Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 23 vote ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12988474/W12988474.html

บทที่ 23

แสงหลัวยามใกล้รุ่งสางพร่างพราวด้วยประกายมนตราเคลื่อนเป็นลำเป็นคลื่น แม่นางแพรขึงตาทื่อไร้แววตรงมาครอบงำโชติชลซึ่งค่อยเผยอเปลือกตาอย่างอ่อนล้า เขายังไม่รู้สึกว่าเจ็บหน้าผากทั้งที่เลือดไหลเปรอะ ในหัวมันมึนมาก คล้ายถูกถมด้วยยาชาเป็นโอ่งๆ

"เจ้าบาดเจ็บแล้ว ขึ้นไปทำแผลก่อนเถอะ เราจะให้เด็กของเราช่วยเจ้าเอง ขึ้นไปเจ้าหนุ่มน้อย ขึ้นไป"

สุ้มเสียงยืดยานนั้นช่างหวานนัก โชติชลงงอยู่ในห้วงมึนจัด แต่รับรู้ได้ว่าขนลุกซู่ทั่วตัว กล้ามเนื้อหดบิดแปลกๆ เขาไม่คิดจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับตะกายสวนทางเสียอย่างนั้น ดูเหมือนว่าในใจจะร้องว่า 'ไม่ต้องลุก' แต่สองขากลับยันหยัดหมายยืนให้ได้

"โจ้ หลับตาลง"

เท่านั้นเอง แค่คำไม่กี่คำด้วยแรงพะวงห่วง พลังอำนาจที่เหนือกว่าของซาตานวจาก็พลันกระแทกเข้าใส่กลางอก หมอผาถอยกรูดจนเกิดฝุ่นคลุ้งใต้ฝ่าเท้า เขาโก่งคอกระอักเลือดน่าสงสารมาก

คราวนี้ก็ยิ่งประจักษ์อย่างหวาดกลัวจับใจแล้วว่าเจ้าของขุมพลังฮึกเหิมต้องใช่ซาตานวจาที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไสยเวทย์แน่ๆ แย่แล้ว เขาจะต้านรับอำนาจของชีวิตอมตะได้ยังไง มันเกินความสามารถของเขาไปแล้วนะ

ท่านศมะปรากฏร่างรางเลือนพลางยื่นสองมือรับร่างเกือบล้มของหมอผาประคองลงนั่งแล้วกระซิบข้างหูให้เร่งสำรวมสมาธิ จากนั้น ค่อยลอยไปขวางคลื่นพลังซาตานอมตะ ปัดมือผลักไอเย็นยะเยือกออกไป

"บังอาจ"

ซาตานวจาโกรธเกรี้ยวยิ่ง แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าคำรามเดือดดาล และเร่งพุ่งพลังเวทย์อมตะกำราบ ท่านศมะหลับตาระงับอาการพลุ่งพล่าน กลางลำตัวเกิดช่องว่างดั่งว่าโดนกรีดเฉือนจนขาดเป็นสองท่อน

ท่านยังแข็งขืนต้านทาน ทางหนึ่งคานอำนาจซาตานชั่ว ทางหนึ่งเคลื่อนร่างโชติชลถอยห่างจากโขดหินไปนั่งพิงข้างรถ หนุ่มหล่อหมดสติไปแล้ว จากนี้ไปจะไม่รู้ไม่เห็นว่าเกิดเหตุอัศจรรย์ใดๆ ขึ้นบ้าง ณ ยามรุ่งสางนั้น

บังเกิดประกายสีเงินยวงพร่างพราวและขยายรัศมีเป็นวงกว้างขึ้น กระทั่งกลายเป็นกำแพงอ่อนนุ่มกรองมนตราครอบงำที่แม่นางแพรพุ่งฝ่ามาหมายแย่งชิงเหยื่อ ร่างอรชรลอยฉวัดเฉวียนด้วยกิริยาเกรี้ยวกราดไม่ผิดเพี้ยนจากอารมณ์ดุเดือดของพี่ชายในบ่วงคำสาป

"ท่านช่างบังอาจ นี่ไม่ใช่เรื่องของท่าน เหยื่อเป็นของเรา มันเข้ามาในเขตเราก่อน"

