Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 22 vote ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12980070/W12980070.html

บทที่ 22

ทั่วโถงพักถูกปกคลุมด้วยความเงียบเหมือนโดนผลักลงสู่หุบเหวที่ไร้ก้นอันเร้นลึก มันยาวนานและผ่านไปอย่างอึดอัดในความรู้สึกของทุกคนที่เผชิญหน้ากันเพื่อแตกหัก

องครักษ์ศมะก้มหน้าด้วยอิริยาบถเคร่ง ตระหนักว่าตนคือเหตุหายนะทั้งหมด แม้ไม่ได้เริ่มก่อแต่ก็ถือว่าเป็นชนวน

"ในเมื่อเจ้าพี่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว น้องก็ไม่ทักท้วงใดๆ เจ้าพี่สมัครใจย้อนคืนคามธุมาธารเมื่อไหร่ ก็เชิญเจ้าพี่ได้ทุกเมื่อ ต้องการให้น้องน้อมส่งก็บอกมา หรือว่าไม่ปรารถนา น้องก็จะสนองบัญชา"

พระครูรับรู้วาจาแม่นางเจ้าฟ้าด้วยอาการสงบ ท่านเห็นดวงชะตาร้างคู่อยู่ก่อนแล้ว แต่องครักษ์หนุ่มยังไม่รับรู้ด้วย จึงสะท้านขึ้นกับวาจาแข็งกร้าวเช่นนั้น เกือบจะโพล่งทัดทาน บิดาก็รีบสะกิดขึงตาสะกด

"เราก็ว่าอย่างนั้น แม่นางเจ้าฟ้าแห่งคามดารกะเย่อหยิ่งเกินกว่าจะเหนี่ยวรั้งสามีให้ครองคู่ร่วมเตียง"

"จะคืนคามก็จงคืนอย่างสง่างามเถอะเจ้าพี่ น้องเคยกล่าวแล้วว่าวิสัยผู้นำไม่ควรส่อเสียดเหน็บแนม แล้วน้องเองก็ไม่ชอบวิสัยเช่นนี้ ในเมื่อประสงค์จะแตกหักเอง น้องก็ไม่ทักท้วงให้ประสงค์นั้นร้อน แล้วเจ้าพี่จะมาแดกดันน้องไปทำไม"

"แม่นาง"

"บังอาจ"

ความเงียบที่ค่อยๆ ถูกทำลายด้วยวาจาทระนงของเจ้าฟ้าหน่อเนื้อทั้งสองฝ่ายพลันพังทลายด้วยเสียงตวาดก้องจริงจังของแม่นางกณิการ์แล้ว

ซ้ำร่างอรชรยังลุกพรวดขึ้นด้วยกิริยาไม่พอใจยิ่ง เสียงโลหะชุบทองประดับชายกระโปรงสีม่วงขลิบขาวดังกรุ๋งกริ๋งหนักๆ ยามแม่นางเคลื่อนไหวด้วยโทสะ

"อย่าได้มาขึ้นเสียงตวาดวางอำนาจใส่เราเช่นนี้ เราคือแม่นางเจ้าฟ้าแห่งคามดารกะ"

"แม่นาง" เจ้าฟ้าสามีเผลอสะดุ้ง เพราะเสียงกำราบที่ได้ยินแลดุดันดั่งพญาเสือคำราม

"ตัวท่านเป็นเจ้าฟ้าหน่อเนื้อแห่งคามธุมาธาร ออกเหย้ามาสู่เรา แต่กลับไม่ควบคุมคนฝ่ายตนให้อยู่ในคุณธรรมนักรบ หยิบยืนสันดานโจรไพรลอบกัด เพียงหวังชัยชนะจอมปลอมในการประลอง เราแม่นางเจ้าฟ้าออมชอมเพียงโทษตายคนชั่ว ไม่แตกหักเปิดสงคราม ท่านยังดื้อด้านไม่สำนึกในไมตรี กลับบังอาจหยาบหยามศักดิ์แห่งเรา"

"จะรื้อฟื้น.. "

"จงฟังไว้เจ้าฟ้าธุวชิน"

แม่นางขัดเสียงเย็น ไม่อยากฟังคนพาลปั้นคำชั่ว ร่างอรชรพลิ้วมาหยุดตรงหน้า ประสานตาเรียวทรงอำนาจแน่วนิ่ง ประกายกระด้างแกมคมสาดทอเจิดจ้าให้อีกฝ่ายลอบตะครั่นตะครอลึก

