Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผู้ชาย ที่ไล่จับดวงดาว ตอนที่ 1: หลงทางในอวกาศ vote ติดต่อทีมงาน

24 ธันวา
"หลงทางในอวกาศ"

กลิ่นฝนมักจะมาก่อนฝนเม็ดแรกตกลงบนพื้นเสมอ

วันนี้ฝนตกหนักเพราะอากาศที่ร้อนมาทั้งวัน ผู้คนอยู่ภายใต้ร่มและเสื้อกันฝน ในขณะที่ผมนั่งมองผ่านกระจกด้วยสายตาอันว่างเปล่าจากภายในร้านกาแฟ – กาแฟจืดรสขม สีเหมือนน้ำล้างเท้า ตัดกับขนมปังเก่าค้างปีที่รสชาติไม่ได้ความ ผมจึงสั่งน้ำเปล่า มาดื่มอีกอึกแก้วเพื่อล้างคอ คิดว่าที่คนเยอะๆ แบบนี้ พวกเขาคงไม่ได้หวังจะมาหาอะไรกินจากร้านกาแฟห่วยๆแห่งนี้หรอก นอกจากจะเข้ามาหลบฝนเท่านั้นเอง

เม็ดฝนที่เกาะกระจกไหลลงมาตามแนวโน้มถ่วงของโลก เป็นความสวยงามจากธรรมชาติโดยไม่ต้องเติมแต่ง แถมยังพัดพาความเหงามาด้วยให้คนโสดไร้คู่ ทุกตารางนิ้วนอกร้านกาแฟแห่งนี้ แปรเปลี่ยนไปเป็นความชื้นแฉะ จนทำให้ผมเกิดอาการเหนียวตัวขึ้นมา เพลงแจ๊สรุ่นเก่าที่พ่อผมชอบเปิดบรรเลงช้าๆราวกับจะทำให้นาฬิกาในห้องนี้หยุดเดิน แต่ก็ดี เพราะความคิดอันสับสนหายไปจากสมองได้พักใหญ่ แต่สมองกลวงๆกลับไม่ทำงานเพราะไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปในกระดาษเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้า ยิ่งเจ้านายกำชับมาให้เสร็จก่อนปีใหม่ก็ยิ่งกดดัน นึกหัวข้อที่จะเขียนไม่ออก เลยเดินออกมาจากห้องเพื่อสูดอากาศ แล้วฝนก็ลงมาห่าใหญ่ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นว่าทำไมผมถึงมาจบที่กาแฟร้านนี้

กาแฟและมัฟฟิ่นช่วยได้เสมอเวลาสมองตัน ผมเป็นนักเขียนประจำของนิตยาสารเล็กๆแห่งหนึ่ง คิดคำรักเก๋ๆ ลงไปสักสองสามบรรทัด ตามด้วยภาพวาดสวยๆ ผมก็สามารถขายได้เดือนต่อเดือน นักอ่านวัยรุ่นชอบอะไรที่กระชับ ตรงจุด และไม่เยิ่นเย้อ ผมเคยคิดจะเขียนนิยายเรื่องยาว แต่ก็ใจร้อนจนเขียนไม่จบทุกครั้ง พอเขียนไปแค่สิบกว่าหน้าก็ยอมแพ้ หมดความอดทน อีกอย่าง ผมไม่มีฝีมือ เขียนทีไรก็ใช้ศัพท์เหมือนลิเกปาหิ่ ยิ่งนิยายรักก็ลืมไปได้เลย คิดเนื้อเรื่องแต่ละทีก็เน่าสนิทยิ่งกว่าละครช่องเจ็ด ไร้ความสร้างสรรค์ ใครมันจะมาอ่าน เลยหันมาจับงานสั้นๆเหมือนเดิม

อายุที่มากขึ้นกับความสามารถที่เท่าเดิมทำให้ผมเริ่มมองชีวิตจริงจัง อยากจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่อยากเป็นลุกน้องเขาไปตลอด แต่ก็ไม่มีเงินทุนไปเปิดธุรกิจของตัวเอง ก็มีแต่เรียนแล้วก็ทำงานนิตยาสารเก็บเงินไปวันๆอย่างไร้จุดหมาย ก็ได้แต่ภาวนาให้ได้งานใหม่ แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดที่ไม่รู้จะทำได้เมื่อไหร่ นึกแล้วก็เบื่อที่ต้องเจอหน้าเดิมๆตอนส่องกระจก มองหน้าตัวเองที่ไม่ได้หล่อ อยากจะออกไปจากร่างแคระๆนี้เต็มทน

