Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Half Twins บทที่ ๔ vote ติดต่อทีมงาน

แวะมาแปะก่อนสอบ ><

Psycho man: ขอบคุณค่ะ

chenjiayi: ใช่แล้ว สนิทกันมากค่ะ

ตอนเก่าค่ะ
อารัมภบท และ บทที่ ๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12879288/W12879288.html
บทที่ ๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12911942/W12911942.html
บทที่ ๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12978217/W12978217.html

แล้วก็แฟนเพจค่ะ (แหะๆ)
http://www.facebook.com/treepunt

###

บทที่ ๔ หินปิศาจ

ตลาดริมทางรถไฟใกล้โรงเรียนเรียกได้ว่าเป็นแหล่งประทังชีวิตของพวกเราชาวเด็กหอ เพราะไม่ว่าจะขาดเหลืออะไร ก็ต้องวิ่งมาที่นี่ ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องนั่งรถไฟ หรือรถโดยสารไปอีกไกล

ในยามเย็นของวันหนึ่ง บรรยากาศกำลังโพล้เพล้ ผมชวนทวยะออกมาซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างในตลาด ทว่าคนชวนอย่างผมกลับต้องมาเดินตามเขาเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรกันเลยตั้งแต่ออกจากห้อง

จากวันแรกที่พบกันจนถึงวันนั้นนับเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ที่ผมอยู่ร่วมกับทวยะ ซึ่งอันที่จริงสำหรับรูมเมทคู่อื่นๆ ก็คงรู้ไส้รู้พุงกันพอสมควร คู่ที่อยู่ด้วยกันได้ ก็คงสนิทกันไป ส่วนคู่ที่อยู่กันไม่ได้ ก็คงเปิดศึกทะเลาะกันไปหลายยก แต่สำหรับผมกับทวยะ เหมือนมีกำแพงบางอย่างกั้นระหว่างเราสองคนอยู่

“เฮ้! เย็นแล้ว หาอะไรกินหน่อยไหม” ผมพยายามชวนเขาคุย แต่เพื่อนผมเพียงแค่สั่นศีรษะเล็กน้อย โดยไม่หันกลับมามอง

ผมคิดอยู่แล้วว่าคงต้องได้รับคำตอบในลักษณะนี้ หนึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ผมสังเกตได้ว่า เขาเป็นคนมีสองบุคคลิก...หนึ่งคือเงียบ อีกหนึ่งคือร้าย

ในยามที่เขาดีเขาก็จะเงียบ หากไม่มีเรื่องเกี่ยวกับผีสางแล้วล่ะก็ เขาจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างจนดูเหมือนอยู่คนเดียวในโลก

แต่พอถึงคราวร้าย เขาก็พยายามหาเรื่องแกล้งผมด้วยวิธีประหลาดๆ แถมยังขาดน้ำใจไร้น้ำมิตรอย่างที่สุด...

“ไอ้หนู อยากได้สร้อยไปใส่เล่นสักเส้นมั้ย” เสียงแหบทุ้มมีกระแสสั่นน้อยๆ ของชายคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง ในระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆ

ผมหันกลับไปก็เห็นชายหลังค่อมคนหนึ่งยืนอยู่ เขาสวมหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลเก่าๆ และดึงลงมาต่ำจนปิดสันจมูก ทำให้ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัด ทว่าถึงเห็นชัดก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาสวมหน้ากากแบบศิลปะของจีนอีกใบหนึ่ง ในมือสั่นๆ ของเขามีสร้อยเชือกหนังสีดำ ร้อยเข้ากับหินแก้วรูปรี สีน้ำเงินคราม ไม่มีลวดลาย

“สนใจมั้ย เหลือเส้นสุดท้ายแล้ว จะลดให้เป็นพิเศษ” ชายคนนั้นบอก

ผมมองไปที่สร้อยเส้นนั้น รู้สึกอยากได้มันขึ้นมา จึงยื่นมือออกไปเพื่อจะรับมันมาดู แต่กลับมีมือผอมเรียวข้างหนึ่งยึดแขนผมไว้ แล้วมืออีกข้างก็ลากคอผมห่างออกมา