"เราแม่นางเจ้าฟ้าไม่เคยทำผิดต่อท่าน ก่อนออกเหย้า เราแจ้งเงื่อนไขชัดเจน เราตระหนักว่าหน่อเนื้อเจ้าฟ้าเช่นท่านย่อมน้อยคนนักจะยอมสยบแก่เราแม่นาง ยอมสละคามถิ่นเกิดมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราภายใต้การปกครองของเรา"

"เราเข้าใจแล้ว"

"เข้าใจแล้วหรือท่าน" แม่นางยังย้อนความด้วยเสียงอันกร้าว "ไม่เลย ท่านไม่เข้าใจสักนิด คนที่เข้าใจจริงๆ คือเจ้าพ่อท่านต่างหาก เราถนอมไมตรีหรอกนะท่าน ถึงได้ยอมยุติแต่เพียงนี้"

"ช่างน่าสรรเสริญยิ่งใช่ไหม"

ใช่แล้ว มันเป็นวิสัยของเจ้าฟ้าธุวชินจริงแท้ เถียงไม่ได้ก็แถวาจาเหน็บแนมแดกดันเรื่อยไป

แม่นางกณิการ์หรี่ตาสะกดอารมณ์ ไม่อยากถือสาเอาความ วิสัยชายเช่นนี้ สู้รบปรบมือด้วยก็ใช่ว่าจะเพิ่มพูนบารมีอันใด ที่ควรทำคือเร่งสะสางปัญหาแตกหักให้สิ้นสุดลงอย่างสันติจะดีกว่า

"เอาเถอะท่าน สุดแล้วแต่ท่านจะใคร่ครวญ"

"ใช่ เราใคร่ครวญดีแล้ว ถึงได้เจรจาแตกหักเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ยังไงเล่าแม่นาง เพราะถึงยังไงฝ่ายเราเป็นชายสะบั้นการออกเหย้าก่อน ย่อมไม่มีอะไรให้อับอายอยู่แล้ว"

"ท่านจะประกาศให้ประชาชนทุกคามรับรู้โดยทั่วก็ย่อมได้" แม่นางย้อนกลับทันควัน "แม่นางเจ้าฟ้าคนนี้ไม่รู้สึกเสียศักดิ์แม้แต่น้อย"

"แม่นาง นี่เจ้า.. "

"หากว่าการร่วมเตียงกับท่าน ต้องแลกกับไฟร้อนที่คอยแผดเผาคามดารกะเรา ประชาชนเราอยู่ไม่เป็นสุข เราก็เลือกได้ในทันทีว่าท่านควรจะไป"

"ช่างเย่อหยิ่งแท้แม่นางเอ๋ย เราพ่ายแพ้ต่อทิฐิแม่นางเช่นเจ้ายิ่ง อ่อนน้อมก็ถูกมองว่ายำเกรง แข็งกร้าวก็ถูกกล่าวหาว่าหยาบหยามศักดิ์แห่งแม่นางเจ้าฟ้า"

เจ้าฟ้าธุวชินหมดสิ้นการกล้ำกลืน ทั่วกรอบหน้ามากวาสนาร้อนผ่าวไปด้วยความอับอาย

ต่อหน้าองครักษ์และพระครูชรา แม่นางเจ้าฟ้าจองหองอวดดี ทะนงในบารมีจนไม่เหลือความนอบน้อมสู่เจ้าฟ้าสามี ที่ทำอยู่ก็คือเหยียบย่ำอหังการอยู่บนศีรษะ เจ้าฟ้าชายาเช่นนี้จะมีไปทำไม ไร้ค่าเกินทะนุถนอมยิ่ง

ร่างสูงสง่าใต้อาภรณ์สีเงินประดับรัตนชาติแพรวพราวลุกยืนประชันวาสนา กิริยาเด็ดเดี่ยวและพร้อมจะผินหน้าคืนสู่คามธุมาธารในทันทีที่กล่าวแตกหักประโยคนี้จบลง

"จงฟังเราเถอะแม่นางกณิการ์ สิ้นเพียงแต่เราเจ้าฟ้าธุวชินแล้ว ตลอดชีวิตอันมากวาสนาของแม่นางคงไม่ได้เจออีกแล้วกับรสแห่งรักอันประโลมใจ"