"ยังหรอกแม่นางแพร" ท่านศมะตอบโต้เสียงกระด้างของนางผี "เขายังไม่ได้ขึ้นไป ท่านแค่พยายามครอบงำเขาเท่านั้น ในเขตอำนาจของเรา ท่านทำร้ายเขาไม่ได้ ณ ยามรุ่งสางก็คือพลังอันแข็งกล้าแห่งเรา ท่านต้านทานก็ไม่ได้ด้วย"

"ท่านศมะ"

"ไอ้องครักษ์ชั้นสวะ"

หมอผาสะดุ้งกับสองเสียงที่ตะเบ็งโหยหวน ขนทั่วกายลุกเกรียว ตาที่พริ้มหลับแต่กลับเห็นหมดว่าม่านหมอกก่อตัวเป็นกลุ่มใหญ่หนาแน่นมาก มันเปลี่ยนจากสีขาวขุ่นเป็นเทาและค่อยเข้มขึ้นจนเกือบดำรอมร่อ

"ไม่ต้องสนใจ เจ้าจงสำรวมสมาธิของเจ้าต่อไป ไม่ต้องใช้มนตราใดๆ เพื่อตอบโต้ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซาตานวจาและแม่นางแพร จงทำเพียงหน้าที่ของเจ้าก็พอ"

ท่านศมะส่งกระแสจิตมาเตือนสติ ท่านโบกมือผลักสายลมอุ่นไปโอบล้อม มันช่วยขวางพลังอำนาจชั่วได้แค่ชั่วครู่ ซึ่งท่านก็หวังเพียงเท่านั้นล่ะ

อีกอึดใจก็จะสว่างแล้ว ฤทธิ์นางผีก็จะเสื่อมต้องรีบหลบเข้าไปซ่อนในที่เร้น ตัวท่านก็ไม่คิดจะตอบโต้หรือปะทะพลังร้ายโดยตรงอยู่แล้ว ที่ทำอยู่ก็น่าจะเรียกว่า 'ชะลอเวลา'

"สารเลวยิ่ง ท่านช่างจองล้างจองผลาญเราแม่นางแพรนัก"

นางผีตวาดด่าอย่างเคียดแค้น ประจักษ์ว่าอำนาจครอบงำพุ่งชนกำแพงมนตราอ่อนนุ่มแล้วดีดสะท้อนย้อนสู่ตัว

"ต้องมีสักวันที่เราจะกำจัดดวงวิญญาณของท่านด้วยมือเรา"

"เรารอวันนั้นของท่านได้ แต่วันนี้ เราขอบอกให้จงตระหนักว่าชายที่ท่านหมายให้เป็นเหยื่อทาส คือเจ้าชะตาบริวารแม่นางกณิการ์ เขามาพร้อมกับพลังสามัญที่คานอำนาจของซาตานวจาได้ ท่านทำอะไรเขาไม่ได้"

"ไม่ได้หรือ" แม่นางแพรแหวกลับ ถลึงตาดุร้ายเข้มข้น "ก็ถ้าท่านไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ท่านแน่ใจหรือว่าเราจะทำอะไรมันไม่ได้"

"ที่ท่านทำไม่ได้ ก็เพราะว่าเราสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวนี่ยังไงเล่าแม่นาง กลับเข้าไปเถอะ แสงแรกแห่งรุ่งอรุณอาจทำร้ายดวงวิญญาณของแม่นางให้ได้รับบาดเจ็บ"

"ไอ้องครักษ์ชั้นปลายแถว" ซาตานวจาคำรามเกรี้ยวกราดออกมาจากตัววิหารวัง "เจ้าเป็นศัตรูที่น่าชัง ข้าจะทำลายดวงวิญญาณเจ้าทันทีที่หลุดพ้นจากคำสาป"

"เรายินดีบอกย้ำได้อีกว่าเรารอวันนั้นของท่านสองพี่น้องได้ เอาล่ะ เก็บคืนมนตรากลับไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อ่อนน้อม เราจะไม่เกรงใจ"