“ทำอะไรวะ ทวยะ!” ผมร้องถาม หลังจากที่เขาปล่อยให้ผมเดินเองโดยอิสระ

“นั่นไม่ใช่ของดีหรอก อย่าไปยุ่งกับมันจะดีกว่า” เขาบอก พลางเดินนำผมตรงไปยังร้านขายของชำ

“มันมีอะไร ทำไมไม่ดีล่ะ”

“นายไม่จำเป็นต้องรู้” เขาตอบ น้ำเสียงราบเรียบ

แต่กระนั้นผมก็เชื่อเขา... เชื่อว่าเขาคงรู้อะไรบางอย่าง บางทีอาจจะเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ทว่าผมก็ยังอดเสียดายไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นมันอีกครั้ง ในเช้าวันต่อมา...

---

อัทธ์เดินเข้ามาในห้องเรียน และสิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือ สร้อยเส้นเมื่อคืน มันคล้องอยู่ที่คอของเขา

ความจริงมันก็เหมาะกับเขาดี เพราะเขาเป็นพวกที่ชอบแต่งตัวแบบพังค์ ทำสีผม ใส่ต่างหู และสร้อยคอเท่ๆ แบบนักร้องวงร็อค ดีที่โรงเรียนของผมไม่มีเครื่องแบบ และไม่เข้มงวดเรื่องการแต่งกาย ดังนั้น เขาจึงใส่ได้อย่างเต็มที่

อัทธ์เรียนห้องเดียวกับผม และห้องของเขาในหอชายก็อยู่ติดกับผม ดังนั้นผมจึงได้ยินเสียงเขาทะเลาะกับรูมเมทที่ชื่อ กฤตย์เป็นประจำ

ความจริงแล้ว เรื่องที่พวกเขาเถียงกันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องผลัดเวรกันทำความสะอาดห้อง เรื่องเปิดประตูแล้วไม่ยอมปิด เรื่องที่คนหนึ่งจะเล่นกีตาร์ ในขณะที่อีกคนจะยกเวท และเรื่องจิปาถะอีกมากมาย ซึ่งผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นประเด็นได้

บางทีอาจจะเพราะพวกเขามีความแตกต่างกันมากเกินไป...อัทธ์เป็นพวกศิลปิน ในขณะที่กฤตย์เป็นสปอร์ตสแมน

“ไง ไทวะ สร้อยนี่สวยล่ะสิ” เขาถามขึ้น คงเห็นว่าผมจ้องมันอยู่นานแล้ว

“อืม ก็สวยดี”

“ฉันเพิ่งซื้อมาเมื่อวาน มีลุงมาขายให้ถูกๆ” ดูท่าทางเขาภูมิใจนักหนา “ว่าแต่...นายทำการบ้านของครูนรินทร์แล้วหรือยัง”

“เสร็จแล้ว เพิ่งปั่นเมื่อคืน”

“ฉันสิ ยังไม่ได้ทำเลย เมื่อคืนมัวแต่แกะคอร์ดกีตาร์อยู่” เขาพึมพำ พลางขมวดคิ้ว ท่าทางวิตกไม่น้อย “ถ้าครูนรินทร์ป่วย ไม่มาสอนวันนี้ก็ดีสิ”

ผมไม่แน่ใจว่าจะด้วยแสงไฟหรืออย่างไรที่ส่องกระทบหินแก้วสีน้ำเงินคราม จนทำให้มันดูเหมือนมีแสงสีฟ้าสว่างเป็นจุดเล็กๆ อยู่ตรงกลางหินนั้น เมื่อตอนที่อัทธ์พูดจบ...

---

เท่าที่ผมเคยฟังมาจากรุ่นพี่ ดูเหมือนครูนรินทร์ ซาตานผู้คุ้มกฎประจำโรงเรียนจะเป็นคนเจ้าระเบียบ ไม่เคยสาย ไม่เคยลา ไม่เคยขาด แต่วันนั้นเลยเวลาเข้าสอนไปสิบห้านาทีแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววครูนรินทร์เลย

จนกระทั่งผ่านไปอีกห้านาที อชะ หัวหน้าห้อง ก็สั่งสมุนของเขาให้วิ่งไปดูลาดเลาที่ห้องพักครู ผ่านไปอีกชั่วครู่เพื่อนคนนั้นกลับมารายงานเหตุการณ์

“ครูนรินทร์ท้องเสียอย่างแรง งดสอนโว้ย!”

