วันนั้นทั้งวัน เหตุการณ์เหมือนจะปกติดี แต่ทำไมปันนารู้สึกเหมือนมีลูกตาประหลาดๆหลายสิบคู่คอยแอบจ้องมองทุกย่างก้าวของหล่อนไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน
หากเมื่อหันกลับมามอง สายตาเหล่านั้นกลับหลบวูบวาบ ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ
ถ้าเป็นวันนั้น วันที่หล่อนวิ่งถลาไปถวายผางให้เจ้านายของพวกเขา และโดนโต้ตอบกลับจนบาดเจ็บเลือดตกยางออก หล่อนคงไม่แปลกใจ
แต่วันนี้ หล่อนก็ไม่ได้ทำอะไรพิศดารสักหน่อย
นอกจาก...เออ จริงสิ แค่แอบเล่นเปียโนหน่อยเดียว
เปียโนสึกหรอไปมากหรือไง
หรือจะคิดไปเอง
ดังนั้นตอนค่ำหลังกินอาหารเย็นที่ป้านิ่มตัั้งสำรับให้บนโต๊ะอาหารใหญ่แทนที่จะเป็นในครัวอย่างที่ปันนาเคยคุ้น หล่อนก็กลับขึ้นห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหลียวหาอะไรทำ ไม่มีสิ่งไหนดึงดูดใจให้หยุดคิดฟุ้งซ่านได้
ปันนาจึงเดินเข้าไปในห้องสมุด มองหาหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นสักเล่มสองเล่มเอากลับมานั่งอ่านในห้องนอน
หากล้มตัวลงนอนพิงตุ๊กตาหมีอ่านได้แค่ชื่อเรื่อง
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะคอนโซลข้างเตียงก็ดังขึ้น
ป้านิ่มนั่นเอง
"คุณท่านเชิญที่ห้องรับแขกค่ะ"
ปันนานิ่งเงียบไปอึดใจ เขากลับมาแล้วหรือ
"คุณท่านว่าถ้าคุณหมอไม่สะดวก ให้คุณท่านขึ้นไปคุยข้างบนก็ได้ค่ะ" คุณนิ่มนวลพูดต่อด้วยน้ำเสียงซื่อๆ
"ไม่ ไม่ต้องค่ะ หมอลงไปเดี๋ยวนี้เลย"
รีบปฏิเสธก่อนจะกระวีกระวาดลงไปที่ห้องรับแขก
เชื่อสนิทใจ เขาทำอย่างที่พูดได้จริงๆ
ร่างสูงนั่งไขว่ห้างสบายๆ แขนข้างหนึ่งพาดไปเหนือพนักโซฟา ในมืออีกข้างมีแก้วบางทรงสูงเห็นน้ำสีอำพันติดก้นแก้วเพียงเล็กน้อย
"นั่งสิ" เขาชี้ปากแก้วไปที่โซฟาเยื้องๆกันเป็นเชิงชวนให้หล่อนนั่ง
หญิงสาวทำตามราวกับคนว่านอนสอนง่าย ทั้งที่ไม่ค่อยชอบกิริยานั้นเลย ดูเหยียดๆ ไม่ให้เกียรติคนยังไงไม่รู้
"ตอนผมไม่อยู่ มีปัญหาอะไรไหม?"
ปันนางงกับคำถาม เรื่องทอฝันที่เรียบเรียงเตรียมจะเล่าจึงจ่ออยู่แค่ริมฝีปาก
"คะ?"
"ผมไม่อยู่ ที่นี่เรียบร้อยดีไหม? มีอะไรต้องการเพิ่มหรือมีปัญหาอะไรจะบอกไหม?"
คราวก่อนหายไปหลายวัน กลับมาก็ถามคำถามทำนองนี้แหละ
ฟังเผินๆก็รู้สึกเหมือนหมอนี่เป็นเจ้านายที่ดูแลเอาใจใส่ลูกน้องดีเหมือนกันเนอะ
"ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่คะ" ตอบตามตรง
"อาการทอฝันมีอะไรคืบหน้าขึ้นบ้าง?"