ผมค้นพบว่าตัวเองมักจะตัดสินใจผิดพลาด ถ้าขับรถให้เลือกทางซ้ายขวา ถ้าผมเลือกซ้าย ทางที่ถูกจะเป็นทางขวา ถ้าเลือกขวา ทางที่ถูกต้องจะเป็นทางซ้าย ... ถ้าใส่เสื้อกล้ามโดยไม่มอง 85% ผมจะใส่กลับด้าน ถ้าให้ซื้อลอตเตอรี่ มักจะถูกกินเกือบ 100% เช่นเดียวกับการเลือกผู้หญิง (ซึ่งส่วนใหญ่ผมรู้สึกเป็นผู้ถูกเลือก ที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะเลือก) 90% เป็นพวกผ่านมา แล้วผ่านไปในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน และเปอร์เซนต์ในการอกหัก มี 99%

เวลาผ่านไปอีกห้านาทีอย่างเชื่องช้า นาฬิกาเดินไปอย่างไม่เร่งร้อน ฝนยังไม่มีท่าทีจะหยุด แถมเมฆด้านบนก็ดูจะยิ่งดูขมุกขมัวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรง แต่บรรยากาศช่างเหมือนตอนหกโมงเย็น ผมเอาปลายดินสอเคาะโต๊ะเป็นจังหวะตามเพลง บอย ฟรอม อิปานิมา เพลงเดียว จังหวะเดียว ที่เปิดทุกร้าน พลางเอาขนมปังใส่ปาก ความเกียจคร้านเข้ามาแทนที่ มันแผ่ซึมไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วเหมือนโรคระบาด พร้อมที่จะทำลายกล้ามเนื้อทุกส่วนให้หมดแรง ผมหลับตาลงจมไปกับเสียงดนตรี อ้า...ผมจำเสียงนักร้องผู้หญิงคนนั้นได้ อาจจะเป็นไดอานา ครอลที่ล่วงลับ หรือไม่ก็นอร่า โจนส อาจจะไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ต้องเป็นใครสักคนในบรรดานั้นล่ะผมว่า เพื่อนๆ บอกเสมอว่าผมมีรสนิยมการฟังเพลงเหมือนผู้หญิง ช่างมันเถอะ ผมปล่อยห้วงความคิดของผมได้ดำดึ่งสู่ความเพ้อฝันอย่างสมบูรณ์แบบ โลกอีกใบที่ไม่เคยทำร้ายความรู้สึกผมและสามารถเป็นเจ้าของมันได้ แต่กลับมีใบหน้าของแฟนเก่าลอยเข้ามาแทนที่ นี่ผมต้องการความรักจากใครสักคนมากขนาดนี้เลยเหรอ นึกแล้วก็หดหู่ชีวิตตัวเอง ผมมีความเชื่อโง่ๆว่ามี “ใครบางคน” รออยู่ตรงนั้น เหมือนเพลงของ...ของ...ของใครก็ไม่รู้ คิดไม่ออกอีกแล้ว บ้าจริง วันเวลาทำลายเซลล์ประสาทจนหมดสิ้น สงสัยเราจะแก่ขึ้น วิตามิน ยาทาหน้าที่ซื้อไว้เต็มบ้านก็ไม่เคยหยิบเอามาใช้ด้วยความขี้เกียจ ผมก็หงอกเต็มกบาล เตือนว่าอายุใกล้สามสิบ พุงที่หย่อนยาน เตือนว่าผมไม่ค่อยออกกำลังกาย หนังหน้าที่แห้งกร้านเป็นพื้นรองเท้าบอกว่าไม่เคยทาครีมบำรุง สมาชิกฟิตเนตที่จ่ายไปเดือนละพันก็โดนหักไปด้วยระบบอัตโนมัติ เอาเงินไปฝากธนาคารยังได้ดอกเบี้ยเยอะกว่านี้ สงสัยพรุ่งนี้คงต้องไปถอนสมาชิกออก และโทรศัพท์เครื่องใหม่ ที่เหมาจ่าย แต่ไม่มีใครโทรมา