ไม่ใช่จะไม่เกรงใจ ท่านศมะไม่เกรงใจจริงๆ เพราะแม่นางแพรยังคงมากเล่ห์ไม่ผิดเพี้ยนไปจากกาลในอดีต เฝ้ารอจังหวะเผลอขณะท่านเจรจาออมชอมกับพี่ชาย ลอบพุ่งมนตรานางผีมาหมายครอบงำหนุ่มหล่อ

ท่านโบกมือเบาๆ สายลมอ่อนนุ่มผืนหนึ่งก็ไหลทะลักเข้าไปกระแทก บีบคั้นให้ร่างนางผีต้องรีบพลิ้วผละลนลาน ซ้ำยังหลุดอุทานตระหนกมาพอแผ่วให้ท่านยิ้มสมเพชอีกด้วย

"อย่าได้บังอาจต่อเจ้าชะตาบริวารแม่นางกณิการ์ เก็บพลังผีร้ายไว้รับมือกับวาสนาแม่นางเจ้าฟ้าเถอะ"

"แม่นางเจ้าฟ้า" นางผีเค้นเสียงดูแคลน แหงนหน้ากู่เสียงหัวเราะโหยหวนหยาบหยาม "ท่านนี่โง่เขลาไม่อาจขัดเกลายิ่งท่านศมะ คามดารกะล่มสลายไปนานแล้ว แม่นางเจ้าฟ้าของท่านหมดวาสนาแล้ว ต่อให้ย้อนคืนมา แล้วเป็นยังไงหรือ มีอำนาจอะไรมาคานพี่ชายเราได้ ก็แค่แม่นางคนหนึ่งที่ไร้พิษสง"

"ใช่ เป็นแค่แม่นางคนหนึ่งที่ไร้พิษสงที่ท่านไม่อาจเข้าใกล้ได้ด้วย จริงไหมแม่นางแพร"

นางผีสะอึก ถลึงตาอาฆาต โกรธแค้นที่โดนยอกย้อนหยาบหยาม เพราะความจริงมันเป็นเช่นนั้น ฤดีดิษถ์คือร่างใหม่ของแม่นางเจ้าฟ้า ในร่างกายซุ่มซ่อนไว้ด้วยพลังอำนาจและวาสนาแต่กาลอดีต นางผีร้ายจึงไม่อาจเข้าใกล้ด้วยว่ารังสีวาสนานั้นร้อนกล้าและคมกริบยิ่ง

ท่านศมะถอนใจยาว ด้วยวิสัยองครักษ์นักรบย่อมไม่บีบคั้นหยาบหยาม ในเมื่อนางผีสำนึกได้ด้วยการเงียบไปชั่วอึดใจ ท่านก็ไม่อยากซ้ำเติมให้เดือดดาลปนอับอายยิ่งไปกว่า

ร่างเบาค่อยพลิ้วมาหยุดข้างหมอผาที่ยังนั่งพริ้มตาสงบ สังเกตจากทรวงอกที่สะท้อนสม่ำเสมอ ก็พอทราบว่าเจ้าตัวสำรวมสมาธิได้นิ่งแล้ว

ท่านหย่อนร่างลงพลางถอนใจอีก รับรู้ว่าชายคนนี้เกี่ยวข้องกับชะตาแม่นางกณิการ์ แม้ไม่ใช่เจ้าชะตาบริวาร แต่ก็พัวพันด้วยเยื่อใยในกาลอดีต

ยามเพ่งลึกเข้าไปในจิตนิ่งของเจ้าตัว ปล่อยคลื่นนิมิตไหลเรื่อยไปในความมืด ก็ค่อยเจอว่าที่แท้แล้วหมอผาก็คือหนึ่งในกลุ่มเด็กชายห่มหนังสัตว์ที่ทำหน้าที่หย่อนไม้ไผ่คลุกร่างแม่นางในบ่อเพลิงอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

มันก็ควรเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเกี่ยวข้องด้วยพิธีกรรมดับสูญ ก็ต้องย้อนกลับมาเพื่อร่วมชะตาฟื้นคืนด้วยเช่นกัน

