ห่างออกไป90วันเดินทางด้วยเท้า
นครสีดำอันศักดิ์สิทธ์ โอนิส
ณ ที่แห่งนี้ถูกเล่าขานว่า พวกเราถือกำเนิดที่นี่ อารยธรรมแห่งแรกก็เกิดขึ้นที่นี่ จริงเท็จประการใดไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ที่รู้ดีคือสุสานของ อลาน พวกเราคนแรกที่ถือกำเนิดขึ้นอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน สถาปัตยกรรมต่างๆ ใช้สีดำเป็นโทนหลัก ตามสีของกายของอลาน หรืออาจเป็นกุศโลบายของคนโบราณที่ใช้สีดำดึงดูดแสงอาทิตย์ ให้ความอบอุ่น เพราะเหตุที่ดินแดนแห่งนี้มักมีหิมะตกเสมอ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามนครแห่งนี้ ก็ได้ชื่อว่านครสีดำอันศักดิ์สิทธ์ ผู้แสวงบุญมากมายมักเดินทางมาเยือนที่นี่ และที่แห่งนี้คือ เมืองหลวงของพวกเรา เมืองอันศักดิ์สิทธ์ ที่ไม่มีความสกปรกของมนุษย์เข้ามาย่ำกราย
ตลาดที่คร่ำคร่าไปด้วยผู้คนฝูงชนมากมายที่มาจับจ่ายใช้สอย แม่ค้าร้องเรียกลูกค้าให้มาชมสินค้าของตน คนงานเข็นผักบนทางเท้า เสียงหญิงสาวต่อรองราคากับพ่อค้า เด็กเล็กร้องเรียกจะเอาขนม เสียงต่างๆดังเซ็งแซ่น่าปวดหัว
ไรรา กำลังมองหาใครบางคนอยู่ ทันทีที่ดวงตาสีทองของเธอเจอคนที่เฝ้ารอ ดวงตาก็เปลี่ยนจากเหม่อลอยเป็นยินดี ผมสีเงินของหญิงสาวปลิวสยายไปตามลม รอยยิ้มบางๆถูกคลี่ระบายบนใบหน้า ที่งดงามราวกับเทพเจ้าแห่งการสรรสร้าง ปั้นแต่งด้วยหัตถ์ของพระองค์เอง เขาคู่เล็กแวววาวหยอกล้อกับแสงอาทิตย์ไปมา ปีกสีดำสนิทถูกพับเก็บไว้กลางหลัง
"เป็นเยี่ยงไรบ้าง อเมทิส " หญิงสาวไถ่ถามจากคนที่เฝ้ารอ อเมทิสเป็นเผ่าไลแคน รูปร่างคล้าย หมาป่าครึ่งมนุษย์ รอยแต้มสีแดงบนหน้าผากที่แสดงว่าผ่านการเป็นเจ้าสาวมาเมื่อสองวันที่แล้ว ยังคงอยู่อย่างเด่นชัด
" ข้าสบายดี เสียดายที่เจ้ามิอาจมาได้ เพื่อนฝูงทั้งหลายแล ครูทุกคนที่มางานของข้าก็บ่นเสียงอื้ออึงนัก ว่าอยากเจอเจ้า " อเมทิสจับมือเพื่อนสาวที่เรียนจบมาด้วยกัน ด้วยความยินดี
"ข้าเสียใจที่พลาด มางานที่สำคัญที่สุดของเจ้ายิ่งนัก แต่ว่าข้าติดภาระที่มิอาจละทิ้งได้ "
ไรราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สำนึกผิด
"ถึงเยี่ยงไร ตัวเจ้ามาอยู่ที่นี่แล้ว มิใช่หรือ " อเมทิสส่งรอยยิ้มกว้างไปให้
ไรราส่งยิ้มบางๆก่อนจะส่งของในห่อกระดาษไปให้
ของขวัญแต่งงาน ข้าขอให้เจ้าพบแต่ความสุขตลอดไป
อเมทิสรับห่อกระดาษมาก่อนจะยิ้มกว้าง
ข้าขอบใจเจ้านัก แล้วนี่เจ้ามีที่พักหรือไม่ เจ้าพักที่บ้านของข้าเสียก่อนเถิด
ไรราปฏิเสธเพราะบางอย่างที่ไม่สามารถทำตามเพื่อนได้
อย่าเลย ข้ามิอาจรบกวนเจ้าดอก เจ้าพึ่งแต่งงานใหม่ๆ คงอยากอยู่กันสองคนเสียมากกว่า"
อเมทิสโบกมือ เป็นเชิงปฎิเสธ
ไฮ้ รบกวนเยี่ยงไรกัน เจ้าทึ่มนั่นจะดีใจเสียอีก ที่มีเจ้ามาให้เห็นหน้าค่าตากันเสียที
รอยยิ้มถูกส่งไปให้เพื่อนสาว สองคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เป็นเพื่อนกันจนตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นคู่ชีวิตก็ยังคงเดิม ไม่ทันที่เธอจะตอบรับว่าอะไร เสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหูก็ดังขึ้น
มีสารด่วนขอรับ" คิ้วโค้งสวยถูกขมวดขึ้นทันที ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม รวดเร็วจนแทบมองไม่เห็น