อากาศแบบนี้น่านอนเป็นที่สุด แต่ผมกลับต้องมาจมอยู่กับงาน นักเขียนไส้แห้งที่รู้จักแค่นามปากกา ต้องใต่เต้าอีกนานกว่าจะมีตัวตน แต่ช่างมันเถอะ ผมยังต้องหาประสบการณ์อีกนาน บางทีอาชีพนี้อาจจะไม่ใช่อาชีพสุดท้ายบั้นปลายชีวิตก็ได้

เพลงในร้านเปลี่ยนไปเป็นเพลง ไวท์ คริสต์มาส คล้ายๆจะเป็นเสียงร้องของเอลวิส  เพรสลีย์ ฟังแล้วก็นึกถึงความหลัง ความตื่นเต้นที่จะได้เจอตาแก่ไว้หนวด พุงโต ในวันเด็กหายเกลี้ยงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แม่ผมบอกว่าซานต้า ครอสจะมาหย่อนของขวัญในถุงเท้าถ้าเข้านอนเร็วและเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน ตอนเช้าผมก็พบว่าซานต้า คลอสหย่อนเงินไว้ให้ไปซื้อของเล่น พร้อมกับโปสการ์ดอันเล็กๆเขียนว่าเมอรี่ คริสต์มาส -- ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ผมไม่เชื่อเรื่องตาแก่พุงโตอีกต่อไป และรู้ว่าแม่เป็นคนจัดการทุกอย่างในคืนนั้น และจนบัดนี้ ความรักที่แม่มีให้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ว่าท่านจะจากผมไปแล้ว ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงของใครบางคนเดินเข้ามาทักปลุกผมขึ้นมาบนโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งขณะกำลังคิดอะไรเพลินๆ

“สวัสดีค่ะ ที่นั่งเต็ม ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ” เธอยืนถือถ้วยกาแฟควัญโขมง สีหน้ากำลังรอคำตอบจากผม “เชิญครับ ตามสบาย” ผมตอบคำ

เธออายุน่าจะพอๆ กับผม เสื้อผ้าและหนังสือที่เธอเหน็บมาด้วยเปียกปอน เธอแต่งตัวเรียบง่ายสมวัย ใส่เสื้อลายดอกสีชมพูอ่อน แต่กลับใส่รองเท้ากีฬาไนกี้ เธอไม่แต่งหน้าจัด แค่ปัดแก้มและปะแป้งนิดหน่อยแลดูเป็นธรรมชาติ ผมเดาว่าอายุเธอไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า เธอมองผม ผมหลบสายตามมองออกไปนอกหน้าต่าง เพราะไม่อยากให้เธอคิดว่าผมกำลังพิจารณาเสื้อผ้าและรูปร่างเธออยู่

กลิ่นน้ำหอมของเธอลอยมาติดจมูก แต่ไม่ได้ใส่มากเกินไป และกลิ่นน้ำหอมนั้นก็ละมุนและไม่แรงเหมือนกลิ่นน้ำหอมราคาถูก อาจจะเป็นของชาแนล หรืออัลเบอร์ครอมบี้ เธอถอดผ้าคาดเอวมาพันคอเพื่อป้องกันความเย็น คว้ากระจกพับขึ้นมามองดูรอบใบหน้า ใช้นิ้วเกลี่ยรอบดวงตา และใช้ผ้าเช็ดหน้าถูไล่ความชื้นแฉะบนผมอันยาวสลวย ก่อนจะจิบกาแฟตามเข้าไปอึกใหญ่