"ท่านไม่ควรหยามแม่นางเจ้าฟ้าแห่งเราด้วยวาจาน่าเกลียดเช่นนั้น"

องครักษ์ศมะปราดไปสอดเสียงไม่พอใจทันที พระครูลาพุชฉุดชายเสื้อไว้ไม่ทัน องครักษ์ประเดก็ไม่อยู่เฉย ฝ่ายโน้นปราดมา ตนก็ปราดไปด้วยท่าทีปกป้องเจ้าชีวิต

"เจ้านี่ช่างบังอาจ" เจ้าฟ้าธุวชินหันไปตวาด แววตาเผยความชังแกมริษยาท่วมท้น "เป็นแค่องครักษ์ชั้นสวะ กลับกำเริบเสนอเสียงอวดท่าสู่เราเจ้าฟ้า ช่างน่าเสียดายยิ่งที่เจ้ารอดพ้นพิษร้ายแห่งคามธุมาธารมาได้"

"เขาควรจะดับสูญตั้งแต่อยู่ในลานประลองแล้วเจ้าฟ้าธุวชิน" แม่นางกณิการ์สอดเสียงเย็นทันที "หากแต่เราเองที่เชือดเนื้อให้เลือดพิษทะลัก แส้เราแม่นางกณิการ์ไม่ใช่เครื่องประดับหรอกนะท่าน มีดสั้นเราก็เช่นกัน หรือแม้แต่อาคมแห่งเราก็ใช่ว่าท่านจะมองข้ามลบหลู่ได้"

"เจ้าก็ยังออกหน้าเข้าข้างองครักษ์ชั้นสวะตามเคย" เจ้าฟ้าสามีแดกดัน

"ท่านไม่ทำเช่นนี้ใช่ไหม ถ้าองครักษ์ประเดโดนฝ่ายเราลอบกัดด้วยสันดานโจรไพรบ้าง ท่านยินดีเฉยเมยกับชีวิตประชาชนที่ท่านปกครองเพื่อแลกกับการถนอมไมตรีสองคามไว้เช่นนั้นใช่ไหมเจ้าฟ้าผู้ไม่เอาไหน"

"แม่นาง"

"จงพอเถอะ เราสุดจะทนเจรจาเต็มที ท่านต้องการไปเมื่อไหร่ก็ไปเลย อย่ามาโยกโย้ยั่วยุให้เราเกิดโทสะยิ่งไปกว่านี้"

"ยโส" เจ้าฟ้าธุวชินตำหนิอย่างชิงชัง "แม่นางช่างยโสเกินไป ฮึกเหิมในอำนาจเกินไป แข็งกร้าวเกินไปในจิตอันเย่อหยิ่งของแม่นางหาความนุ่มนวลอันเป็นคุณสมบัติที่หญิงทั่วไปพึงมีไม่ได้เลย เสียใจนักที่เราสูญเสียเวลาไปกว่าสามเดือนกับการร่วมเตียงสู่หญิงหยาบกระด้างเช่นนี้"

"ท่าน"

"เราเอง"

องครักษ์ศมะถลันไปตวาดเดือดดาลได้เพียงคำนั้น แม่นางกณิการ์ก็พลันสอดเสียงเย็นแทรกขัดโทสะ

ไม่ต้องให้องครักษ์คู่ใจติเตียนด้วยวาจาให้ยำเกรงหรอก ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามหยาบคาย ดึงการร่วมเตียงออกมาหักล้างหวังเพียงให้อับอาย แม่นางก็จะสั่งสอนให้สงบปากเอง

ลมร้อนวูบหนึ่งพัดมา เจ้าฟ้าธุวชินรู้สึกเหมือนโถงพักโคลงเคลง เพิ่งเลิกคิ้วเบิกตา เสียง 'ฉาด' หนักหน่วงก็ดังก้องแก้วหู กรอบหน้าสง่างามสะบัดพรืดตามเสียงไปด้วย แม่นางตบได้สาแก่ใจยิ่ง

องครักษ์ประเดปรี่เข้ามาปกป้องเจ้าชีวิต แต่จังหวะ:-)ดาบดูไม่เข้าที ดั่งคิดประหารแม่นางเจ้าฟ้า องครักษ์ศมะจึงรีบยื่นแขนออกไปสกัด แต่ก็ไม่ทันร่างอรชรที่พลิ้วบิดเกลียวแล้วตวัดปลายเท้าดีดปลายคางองครักษ์เหิมเกริมก่อเกิดเสียง 'ทึบ' หนักหน่วงสาแก่ใจอีกตามเคย