ฟ้าสางแล้ว แสงอรุณเรื่อเรืองจับขอบฟ้า แม่นางแพรรับรู้ว่าคงทำอะไรไม่ได้อีก จึงได้แต่แสยะปากคำรามอาฆาตศัตรู แล้วรีบพลิ้วกายกลับเข้าสู่ที่เร้น ม่านหมอกมนตราก็หายวับ

ทั่วบริเวณอันวังเวงเหลือเพียงสายลมปกติเคลื่อนไหวอ้อยอิ่ง พร้อมกับสภาพโดยรอบก็เริ่มปรากฏคมชัดขึ้น ในที่สุด วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วพร้อมกับการจากไปอย่างเงียบๆ ของท่านศมะ

หมอผาค่อยลืมตาขึ้น รู้สึกเจ็บร้าวในคอใหญ่ ทรวงอกชุ่มเหนียวด้วยเลือดชโลม ตาปรือมองขึ้นไปจับวิหารวังร้าง เห็นมันพลิ้วไหวคล้ายคลื่นอยู่บนยอดเนิน พลางใจก็บอกตัวเองว่านั่นคือสถานที่ในนิมิต ที่ที่สาวครีเอทีฟเปื้อนเปรอะหยาดเลือดเต็มกาย

แต่มันน่าโมโหก็ตรงที่คลื่นนิมิตไม่อาจฝ่าทะลุกำแพงลี้ลับผืนหนึ่ง ทำให้ไม่เห็นว่าเธอจะพบกับจุดอวสานแบบไหน ใช่ เขาอยากจะมั่นใจไปเลยว่าฤดีดิษถ์จอมยโสคนนั้น 'ไม่น่าจะรอด'




ฤดีดิษถ์เลิกคิ้วประหลาดใจกับการปรากฏตัวในสภาพสะบักสะบอมของสองอาคันตุกะ เธอวางถ้วยกาแฟแล้วรีบลุกมาสมทบกับลุงโภชน์

ตาเรียวคมกล้าสำรวจคราบเลือดบนตัวสองอาหลานอย่างฉงน แต่ยังไม่ถาม เพราะสภาพอิดโรยที่เห็น มันบอกว่าทั้งสองยังไม่พร้อมจะบอกเล่านอกจากพักผ่อนสักครู่

"ชาวบ้านไปเจอ"

ลุงโภชน์บอกสั้นๆ แล้วส่ายหน้ากับร้อง 'เฮ้อ' หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ปล่อยให้ชาวบ้านปฐมพยาบาลแขกกับหาน้ำท่ามาต้อนรับกันไปตามเรื่องตามราว

แดดยามเช้าอุ่นกำลังดี สองแขกใหม่นอนแผ่หลาเต็มแคร่ โดยเฉพาะโชติชล เธอรู้สึกได้ว่าอาการเขาสาหัสกว่าคนเป็นอา ตาปรือแล้วพริ้มปรือแล้วพริ้ม ราวกับว่าเปลือกตามันหนักจนยกไม่ขึ้น

"เกิดอะไรขึ้นกับเขาสองคนคะ" เธอกลับมานั่งที่เดิม ดื่มกาแฟที่เหลือ และมองลุงโภชน์นั่งห่างออกไป

"ก็ปกติ" ลุงโภชน์บอก "คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นมักจะเจอดีทุกราย จะหนักจะเบาก็แล้วแต่เวรแต่กรรม แต่อย่างสองรายนี้ คิดว่าหนักนะ ถึงขั้นเลือดตกยางออกได้"

"มันมีอาถรรพ์มากขนาดนั้นเชียวหรือคะ ประหลาดจัง แล้วทำไมทางการไม่เข้ามาทำอะไรบ้างเลย หรือว่าทางเราไม่แจ้งปัญหาไป เผื่อว่าทางการจะส่งคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาช่วยกันสำรวจหรือตรวจสอบหาข้อเท็จจริง"

"แม่หนู" คนฟังก็หัวเราะไปตามระเบียบ เข้าใจนั่นละว่าคนพูดหัวสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ "เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจสำรวจตรวจสอบเจอด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญสมัยใหม่หรอกนะ มันเป็นเรื่องของความเชื่อที่ตกทอดกันมาเป็นรุ่นๆ "