"ก็ยังเหมือนเดิมกับที่รายงานไปเมื่อสี่ห้าวันก่อน" หล่อนตอบกวนๆ
แล้วก็แปลกใจ แทนที่เขาจะโกรธหรือถามต่อกลับเลยไปถามเรื่องของหล่อนแทน
"เห็นซานหลงบอกว่าไม่เห็นหมอไปซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ที่โรงพยาบาล"
อีตาคนขับรถนี่ ไม่มีเรื่องอื่นรายงานเขาหรือไงนะ ทำไมต้องเอาเรื่องไร้สาระ ของหล่อนไปบอกด้วย
"ก็..." หล่อนอึกอัก รู้สึกเหมือนเด็กถูกผู้ปกครองถาม
เวลาโดดเรียนพิเศษยังไงยังงั้นเลย "แค่ซ้อมนิดเดียว เสียเวลาไปๆกลับๆ เดินทางไม่ใช่ใกล้ๆ อีกอย่างยังไม่อยากทิ้งคนไข้ไปตอนนี้" ขอพูดเอาดีใส่ตัวนิดหน่อย
"งั้นหรือ งั้นหมอคงไม่สะดวกกลับไปทำงานสินะ"
แก้วตาดำขยายกว้าง ปารมีเคยล้อว่า ท่าแหกเนตร
"เอ้อ อะ เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ"
"ผมกำลังคิดว่าจะให้หมอกลับไปทำงานบ้างบางวัน แต่ถัาหมอไม่สะดวกก็แล้วไป"
ปันนาเหวอไปชั่วคราว รีบขยับเข้ามาใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว
"สะดวกสิคะ ทำไมจะไม่สะดวก จะให้ไปเมื่อไหร่"
"หลังงานเชียร์ลีดเดอร์ก็แล้วกัน"
"ฮ้า.." ปันนาร้องอุทาน ทำท่าแหกเนตรอีกครั้ง มือของหล่อนกำลังจะยื่นมาจับแขนเขาอย่างลืมตัว แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ทัน
เฉินฮ่าวหมิงต้องแอบเบือนหน้าไปอีกด้านเพื่อซ่อนรอยยิ้ม
ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลย ระหว่างสาวน้อยปันนาในอดีตกับหมอปันนาที่นั่งอยู่ใกล้ๆเขาเวลานี้
หล่อนผ่านการแต่งงานมาแล้ว จริงหรือ
ถ้าใช่ ปันนาก็เป็นสาวแอ้บแบ๊วที่ตีหน้าได้สนิทน่าเชื่อถือที่สุด
พอคิดเรื่องนี้ อารมณ์ก็คุกรุ่นขึ้นมาใหม่ แต่เขาจะแสดงออกไม่ได้
จะหลอกให้คนตายใจ ต้องสวมบทบาทให้แนบเนียนที่สุด เก็บกดความรู้สึกแท้จริงไว้ให้ลึก
"ได้ ได้เลย ฉันอยากกลับไปทำงาน"
"ถ้ายังไม่อยากออกจากบ้านตอนนี้ ก็เอาเทบมาหัดซ้อมดู ให้ลูกจันทร์หรือลำดวนเป็นคู่ซ้อมให้ก็ได้นี่"
"เต้นเชียร์น่ะไม่ยากหรอกค่ะ แค่ดูสองสามครั้งก็เป็นแล้ว"
ขนาดกำลังหงุดหงิด เฉินฮ่าวหมิงยังเกือบเผลอปล่อยก๊ากออกไป
แม้คำพูดก็ยังเหมือนกันทุกคำ
หล่อนคงไม่รู้หรอกว่าเขาต้องใช้ความพยายามแค่ไหนในการเก๊กหน้าให้นิ่ง
บทเรียนการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ครั้งก่อนดูเหมือนจะหายไปจากความทรงจำของปันนาเสียแล้ว
"ผมว่าไปซ้อมหน่อยก็ดีนะ จะได้มั่นใจเวลาแสดงจริง"
ถึงปันนาจะไม่เข้าใจว่าเขามาวุ่นวายกับการเป็นเชียรลีดเดอร์ของหล่อนทำไม แต่เวลานี้ความตื่นเต้นดีใจที่จะได้กลับไปทำงานกลบความสงสัยทุกอย่างไปสิ้น
"ค่ะๆ แล้วจะให้ไปทำงานวันไหนบ้าง"
เขาทำท่านึกก่อนจะตอบว่า "เอาวันอังคารกับวันศุกร์ 'ก่อน' ดีไหม"
คำว่า'ก่อน' ย่อมหมายความว่า จะมี 'หลัง' ต่อไป
หล่อนจึงรีบรับคำ "ดีค่ะ ดีค่ะ" โดยไม่มีต่อรอง
หญิงสาวทำท่าลุกขึ้น
กระโดดโลดเต้นได้ คงทำไปแล้ว
ต้องรีบไปโทรบอกผอ. ให้เตรียมพยาบาลผู้ช่วย เตรียมห้องตรวจ หล่อนจะไปออกตรวจแต่เช้าเลย
หลังวันเชียร์ ก็อีกสามวันเอง
"เพลงเมื่อเช้ามีความหมายกับคุณไหม?"