องครักษ์ประเดอุทาน 'โอ๊ะ' ร่างปลิวถลาไปชนแท่นแจกัน เลือดกบปากทันอกทันใจ ดาบในมือสั่นรวนเล็กน้อย

ยามหันกลับมาหมายตั้งหลักตั้งรับ องครักษ์ศัตรูก็ปราดมาจ่อดาบพาดไหล่สะกดให้สงบทุกกิริยา แววตาเย็นเยียบบอกในทีว่า 'ขยับเมื่อไหร่ คอหลุดจากบ่าแน่'

"เราไม่ต้องการเป็นศัตรู" องครักษ์หนุ่มกล่าวขรึม

"ท่านถือดีว่ามีแม่นางเจ้าฟ้าให้ท้าย พูดอะไรก็ไม่มีผิดสักคำหรอก" องครักษ์ตะคอกเคียดแค้น

"อย่าพาล"

"ใช่ ในคามดารกะเราคนต่างคามย่อมถูกมองว่าเป็นคนพาลอยู่แล้ว ที่ไหนจะถูกยกย่องว่ากล้าหาญเช่นท่าน เหิมเกริมสู่เจ้าฟ้าแห่งเรา แต่กลับไร้ความผิด"

"เราไม่เคยเหิมเกริมคิดหยาบหยามศักดิ์แห่งเจ้าฟ้าธุวชิน แต่ท่านได้ยินใช่ไหม เจ้าฟ้าเจ้าชีวิตของท่านกล่าววาจาไม่สำรวมเกินไป"

"เจ้าฟ้าเจรจา องครักษ์เช่นเราก้าวก่ายได้หรือ"

" วิสัยชายทั่วไปก็ไม่ควรดึงเรื่องในที่มิดชิดมาผ่าเผยสู่คนนอก อย่าว่าแต่เจ้าฟ้าธุวชินมากวาสนาเป็นถึงหน่อเนื้อเจ้าฟ้า ต่อไปต้องปกครองคามอันไพศาล หลักการให้เกียรติหญิงต่ำต้อยหรือหญิงสูงศักดิ์เพียงเท่านี้กลับไม่คำนึงถึง"

"ท่าน"

"ท่านนับถือนอบน้อมเจ้าฟ้าที่จิตใจหยาบกร้านเช่นนี้เองหรือ ต้องให้เราพูดตรงๆ หรือว่าเราสังเวชผู้นำเช่นนี้นัก"

"บังอาจ"

เจ้าฟ้าธุวชินตวาดเดือดดาลพลางพุ่งมีดสั้นหมายปักคอใหญ่ขององครักษ์ปากสามหาวให้ดับสูญสาแก่ใจแค้น

หากแต่ตนกลับเพลี่ยงพล้ำกายซวนเพราะแม่นางเจ้าฟ้าดีดร่างขึ้นถีบยอดอกดังทึบ แล้วอาศัยพลังสะท้อนจากตรงนั้นพุ่งพลิ้วไปเหวี่ยงปลายเท้าดีดอาวุธร้ายให้เลี้ยวเบี่ยงเบนจากเป้าหมายไปปักฉึกบนเสาฉากกั้นข้างประตู

"พอเถอะเจ้าพี่" แม่นางออมชอมทันทีที่ร่างอรชรย่างลงสู่พื้น "องครักษ์ทั้งสองต่างก็ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าชีวิตแห่งตน เรายินดีไม่ถือสาหาความ หรือแม้แต่วาจาหยาบคายของท่าน เราก็จะทำหูทวนลมไปเสีย จงรีบคืนคามไปอย่างสันติเถอะ"

"เราชิงชังเจ้านักแม่นางกณิการ์ ชิงชังสุดแสน สะอิดสะเอียนว่าเราเคยร่วมเสน่หา เคยดื่มกลืนรสแห่งรักกับหญิงหยาบช้าไร้หัวใจ เจ้าพ่อเราไตร่ตรองผิดใหญ่หลวงแล้วที่รบเร้าให้เรามาออกเหย้ากับหญิงรักใครไม่เป็นเช่นแม่นาง"