ฤดีดิษถ์เม้มปาก เข้าใจทันทีว่าผู้ใหญ่ตำหนินิดๆ แต่ก็ไม่อยากถือสา แล้วก็ไม่ถึงกับต้องให้ยืนกรานว่าตนไม่เชื่อถือเรื่องไร้สาระพวกนั้น

ตอนฟังมวลผกาเล่าถึงปาฏิหาริย์ในบ้านเกิด เธอก็แค่ฟังไปเพลินๆ เพราะมันไม่มีเรื่องตลกแบบนั้นเกิดขึ้นจริงในโลกที่มีจรวดพุ่งพรวดๆ ขึ้นไปท่องเที่ยวทั่วอวกาศหรอก

"เราจะไปวิหารวังร้างกันตอนไหนคะ" เธอเปลี่ยนเรื่องเมื่อดื่มกาแฟหมด

"ก็น่าจะสายกว่านี้หน่อย รอให้.. "

"ไปไม่ได้"

หมอผาดีดตัวขึ้นจากท่านอนแผ่หลาว่องไว เขากระแอมในลำคอ ฝืนใจย้ายร่างอ่อนล้ามาหยุดตรงหน้าสาวครีเอทีฟ เธอจ้องตาแข็งกร้าว

มันเป็นดวงตาที่น่ายำเกรงลึกๆ ดั่งประกายทรงอำนาจของนางพญา และเขาก็เคยปะทะกับดวงตาคู่นั้นมาแล้วในนิมิต แม้จะรางเลือนก็เถอะ

"คุณ.. "

"ท่าทางคุณเหมือนไม่ค่อยอยากเรียกผมว่าอา แต่ก็ไม่เป็นไร จะเรียกหมอผาก็ได้นะ แล้วแต่ถนัด"

หมอผารีบบอกแล้วยิ้มเพลียๆ เห็นที่ว่างอยู่ต่ำกว่าที่หญิงสาวนั่ง ก็นั่งเลยไม่คิดมาก ครั้นพอเงยหน้าก็สะดุ้งวาบ ใจสั่นแทบร่วง

เพราะแสงแห่งวิชาอาคมมันสะท้อนเงาประหลาดแทรกซ้อนอยู่ในกายอันสง่าของฤดีดิษถ์ มิหนำซ้ำ ยังขยับเลื่อนจนเกิดเหลื่อมพลิ้วขึ้นพลิ้วลง ดั่งว่าพร้อมจะแบ่งตัวเป็นสามสี่หรือไม่ก็แยกตัวเป็นอิสระไปอีกหนึ่งร่าง

หากแต่ที่สะดุ้งไม่ใช่เพราะภาพอัศจรรย์นั้น เป็นที่แสงแพรวพราวของอาภรณ์อันอลังการต่างหาก มันวูบวาวล้นประกายหลากสี ซึ่งพอเพ่งนิ่งๆ ประกายหลากสีนั้นก็จะค่อยหดรวบแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างเรียวแหลมคล้ายดั่ง 'กริชแม่นาง'

"มีอะไรหรือคะ จ้องฉันแปลกๆ คงไม่บอกว่าเห็นผีตนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังฉันนะคะ"

"ไม่หรอก ที่ผมเห็นมันน่าตื่นตะลึงมากกว่านั้น"

ฤดีดิษถ์เผยสีหน้าเซ็งให้เห็นทันที เกือบจะลุกขึ้นแล้วล่ะ ถ้าหมอผาไม่สะกดไว้ด้วยคำถามพิลึก เขาทำให้เธอต้องจ้องตาอีกครั้ง โดยไม่นึกรู้ว่าทุกครั้งที่ทำอย่างนั้น ฝ่ายโน้นจะเกิดอาการครั่นคร้ามร้อนๆ หนาวๆ

"ตอนมาถึงที่นี่ คุณไม่เคยเจอกับสิ่งแปลกๆ ที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นความจริงหรือความฝันบ้างเลยหรือ"