"อเมทิส ข้าขอตัวไปเอาของที่ข้าลืมไว้สักครู่หนึ่งเถิด สักประเดี๋ยวข้าจักตามไป "
"อ๋อได้สิ ข้าไปเจ้ารอที่บ้านก่อนก็แล้วกัน " เพื่อนสาวของเธอร่ำลาก่อนจะหายไปในฝูงชน
ไรราเดินเข้าไปในตรอกเก่าๆ ที่ไม่มีใครสนใจ ก่อนจะยกมือกอดอกแล้ว เอ่ยลอยๆกับผนัง
" มีเยี่ยงไร กาเวน "
ภายในเงามืดของตรอก ชายผู้หนึ่งโผล่พ้นมุมมืด ราวกับออกมาจากอากาศธาตุ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าเธอ ชายผู้นี้มีเขาที่โค้งยาวแนบไปกับศรีษะ แต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทดุจเดียวกันกับสีผมที่ถูกย้อมด้วยใบอาคาเพราะเหตุที่ต้องทำงานในเงามืด บนพื้นแผ่นดินแห่งนี้ไม่มีใครผมสีดำ
"เรียน ท่านผู้นำ เจ้าเมืองถูกสังหารอีกรายแล้วขอรับ "
มือบางที่กอดอกอยู่กำแน่นขึ้นเมื่อทราบข่าว ในระยะหลังนี้เจ้าเมืองห้ารายเข้าไปแล้วที่ถูกลอบสังหาร
มือสังหารเลือกเฉพาะเจ้าเมืองที่ความนิยมในหมู่ประชาชนค่อนข้างสูง เสียงเรียกร้องให้แก้แค้นดังขึ้นทุกทีเธอพยามหยุดยั้งให้เสียงนี้เบาลง แต่ยิ่งพยามหยุดเท่าไหร่ ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น ไฟสงครามกำลังถูกจุด
"คราวนี้ผู้ใดกัน " น้ำเสียงที่พยามควบคุมไม่ให้สั่นถูกเปล่งออกมา
"เอ่อ...คือ....เอ่อ.." ร่างสูงที่คุกเข่าอยู่จนใจที่จะบอกด้วยไม่รู้ว่าจะกระทบใจคนที่อยู่ตรงหน้าตนหรือเปล่าด้วยรู้ความสัมพันธ์ ของคนที่สิ้นชีพไปกับเจ้าเหนือหัวของตน
"เอ่ออ่า อยู่นั่นล่ะ มีการใด ก็พูดให้โดยไว " น้ำเสียงที่เกือบจะเป็นตวาดถูกเปล่งออกมา
"ท่านอลันคาน เจ้าเมืองโนเวล ขอรับ"
ห่อขนมที่ซื้อฆ่าเวลาระหว่างรอเพื่อน หล่นลงพื้น
"ท่านครู ......."
เมื่อได้สติ ภาระและหน้าที่กลับคืนมาอยู่เหนือหัวใจอีกครั้ง เธอผู้ซึ่งอยู่เหนือประชาชนชาวปีศาจนับล้านจะมาแสดงความอ่อนแอ ให้ใครเห็นไม่ได้
"เรื่องนี้ แพร่งพรายไปมากน้อยเพียงใด " เธอกำมือแน่นจนเลือดออก
"นอกจาก จากบ่าวภายในจวนแล้ว ก็มีเหล่าองค์รักษ์ และ กองกำลังลับตามคำสั่งที่ 606 ขอรับ "
"ดี นำความข้าลงไป ห้ามมิให้ข่าวแพร่งพราย ออกไปว่าเจ้าเมืองอลันคานถูกลอบสังหาร ผู้ใดฝ่าฝืน ข้าจักกุดหัวพวกมันเสียให้สิ้น "
ดวงตาสีทองมองที่ขอบฟ้า เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ ไม่ให้อยู่เหนือเหตุผล
"แล้วจักทำเยี่ยงไรเล่าขอรับ เรื่องที่ท่านเจ้าเมืองถูกสังหาร ผู้คนคงไม่เชื่อว่า จู่ๆท่านเจ้าเมืองจะป่วยจนสิ้นใจ"
"ปล่อยข่าว เริ่มจากพวกผู้หญิงก่อน พวกนั้นเชื่อง่ายและแพร่ข่าวไว เล่าแจ้งแถลงไขไปว่าเจ้าเมืองป่วยมานานแล้ว แต่หาได้บอกใครไม่ "
"ขอรับ " เมื่อไม่เห็นเจ้าเหนือหัวของตนขยับตัว ชายผู้นั้นจึงเงยหน้าขึ้น เตรียมกล่าวลา
แต่ทว่า
"ประเดี๋ยว.... สั่งการลงไป ให้แม่ทัพแลนายกองทั้งหลาย เริ่มระดมพล แล้วไปพบข้าที่วัง "
ชายในชุดคลุมอดไม่ได้ที่จะถาม
"ท่านคิดว่า มนุษย์จะก่อสงครามอีกครั้งหรือขอรับ "
"ข้าหารู้ไม่ กาเวน ไม่รู้จริงๆ"น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับย้ำเตือนความไม่แน่ใจ
...........................................................................