เสียงเฮลั่นราวกับยินดีกับหายนะของครูนรินทร์ดังขึ้น ในตอนแรกผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่คิดไปคิดมา ครูนรินทร์ก็เป็นคน ต้องมีเจ็บป่วยบ้างเป็นธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร

แต่หลังจากนั้นมันก็มีเรื่องที่ทำให้ผมต้องให้ความสนใจจนได้ เมื่ออชะ พร้อมพวกอีกสองสามคนเดินตรงมาที่รุจยา สาวสวยประจำห้อง

“ไม่มีเรียนแล้ว ไปเที่ยวด้วยกันไหม รุจยา” เขาเริ่มลวนลามด้วยวาจาและสีหน้ากรุ้มกริ่ม

ความจริงอชะก็ไม่ใช่คนทำงานดี หรือมีความรับผิดชอบอะไร ตรงกันข้าม เขาค่อนข้างเกเรและมักจะระรานคนอื่นอย่างไม่เกรงใจ ทว่าที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง ก็เพราะมีพวกมาก ซึ่งเป็นพรรคพวกที่ตามมาจากโรงเรียนเดิม

“บ้า!” รุจยาตอบกลับ พร้อมกับหิ้วกระเป๋าลุกออกจากโต๊ะ ทว่าอชะคว้าข้อมือเธอไว้

“ไปเถอะน่า อย่าเล่นตัวนักเลย”

รุจยาพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของเขา แต่ยิ่งดิ้นอชะก็ยิ่งบีบแขนเธอแรงขึ้น จนกระทั่งอัทธ์เข้ามาช่วยเธอไว้

“เอามือเน่าๆ ของแกออกไปห่างๆ รุจยาเดี๋ยวนี้นะ!” เขาตวาด แต่เขาแค่คนเดียว จะสู้พวกอชะถึงสามคนได้อย่างไร

อชะบุ้ยปากเป็นสัญญาณให้พวกของตนลงมือ หากยังไม่ทันที่พวกของเขาจะเข้ามาถึงตัวอัทธ์ พวกนั้นก็ได้ยินเสียงแผดร้องดังขึ้นเสียก่อน

“อ๊าก! ...อ๊าก! ...” เสียงร้องอย่างแตกตื่นหวาดกลัวของอชะ ทำให้นักเรียนห้องข้างๆ กรูกันเข้ามาดู ในจำนวนนั้นมีทวยะรวมอยู่ด้วย...

ภาพที่ทุกคนเห็นในตอนนั้นก็คือ มือของอชะอยู่ๆ ก็คลายออกจากแขนของรุจยา แล้วปลิวลิ่วไปติดผนังด้านหลัง สูงขึ้นไปเกือบติดเพดาน ฉุดให้ร่างของเขาลอยไปห้อยติดผนังด้วย แล้วมือข้างนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจนม่วง...ม่วงจนเขียวคล้ำ!

‘มือเน่าๆ’ หรือจะเป็นเพราะคำพูดนี้

ทุกคนในบริเวณนั้นพากันตื่นตระหนกกับภาพที่เห็น มีเพียงทวยะเท่านั้นที่ยืนมองด้วยอาการสงบ แต่ดวงตาของเขาคล้ายกับสาดประกายเจิดจ้าไปที่มือของอชะข้างนั้น

ดวงไฟสีเขียวลุกพรึ่บขึ้นกลางอากาศ บริเวณใกล้ๆ มือของอชะ จากนั้นก็ดูเหมือนแรงที่ดึงดูดมือข้างนั้นอยู่จะหายไปเสียเฉยๆ พร้อมกับตัวเขาที่ร่วงตุบลงมากองกับพื้นตามแรงโน้มถ่วง มือของเขาตกห้อยอยู่ข้างตัวอย่างหมดแรง จนต้องให้พรรคพวกช่วยกันหิ้วปีกไปส่งห้องพยาบาล