“ดูสิ ฉันเปียกหมดเลย” เธออมยิ้ม น้ำเสียงของเธออ่อนหวาน

ผมมองเธอ เปร่งเสียงสั้นๆในลำคอแล้วยิ้มรับ เพราะไม่สรรหาคำพูดต่อไม่เจอ จากผู้ชายดูกล้าหาญกลายเป็นเขินอายเฮี้ยๆ ความเงียบเข้าปกคลุมพักใหญ่ ก่อนที่เธอทำลายมันด้วยการแนะนำตัวว่าเธอชื่ออะไรอย่างเป็นกันเอง ผมเองก็บอกชื่อผมออกไป แล้วถามต่อว่า “คุณเรียนอยู่ที่นี่เหรอครับ?”แล้วชี้นิ้วไปยังหนังสือจิตวิทยาเล่มหนึ่ง เป็นเล่มเดียวกันกับที่ผมเรียนอยู่
“ใช่” เธอตอบ
“ผมก็เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน” อย่างน้อยหัวข้อนี้ก็ทำให้ผมมีอะไรคุยกับเธอต่อไปอีกพัก
“ถึงว่าหน้าตาคุ้นๆ คุณเรียนคณะอะไรเหรอคะ”
“ผมเรียนวิศวะครับ” ผมตอบ
“เก่งนะ”
“ไม่เก่งหรอก อันที่จริงผมขี้เกียจด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมถึงอยากเรียนล่ะคะ”
“ผมว่ามันยาก ท้าทายดีน่ะครับ”
เราเงียบไปพักหนึง ก่อนผมจะพูดขึ้นว่า “ชอบมาที่ร้านนี้เหรอ”
“ครั้งแรก ฉันเดินเข้ามาหลบฝนน่ะค่ะ”
“นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ เพราะผมเองก็เข้ามาหลบฝนเหมือนกัน”
“อันที่จริงเขาก็แต่งร้านน่ารักดีนะ ทำเลก็ดี  มองออกไปเห็นผู้คน แต่น่าแปลกที่ฉันไม่เคยมาร้านนี้เลย ทั้งๆที่ร้านนี้ก็อยู่หัวมุมถนน”

อย่างที่บอก ผมรู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้อย่างประหลาด แม้เราจะพูดทักทายกันไม่กี่ประโยค ผมอยากรู้เรื่องราวของเธอมากขึ้น แต่บางสิ่งเตือนผมว่าไม่ควรล้ำเส้นเกินไป การสนทนาของเราจึงจบเพียงเท่านี้

มีคนมากมายเข้ามาในชีวิต แต่จะมีสักกี่คนที่ไม่เข้ามาแล้วผ่านไป บางทีอาจจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิตบ้าๆ นั่นก็ได้ ที่ทำให้คนมีความหวังในเรื่องความรัก เพราะผู้คนสมัยนี้ถูกกล่อมด้วยเพลงรักเวิ่นเว้อของบิทเทิ่ล หรือโคล เพลย์จากฝั่งอังกฤษ หนังรักของจูเลีย โรเบริตส และ ฮิวจ์ แกรนท์ และกลอนหวานๆ จากหนังสือเล่มละร้อยบาทของนักเขียนวัยรุ่นไฟแรง เฝ้าฝันถึงความรักที่มีผู้ชายขี่ม้าขาวมารับหน้าปราสาท แถมยังมีวันแห่งความรักให้หนุ่มสาวเสียตัวกันง่ายขึ้น แต่ผมเองก็ไม่ใช่จะมองแง่ลบเสียทีเดียว เพราะความรักก็มีด้านดี เพียงแต่เมื่อผมได้รักใคร ตอนจบของนิยายมักจะไม่แฮปปี้เอนดิ้งอยู่เสมอ – ผมเลยกลายเป็นคนที่กลัวความรักจนพยายามสร้างกำแพง (หากรู้สึกว่าไปตกหลุมรักใคร) กำแพงนั้นทลายลงมาไม่ง่ายแต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ความกลัวและความไม่มั่นใจตัวเองแฝงอยู่ บางครั้งผมจึงดูเหมือนคนปิดกั้นความรัก แต่ความจริงแล้วผมรู้สึกอยากได้ความรักจากใครตลอดเวลา

แน่นอนว่าผมไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง พวกเขาอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เชื่อไหมว่ามีคนที่เป็นแบบผมไม่น้อย เพียงแต่พวกเขาไม่อยากจะยอมรับความจริงเท่านั้นเอง

