Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 24 vote ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13000151/W13000151.html

บทที่ 24

แต่ท้ายที่สุด หมอผาก็ทำใจนอนรอฟังข่าวที่บ้านลุงโภชน์ไม่ไหว เขาไม่ไว้ใจการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเจือหุนหันของฤดีดิษถ์ ยังไงก็ขอตามมาตลาดด้วยดีกว่า

แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยที่ตัดสินใจแบบนี้ เพราะทันทีทีมาถึง เธอก็สามารถก่อความโกลาหลได้ด้วยนิสัยแข็งกร้าวปนใจร้อนนั่นทีเดียว

"ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ ฉันบอกว่าปล่อยเขา พวกคุณมีสิทธิ์อะไรไปจับเขามัดไว้แบบนี้ ปล่อยสิ"

ชาวบ้านไม่กล้าปล่อยหรอก ก็เห็นกันหมดว่าธิสัยอาละวาดเหมือนเสือคลั่ง ตาขวางและถลนแดงก่ำน่าสะพรึงกลัว ทั่วร่างก็มอมแมมคราบดินโคลนเลือดแห้งจนแทบจะเดาสภาพอาภรณ์ชุดเดิมไม่ออกเลย

ไหนจะผมเผ้าที่ยุ่งสยายและแข็งชี้เหมือนทาครีมเจลกันแบบทุ่มเกลี้ยงกระปุกอีก สภาพแบบนั้นน่ะหรือที่จะให้ชาวบ้านวางใจและคิดเหมือนๆ กันว่า 'ปกติดี'

"ใจเย็นก่อนคุณฤดีดิษถ์"

"หลีกไป"

ฤดีดิษถ์หันกลับมาตวาดฉุนเฉียว สลัดแขนที่โดนคนห้ามเกาะกุมด้วยท่วงท่าองอาจ วูบหนึ่งตอนร่างเซห่างไปเล็กน้อย หมอผาก็สะดุ้งโหยงกับภาพนางพญาที่เหลื่อมซ้อนและกำลังเคลื่อนพลิ้วรุนแรงอยู่ในร่างสาวเกรี้ยวกราด

เขาตกใจปนกับพรั่นพรึงลึกจนเผลอถอยหลังอย่างยำเกรงไปตั้งสองสามก้าว มิหนำซ้ำ ด้วยว่าตนเป็นคนมีวิชา จึงสัมผัสกับรังสีร้อนคมที่แผ่พุ่งออกมาพร้อมกับเสียงก้องเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้ใจสั่นมือชื้นเอาดื้อๆ

"คุณฤดีดิษถ์" เขาฝืนใจเรียก ไม่แน่ใจว่าเรียกเธอหรือนางพญาอีกคนในร่างเธอ

"ฉันจะปล่อยเขา" เธอไม่สนใจเสียงเรียก ร่างผลุงเข้าใกล้คนวิปลาสทำท่าจะแก้เชือกที่มัดตัวติดเสาไม้

"ไม่ได้ เขาเสียสติแล้ว วิปลาสน่ะ เข้าใจไหมคุณ เขาจำใครไม่ได้ เขาอาจทำร้ายเราหรือใครที่เข้าใกล้ถ้าเขาเป็นอิสระ คุณใจเย็นก่อน คุณฤดีดิษถ์ ใจเย็นก่อน"

หมอผาต้องตัดสินใจเสียมารยาทตรงเข้าคว้าเอวลากเธอออกห่างเสียงคำรามดุร้ายของธิสัยอาภัพ เขาบ้าอย่างถาวรแล้ว ใครก็ช่วยไม่ได้หรอก และชาวบ้านก็ไม่มีเจตนาทำร้ายหรือรังแก แค่ว่าช่วยกันสยบให้อยู่ในที่ในทาง ไม่ต้องให้เขาไปทำร้ายใครในตลาดก็เท่านั้นเอง

"หมอผา"

ฤดีดิษถ์โกรธมาก เธอขอไม่เรียกคุณอาแล้วละนะ เพราะนึกชังกับทุกเรี่ยวแรงของอีกฝ่าย มันเค้นขึ้นเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือของเธออย่างแท้จริง

