่ง ‘ทรงทราบไปเสียหมด’

“เก๊าะ...” โกหกต่อไปย่อมใช่ที่ ในเมื่อกับ ‘คนปกติ’ ยังทรงปดด้วยให้ถูกจับได้ แล้วนี่คนที่จะทรงปดใส่ ใช่ ‘คนปกติ’ เสียที่ไหน

ท่าทางจะไม่ใช่ปีศาจไก่ธรรมดา

ต้องเป็นไก่ย่างสับปะรดแหงๆ!

“น้องสงสัยนี่คะ ก็เลยตามไปดูด้วยความสนใจ”

“บางที...” ใต้รอยสรวลมีพิรุธ ที่น่าจะเป็นความจริงลึกซึ้งลงไป

“...พี่คงจะสนใจ ‘ความสงสัยนั้น’ ล่ะมั้ง”

คนฟังเกิดพระอาการร้อนวูบวาบบนวงพักตร์ขึ้นมาเฉยๆ เพราะรับสั่งยังกับทรงเฝ้าติดตาม แล้วครั้นทรงทราบความสงสัยส่วนพระองค์ของผู้ถูกตาม ก็เลยพลอยสนพระทัยไปหาความรู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมมาด้วย

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าจะทรงรอบรู้ไปทั่วหรอก...

คนถูกตามน่ะ วันๆ ‘สงสัย’ น้อยเรื่องอยู่เสียเมื่อไหร่!

แต่...เป็นไปไม่ได้น่า! ก็ตอนที่ ‘สงสัย’ เรื่องนี้น่ะ ยังเด็กมากๆ อยู่เลยนี่นา?

ไม่สิ! ควรจะบอกองค์เองว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมาถูก ‘สนพระทัย’ มากกว่าล่ะมั้ง

เฮ่อ! หน่ายตัวเองจัง กลายป็นพวกชอบเข้าข้างตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?

เออ..ก็แล้วทำไมจะต้องเข้าข้างตัวเองด้วยนะ?!

โอ๊ย! ท่าจะถูกเริ่มเกมกวนขมองอีกแล้วกระมัง หาคำตอบยากชะมัด!

เมื่อหาคำตอบให้องค์เองมิได้ กับเริ่มกระสับกระส่ายในหัวข้อสนทนา จึงทรงเป็นฝ่ายเฉไฉไปเรื่องอื่นบ้าง

“นายของมาโดเลือกพื้นที่เก่งนะคะ มาปลูกบ้านในที่สวยๆ ขนาดนี้”

สายพระเนตรของคู่สนทนา ทอดตามไปยังอีกด้านหนึ่งไม่ไกล

ฝั่งนั้นเนินสูงมิได้ลาดลง ทว่าทอดเป็นลานดินยื่นออกมา ด้วยข้างใต้เป็นชั้นหินหนา ลักษณะที่ส่วนบนล้ำไปเหนือทะเลสาบ ทำให้แลคล้ายชะง่อนผา หากเป็นผาที่เตี้ยจนน่ากระโดดน้ำเล่นสบาย

“น่าจะมีศาลาชมวิวซักนิด แล้วตรงนี้ก็น่าจะมีท่าเรือยื่นออกไปอีกซักหน่อย”

รับสั่งของปีศาจไก่ที่ทรงวาดฝันนำต่อไป...จะถือว่า ‘สนพระทัย’ วจีแห่งองค์เองได้รึเปล่า?

“ท่าไม้เล็กๆ สำหรับผูกเรือพายลำเล็กๆ นะคะ”

ผู้ตาม ทรงพยักยังชายตลิ่ง ละอองไม้จากที่ไกลๆ ม้วนตัวโรยต่ำระเรี่ยน้ำ พอแตะผิวก็พลิ้วเป็นรอยคลื่น แมลงปอปีกใสที่เกาะอยู่ไม่ไกลสะดุ้งกระพือปีกหนี พาตัวอื่นๆ เวียนตามว่อน

“ใช่ แล้วเราก็จะปลูกดอกไม้ไว้เต็มเนินหลังบ้านนี่เลย เป็นทุ่งดอกไม้...เอาสีอะไรดี?”