บนเขาสูงเสียดฟ้า ไร้ซึ่งสำเนียงแห่งชีวิตใด ๆ แม้แต่แมลงที่เคยร่ำร้องเสียงดัง ก็เงียบเสียงลง เมื่อเจ้าเงาเคลื่อนผ่าน มันหยุดอยู่ถ้ำขนาดยักษ์ชนิดที่ว่าคนต่อตัวกันสามสี่คนก็ยังไม่สามารถเอื้อมแตะเพดานถ้ำได้ เจ้าเงาลองใช้เสียงโซน่าห์แสกนหา สิ่งมีชีวิตก็ไม่พบสิ่งใด ร่างในเสื้อเกราะเดินเข้าไปหาผนังถ้ำ ตันๆ มือที่ใส่ถุงมือเส้นใยเคฟล่า เปิดผนังถ้ำที่ซ่อนสวิตซ์เอาไว้อย่างแนบเนียน เสียงครืดคราดเกิดขึ้นเบื้องหน้า ก่อนจะเผยให้เห็นสถานที่แตกต่างออกไป ราวกับอยู่คนล่ะโลก
ภายในนั้น สว่างสไวด้วยแสงจากหลอดไฟฮาโลเจน พื้นเป็นโลหะมันวาว ทันทีที่เดินผ่าน เสียงหนักๆก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ประตูปิดตัวลงอย่างสมบรูณ์
มันปลดดาบออกวางไว้ที่โต๊ะโลหะ ก่อนจะกดสวิทซ์ที่ข้างหมวก เมื่อหมวกอ่านลายนิ้วเรียบร้อยแล้ว เสียงฟู่เบาๆ เกิดขึ้นที่ข้างหู ผมสีบลอร์นยาวสยายถูกปล่อยลงมาตามน้ำหนัก หมวกเหล็กจากโลหะผสม ถูกวางไว้ที่โต๊ะเช่นเดียวกัน ทันทีที่เสื้อเกราะเส้นใยเคฟล่าถูกถอดออก ก็เกิดไอน้ำบางรอบตัว ก่อนที่รูปร่างบึกบึนเช่นชาย จะหายไป เหลือเพียงรูปร่างบอบบาง ของอิสตรีในชุดรัดรูปสีดำดูเย้ายวน
เสียงทักเป็นภาษาเยอรมัน สำเนียงบาวาเรี่ยน ดังขึ้นด้านหลังของเธอ
"เป็นยังไงภารกิจบ้างคราวนี้ " ชายผิวขาวตาฟ้าอายุราวๆ40-45 เอ่ยทัก รอยเหี่ยวย่นจากหางตาบ่งบอก ความดีใจ
แต่หากมองลึกลงไป ในดวงตา แม้แต่คนที่ใจแข็งที่สุดก็ยังไม่อาจสบตาได้
"ก็เหมือนเดิมหมายเลขศูนย์ สำเร็จ แต่มีเรื่องให้ประหลาดใจนิดหน่อย "
"ประหลาดใจ " คิ้วดกหนา เลิกขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะมองตามสายตาสีฟ้าของคู่สนทนา ไปยังอาวุธที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาลองชักอาวุธจากฝัก ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เขามองเธอด้วยสายตาคำถาม
"มันฟันอาวุธเป้าหมาย ไม่ขาด " เธอเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะแตะเบาๆที่คมดาบตรงกลาง ทำให้เลือดสีขาวไหลทันที "แล้วนี่มันมีรอยบิ่น "
"โลหะ ผสมงั้นรึ " แม้แต่ไทเนียมผสมยังขาดราวกับกระดาษ เมื่อเจอดาบที่ขึ้นรูปโมเลกุลเดี่ยวด้วยนาโนเทค โดยไม่มีแม้แต่ รอยเท่าขนแมว แต่นี่ไม่เพียงแต่ทำลายไม่ได้ ตัวดาบเองยังเสียหายซะเอง
"ไม่ใช่ โลหะธรรมดา ให้หมวกแสกนดูแล้ว คิดว่าอยู่ที่ตัวบุคคล ไม่ใช่อุปกรณ์"
ชายคนนั้นยักไหล่
"ก็บอกแล้วไง ชีวิตย่อมมหัศจรรย์เสมอ "
ใช่ชีวิตย่อมมหัศจรรย์เสมอ
เธอมองดูเลือดสีขาวจากปลายนิ้ว
แล้วเราล่ะ มีชีวิตหรือเปล่า