---

“ฝีมือนายใช่ไหม” ผมถาม ระหว่างที่กำลังเดินกลับหอพักพร้อมกับทวยะในตอนเย็น

“เรื่องอะไร”

“ก็ที่ช่วยอชะไว้ไง ฝีมือนายใช่ไหม”

“แล้วไง...อยากลองแบบนั้นบ้างไหมล่ะ” เขาถาม น้ำเสียงกวนประสาทอีกแล้ว ผมไม่ชอบทวยะในบุคลิกนี้เลย มันทำให้ผมรู้สึกว่า อาจจะถูกแกล้งเมื่อใดก็ได้

“นายทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ อย่าบอกนะว่าคนที่ทำให้อชะเป็นแบบนั้นก็คือนาย” ผมถาม แต่หวังว่าเขาจะปฏิเสธ

“เปล่า...แต่ว่า...” เขาหยุดนิดหนึ่ง ปั้นหน้าเครียดเหมือนกำลังครุ่นคิด “ก่อนหน้านั้นนายเห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม”

ผมใช้เวลานึกทบทวนนิดหนึ่ง

“ไม่มีนะ...” ผมตอบอย่างไม่มั่นใจ “เอ...แต่จะว่าไป มันก็เหมือนบังเอิญ”

“บังเอิญยังไง” ทวยะถาม น้อยครั้งที่เขาจะถาม

“เอ้อ...ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้น จะเป็นเพราะอัทธ์” ผมอ้อมแอ้มตอบ

“อัทธ์...ใคร เขาเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวอะไรอย่างนั้นหรือ” ผมยืนนึก “ฉันก็บอกไม่ถูกว่ามันเกี่ยวอะไร ดูเหมือนกับว่า เหตุการณ์วันนี้จะเป็นไปตามคำพูดของเขา ส่วนเขาเป็นใคร...เขาก็คือเพื่อนข้างห้องเรา คนที่อยู่ห้องหกศูนย์แปดน่ะ”

“อืม...” เพื่อนผมพยักหน้า แล้วจมลงในห้วงความคิด

“มีอีกอย่าง...ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่สร้อยเส้นเมื่อวาน ฉันเห็นมันอยู่ที่คออัทธ์”

“หือ...สร้อยเส้นเมื่อวาน!” เขาเบิกตาโต “เป็นเรื่องแล้ว!”

---

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า ‘เรื่อง’ ที่ทวยะบอกมันคืออะไร แต่เมื่อเรากลับไปถึงหอพัก ยังไม่ทันได้เข้าห้องของตัวเอง เพื่อนของผมก็รีบมาเคาะประตูห้องข้างๆ ก่อน...

“มีอะไรหรือ” คนที่ออกมาเปิดประตูก็คือกฤตย์นั่นเอง

“ขอโทษที่รบกวนนะ แต่อัทธ์อยู่หรือเปล่า” ทวยะที่ดูเหมือนจะกลายเป็นคนเงียบขรึมอีกแล้ว ถามออกไปอย่างสุภาพ

“อืม...ไม่อยู่ ยังไม่เลิกเรียนมั้ง”

ไม่ใช่หรอก...ครูนรินทร์งดสอนไปแล้วต่างหาก เพียงแต่อัทธ์ยังไม่กลับมาที่ห้องเท่านั้น

“อย่างนั้นขอบคุณนะ” รูมเมทของผมบอก ก่อนจะก้าวไปหยุดยืนนึกอะไรบางอย่างที่หน้าประตูห้องของเรา โดยที่ยังไม่ยอมเปิดประตู ผมจึงเป็นคนไขประตูเข้าไป

ทวยะก้าวตามผมเข้ามา เขาโยนกระเป๋าลงบนเตียงตัวเอง ก่อนแจ้นออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ อีก

“ขอโทษอีกที แต่...ถ้าอัทธ์กลับมาแล้ว ช่วยบอกด้วยนะ พอดีมีเรื่องด่วนต้องคุยกับเขาน่ะ”