"คุณเงียบ แล้วฟังผม" หมอผาตวาดกลับ กระชากแขนลากออกห่างคนจอแจมาหยุดหน้าแผงขายอาหารแห้ง "ฟังให้ดี ฟังให้ชัด แล้วสงบสติอารมณ์ของคุณลงหน่อย เพื่อนคุณคนนั้นเขาเสียสติแล้ว เขาเจอบางอย่างที่นั่น มันน่ากลัวมากจนทำให้เขาเป็นแบบนั้น เข้าใจไหม"

"อะไรคือบางอย่าง แล้วที่นั่นคือที่ไหน มันมีอะไรน่ากลัวมากถึงกับทำให้ผู้ชายคนหนึ่งเสียสติได้"

"พูดไปตอนนี้ คุณก็คงไม่ยอมเชื่อ หัวแข็งของคุณมันกำราบลำบากกว่าหัวสมัยใหม่เสียอีก"

สาวครีเอทีฟบดกราม สีหน้าดุร้าย และแววตาเกรียมขึ้น ใจเต้นแรงบอกไม่ถูก ขณะเดียวกันก็รู้สึกคับแน่นตลอดร่าง เหมือนว่ามีบางอย่างแปลกปลอมเข้ามา

ไม่รู้ว่าเข้ามาตอนไหน มันซ้อนอยู่หรือจะทับกันก็ไม่แน่ใจอีก แต่ตอนนี้มันกำลังขยับและพยายามจะดันร่างเธอให้ทะลุ เพื่อที่ตัวมันจะได้พุ่งพรวดออกมา

"กลิ่นอะไร"

เธอถามเร็วพร้อมกับหมุนขวับไปยังต้นกลิ่น มันโชยฉุนมาจากร่างของธิสัยมอมแมม เธอปราดกลับไปโดยมีหมอผาตามกระชากข้อมืออย่างหวั่นๆ ในตาคมกล้าฉายเงาวูบวาบของซาตานวจา มันเผยรางเลือนและสะท้อนออกมาจากคราบเลือดแห้งคล้ำบนอาภรณ์เปรอะ

"เจ้า.. เจ้า"

เธออุทานออกมา เบิกตาแดงก่ำกว้างขึ้น ตัวสั่นรุนแรงจนหมอผาใจคอไม่ดี เขาพริ้มตารีบสำรวมสมาธิแล้วกระทบกับกลิ่นอายของดวงวิญญาณ

ยังมีขุมพลังลี้ลับที่ล้นอานุภาพนัก มันกำลังเคลื่อนเป็นเกลียวคลื่น และทำท่าจะพุ่งโถมเข้าใส่ร่างสั่นระริกของสาวครีเอทีฟ

"มากับผม"

เขาลืมตาแล้วรีบลากร่างสั่นออกห่างรังสีลี้ลับกับกลิ่นอายอันน่าระทึก แดดส่องจัดย้อมกรอบหน้าธิสัยผู้น่าสงสาร เขาไม่รับรู้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมองเวิ้งว้างขาวโพลน

แต่สักพัก ก็ปรากฏหมอกขุ่นมัวฟุ้งกระจาย แล้วเขาก็เห็นภาพสยดสยองในวิหารวังร้างเจิดจ้าขึ้น มันกระตุกความหวาดกลัวจนพลุ่งพล่าน เสียงคำรามจึงแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำครวญในทันที

"ผกา ผมจะไปช่วยคุณ ผกา อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป ผมจะไปช่วยคุณ ผกา ใครก็ได้ช่วยเราออกไปที ช่วยด้วย ไอ้.. ไอ้ผีบ้า ไอ้.. ไอ้เลว ไอ้ชั่ว ไอ้.. ไอ้ผี ไอ้ผี มีผี มีผีเต็มไปหมด มีผี"

ร่างที่โดนมัดตรึงกับเสาดิ้นฮึดฮัดตามแรงกดดันของความกลัวสุดขีด ภาพอันโหดร้ายในวิหารวังร้างยังฉายกระหน่ำความทรงจำที่ติดๆ ดับๆ

ธิสัยระเบิดเสียงร้องไห้โหยหวน ชาวบ้านก็พากันอกสั่นขวัญระทึก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ได้แต่รอหมอผีประจำหมู่บ้านที่ให้คนไปเชิญมาขับไล่ปีศาจ แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มาเสียที