“สีชมพูอมม่วงคล้ายๆ ไรอาทารก็ดี แล้วทุ่งดอกทานตะวันก็น่าจะสวยดีนะคะ”

“งั้นเนินนี้จะเป็นทุ่งทานตะวันและไรอาทาร!”

รับสั่งหนักแน่นเสมือนพระราชโองการ ‘กำหนด’ ไว้

“ส่วนหน้าบ้าน ลานกว้างใหญ่จะเป็นไร่องุ่น...ดีมั้ย? แนวเสาไม้ตีเป็นร้าน สำหรับเถาองุ่นไต่พันเป็นแถวๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา ดอกองุ่นเป็นช่อประดับตุ่มเล็กๆ ตอนออกผลก็เป็นพวงสีม่วงสวย”

“แล้ว...หน้าบ้านจะมีกำแพงหินเตี้ยๆ สำหรับให้ปีนเล่น มีชิงช้าแขวนไกว แล้วก็มีซุ้มประตูโค้งให้ดอกไม้เลื้อยขึ้นเต็ม”

“จะเป็นเช่นนั้น!”

อีกแล้ว...สุรเสียงหมายมาดชัด หากคราวนี้ ทั้งสุรเสียง ทั้งสายพระนัยนาฝันไกล เรียกเสียงสรวลจากคนข้างวรกายได้เบาๆ

“เราพูดความจริงนะ!”

เมื่อเสพระเนตรกลับมาสบ ความแน่วแน่กลับสามารถสะกดพระทัยผู้ฟังไว้ได้

“สัญญาได้มั้ย สักวัน...เราจะกลับมาด้วยกันที่นี่?”

เพราะคิดว่า ‘ฝัน’ เสียมากกว่า ผู้ถูกคาดคั้นจึงทรงยินดีแย้มให้ทั้งโอษฐ์และนัยนา

“ถ้าท่านพี่มา น้องก็จะต้องตามมาแน่นอน!”

. . . . . . . . . .



ห้องของผู้เป็นนายมิได้ใหญ่กว่าคนออกตัวว่าเป็น ‘ผู้อาศัย’ เอาเลย เครื่องใช้ไม้สอยทั้งหลายก็แทบเป็นพิมพ์เดียว ตั้งแต่โต๊ะไม้ไสผิวหยาบใต้บานหน้าต่าง มีกระจกเงารีเล็กวางบนมุม ตู้ไม่ใหญ่เพราะคงมีเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวไม่เยอะ ตั้งชิดผนังฝั่งหนึ่ง กลางห้องคือเตียงไม้ กั้นท้ายและหัวด้วยซี่เกลากลมกลึง ตัดขอบโค้ง

ราตรีนี้ บนเตียงมิได้ว่างเปล่า

ร่างที่ทอดเหยียดยาว สงบนิ่งราวเจ้าหญิงนิทรา เฉพาะช่วงหน้าอกมีผ้าคลุมเท่านั้น ยกตัวขึ้น – ลงสม่ำเสมอ แสงดาวอันทอเป็นทางผ่านบานหน้าต่างรูดม่านรับลมค่ำ ทอดจับต่ำลงมาช่วงกระบังลม ฉะนั้น ตอนที่อาคันตุกะฝ่ายหญิงค่อยเปิดประตูสาวพระบาทเข้ามาแบบเบา ราวเกรงผู้หลับอยู่จะถูกปลุกตื่น จึงทรงสามารถทอดพระเนตรเห็นท่อนแขนข้างหนึ่ง วางพาดเฉียงอยู่ ลักษณาการขยับน้อยๆ ชวนให้ทรงตีความว่า คนหลับน่าจะกำลังเกา ทั้งนี้ ส่วนเรียวมือบนหน้าอกถูกพรางอยู่กลางความมืด จึงไม่อาจทรงประจักษ์ชัด ว่าหนึ่งในเจ้าของบ้านกำลังทำกระไรกันแน่