กฤตย์พยักหน้ารับทีหนึ่ง รูมเมทของผมจึงกลับเข้าห้องมาอีกครั้ง ท่าทางยังคงใช้ความคิดจนคิ้วขมวดมุ่น

“มีเรื่องด่วนอะไรทวยะ” ผมถามออกไปในขณะที่เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ไทวะ...นายเห็นอะไรผิดปกติอีกไหม ตอนที่เกิดเรื่องน่ะ”

“ผิดปกติหรือ...” ผมพึมพำกับตัวเองพลางนึก “ไม่มีนะ...”

“นายลองนึกดีๆ สิ นายเห็นอะไรผิดปกติกับหินแก้วอันนั้นหรือเปล่า”

“อันไหน”

“อันที่นายบอกว่าอัทธ์ใส่อยู่ไง สร้อยเส้นเมื่อวานน่ะ”

“อืม...หินแก้วอันนั้น...ไม่รู้ว่าผิดปกติหรือเปล่า คือฉันว่ามันเหมือนมีแสงสีฟ้าเป็นจุดอยู่ในหินน่ะ” ผมบอกเขาไปตามที่สังเกตเห็น

“นายอยากรู้ไหมว่าแสงนั่นคืออะไร”

แน่นอน ผมอยากรู้เป็นที่สุด ไม่บ่อยนักหรอกที่ทวยะจะอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ผมฟังง่ายๆ ถ้าผมไม่ถามจนเขารำคาญเสียก่อน

“มันคือพลังชีวิต”

“พลังชีวิต” ผมทวนคำอย่างสงสัย “พลังของใคร แล้วไปอยู่ในนั้นได้ยังไง”

“พลังชีวิตของอัทธ์นั่นละ ฉันจะบอกให้ก็ได้ ใครก็ตามที่สวมหินแก้วอันนั้นอยู่ และใช้พลังจากมัน ก็จะถูกดูดพลังชีวิตไปแทน จนสุดท้าย เขาก็จะเป็นเหมือนหุ่น นิ่ง ขยับตัวไม่ได้ ไม่มีชีวิต เพราะพลังชีวิตของเขาหมดไปแล้ว!”

ผมเชื่อว่า ถ้าใครเห็นสีหน้าผมในตอนนั้นคงจะเข้าใจคำว่า ‘หน้าถอดสี’ ได้ดีทีเดียว...

---

ผมคิดว่าทวยะคงต้องใช้ความอดทนกับการรอคอยนี้อย่างมากมาย ดูได้จากอาการกระวนกระวาย ซึ่งแม้ไม่ได้แสดงออกกมากนัก แต่ผมก็ไม่เคยเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้มาก่อน

...ถ้าเขาอยู่ในอีกบุคลิกหนึ่ง เขาคงไม่มีความอดทนมากขนาดนี้

ตัวผมเองไม่ค่อยรู้สึกกังวลเท่าใด คงเพราะผมยังไม่ค่อยเข้าใจถึงความร้ายกาจของหินแก้วอันนั้น อีกอย่าง ผมรู้สึกว่าทวยะจะต้องหาทางช่วยอัทธ์ได้อย่างแน่นอน

สามทุ่มเศษ...เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องของเรา ทวยะถึงกับลุกพรวดไปเปิดทันที

“พวกนายเรียกฉันมา มีอะไรหรือ” ผู้มาคืออัทธ์นั่นเอง ผมสังเกตว่าหน้าตาของเขาดูซูบซีดไปเล็กน้อย ขอบตาดูคล้ำลงไปเหมือนคนนอนดึก

ทวยะไม่ได้ตอบในทันที เขามองไปที่คอของเพื่อนข้างห้อง หินแก้วอันนั้นยังห้อยอยู่ที่คอของเขา และดูเหมือนจุดแสงสีฟ้าในนั้นจะเพิ่มขึ้นอีกหลายจุด...