ครั้นพอห่างกลิ่นอายพยาบาทกับรังสีอาฆาตของซาตานวจา ปฏิกิริยาแปรปรวนก็สร่างลง ฤดีดิษถ์ค่อยรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น เธอปาดเหงื่อที่ผุดชุ่มเต็มหน้า ไม่ได้นึกถึงเหตุอัศจรรย์ใดๆ มากไปกว่าอากาศร้อนอบอ้าว

เธออ้างมั่วๆ ไปอย่างนั้นล่ะ อากาศบนภูดารกะหนาวจัดตอนกลางคืน และอบอุ่นกำลังสบายตอนกลางวัน แม้แดดจะเปรี้ยงอย่างนี้ก็เถอะ หมอผาตระหนักรู้ว่าเหงื่อฉ่ำเต็มตัวมันไม่ได้เกิดจากอากาศ แต่ก็หนักใจที่จะอธิบายว่ามันเกิดจากอะไรให้สาวหัวสมัยใหม่ฟังแล้วเชื่อ

"รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ" เขาถามเมื่อเห็นเธอสงบลงจนนิ่ง สังเกตจากแววตาก็ดูสดใสคลายกระด้าง

"หมายความว่ายังไงคะ คุณอาถามเหมือนฉันป่วยชอบกล ฉันมีอาการแบบนั้นหรือคะ"

คนถูกย้อนถามกลืนน้ำลายอีก น้ำเสียงเธอปกติดีมากเลย ต่างจากเมื่อนาทีก่อนที่เกรี้ยวกราดดุร้าย ตวาดอย่างทรงอำนาจ ตาถลึงร้อน อ้อ เรียกหมอผาเต็มเสียงด้วย แต่ตอนนี้สิ เรียกคุณอาเสียเรียบร้อยเชียว

"คุณพลุ่งพล่านนิดหน่อย" เขาช่วยหาสาเหตุมามั่วๆ ให้ฟัง

"พลุ่งพล่าน"

"คือ คุณเห็นเพื่อนคุณโดนจับมัด คุณก็เลย.. "

ไม่ทันได้บอกว่าก็เลยอะไร ฤดีดิษถ์ก็ทำท่านึกได้เหมือนกัน เธอเสียศูนย์ไปตอนไหนนะ ทำไมความทรงจำวูบหนึ่งมันมืดวับไป เพิ่งจะเลิกคิ้วสูง เสียงเอะอะของชาวบ้านก็ดังมาดึงความสนใจ เธอทิ้งหมอผาแล้วรีบวิ่งรี่ไปสมทบ

จากนั้น ก็เลิกคิ้วสูงกว่าเดิมอีก เพราะเห็นหมอผีแต่งตัวประหลาดด้วยเสื้อตัวหลวมปักดิ้นหลากสียาวคลุมเข่า บนศีรษะสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมตอกตรึงโลหะแผ่นกับขนนกอะไรก็ไม่ทราบ ดูรกรุงรังทีเดียว

ในมือยังถือไม้เท้ายาวสีเทา บนยอดสุดประดับด้วยหัวกะโหลกขนาดเล็กสีขาว ในตากลวงแทนที่ด้วยเม็ดรัตนชาติสะท้อนสีรุ้งพร่างพราว

"เขากำลังจะทำอะไร"

เธอไม่ได้ถามใครนอกจากพึมพำกับตัวเอง ซ้ำตอนนี้ก็ไม่รู้สึกสักนิดว่าท่านศมะยืนอยู่ใกล้ๆ คนที่รู้สึกก็ต้องเป็นคนมีวิชาอย่างหมอผานั่นล่ะ

เขาขนลุกซู่ ใจเต้นแรง และสัมผัสสายลมอบอ้าวนิดๆ แต่ก็นึกประหลาดใจแกมครั่นคร้ามลึกว่าดวงวิญญาณดวงนี้ช่างมากบารมีนัก เขาสำรวมสมาธิเพ่งแล้วนะ แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย

"ไม่ใช่ภารกิจของเจ้าไม่ใช่หรือท่านศมะ" พระครูลาพุชก็มาปรากฏกายในที่เร้นเช่นกัน

"ลูกก็แค่เป็นห่วงแม่นาง เกรงว่าจะต้านมนตรา.. "

"ห่วงทำไม ข้างกายแม่นางยังมีคนมีวิชาคอยคุ้มครอง เจ้าเห็นไม่ใช่หรือว่าชายคนนั้นมีที่มายังไง"