ต่อเมื่อทรงยุรยาตรมาหยุดข้างเตียงนอน อาการขยับดังกล่าวหยุดลงเช่นกัน

ค่าที่สายพระเนตรเริ่มปรับเข้ากับความมืด...วงหน้าแป้นกลมในกรอบผมยาว ตรง เป็นสีเข้ม ค่อยแลถนัดขึ้นทีละน้อย ริมฝีปากหนากดกันเกือบจะเม้ม ส่งให้จมูกรั้นยิ่งดูรั้นขึ้นไป ทั้งที่เปลือกตาประดับขนหนายังปิดสนิท

สงสัยจะฝันร้าย...คิ้วเข้มไม่ผิดเขียน จึงวิ่งจรดกันอย่างไรชอบกล

ถึงอย่างนั้น คนทอดพระเนตรก็ยังทรงแย้มเยื้อนไม่คลาย ในเมื่อภาพที่ชัดยิ่งกว่ากลางพระมโนสำนึก คือเมื่อครู่...คนตัวใหญ่ทรงทำกระเง้ากระงอด เหมือนจะไม่ยอมให้ผละมาที่นี่ง่ายๆ

‘รีบไปรีบกลับนะ เวลาที่เหงาแล้วเราจะน่าสงสารมาก’

ดูเอาเถอะ! ต่อให้รับสั่งดังนั้น ผู้ร่วมทางลำพังมาด้วยกัน...ก็แค่สามวัน กลับยังสำเหนียกทราบ

ไม่มีทางซะหรอกที่จะทรงเหงา!

ลองหายนานเข้าหน่อย ถ้าไม่เสด็จมาตาม เดี๋ยวก็คงได้ทรงแอบแง้มเงี่ยพระกรรณอย่างเมื่อวานนั่นเล่า

เจ้าเล่ห์จะตายไป ปีศาจไก่ย่างสับปะรด!

มาโดยังไม่ตื่นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่งั้นจะทรงอดพระทัยนินทารายนั้นตามประสาหญิงด้วยกันมิได้

ทรงไม่กังวลพระทัยในอาการเจ้าบ้านสาวอีกต่อไป...ถึงจะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยตั้งแต่เช้า ทว่าค่าที่ไม่ทรงพบบาดแผล ทั้งเนื้อตัวมาโดก็มิได้ร้อนเร่า สุดท้ายจึงทรงยอมเชื่อองค์ภูบดีง่ายๆ

‘คงจะเดินทางยาวนาน เหนื่อยสะสมเลยเป็นลม พอหายเหนื่อยก็ตื่นขึ้นแหละ’

เห็นมั้ยว่าพระองค์น่ะ... ‘ทรงทราบไปเสียหมด’ จริงๆ!

ผู้ทรงยิ้มย่องผ่องใส...โดยเฉพาะในดวงพระนัยนากลมใหญ่ สีน้ำตาลไหม้ สุกใสจนละม้ายประกายดาว กำลังมีดำริว่า ‘พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้ามาดูใหม่’ หากครั้นทรงหันกลับ ข้อพระหัตถ์บอบบางก็ถูกกระชากรั้งจนพระทัยหายวาบ

“ม...มาโด...!”

ถ้อยรับสั่งดังกว่าปกติด้วยความตกพระทัย

แล้วก็แค่นั้น

แค่นั้นจริงๆ ที่ผู้ ‘แอบแง้มเงี่ยพระกรรณ’ มีสิทธิ์สดับได้...

เบื้องหลังผนังไม้ไม่หนาเลยสำหรับกั้นห้อง วรองค์สูงสัน เสด็จตามมาประทับรอ ‘สังเกตการณ์’ แต่ต้น จู่ๆ เกิดความร้อนหนึ่ง เสียดแปลบขึ้นจากกึ่งกลาง บริเวณช่องพระอุทร

ความร้อนนั้นซ่านแสบ ประดุจลวกลนจนพระทัยถูกกระตุก!