เสียงถามขึ้นมาลอยๆจากด้านหลัง
ปันนาเหลัยวกลับมามอง ตามคำถามไม่ทันในทีแรก แต่เมื่อนึกได้ ก็ไหววูบในใจ
เขาได้ยิน
งั้นก็เป็นเขาเองหรือเปล่าที่ทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างหลัง
"เพลงฉันจะรอคุณนะหรือ" หล่อนถามย้ำ
"หมอกำลังรอใครอยู่หรือ"
"ฉันก็แค่เห็นว่ามันเพราะดี"
สีหน้าคนฟังไหววาบด้วยความผิดหวังวูบหนึ่ง หากปันนาไม่ทันสังเกต
คืนนั้นเฉินฮ่าวหมิงนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวกระสับกระส่าย ภาพปันนาตอนพรมนิ้วพริ้วไหว กายโยกไปตามท่วงจังหวะเพลง
I will wait for you
ท่าทางเศร้าๆของหล่อน จับตาจับใจชายหนุ่ม จนเผลอไผล อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า
บางทีเพลงนั้นอาจมีไว้เพื่อเขา
หล่อนอาจกำลังรอเขาอยู่
หลังผิดพลาดจากการแต่งงานที่ลงเอยด้วยการหย่า
อาจทำให้หล่อนคิดถึงเขา คิดถึงพี่เตย ทาสผู้ซื่อสัตย์ และอาจเสียใจในสิ่งที่เคยทำร้่ายทำลายชีวิตเขาย่อยยับ
แต่แล้วไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
ที่แท้เพลงนั้นหล่อนเล่นไปอย่างไร้ความหมาย
เขาแค่เพ้อเจ้อ ฝันเฟืี่องไปเอง
อสรพิษร้ายที่ซ่อนในร่างหญิงสาวผู้ไร้เดียงสา
เขาจะใจอ่อนไม่ได้
ในที่สุดทนไม่ไหว เฉินฮ่าวหมิงลุกขึ้นมาเปิดขวดแชมเปญ ถือทั้งขวดและแก้วแชมเปญเดินออกไปนอกห้อง ไปนั่งเอนหลังบนโซฟาตัวใหญ่ ตรงโถงกลาง หากตาจับมองไปที่ทางเดินผ่านไปยังอีกห้อง
ภาพสัญญาในอดีต วันนั้น วันที่ไม่เคยตัดออกไปจากใจแวบผ่านเข้ามา เหมือนผิวน้ำใสถูกกวนจนตะกอนข้างใต้กระจัดกระจายลอยฟ่องขึ้นมาจนน้ำขุ่นคลั่ก
คืนนั้น เด็กสาวในวัย 17 ปีกับหนุ่มน้อยนักศึกษาแพทย์ใกล้จบนอนอิงแอบแนบซบบนเตียงใหญ่ในบ้านของเขาเอง ไม่ใช่ครั้งแรก หากสาวน้อยแอบหอบผ้าหอบผ่อนมานอนเล่นเป็นประจำตัั้งแต่เด็กเติบใหญ่
โดยไม่รู้ตัวว่าเขาต้องใช้ความพยายามากแค่ไหนที่จะรักษาชื่อเสียง ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของหล่อนให้คงอยู่
คืนนั้นหล่อนซุกศีรษะกับอกของเขา ไม่ได้ซุกเฉยๆ แต่ทั้งซอกซอนชอนไชจนพี่เตยขนลุกชัน
"อย่าซนสิกล้วย เดี๋ยวพี่ก็ตาสว่างทั้งคืนหรอก"
จอมซนไม่สน หากยื่นจมูก ปากแตะที่รักแร้พี่เตย ผ่านเสื้อนอนแขนสั้นที่เขาใส่แถมสูดหายใจฟอด "รักแร้พี่เตยหอมจัง"
เสียงพี่เตยหัวเราะ เพราะจั๊กจี้