"เห็น แต่ก็ไม่ไว้ใจ ไม่มีใครเก่งกล้าสามารถต่อกรกับซาตานวจาได้เท่ากับแม่นาง"

พระครูลาพุชปรายตาไปยังธิสัย หมอผีประจำหมู่บ้านกำลังสวดมนต์งึมงำรู้ความหมายอยู่คนเดียว ไม้เท้าก็ขยันยกขยันเขย่าเหลือเกิน สร้างภาพให้ชาวบ้านเกิดความยำเกรงปนกับศรัทธาตามประสาไม่รู้ความ

"เราไปจากที่นี่ก่อน คนมีวิชาคนนั้นสัมผัสไอแห่งดวงวิญญาณเราได้ อย่าทำให้เขาลำบากใจ ไปเถอะ"

"ลูกอยากรู้เสียจริงว่าแม่นางจะช่วยเหลือเพื่อนคนนี้ยังไง"

"ตอนแม่นางยังมีชีวิต เจ้าเคยคาดเดาความคิดอ่านแม่นางออกสักกี่ครั้ง ตอนนี้แม่นางในภพชาติที่ห่างไกลจากเราเป็นร้อยๆ ปี เจ้ายังไม่เจียมตัว อยากเสนอหน้าอวดความโง่เขลาอีกหรือ"

"เรื่องซ้ำเติมให้ชอกช้ำ ไม่มีใครเกินหน้าเกินตาพระครูลาพุชจริงๆ "

พระครูผู้รอบรู้หัวเราะถูกใจเสียงตัดพ้อระคนแดกดันยิ่ง แล้วจากนั้น ดวงวิญญาณมากบารมีก็ค่อยปลีกตัวไป แต่ก็ไม่ลืมส่ายหน้าสังเวชกับพิธีไล่ผีของหมอผีที่มีวิชางูๆ ปลาๆ อมน้ำแล้วพ่นใส่หน้า วางมือบนศีรษะเหยื่อแล้วงึมงำๆ

สำหรับดวงวิญญาณสองดวงก็รู้สึกสังเวช แต่สำหรับฤดีดิษถ์ เธอรำคาญและไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องทำแบบนั้นกับธิสัย เขาร้องคำรามอย่างดุร้าย ดิ้นฮึดฮัด ตาเหลือกตาขวาง

แต่เธอก็มองออกว่าปฏิกิริยานั้นไม่ใช่เพราะหวาดกลัวกับฤทธิ์น้ำอะไรในปากของหมอผีประหลาดคนนั้นสักนิด น่าจะรำคาญเหมือนเธอเสียมากกว่า

"พอเสียที"

เธอตวาดออกไป ถลันเข้าใกล้กลิ่นอายพยาบาทของซาตานวจาอีกก้าว ในร่างก็พลุ่งพล่านทันตาเห็น เธอปัดมือหมอผีลงจากศีรษะของธิสัย หันขวับไปจ้องด้วยดวงตาทรงอำนาจ

ปรากฏไฟโชนขึ้นสองกองในนั้น ก่อนจะค่อยแปรเปลี่ยนเป็นวงหน้าห้าวหาญเฉียบขาดของแม่นางกณิการ์ หมอผีสะดุ้งเฮือก ถอยกรูดตระหนกอย่างลืมตัว ชนกับหมอผาที่ตระหนกลึกเหมือนกัน แต่ยังควบคุมมาดได้อยู่

"นะ.. นางพญา ผะ.. ผี" หมอผีตะกุกตะกักออกมา ตัวสั่นงกๆ เชียวล่ะ

"ไม่ใช่หรอก เธอเป็นสาวสวยชาวกรุงเทพต่างหาก คุณกำลังดูหมิ่นเธออยู่ ระวังเธอแจ้งความนะ"

หมอผาอารมณ์ดีกระซิบเตือนหมอผีตัวสั่น เขาพยายามส่งสายตายำเกรงไปประสานกับกองไฟสองกองในดวงตาเรียวทรงอำนาจของสาวครีเอทีฟ เกือบจะร้องเตือนให้ถอยห่างคนวิกลจริต

แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะธิสัยดุร้ายยกขาถีบสะโพกเธอเต็มแรง ร่างอรชรถลาเข้ามาหา ทำให้เขาต้องรีบอ้าแขนรับ ตัวเธอร้อนจัดมาก ไม่น่าจะเหมือนไข้ขึ้น แต่น่าจะเหมือน 'ไฟกองใหญ่'

จู่ๆ สายลมก็พัดมาเกรี้ยวกราด มันไม่ใช่เหตุปกติสักนิด ชาวบ้านแตกตื่นกระจัดกระจายไปคนละทิศ ข้าวของปลิวว่อนกลางอากาศ พุ่งชนกันเองอย่างโกลาหล

หมอผาใจหายวาบ ตระหนกจัดด้วย เพราะตนโดนแรงดีดลี้ลับที่พลังของมันช่างมหึมานักกระแทกจนตัวปลิวละลิ่ว และอย่างพร้อมเพรียงฉับพลัน เสียงอันทรงอำนาจก็อุบัติก้องขึ้น

"บังอาจ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหรือ ช่างสันดานหยาบไม่มีเปลี่ยนแท้ กาลจะผันผ่านนานแค่ไหน จิตใจเจ้าก็ยังคงชั่วร้าย เจ้าทำอะไรกับชายคนนี้"

ซาตานวจาคำรามครืนมาจากวิหารวังร้างอันสงบกลางเปลวแดดบนยอดเนินวังเวง ในที่สุดมันก็สื่อสารสู่แม่นางศัตรูได้สำเร็จแล้ว

ยามนี้ก็เร่งขยับซากแห้งกรังอย่างพลุ่งพล่านแกมคึกคัก โซ่ตรวนเส้นยักษ์เคลื่อนไหวหนักจนเกิดเสียงครืดยืดยาน แผ่นยันต์โลหะก็พลอยขยับสั่นเสียดสีกับผิวโซ่จนเกิดเสียงแหลมหวีดๆ

"เจ้าซาตานชั่วช้า"

"เจ้าก็เป็นแม่นางชั่ว แม่นางน่าชัง เจ้ากับข้ายังไม่รู้ผลแพ้ชนะไม่ใช่หรือ"

"เจ้า"

"ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าดูข้าสิ เจ้าดูข้า เห็นหรือยังแม่นางชั่ว ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีไหนมากำราบ ข้าก็ไม่มีวันดับสูญ ข้าคือซาตานวจา ชีวิตของข้าเป็นอมตะ ความตายต่างหากที่กลัวข้า วิ่งหนีข้า"

"เจ้าซาตานกำแหง เราไม่น่าวางใจเชื่อคำพระครู ละเว้นเจ้าในกาลนั้นเลย"

เสียงแม่นางกณิการ์เกรี้ยวกราดทะลุร่างกระตุกสั่นของฤดีดิษถ์ออกมา ดูท่าว่าจะเดือดดาลสุดขีด และแค้นสุดโต่งทีเดียว

หมอผาโดนท่อนไม้ปลิวมากระแทกขมับแตกเป็นแผลปริ เลือดทะลักอาบแก้มเลย ร่างที่ลอยละลิ่วจึงค่อยร่วงตุบลงทับกระจาดสานสี่ห้าใบ รายรอบเกลื่อนด้วยพืชผักที่แม่ค้านำมาวางขาย

เขามึนมากขณะฝืนปรือตาต้านกระแสกระโชกของสายลมพิสดาร เขาต้องเร่งเพ่งหาฤดีดิษถ์ให้เจอ แล้วพอเจอก็ใจหายวาบอีก เพราะเธอยืนมั่นคงกลางกระแสปั่นป่วนของสายลมร้ายได้สง่าและตระหง่านน่าครั่นคร้ามยิ่ง

ท่วงท่าเช่นนั้นไม่ใช่ของเธอแน่ กางแขนกางขาหยัดมั่นในท่าต่อสู้พรักพร้อม สองมือกำเป็นหมัด ลมแรงปะทะร่างกายตลอดเวลาบังคับให้อาภรณ์ทะมัดทะแมงลีบรัดจนเห็นทรวดทรงอรชรได้ชัดเจน

แม้แต่ผมยาวที่ผูกรวบลวกๆ ตอนนี้ก็หลุดจากพันธนาการของโบเส้นบาง สยายพลิ้วไปตามจังหวะฟาดเหวี่ยงของสายลมร้าย