ผมดื่มกาแฟอึกสุดท้าย พยายามหาเรื่องคุยกับเธอซึ่งก็ไม่รู้จะคุยอะไร เหมือนน้ำลายท่วมปาก พยายามเหลือบตามอง ไม่มองตรงๆ กลัวเธอจะหาว่าผมเป็นพวกวิกลจริต ในขณะเธอมองออกไปข้างนอกเหมือนคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะไม่ใช่ธุระของผม เธอเหลือบตากลับมา เห็นรอยแผลเป็นบนดั้งจมูกที่เหมือนกัน ทั้งๆที่ผมไม่เคยสังเกตมาก่อน และไม่นานนักฝนก็หยุดตกเหมือนสั่งได้

“ฉันต้องไปแล้ว” เธอบอก
“ไปเรียนต่อเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ไปห้องสมุดมหาลัย”

เธอยิ้มหวานให้เป็นการบอกลาแทนคำพูดแล้วเธอก็ลุกออกไปจากร้าน ทันทีที่เสียงประตูปิด ผมก็คิดว่าเรื่องราวมันจบสิ้นโดยสมบูรณ์แบบเหมือนตอนจบของนิยาวสั้นเศร้าๆสักเรื่อง ผมถอนหายใจเพราะอยากให้เธอนั่งนานอีกนิดหน่อย  อยากจะรู้จักเธอมากกว่านี้ นึกแล้วก็เสียดายเพราะความขี้ขลาดและเกลียดตัวเอง บางครั้งผมก็ไม่รู้ตัวเองว่าเพราะ “ความเหงา” หรือเปล่าที่ทำให้ผมตกหลุมรักใครได้ง่ายดาย เพราะมันมีเส้นบางๆ กั้นกับ “ความหลง” จนบางทีเราก็ไม่สามารถแยกมันออกได้เลย

ท้องฟ้ากลับมาแจ่มใส บรรยากาศมืดครื้มหายไป พระอาทิตย์ที่หลบหลังเมฆดำส่องแสงอีกครั้ง คล้ายๆ จะบอกว่า เจอกันอีกแล้วนะ วันนี้เรายังไม่ไปไหนหรอก ... ฟ้าหลังฝนย่อมสวยเสมอ ทิ้งกลิ่นไอความสดชื่น และชำระล้างความสกปรกบนถนนออกไป เวลานี้แหละที่ผมอยากจะไปชายทะเล นอนบนเปลหยวน และแล้วความเป็นจริงก็ปลุกผมขึ้นมาอีกครั้ง

กระดาษตรงหน้ายังว่างเปล่า ไร้ร่องรอยดินสอ เห็นแต่หน้าเจ้านายขมวดคิ้ว หนังหน้าเหิ่ยวๆ ลอยออกมาจากกระดาษเป็นภาพสามมิติ ตะโกนด่าว่า “ถ้ายังทำงานไม่เสร็จ ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า!” ผมระเบิดอารมณ์ใช้ดินสอแทงลงไปบนกระดาษฉึกๆอย่างลืมตัว จนคนข้างโต๊ะขมวดคิ้ว มองแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ผมหัวเราะแหะๆด้วยความอับอาย บริกรเดินออกมาถามผมว่ารับกาแฟเพิ่มไหม ผมบอก ไม่เป็นไร แต่ขอน้ำเปล่า (ถ้าให้ดี ผมขอถังปี๊บ เอามาคลุมหัวด้วยใบนึง)

ฝนทิ้งความชุ่มชื่นไว้ทุกพื้นที่ ทิ้งกลิ่นหลังฝนตก ผมสัมผัสได้แม้ว่ากระจกกั้น อากาศแบบนี้แหละที่ผมชอบ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมชอบออกไปเล่นน้ำฝนจนเป็นไข้ แม่ต้องลากเข้ามาในบ้าน เอาผ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวเพราะกลัวเป็นหวัดจะไปโรงเรียนไม่ได้ เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ผมอมยิ้มได้ทุกครั้ง ราวกับว่ามันเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน – ผมถอนหายใจ กวาดสายตาไปเจอบางสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งๆ ที่ไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน ผมนึกได้ว่าเธอคงลืมเอาไว้ เลยกวาดดินสอ ยางลบ หนังสือเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งตุกๆตามเธอออกไปนอกร้าน