“เอ่อ...” ทวยะเริ่ม “ขอฉันดูสร้อยหินอันนั้นหน่อยได้ไหม”

อัทธ์ก้มมองหินแก้วที่คอของตัวเองก่อนตอบ “นี่น่ะหรือ ได้สิ...”

เขาทำท่าจะถอดมันออก แต่แล้วก็ชะงักไว้

“โทษทีนะ พอดีคนขายเขาบอกให้สวมติดตัวไว้ ไม่ให้ถอดน่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ขลัง”

“ขลัง...เขาบอกนายอย่างนั้นเหรอ” ทวยะหรี่ตามองเขาอย่างค้นหา

“ใช่...เขาบอกว่า ถ้าฉันสวมไว้ตลอด มันก็จะบันดาลให้สิ่งที่ฉันต้องการเป็นความจริงขึ้นมา...” อัทธ์บอกอย่างภูมิใจ “มันก็จริงนะ วันนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีวาจาสิทธิ์เลยล่ะ”

“วาจาสิทธิ์...ยังไง” ผมถาม

“อย่างเมื่อครู่ไปกินข้าวกับรุจยา...” เขาหยุดนิดหนึ่ง ยกมือลูบหลังคอด้วยความเขินอาย “พอดี รุจยาจะขอเลี้ยงขอบคุณที่ช่วยไว้น่ะ แล้วพอไปถึงที่ร้าน ที่นั่งก็เต็มหมด ตอนแรกฉันก็คิดว่าบังเอิญนะ ที่มีคนลุกจากโต๊ะทันทีที่ฉันบอกว่า...น่าจะมีคนลุกได้แล้ว”

“ลุกทันทีหรือ” ผมซักต่อไปอีกตามนิสัย

“ก็ไม่เชิงหรอก” เขาบอก “พอดีมีเก้าอี้ตัวหนึ่ง อยู่ๆ ก็ขาหัก คนที่นั่งอยู่ตกจากเก้าอี้ จานชามตกแตกกระจาย พวกเขาก็เลยเลิกกินเลย”

“เอาล่ะ...นายคงสนุกกับมันพอแล้ว ทีนี้ก็ถอดออกมาซะ” ทวยะซึ่งนิ่งฟังอยู่นาน ดูเหมือนจะไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป จึงเปลี่ยนเป็นทวยะร้ายไปแล้ว และมันก็ทำให้อัทธ์งงจนถึงกับอึ้งไปทีเดียว

“อะไรของนาย ทวยะ”

รูมเมทของผมไม่ตอบ แต่ดึงคออัทธ์ก้าวยาวๆ ผ่านออกไปยังห้องน้ำที่ระเบียง ผมคิดว่าคงเป็นเพราะความตกใจและไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน จึงทำให้คนร่างผอมอย่างทวยะดึงเพื่อนตัวโตกว่าไปได้อย่างง่ายดาย

“เฮ้ย! ทวยะ แกเป็นบ้าอะไรวะ” เสียงอัทธ์โวยวายออกมาระหว่างที่ถูกดึงเข้าไปในห้องน้ำ ผมตามพวกเขาไปติดๆ เห็นทวยะจับหน้าอัทธ์หันเข้าหากระจกเหนืออ่างล้างหน้า

“ดูหน้าแกตอนนี้สิ ภายในวันเดียว แกซูบซีดขนาดนี้ได้ยังไง!” ทวยะตะคอก มือยังไม่ยอมปล่อยจากคอของเพื่อน แต่เมื่ออัทธ์ตั้งสติได้แล้วก็สะบัดตัวจากมือเขา

“อะไรวะ ซูบซีดบ้าบออะไรของแก ฉันก็เป็นปกติของฉันนี่ล่ะ!” เขาบอกเสียงดัง จากนั้นก็แทบวิ่งออกจากห้องผมไปเลยทีเดียว

ทว่าทวยะก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ยังตามไปรั้งแขนเขาไว้ที่หน้าห้อง เป็นเวลาเดียวกับที่กฤตย์เปิดประตูออกมาดูพอดี

“มีอะไรกัน” เขาถาม

“กฤตย์ นายจับมันไว้!” ทวยะออกคำสั่ง แต่คำสั่งที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ จะให้คนอื่นเชื่อได้อย่างไร

กฤตย์ยังยืนนิ่งด้วยความฉงนอยู่ที่หน้าประตู แต่อัทธ์กลับถลันเข้าห้องตัวเอง พร้อมกับผลักเพื่อนร่วมห้องเข้าไปด้วย โดยทิ้งข้อความไว้ให้ทวยะก่อนปิดประตูและลงกลอน

“ไอ้บ้าเอ๊ย!”