"คุณฤดีดิษถ์ คุณฤดีดิษถ์ครับ"

เขาตะโกนแข่งกับเสียงหวีดหวิวมากมาย มันดังก้องจนแก้วหูแทบร้าว แต่จะปล่อยให้สาวดื้อเผชิญกับเหตุพิสดารไปตามลำพังก็ไม่ได้ ตอนนี้เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกหรอก รู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องช่วยเธอ

ดังนั้น แม้จะต้องวิ่งฝ่าแรงฟาดเหวี่ยงของสายลมแปรปรวนอย่างลำบากแค่ไหน ก็ต้องไปให้ถึงตัวเธอให้ได้ ไม่รู้หรอกว่าถึงตัวแล้วจะต้องทำยังไงบ้าง แต่ค่อยว่ากันในนาทีนั้นเถอะ

โอ้ แย่แล้ว เชือกที่มัดธิสัยขาดเสียแล้ว เหยื่อก็ลุกวิ่งทันที แต่ก็เป็นไปในลักษณะเตลิดเปิดเปิง ปากก็ร้องแข่งกับเสียงพายุร้ายว่า

"ผกา อดทนไว้ ผกา รอผมก่อน ผมจะไปช่วยคุณ ผมจะช่วยคุณออกมาให้ได้ ผกา ผกา อดทนไว้นะผกา อดทนไว้ ไอ้ผีบ้า ไอ้ผีนรก ไอ้เลว ปล่อยผกาลงมา ปล่อยผกาของฉันลงมา ไอ้ชั่ว ไอ้เลว"

ปล่อยไปเถอะ เสียงนั้นหายไปแล้วพร้อมกับคนเสียสติก็ถูกกลืนเข้าไปในวังวนพายุปั่นป่วน หมอผาไม่อยากสนใจมากไปกว่ามุ่งมั่นฝ่าร่างไปให้ถึงเป้าหมายหลัก

เขาใจหายเมื่อเห็นฤดีดิษถ์กระอักเลือด ตัวส่ายโงนเงน แต่ดวงตายังแข็งกร้าวและทื่อแข็งดั่งโดนแทรกสิงด้วยสิ่งแปลกปลอม แล้วสิ่งแปลกปลอมที่ว่าที่เห็นก็คือ 'นางพญาในชุดสีเทา'




ท่านศมะพลุ่งพล่านจนพระครูลาพุชต้องคอยยื้อแขนไว้ตลอดเวลา ปากก็พร่ำเตือนให้ตระหนักในความหุนหัน คิดจะต่อกรกับฤทธิ์เดชซาตาน มีแต่เสียกับเสีย

"แล้วจะปล่อยแม่นางให้เกรี้ยวกราดลักลั่นอยู่เช่นนั้นหรือท่านพ่อ เราน่าจะช่วยอีกแรง ให้แม่นาง.. "

"ท่านศมะ เจ้านี่ช่างเหลวไหล" พระครูตวาดหนัก "หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าที่เราเห็นไม่ใช่แม่นางกณิการ์ แต่เป็นแม่นางในกาลนี้ เจ้าจะช่วยอะไรหรือ ดึงจิตวิญญาณของแม่นางเจ้าฟ้าออกจากร่างนั้นใช่ไหม แล้วเจ้าจะเห็นอะไร เห็นว่าแม่นางในกาลนี้ดับสูญทันที อย่างนั้นใช่ไหมเจ้า"

"ท่านพ่อ"

"สงบความพลุ่งพล่านของเจ้าลง แล้วคอยดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ เราเป็นเพียงดวงวิญญาณที่เฝ้ารอ และช่วยเหลือได้ในคราวสมควร กาลแห่งเราสองมันล่มสลายไปนานนับร้อยๆ ปีแล้วเจ้า"

แต่แม่นางกณิการ์ก็ย้อนคืนมา และกำลังเกรี้ยวกราดกับพันธนาการร่างใหม่ แม่นางไม่อาจสลัดหลุด ไม่อาจอวดอำนาจ ไม่อาจตอบโต้ซาตานวจาให้สมดั่งใจแค้น

ภาพนั้นมันบาดหัวใจท่านศมะเหลือเกิน อยากเข้าไปช่วย แต่บิดาก็ช่างใจจืดใจดำ คอยแต่ขวางคอยแต่ฉุด ทำให้ท่านกระดิกตัวไม่ได้เลย