ผมออกไปจากร้าน มองซ้ายมองขวาผมก็ไม่เห็นเธอ ผมเลยตัดสินใจวิ่งไปทางขวา (ซึ่งผมก็หาสาเหตไม่ได้ว่าทำไม) วิ่งเป็นวงกลมจนมาหยุดที่ร้านกาแฟร้านเดิม หอบแฮ่กด้วยความเหนื่อย สองขาเปียกปอนเพราะความชื้นแฉะจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเมื่อนาทีที่แล้ว ไอ้ครั้นจะเอาไปฝากเจ้าของร้าน ผมก็อยากจะให้ด้วยมือตัวเองมากกว่า เพราะผมอยากเจอเธออีกครั้ง แล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะอยู่ข้างหลัง เป็นเสียงอันอ่อนโยนที่แสนคุ้นเคย

“ตามหาเจ้าของเหรอคะ”
“ใช่ วิ่งหนีไปเร็วมาก” ผมเหนื่อยแฮ่กๆ แต่ยังมีอารมณ์หยอกกลับ
“ท่าทางเขาต้องน่ารักแน่เลย คุณถึงอยากตามหาเธอขนาดนี้”
“ทำไมถึงคิดแบบนี้ล่ะ”
“ก็ปกติถ้าเจอของ คนเก็บก็จะต้องเอาไปให้เจ้าของร้านมากกว่าวิ่งหาเอง จริงไหม? ถ้าคุณวิ่งออกมาเองแปลว่าคุณอยากจะเจอเขาอีกครั้งหนึง”
“ไม่แบบนั้นเสมอไป” ผมปด
“คุณกำลังยิ้ม แปลว่าพูดไม่ตรงกับใจอยู่ใช่ไหม”
“ทำไมถึงเดาใจผมออกล่ะ”
“ฉันเรียนจิตวิทยาไง จำไม่ได้เหรอ ฉันมองคนออกน่า”
“ผมก็เรียนเหมือนกัน แต่มองคนไม่ออก ท่าทางเทอมนี้จะตกแน่ๆ”
เราทั้งสองหัวเราะ
“คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ” เธอถาม
“ไม่บ่อยหรอก เข้ามาหลบฝนน่ะ”
“รู้จักร้านกาแฟดีๆ มีที่ให้นั่งกินไหม?”
“รู้ แต่ต้องเดินไปอีกสิบนาที”
“พาฉันไปหน่อยได้ป่ะ” เธอชวน

จะยากก็ยาก บทจะง่ายก็ง่ายจนน่าตกใจ ในสมองผมประมวลผลอย่างหนักว่าทำไมเธอจึงชวนเดินมากินกาแฟ เลี้ยงเพื่อตอบแทนงั้นเหรอ ความจริงคำว่าขอบคุณก็น่าจะเพียงพอ เฮ้อ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ทำยังกะตัวเองหล่อตายจะมีผู้หญิงชวนออกไปข้างนอกอยู่ตลอด แต่ช่างมันเถอะ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีก็แล้วกัน