ลุงโภชน์เลิกคิ้วตาเป็นประกายไปอีกคน สิ่งแปลกๆ ที่ชายแปลกหน้าคนนี้พูดถึง แกเจอบ่อยแล้วเพราะเป็นคนในถิ่นเอง และรู้ดีด้วยว่าที่เจอมามันไม่ใช่ความฝัน ปาฏิหาริย์บนภูดารกะคือความจริงเสมอ แล้วแต่ว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้นเอง

"ฉันไม่เข้าใจคำถามค่ะ แล้วขอร้องนะคะ ช่วยพูดทุกอย่างให้ชัดเจน ฉันเบื่อที่จะต้องแปลความ"

"ผมก็ไม่เคยพูดคลุมเครือ อะไรที่ผมเห็น ผมก็บอกไปตามความจริง ผมห้ามไม่ให้คุณมาที่นี่ เพราะ.. "

"ฉันไม่เคยลบหลู่ในสิ่งลี้ลับ ในปาฏิหาริย์ หรือแม้แต่เรื่องภูตผีปีศาจ เทวดานางฟ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่ ร่างทรงอวตาร สารพัดที่มันเป็นวิถีปกติบนเส้นทางอาชีพของหมอผีหมอดู" ฤดีดิษถ์แทรกเสียงเบื่อๆ

"ผมก็ไม่ได้มองว่าคุณเป็นคนใจแคบแบบนั้น แต่ผม.. "

"แต่ฉันมีจุดยืนของตัวเองที่ชัดเจนค่ะ" ฤดีดิษถ์แทรกขัดไม่ลดละ "ฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองโดนครอบงำเพียงเพราะว่าหลงเชื่องมงายอย่างเหลวไหล ฉันจะเชื่อก็ต่อเมื่อฉันพิสูจน์ได้เอง เห็นเองกับตา"

หมอผาตาปรือลง เขาเหนื่อยและสูญเสียพลังไปมากโขตอนปะทะกับอำนาจแรงกล้าของซาตานวจา ถ้าได้พักผ่อนสักหนึ่งวันเต็มๆ ร่างกายก็จะฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงดังเดิม

แต่ดูสิ สาวครีเอทีฟคนนี้ดึงดันในจุดยืนอันชัดเจนของตน แข็งกร้าวกับความหวังดีที่เขาหยิบยื่น เธอจะไปที่วิหารวังร้าง ที่ที่เขาเห็นในนิมิตว่าเธอมีโอกาสตาย 'สูงมาก'

"ถ้าอย่างนั้น ผมขอต่อรองแบบนี้ได้ไหม" เขาถอนใจเหนื่อยๆ "คุณอย่าเพิ่งไปที่วิหารวังร้างในวันนี้ รอไปพรุ่งนี้พร้อมกับผม ได้โปรดเถอะคุณ ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อในคำเตือนของผม แต่ผมอยากให้คุณเปลี่ยนมาเชื่อว่าผมหวังดีจากใจ"

ลุงโภชน์ไม่เข้าใจเลยว่าสองคนคุยอะไรกัน แกมองข้ามไหล่หมอผาไปกระทบกับลูกบ้านหนุ่มน้อยคนหนึ่ง หน้าตาดูตื่นเต้นแปลกๆ จึงร้องถามออกไปว่า

"ไปตื่นเต้นอะไรมา เจอแก้วแหวนเงินทองในป่าอัญมณีหรือ"

"ป่าอัญมณี" หมอผาพอได้ยินก็ทวนอย่างสนใจ มันคือป่าอะไร ในนั้นมีแก้วแหวนเงินทองอะไรหรือ

"เป็นป่าสมบูรณ์ผืนหนึ่งบนภูดารกะค่ะ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น"

หมอผากับลุงโภชน์สบตากันแวบหนึ่งโดยบังเอิญ น้ำเสียงเฉยๆ จนค่อนไปทางดูแคลนนิดๆ ก่อความเคืองนิดๆ เหมือนกันขึ้นในใจของคนเจ้าถิ่น

เธอเจอดีมากับตัว เข้าไปเดินไม่ทันลึกถึงไหนก็วิ่งวุ่นวายไปนอนหมดสติให้ลูกบ้านช่วยกันอุ้มกลับออกมา แล้วยังมาทำสุ้มเสียงระคายหูเช่นนั้นอีกหรือ หัวสมัยน่ะไม่ว่าหรอก แต่หัวแข็งมากๆ มันก็ดูว่ากร้าวเกินไป