พระครูลาพุชส่ายหน้ากับถอนใจ การแตกหักสิ้นสุดลงแล้ว มันเริ่มต้นจากการเจรจาเบาๆ ขัดแย้งดังขึ้น ถกเถียงด้วยเสียงกร้าว และจบลงที่การคานอำนาจด้วยกำลัง

ท่านรู้ว่าเจ้าฟ้าธุวชินประเมินความสามารถฝายตนได้ จึงยอมตัดใจหอบความคับแค้นคืนคามธุมาธารไปอย่างสันติ

ไม่น่าเลย ความบาดหมางก่อเกิดจากแรงริษยาระคนเย่อหยิ่งเกินไปโดยแท้ แม่นางกณิการ์ก็ใช่ว่าจะลบหลู่ไม่ยกย่อง แต่ด้วยรังสีของผู้นำในตัวแม่นางเจิดจ้าเกินไป แต่ด้วยฝีมือการรบขององครักษ์ศมะโดดเด่นเกินไป

เจ้าฟ้าและองครักษ์ต่างคามจึงไม่สบอารมณ์ หวังกำราบให้สยบ หวังเรียกความศรัทธาของประชาชนทั่วคามดารกะ และยังหวังฮึกเหิมต่อการบั่นทอนอำนาจของแม่นางเจ้าฟ้า จากตำแหน่งผู้นำก็ให้เหลือเพียงตำแหน่งชายาเจ้าฟ้า

นั่นล่ะ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และจะไม่เกิดขึ้นในคามดารกะ ด้วยว่าชะตาแม่นางกณิการ์ต้องปกครองคามอันไพศาลไปจนสิ้นสุดยุคอันรุ่งเรือง

สิ่งอัศจรรย์อันน่าตื่นตาตื่นใจบนกระดานทำนายก็คือแม้คามดารกะจะล่มสลายตลอดกาล หากแต่การดับสูญของแม่นางกณิการ์จะอุบัติเพื่อ 'ย้อนคืน'




วิหารวังร้างรางเลือนอยู่ในสายหมอกขุ่น นกกาบินพร้อมกับส่งเสียงกู่วังเวง ดั่งจะบอกเป็นนัยว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปควรจะจอดรถแล้วลงมาเดินสำรวจ

แต่หมอผาก็ทำอย่างนั้น โดยมีโชติชลตามมาอวดหุ่นเท่มาดพระเอกฮ่องกง เขาเท้าสะเอว ไม่ค่อยชื่นใจกับอากาศเย็นแปลกๆ กระแสลมก็คมพิลึกยามต้องผิวแถวท่อนแขน

"อาครับ ผมว่าที่นี่มันวังเวงเหมือนป่าช้านะ จะลงมาเดินทำไม"

"เดินให้หายเหนื่อย" หมอผาว่าหน้าตาเฉย "แกขับรถเฉยๆ ก็ไม่เหนื่อยสิ แต่อาต้องคอยเล่าตำนานให้ฟัง คอแห้งเป็นผง กาแฟหมดไปตั้งสองกระติก น้ำอุ่นอีกกระติก ขับรถเฉื่อยเหมือนเต่าคลาน"

"อ๊ะ" พ่อพระเอกตาโต ลืมบรรยากาศวังเวงไปเป็นปลิดทิ้ง มาดูหมิ่นฝีมือกันแบบนี้ มีคุยเสียงเข้มๆ "พูดแบบนี้มาต่อยกันให้นกกาดูดีกว่าไหม แหม ไอ้เราก็นึกสงสารไม่อยากให้คนแก่หัวใจวาย ปกติผมไม่ได้ขับนะครับรถนี่น่ะ ผมเหาะ"

ญาติห่างๆ ที่ห่างมากส่ายหน้าแต่ก็ยิ้มๆ เอ็นดู เข้าใจแล้วว่าทำไมหนุ่มหล่อถึงไม่อยู่ในสายตาของสาวครีเอทีฟ เพราะหล่ออย่างเดียวนี่เอง

เขาหยุดความคิดไร้สาระพลางย่ำขึ้นเนินขรุขระ ไล่สายตาสูงขึ้นกระทบยอดวิหารวังในม่านหมอก ใจเต้นแรงและเหงื่อออกชุ่มหลังในทันทีที่ปะทะกับขุมพลังลี้ลับ

"อะไรอา" โชติชลงงเมื่อจู่ๆ คุณอาหมอผีก็กางแขนขวางร่าง ทำท่าเหมือนปกป้องเขาไม่ให้ภัยเข้าใกล้