เราเดินคุยกันไปตลอดทาง หลายๆเรื่องเราทั้งคู่สามารถจูนเข้าหาได้อย่างรวดเร็ว เธอชอบฟังเพลงเศร้าๆ เพลงแจ๊ซ บรรเลงเปียโน ผมบอกว่าผมก็ชอบ เพราะดนตรีคือชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ผมเลยแนะนำไปสองสามเพลงของ เดต แคป ฟอร์ คิ้วตี้ และ ซี อาวี่ เธอจดลงบนสมุดบอกว่าจะไปหาฟังในยูทูบคืนนี้
“ทำไมถึงชอบฟังเพลงเศร้าๆล่ะ” ผมถามขึ้น
“ฉันชอบเพลงเศร้าเพราะมีอะไรมากมายให้คิด อีกอย่างเพลงเศร้าๆส่วนใหญ่ก็ใช้เครื่องดนตรีไม่หนัก ฟังแล้วผ่อนคลายและเป็นการระบายความเศร้าออกไปโดยไม่ต้องร้องไห้”
“มีเรื่องอะไรให้คิดเหรอ”
“เยอะแยะ ชีวิตของทุกคนมีปัญหาให้แก้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ อยู่ที่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน” เธอเปลี่ยนเรื่อง “คุณอ่านนิยายด้วยเหรอ?”
“ใช่” ผมหยิบหนังสือเดอะ โน้ตบุ๊ค ของนิโคลัส สปาร์ค ขึ้นมา
“ฉันคิดว่าผู้ชายไม่ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ซะอีก”
“แล้วจะให้อ่านแนวไหนล่ะ”
“อะไรที่มันดูแมนๆ แต่ไม่ใช่นิยายหวานรักโรแมนติก”
“รู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันคริสต์มาส” เธอเปลี่ยนเรื่องอีก ผมเริ่มตามไม่ทัน
“ลืมไปเลย”
“ไม่เป็นไร มันก็แค่วันทั่วไปอีกวันหนึ่งน่ะ”
“เอางี้ ถ้าผมเป็นซานต้าครอส คุณอยากจะได้อะไร”
“ฉัน...อยาก...ได้...” เธอนึก
“อย่านึกนานสิ”
“ฉันไม่อยากได้อะไรเลย”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สิ”
“เอางี้ วันเกิดคุณวันไหน”
“28 มกรา”
“โอเค วันนี้ซานต้าให้ของขวัญไม่ทัน ติดไว้ให้ตอนวันเกิดแล้วกันนะ”
“คุณจะให้อะไรฉันเหรอ?”
“ผมชอบของทำมือ ผมอาจจะทำอะไรให้คุณสักอย่าง”
“ฟังดูน่าสนใจดี ว่าแต่วันเกิดคุณวันไหน”
“4 กุมภา” ผมตอบ
“งั้นฉันพาคุณไปเลี้ยงข้าวแล้วกันนะ” เธอหัวเราะ
“เราจะเจอกันถึงวันนั้นเลยเหรอ”
“หมายความว่ายังไง”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมเปลี่ยนเรื่อง “อยากกินกาแฟ หรือเค้กอีกเหรอเปล่า เดี๋ยวผมสั่งให้”
“ไม่เอาล่ะ”
“ทำไม”
“ฉันเกรงใจ ความจริงฉันต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงนะ”
“เอาน่าเลือกมาหนึ่งอย่าง” ผมขยั้นขยอ
“งั้นฉันขอชาเขียวเฟบปูชิโน่แล้วกัน” เธอตอบ “ไม่เอาวิปครีมนะ”

ผมเดินไปสั้ง ส่วนผมกินจาวาชิบปั่นอีกแก้ว เธอมองผม ให้ตายสิ ผมอยากให้ตาผมเป็นกล้อง จะได้ถ่ายภาพเธอตอนนี้ได้ แสงแดดจากข้างนอกส่งใบหน้าเธอนวลสวย ผมที่สยายลงบ่าต้องกับแสงเป็นประกาย หรือว่านี่ผมจะตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว ตอนนั้นเองที่เพลง Lost In Space ของ Lighthouse Family เข้ามาก้องในหัว

'Cause your light shines so bright
I don't feel no solitude
You are my first star at night
I'd be lost in space without you

“เพราะว่าคุณงดงาม ทอแสงสว่าง
ยามอาทิตย์ตก แต่มองเห็นความสดใส
ดังดวงดาวค่ำคืน จากถิ่นแสนไกล
ฉันคงหลงทางในอวกาศ หากไร้เธอ”

ในแววตามีอะไรแฝงอยู่มากมายจริงๆ บางทีเธอไม่อยากจะเผยให้เห็น เพราะวันนี้คือวันแรกที่เรารู้จักกัน เมื่อไหร่ที่เธอวางใจ เธอคงจะเล่าออกมาเอง