ยายกล้วยยกแขนขึ้นขยับให้เนื้อนวลบริเวณรักแร้ชิดปลายจมูกของพี่เตยบ้าง
"พี่เตยดมมั่งดิ ของกล้วยเหม็นไม๊"
เตชิตนิ่ง ของเขามีเสื้อคลุมอยู่ แต่นี่ของยายกล้วยเนื้อแนบเนื้อ เพราะชุดนอนหล่อนเป็นเสื้อกึ่งสายเดี่ยวกึ่งคอกระเช้า
ยายกล้วยกดเนื้ออ่อนนุ่มนิ่มบริเวณนั้นลึกขึ้น จนจมูกเขาบี้
เสียงเตชิตร้องอู้อี้เพราะหายใจไม่ออก หากไม่ยักย้่ายจมูกหนี
คราวนี้คนถูกบังคับให้ดมไม่ดมเปล่า เขาเอาปากหนีบเบาๆ เชิงเย้าแหย่ก่อนจะลากปลายลิ้นตวัดแลบเลียวนรอบเบาๆแถวเนื้อนวล
ยายกล้วยหัวเราะจั๊กจี้จนตัวงอ รีบยกแขนหนี
"พี่เตยขี้โกง ให้ดมเฉยๆ"
"ก็จะได้ยืนยันไงว่าของน้องกล้วยหอมหวานชื่นใจ"
"งั้นกล้วยยกจั๊กกะแร้ของกล้วยให้พี่เตย จั๊กกะแร้ของพี่เตยก็ต้องเป็นของกล้วยด้วยนะ" หล่อนเงยแหงนขึ้นขอคำสัญญา "ห้ามใครดมนอกจากกล้วยคนเดียว"
"จะจองอะไรของพี่อีกไหม"
คนถูกถามผงกศีรษะขึ้นจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากหยักหนาได้รูป ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้ทาบทับ
"ปากพี่เตย ก็เป็นของกล้วย ห้ามใครแตะ"
"แค่นี้เองหรือ" ชายหนุ่มทำเสียงมีเลศนัย
"พี่เตยชี้ทางให้เองน้า" หล่อนลากนิ้วไปตามลำตัวของเขาจากแผงอกเรื่อยลงมาหยุดนิ่งที่ขอบกางเกง ก่อนจะใช้นิ้วเกี่ยวขึ้น ขยับมือขึ้นลงสองสามครั้ง เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าเพียงแค่นี้ แม้จะไม่ได้แตะต้องจุดสำคัญ หากการที่นิ้วหล่อนวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ก็ก่ออาการเสียวซ่าน กระสัญรัญจวน จนเขาต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่น
กำมือสองข้างเข้าหากันก่อนที่มันจะไม่รักดี รวบร่างน้อยเข้ามาแนบอกแล้วพลิกตัวขึ้นทาบทับ ถาโถมระดมจูบทั่วใบหน้าใสเกลี้ยงเกลาเนียนละเอียด และก่อนที่จะเลิกเสื้อนอนของหล่อนขึ้นมา เกลือกใบหน้า จมูก ปากพรมจูบทั่วร่างเนียนลื่นมือ หอมกรุ่นกลิ่นแป้งเด็กอ่อนๆ ที่เร้าใจยิ่งกว่ากลิ่นน้ำหอมสูงค่าราคาแพง
หากถึงเวลานั้นคงไม่มีอะไรมาหยุดยั้งไม่ให้เขารุกคืบต่อถึงปลายทางที่ความสุขซาบซ่านสมหวังรออยู่
แต่เพียงเพราะรัก และปรารถนารักษาเกียรติสตรีผู้เป็นยอดดวงใจ ก่อนถึงเวลาที่ถูกต้องเหมาะสม เขาจึงต้องอดทนอดกลั้น แม้สาวน้อยจะเป็นฝ่ายบุกรุกอาณาเขตหวงห้ามปลุกกอารมณ์พิศวาสในกายของเขาให้ลุกโชนขึ้นมาเองก็ตาม "นี่ก็เป็นของกล้วยด้วย" เสียงหล่อนพูดเหมือนฟังมาจากที่ไกลแสนไกล ด้วยใจคนฟังเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนแล้ว