"แกไปอยู่ในรถ โจ้" หมอผาเอ็ดเสียงหนักเมื่อคนหนุ่มทำท่าไม่เชื่อด้วยการลอยหน้ายียวน "จะเล่นก็ต้องดูเวลา อาสั่งว่ารีบไปกลับเข้าไปอยู่ในรถ ไปสิ"

พอสิ้นเสียงไล่เข้มเฉียบ ทรวงอกก็อึดอัดดั่งว่าโดนทับด้วยขุมพลังที่มองไม่เห็น แต่มันกำลังไหลมา หมอผาตระหนักแล้วว่ากำลังเจอดีในที่เร้น

เขารุนโชติชลด้วยมือสั่นระริก เป็นห่วงว่าพ่อหนุ่มจะตกเป็นเหยื่อ มั่นใจว่าจิตใจคนหนุ่มต้องไม่แข็งกล้าพอที่จะต่อกรกับมนตราเย็นประหลาดที่เขาสัมผัสได้

"ผมแค่ผ่านมา ไม่มีเจตนาบุกรุก ไม่มีเจตนารบกวน อย่าถือสาคนต่างถิ่นเลย" ในห้วงสมาธิ เขาเปล่งเสียงไปออมชอม

"เจ้าหรือคนต่างถิ่น เจ้าเป็นลูกหลานไอ้นักบวชใต้หุบเหวปีศาจนอกเขตคามดารกะต่างหาก ข้ามองเห็นเยื่อใยบรรพบุรุษแห่งเจ้าลอยวนเวียนรายล้อมตัวเจ้า"

'คุณพระ' หมอผาขนลุกซู่ เสียงที่พล่านไหลแทรกมาในอากาศเย็นจัด คลับคล้ายเสียงคำรามที่ได้ยินในนิมิต แย่แล้ว หรือว่าจะเป็นที่นี่ อย่าบอกนะว่าที่นี่คือวิหารวังแห่งคามดารกะในอดีต

"เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ในเมื่อเจ้ากล้ามาเหยียบที่นี่ แสดงว่าเจ้าคงมีวาสนาผูกพันกับข้า เจ้ามากมนตราไม่น้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากไสยเวทย์แห่งข้ามากนัก บอกมา เจ้ามาที่นี่ด้วยใจภักดีต่อแม่นางกณิการ์ใช่หรือไม่เจ้า"

"คุณ.. "

โชตชลเบิกตากว้าง ใจเต้นระทึก ยืดคอกลืนน้ำลายเหนียวๆ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นหมอผาตรึงร่างแข็งทื่อ สายตาก็ดูลอยแปลกๆ และมองขึ้นไปบนโน้น

ซึ่งเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรนอกจากสายหมอกกับเงาตะคุ่มคล้ายสิ่งปลูกสร้าง อาจจะเป็นวัดหรืออาคารสักหลัง แล้วจู่ๆ ก็กระอักเลือดออกมา

กระแสลมพัดแรงขึ้น มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ปกติ เขารู้สึกอย่างนั้นขณะปราดฝีเท้าเข้าประคองคุณอาที่เริ่มเซซวน หน้าผากผุดเหงื่อเม็ดเป้ง ได้ยินเหมือนครางอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ถนัด

"อา ลมแรงจัง อา โอ๊ะ อา"

สงสารโชติชล เขาร้องอุทานตระหนกเสียงลั่นเลย เพราะร่างเท่โดนสายลมกระโชกปัดปลิวไปกระแทกกับโขดหินอย่างแรงก่อนจะร่วงรูดลงนั่งหมดสภาพ แถมยังอยู่ห่างจากคุณอาหมอผีตั้งหลายก้าว

ฝ่ายโน้นก็เห็น แต่ในจังหวะฉุกละหุกกลับไม่สะดวกที่จะช่วยเหลือทันที เพราะต้องมุ่งสำรวมสมาธิคะคานกับขุมพลังในที่เร้น มันไหลทะลักมาพร้อมกับคลื่นเสียงคำรามกึกก้องที่เคยได้ยินในนิมิตนั่นเอง

แล้วทันใดนั้น แม่นางแพรก็พลันพลิ้วกายอรชรในอาภรณ์สีแดงสดใสมาหยุดลอยโดดเด่นบนยอดเนิน วงหน้าขาวเย็นชากลมกลืนกับม่านหมอกขุ่น