"พ่อให้ฉันมาแจ้งว่าเราเจอผู้ชายแปลกหน้าเนื้อตัวมอมแมมเดินร้องไห้ในตลาด เห็นใครก็เอะอะตะคอกไล่ ด่าว่าไอ้ผีบ้าบ้าง ไอ้ผีเลวบ้าง ลุงจะไปดูเสียหน่อยไหม เผื่อว่าจะใช่ว่าที่ลูกเขยลุงน่ะ"

"ไปค่ะ" ฤดีดิษถ์ลุกผลุงทันที "ตลาดอยู่ไหนคะ ไกลจากที่นี่ไหม เดินไปหรือว่าต้องนั่งรถไป"

"จักรยานก็ได้จ้ะ" ลูกบ้านหนุ่มน้อยรีบบอก

"จักรยานหรือ" เธอเหลียวมาทางลุงโภชน์ อีกฝ่ายก็เข้าใจ พยักพเยิดไปข้างบ้าน แล้วเธอก็วิ่งไปทันที ถามไปด้วย "ลุงโภชน์จะไปด้วยกันไหมคะ"

"เดี๋ยวตามไป ขอจัดที่ทางให้แขกพักก่อน เอ้อ แกนำทางแม่หนูไปนะ"

ลุงโภชน์สั่งความแล้วลุกไปดูพ่อหนุ่มอีกคนที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกระดิกเนื้อตัว แดดจ้าขึ้นแต่ก็ดีว่าส่องอยู่บนภูสูง จึงไม่ค่อยร้อน ลูกบ้านหญิงคนหนึ่งคะเนให้ฟังว่าอาจมีไข้ แกก็เห็นจริง เพราะหน้าออกแดงๆ อยู่

"ให้ใครช่วยไปไหว้วานหมอน้อยมาทีเถอะ เอ้า ไอ้พวกผู้ชายตัวใหญ่ๆ น่ะ มาช่วยแบกช่วยหิ้วหน่อยซิ พาไปนอนข้างใน เช็ดเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยล่ะ ไปๆ "

ฤดีดิษถ์ย้อนกลับมาพร้อมกับรถจักรยานกลางเก่ากลางใหม่ ไม่แน่ใจว่าตนยังปั่นได้อยู่หรือเปล่า คิดว่าถนัดขับรถยนต์มากกว่า แต่ก็เอาเถอะ ตลาดคงอยู่ไม่ไกลนัก

"คุณอาพักผ่อนก่อนดีกว่านะคะ สีหน้าอิดโรยเต็มทีแล้ว" เธอพูดกับหมอผา

"ผมว่าผมน่าจะไปด้วย"

"ไม่ต้องหรอกค่ะ" ฤดีดิษถ์ยิ้มรู้ทันความคิด จึงบอกไปตรงๆ ให้อีกฝ่ายคลายความระแวงว่า "เพื่อความสบายใจของคุณอา ฉันจะเชื่อในความหวังดีจากใจที่คุณอามีให้ก็แล้วกัน" จากนั้น ก็หันไปตบท้ายกับเจ้าของบ้าน "หนูไปนะคะ ได้ข่าวคืบหน้ายังไงจะรีบกลับมารายงานค่ะ"

ลุงโภชน์พยักหน้า ปกติเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่ายหัวเราะคล่อง แต่พอเจอเรื่องเลวร้ายสุดโต่งเข้า แกดูขรึมและเศร้าลงไปโข

ในฐานะผู้นำชุมชนก็อย่างว่าล่ะ แสดงความอ่อนแอหรือเศร้าโศกฟูมฟายมากไป เด็กๆ ก็จะพลอยใจหวั่นตามไปด้วย แกจึงต้องปั้นตัวเองให้ดูว่าเข้มแข็ง แม้ในอกจะตอกย้ำให้กระวนกระวายว่า 'ลูกสาวหาย ว่าที่ลูกเขยก็หาย เป็นตายร้ายดียังไงก็ยังไม่แจ้ง'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 16:58:29




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com