ผมขอเบอร์โทรศัพท์ เธอให้มา บอกว่าจะเป็นไรไหมหากจะส่งข้อความตอนนี้ เธอบอกไม่เป็นไร ผมเลยส่งข้อความไปว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก” เธออ่านแล้วยิ้ม
“ทดลองส่งน่ะ เผื่อให้เบอร์ผิดมา” ผมพูดเขินๆ
“ความจริงเราไม่เคยให้คนแปลกหน้าเลยนะ กะนายเนี่ยะแหละเป็นคนแรก ถ้ามีคนมาขอแล้วฉันไม่ชอบ หรือไม่ไว้ใจก็จะให้เบอร์พ่อไปแทน”
“แล้วถ้าเขายังตามจีบอยู่จะทำยังไง”
“ก็ทำเฉยๆใส่ ผู้ชายทนไม่ไหวก็หนีไปเอง”
“ใจร้าย”
“เป็นการปกป้องตัวเอง”
“ถ้าจะพูดอย่างนั้น”
“แต่พูดจริงๆ นะ ฉันไม่เคยชวนใครมา...กินกาแฟเลย ฉันหมายถึง มากันสองคนน่ะ ฉันว่ามันไม่เหมาะ”
“แล้วทำไมถึงชวนล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกก็ว่าจะไม่ชวน แต่คุณดูไม่มีพิษภัยดี อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ไปไหนด้วย”
“ไหนคุณบอกจะไปห้องสมุด”
“ใช่ แต่พอฝนตก กำหนดการของฉันก็รวน”

จะว่าผมวิตกจริตก็ได้นะ แต่ผมยอมรับว่าผมตามผู้หญิงคนนี้ไม่ทัน ผมกำลังโดนเธอควบคุม และเกมนี้เธอก็ชนะ หรือไม่เธอก็เป็นผู้หญิงใจง่าย ไม่ได้มองความรักเป็นเรื่องจริงจัง ออกเดตกับผู้ชายไปเรื่อยๆ พอหมดใจแล้วก็ทิ้ง ผมไม่อยากมองเธอในแง่ร้าย ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงจะเจ็บน่าดู แต่ผมก็ไม่กลัวที่จะเข้าไปเล่นกับเธอ เพราะอีกใจหนึ่งก็คิดว่าผู้ชายอย่างผมไม่มีอะไรจะเสีย – ผมคบผู้หญิงมาไม่น้อย ทุกครั้งผมเตรียมใจรับมือกับความเจ็บ รู้สนิทใจว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง แต่พอถึงเวลาเลิกกันผมก็กลับรับไม่ได้ แม้แต่ผู้ชายที่เข้มแข็งที่สุด ก็ไม่สามารถรับมือกับการลาจากได้

ช่วงเวลาผ่านไปแค่ชั่วโมง แต่เราได้เรียนรู้มากมาย มันมีค่า หาซื้อไม่ได้ และผมรู้สึกว่าผมรักเธอแล้ว ตอนนี้เองที่ผมคิดสิ่งที่จะเขียนไปส่งหัวหน้าออกเสียที

   “เปรียบฉันดั่งนกที่โบยบิน          ผกเผินบินไกลสุดขอบฟ้า
วันเวลาผ่านไปทุกเวลา                 หวังว่าทางจะพาฉันไปพบเธอ
   เรื่องรักนั้นไม่สิ้นสุด                 ไม่มีจุดเลิกคิดเลิกค้นหา
นาฬิกาจะเดินเลยผ่านมา               เธอยังมาในใจฉันเสมอไป”*

ผมต้องเอากลับบ้านไปลงสีน้ำ ด้านล่างวาดภาพเป็นน้ำ เกลียวคลื่น ทะเล ด้านบนเป็นรูปนกนางนวล ขยายปีกบินมุ่งไปข้างหน้า ตามหาบางอย่างที่ขาดหาย ใต้ท้องฟ้าสีคราม แน๊ะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เสร็จทั้งงาน แถมได้เจอผู้หญิงน่ารักๆ คนหนึ่งอีก

“คิดอะไรอยู่เหรอ” เธอถาม
“เปล่า” ผมตอบ


---------------------------------------------------------
จบตอน
---------------------------------------------------------
* ได้แรงบันดาลใจนิตยสารแห่งหนึ่ง ขอติดเครดิตไว้ก่อนนะครับ โทษที

แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 55 16:02:36

จากคุณ : ด.ช.บ่าง
เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 55 12:38:03




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com