อาการชา เริ่มลาม ทว่าการพยายามทรงความรู้สึกต่อสู้ ดูจะทำให้แทบทุกตารางหน่วยในพระฉวี สั่นเทาจนถึงทะเทิ้ม

อย่างทรงตระหนักในสภาพพระอาการถัดไป...ทั้งที่ไม่ประสงค์ถอยห่าง ทว่าหากทรงดันทุรัง พระหัตถ์สั่นอาจก่อเสียงไม่พึงประสงค์ให้คนในห้องรู้ตัว หรืออย่างร้าย คือคงทั้งวรกาย โถมกระแทกเนื่องจากไม่อาจทรงน้ำหนักได้อยู่

จึงจำลากวรองค์ด้วยพระวังชาที่เหลือ เซซังในลักษณะพระอังสะค้อมลู่ ที่ทำให้พระปฤษฎางค์ดูโก่ง

ไม่ทันถึงโต๊ะกลางโถง...แค่เก้าอี้ พระเพลาก็หมดกำลัง ชานุถ่วงให้ทั้งองค์ตกลงคุกพื้น พระหัตถ์ข้างหนึ่งยังกดอุระเบื้องซ้ายแน่น ขณะอีกข้างโชคดีที่ยันพื้นได้ทัน หาไม่พระพักตร์ต้องฟาดขอบเก้าอี้เป็นแม่นมั่น

แรงฤทธิ์จากพิษร้าย...ที่ทรงจำยกเสวยด้วยองค์เอง นานจนแทบจำจุดเริ่มต้นมิได้!

หากเป็นทุกที พระอาการทรมานนี้จะถูกบรรเทาโดยการเพียรระงับพระทัย สูดอัสสาสะ ถ่ายปัสสาสะ ยาว...ลึก...

ทว่า ณ ชั่วโมงนาทีที่... ‘เจ้าแน่งน้อย’ ยังอยู่ในมือคนผู้นั้น...

ทำไม...ทำไมต้องมากำเริบเอาตอนนี้?! ถ้าเพียงแต่มาโดคิดร้าย ถ้าสิ่งซึ่งทรงไม่วางพระทัย...กลับเกิด...?!

ความร้อนเร่า ยิ่งลวกลนคนเป็นห่วง

พระพักตร์ในความสลัวราง สิ้นสี! เม็ดพระเสโทตกหนัก สะท้อนประกายไฟใกล้มอดจากเตาผิง วาวเท่าๆ กับแววสะท้อนจากอัสสุชล พระโอษฐ์เม้มน้อยๆ ทว่าพระทันต์ต่างหาก ขบจวนแหลกราญ ต้นพระหนุขึ้นสันปูดโป่ง

จะทรงปล่อยให้เป็นไปมิได้...จะทรงยอมแบบนี้มิได้!

พระหัตถ์ข้างที่กุมหทัย ค่อยถูกชักล้วงเข้าชายพก

ถุงผ้าใบจิ๋วถูกดึงคลี่ ทว่าด้วยหัตถ์สั่นเทา เม็ดโอสถเล็กเท่าเมล็ดถั่วจึงร่วงตก

ยาเหลือน้อยกว่าน้อย หล่นหายไปอีกหลายเม็ด

ระหว่างพระอาการประหนึ่ง ตบพระโอสถเข้าโอษฐ์ เสียงที่สดับ กลับมิใช่เสียงที่ทรงพยายาม ‘แอบแง้มเงี่ยพระกรรณ’

บางเสียงแห่งความหลัง...

คำเตือน...จากแพทย์ประจำพระองค์...

. . . . . . . . .
ปราปต์
26/11/12

.

 
 

จากคุณ : งี่เง่าบอย
เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 55 10:43:05




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com