สายลมปีศาจปัดเป่าเรือนผมยาวดำฟุ้งสยายดั่งผ้าผืนใหญ่ เสียงโลหะชุบทองที่ตอกตึงชายกระโปรงแข่งกันดังกรุบกรับ เหล่ารัตนชาติที่ปักประดับประณีตส่องแสงสะท้อนแพรวพราว และแน่นอนว่าหมอผาย่อมเห็นการอุบัติทั้งหมดนั้น

นางผีแสยะยิ้ม ตระหนักว่าหนุ่มใหญ่หนวดเฟิ้มในชุดเสื้อกางเกงรุ่มร่ามสีเข้ม ห้อยเครื่องรางของขลังมากมายเป็นคนมีวิชา จึงไม่อยากข้องแวะ

หากไม่ชอบมาพากล พี่ชายคงออกหน้าจัดการเอง เหยื่อที่พอกำราบได้คือหนุ่มหล่อที่นั่งคอพับคออ่อนพิงโขดหิน เลือดไหลจากหน้าผากลงชโลมคอคนนั้นต่างหาก

ในยามบาดเจ็บและจิตแตกซ่านหวั่นไหวด้วยกระแสของความหวาดกลัวสุดขีดเช่นนั้น มันช่างง่ายต่อการครอบงำยิ่ง

ขอเพียงหลอกล่อเข้าไปในเขตมนตราได้ เหยื่อก็จะถูกฆ่า เลือดสดทุกหยดก็จะถูกรีดเค้นออกมาสังเวยร่างซาตาน กลิ่นคาวคลุ้งของมันจะช่วยให้พี่ชายคลายความหงุดหงิดคลุ้มคลั่ง

ตั้งแต่แม่นางกณิการ์ปรากฏตัว ซาตานวจาก็พลุ่งพล่านอยู่ในบ่วงโซ่ตรวนมนตรา ทุกค่ำคืนได้แต่คำรามโหยหวนปลดปล่อยพลังอาฆาตออกมาข่มขวัญเหล่าดวงวิญญาณให้พลอยกรีดร้องระงมทั่วโถงชื้น ไม่ยกเว้นแม้แต่มวลผกาที่ร้องไห้ด้วยจิตอันสยดสยอง

หล่อนถูกรีดเค้นเลือดที่เริ่มจะสิ้นความสดลงบ้างแล้วไปชโลมทั่วร่างแห้งกรังของซาตานใหญ่ยักษ์จนอ่อนพลังและไม่อาจเคลื่อนลอยห่างแท่นหินสูงในบ่วงคำสาปแม่นางกณิการ์ ต้องทนทุกข์ทรมานกับกระแสมนตราร้อนแรง ดวงวิญญาณขาดวิ่นเป็นริ้วๆ ปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกพระเพลิงเผาผลาญทารุณ

ครั้นได้ยินว่ามีคนแปลกหน้าย่างกรายมา จิตก็พลันห่วงหาฤดีดิษถ์เพื่อนรัก หล่อนได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เพื่อนรักมาที่นี่ อยากไปเข้าฝันเตือนแต่ก็จนใจที่ไร้เรี่ยวแรง อย่าว่าแต่ยามนี้ ตนก็ยังพลุ่งพล่านเจ็บปวดด้วยกระแสคำรามพยาบาทของซาตานชั่ว

เลือดคล้ำที่กระอักพุ่งออกมาเป็นทางยาวรดราดลงชโลมหัวเข่าแห้งกรังจนเกิดความชุ่ม กลิ่นคาวคลุ้งสร้างความกระปรี้กระเปร่าแก่ซานตานร้ายให้ยิ่งฮึกเหิม เร่งแผดเสียงกึกก้องจนทั่วโถงสั่นครืนรุนแรง

เศษซากกรวดหินไม่เว้นแม้แต่ผงฝุ่นมากมายก็พร้อมใจกันร่วงพรูหนักหน่วง สภาพรายล้อมเช่นนี้ หากโชติชลได้เข้ามาเห็น เขาคงสติบินขวัญขาด ดีไม่ดีก็อาจต้องชะตาเลวร้ายซ้ำรอยธิสัยไปอีกคน โอ.. ช่างน่าเป็นห่วงเขาจริงๆ

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 10:14:38




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com