แต่ก็เพราะอาถรรพ์นี้ไม่ใช่หรือ
นั่นก็ของกล้วย นี่ก็ของกล้วย
แล้วอย่างไรล่ะ หล่อนไม่เคยรักษาสัญญาสักอย่าง
ป่านนี้ ปากของหล่อน รักแร้ของหล่อน ร่างกายของหล่อนคงผ่านมือ ผ่านปากนายภูวดลจนชอกช้ำไปทั้งตัวแล้ว
แต่เขาสิกลับรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัด
แม้หญิงมากหน้าหลายตาข้างกาย หากไม่เคยมีใครจุดเปลวไฟให้ลุกโชตช่วงชัชวาลได้แม้แต่คนเดียว
อย่างมากแค่วาบหวามซ่านเสียว แต่ไม่เคยถึงจุดควบคุมตัวไม่ได้
ภาพยายกล้วยตามมาหลอกมาหลอนยามกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม จนเขาหักดิบคำมั่นสัญญาไม่สำเร็จสักครั้ง
แต่ทีกับยายกล้วย แค่เห็นหน้าหล่อนผ่านหน้าจอโน้ตบุ๊กวันนั้น เขากลับกระวนกระวายร้อนรุ่มรุมเร้าราวกับมีไฟแผดเผาภายใน จนแทบอยากกระโดดเข้าไปในจอ ขม้ำหล่อนเสียเดี๋ยวนั้น
เพียงแค่รูปผู้หญิงที่หน้าตาหาความเซ็กซี่ไม่ได้เลย แต่กลับก่ออารมณ์ซาบซ่านกระสัญรัญจวนใจยิ่งกว่านอนกับหญิงอื่นเป็นร้อยเท่าพันเท่า
วันนั้นทำให้ชายหนุ่มมั่นใจ เขาไม่ใช่คนกามตายด้าน แต่มันไม่ยอมทำงานเพราะอาถรรพ์ที่ยายกล้วยฝากไว้
บัดนี้ ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งแยกแยะไม่ออก ความรัก ความห่วงหวงนั้นมาจากใจจริงหรือเพียงแค่เป็นไปตามบทที่ตัวเองเป็นฝ่ายกำหนด หรือเขาจะแสดงได้สมบทบาทจนแยกชีวิตจริงกับการแสดงไม่ออก
"ทำไมถึงทรยศพี่ได้ ยายกล้วย พี่รักเธอขนาดนี้ ทำไม ทำไม?"
เฉินฮ่าวหมิงไม่รู้ตัวว่าเดินโซซัดโซเซโผล่มาอยู่หน้าประตูห้องปันนาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกที กำปั้นข้างหนึ่งก็ทุบอย่างแรงลงไปเหนือเนื้อไม้หนาหนักนั่นแล้ว
ปากก็พร่ำรำพัน
"ออกมาหาพี่ แม่กล้วยกวน ออกมาแล้วพี่จะยกโทษให้"
คนในห้องผวาตื่นกลางดึก
ใครมาเคาะประตูห้องเราดึกๆ หรือมีเรื่องเกิดขึ้นกับทอฝัน
หญิงสาวเลิกผ้านวมผืนหนาออก ลุกขึ้นค่อยๆจรดปลายเท้าย่องไปที่ประตู
เสียงอ้อแอ้ของผู้ชายดังเบาๆลอดเข้ามา สลับกับเสียงเคาะประตูแรงถี่
ไม่ใช่เคาะแล้ว จะพังประตูเสียล่ะมากกว่า
"ออกมาเดี๋ยวนี้ ...บอกให้ออกมา...ได้ยินม้าย...ยายตัวร้าย ออกมาเดี๋ยวนี้..."
เสียงนั้นจะเป็นใครถ้าไม่ใช่คนข้่างห้อง!