"แม่นางเจ็บปวด" ท่านพึมพำ แล้วน้ำตาสีเงินยวงก็ร่วงลงหนึ่งหยด

"เรารู้แล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่เคยก้าวผ่านความเจ็บปวดใช่ไหมเจ้า ในเมื่อชะตาแม่นางเจ้าฟ้าแห่งเราเป็นเช่นนั้น ก็ต้องปล่อยไปตามนั้น อย่าว่าแต่ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ก่อความเจ็บปวดสู่แม่นาง จริงไหม"

คลื่นมนตราร้ายกาจของซาตานวจาร้อนแรงขึ้นทุกขณะ มันพุ่งทะยานมาจากวิหารวังร้างระลอกแล้วระลอกเล่า ยังมีเสียงคำรามสาแก่ใจที่ครืนครั่นและกังวานเย้ยหยันในที่เร้น

คนทั่วไปย่อมไม่ได้ยิน เว้นแต่ผู้มีวิชาอย่างหมอผาที่สัมผัสได้ด้วยสมาธิพลุ่งพล่าน ในลำคอขุ่นข้นและเฝื่อนด้วยเลือดที่ทะลักขึ้นมาคั่ง กระทั่งกลั้นไม่ไหว ต้องโก่งคอกระอักอาเจียนในที่สุด

หรือแม้แต่ยามนี้ก็เถอะ คลื่นมนตราร้ายก็ฟาดเหวี่ยงเชือดเฉือนดวงวิญญาณของสองพ่อลูกแห่งยุคคามดารกะรุ่งเรือง เงาโปร่งใสพลันพลิ้วรวนลนลาน พระครูลาพุชต้องรีบฉุดองครักษ์นักรบถอยหนีเร่งรีบ

"ท่านพ่อ" ท่านศมะไม่ค่อยเต็มใจยอมให้ฉุดลากนัก

"ท่านศมะ อย่าได้โอ้เอ้" บิดาจำต้องเตือนสติเสียงร้อนรนอีกหน "เจ้าคงไม่อยากให้ดวงวิญญาณแตกดับในวันนี้ใช่ไหม ไม่อย่างนั้น เวลากว่าร้อยปีที่เราเฝ้ารอแม่นางเจ้าฟ้าย้อนคืนก็จะสูญเปล่า เรายังมีหน้าที่สำคัญกว่านั้นต้องทำเพื่อแม่นาง ไปกันเถอะ เชื่อพ่อเถอะเจ้า แม่นางกณิการ์จะไม่เป็นไรแน่นอน"

"แน่นอนหรือ ดูแม่นางกระอักเลือดแล้ว"

ใช่ แม่นางกณิการ์กระอักเลือดแล้ว หากแต่ร่างใหม่ก็ช่างดื้อด้านไม่ยอมปลดปล่อย ในความรู้สึกที่ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับมนตราชั่วของซาตานวจา มันช่างอัปยศสุดจะทานทน แม่นางผู้เกรียงไกรถึงกับตวาดเดือดดาลใส่ร่างใหม่อย่างลืมตัว

"บังอาจ เจ้าช่างกำแหงต่อเรายิ่ง ยังไม่ปล่อยเราออกไปอีกหรือ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซาตานวจาสันดานหยาบตนนี้ รู้หรือไม่เจ้า"

พระครูได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดแล้ว ท่านได้แต่ถอนใจและปล่อยให้แม่นางผู้เกรียงไกรไหลไปตามชะตาที่ฟ้ากำหนด ตอนนี้ ยังมองไม่เห็นทางว่าแม่นางเจ้าฟ้าจะแยกร่างออกจากแม่นางในกาลนี้ด้วยวิธีไหน

แต่นี่ล่ะ คือหน้าที่ใหม่ของท่านอีกแล้ว มันต้องมีวิธีสิ ไม่อย่างนั้น แม่นางกณิการ์ก็คงไม่อาจต่อกรกับฤทธิ์ร้ายของซาตานชั่วได้เป็นแน่ และที่ร้ายไปกว่านั้น แม่นางในกาลนี้ก็อาจถูกคุกคามด้วยคลื่นมนตราพยาบาทไปฝ่ายเดียว 'จนตาย'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 55 21:20:35




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com