---

ทวยะและผมกลับเข้าห้องด้วยความหมดหวัง เห็นเขาล้มตัวลงบนเตียง พลางถอนหายใจ ในขณะที่ผมนั่งลงที่เตียงตัวเอง

“ฉันว่าวิธีของนายรุนแรงไปนะ” ผมออกความเห็น “ทำไมนายไม่อธิบายให้มันเข้าใจล่ะ”

ทวยะไม่ได้ตอบ แต่หันมองผมด้วยสายตาที่ดูน่ากลัวพิลึก

ทันใดนั้นเอง ภาพปิศาจตัวผอมกะหร่อง แยกเขี้ยวกางเล็บโค้งยาว พร้อมกับดวงตาสีแดงราวลูกไฟสองดวง ก็พุ่งเข้ามาใส่หน้า จนผมต้องผงะหงาย ร้องเสียงหลงด้วยความตระหนก โบกมือปัดป่ายเป็นพัลวัน ก่อนที่มันก็หายไป...

ผมรู้ทันทีว่านั่นเป็นภาพมายาที่ทวยะสร้างขึ้นมา เพื่อแกล้งให้ผมตกใจเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่ผมว่า นี่มันเกินไปแล้วนะ

“ไอ้บ้าเอ้ย! ฉันเตือนนายดีๆ นะโว้ย”

ทวยะยังทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดวงตาสีดำสนิทจ้องไปที่เพดานเป็นครู่ แล้วจึงเปิดปากพูดออกมา

“นายคิดว่ามันจะเข้าใจหรือ นายคิดว่ามันจะเชื่อเรื่องแบบนี้ง่ายๆ น่ะหรือ”

“มันก็น่าจะลองดู...”

“พูดไปก็เปลืองน้ำลาย”

เขาบอกอย่างนั้น ผมเองก็จนคำพูด ในที่สุดจึงนึกออกวิธีหนึ่ง

“ทำไมนายไม่ใช้พลังของนาย ดึงหินแก้วอันนั้นออกมาเลยล่ะ แบบตอนที่นายช่วยอชะไว้ไง”

“อย่างี่เง่าน่า” เขาลากเสียงด้วยความรำคาญ “พลังของฉันไม่ใช่จะบังคับให้คนทำโน่นทำนี่ได้”

“ถ้าอย่างนั้น นายก็ใช้พลังของนาย จัดการปิศาจในหินนั่นสิ”

“ทำไม่ได้”

“ทำไมล่ะ”

“นายนี่มันถามมากจริงๆ” ทวยะหันมามองผมอีกรอบ แต่คราวนี้ผมหลับตาปี๋ จึงไม่ได้เห็นภาพมายาที่เขาสร้างขึ้น จนกระทั่งได้ยินคำตอบจากเขา จึงค่อยลืมตา

“ก็เพราะอัทธ์ยังสวมมันไว้อยู่ เท่ากับเขายังปกป้องมัน ฉันก็เลยทำอะไรไม่ได้น่ะสิ!” เขากระแทกเสียงในตอนท้าย แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่อีกสักครู่รอยยิ้มเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ดีเหมือนกัน ในเมื่อมันอยากตาย ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงไปช่วยมัน...”

คำพูดของเขาทำให้ผมต้องเสียวสันหลังวาบ...นี่เท่ากับว่า ถ้าอัทธ์ไม่ถอดหินแก้วนั้นออก เขาก็จะต้องถูกดูดพลังชีวิตไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงร่างไร้ชีวิตอย่างนั้นหรือ!

###

จากคุณ : ตรีพันธ์
เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 55 21:49:48




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com