Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หลายชีวิต ตอน ทองโปรย vote ติดต่อทีมงาน

หลายชีวิต
                                        ตอน  ทองโปรย
        ทองโปรยรู้ตัวดีว่าเกิดมาเป็นคนเคราะห์ดีที่สุด เพราะทองโปรยจำได้ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่มีทุกข์อันเกิดจากความขาดแคลนหรือความปราถนาใดๆที่มิได้เป็นไปตามความประสงค์ ถึงแม้ว่าทองโปรยจะเป็นบุตรสาวคนเล็กในจำนาวนบุตรหลายคนของบิดามารดาที่ทำมาค้าขายอยู่แถวเจ้าเจ็ด แต่ทองโปรยก็ได้รับการเอาใจจากพ่อแม่และพี่ๆทุกคนตลอดมา ด้วยเหตุมองโปรยเป็นน้องคนเล็ก นั้นประการหนึ่ง ด้วยเหตุที่เมื่อยังเป็นเด็กเล็กทองโปรยเคยเจ็บมากจนพ่อกับแม่คิดว่าจะตายแต่กลับรอดมาได้นั้นอีกประการหนึ่งและด้วยเหตุที่พ่อแม่นั้นเชื่อมั่นว่า ทองโปรย บุตรสาวคนเล็กนั้นนำพาลาภมาให้แก่ครอบครัวตั้งแต่เกิดมาพ่อแม่ก็ทำมาค้าขึ้น จนมีชื่อว่าเป็นเศรษฐีในละแวกบ้านนั้นเป็นประการสุดท้าย
      ด้วยเหตุดังกล่าว ทองโปรยจึงเกิดมาในโลกที่มีแต่คนตามใจทุกอย่างที่ต้องการก็เป็นไปตามความประสงค์ เพราะพี่ทุกคนไม่มีใครขัดและในบางกรณีเมื่อทองโปรยต้องการของที่จำเป็นและต้องซื้อหามาด้วยราคาแพง พ่อแม่ก็มิได้ห้ามแต่กลับพูดว่า “โปรยมันอยากได้อะไรก็ให้มันเถิดเงินทองที่เรามีก็ได้มาเพราะมัน มันเอาของมันมาด้วยตั้งแต่มันเกิด ถ้าจะทำบุญไว้แต่ชาติก่อน จะไปเสียดมเสียดายทำไม”
       ความต้องการของทองโปรยเมื่อยังเป็นเด็กจึงไม่มีใครขัดไม่ว่าจะเป็นของกินของเล่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของแต่งตัวทุกอย่างเพียงแต่ออกปากของนั้นก็จะมาถึงมือ เป็นกรรมสิทธิ์ของทองโปรยในไม่ช้า
      ทองโปรยผ่านชีวิตในยามเยาว์มาด้วยความสุข เพราะความต้องการของเด็กย่อมมีอยู่เสมอ และมิใช้ความต้องการที่เหลือบ่ากว่าแรง พ่อแม่และพี่ๆจึงมิให้ทองโปรยต้องออกปากของสิ่งใดเป็นสองซ้ำ และทองโปรยก็รู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่เกิดความต้องการ เพราะรู้ว่าความต้องการนั้นจะไม่เป็นหมัน บางเวลามลทองโปรยเข้ามุ้งนอนแล้ว ก็นึกตามประสาเด็กๆว่า ตนยังไม่อยากได้สิ่งไรบ้าง เมื่อนึกออกแล้วก็จะได้ไปบอกพ่อแม่ในวันรุ่งขึ้น และนอนกระหยิ่มใจไปจนหลับด้วยความแน่ใจว่าตนจะได้รับของที่อยากได้โดยไม่มีปัญหาอย่างใดเลย
       ถ้าหากทองโปรยจะเก็บตัวให้ได้อยู่ในวัยเด็กไปได้ตลอดชีวิตหรือถ้าหากทองโปรยสามารถเก็บความต้องการของตนไว้ให้อยู่ในลักษณะความต้องการของเด็กๆ ได้ตลอดไป บางทีทองโปรยอาจไม่มีวันรู้จักทุกข์ในชีวิต
       ทองโปรยเติบโตเติบโตเป็นสาวที่มีรูปร่างลักษณะงดงามไม่แพ้ใครในบริเวณบ้านใกล้เรือนเคียง พ่อแม่ทะนุถนอมยิ่งกว่าสิ่งใดๆ และเนื่องด้วยครอบครัวของทองโปรยมีฐานะมั่งคั่งยิ่งกว่าใครๆ ทองโปรยจึงมิได้เคยถูกดินฟ้าอากาศ หรือความจำเป็นที่ต้องจะทำงานตามธรรมชาติ ของเด็กสาววัยรุ่นให้เปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลงไปด้วยความประคบประหงมด้วยการเอาใจ และด้วยความหวงแหนของบิดามารดา ทองโปรยก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลว่าเป็นคนงามคนหนึ่งที่น่าสนใจ และนอกจากรูปสมบัติแล้วทองโปรยก็ยังได้ชื่อว่าประกอบไปด้วยทรัพย์สมบัติ เป็นลูกสาวรักของเศรษฐี แต่เพียงสมบัติทั้งสองประการนี้ ทองโปรยก็น่าจะเป็นที่พึงปราถนา ของชายหนุ่มที่ยังเป็นโสดอีกเป็นจำนวนมาก แต่ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงทองโปรยในด้านที่จะไปติดพันผูกสมัครรักใคร่ แล้วสู่ขอมาเป็นภรรยา ก็จะต้องมีใครอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยว่า
       “อย่างเราๆ จะมีหน้าเลี้ยงดูเขาอย่างไรไหว พ่อแม่ทองโปรยเขาไม่ได้เลี้ยงดูเหมือนลูกคนอื่น แต่เขาตามใจกันทุกอย่างมาแต่เด็กๆ ไม่เคยดุไม่เคยว่า อยากได้อะไรเขาก็หาให้ งานการเขาก็ไม่เคยทำ ชั้นแต่จะหุงข้าวต้มแกงเขาก็ทำไม่เป็น เพราะบ้านเขาเป็นเศรษฐีมีเงินไว้จ้างคนไว้ใช้คนอย่างเราๆ หากมีเมียก็ต้องช่วยกันทำมาหากิน มีเมียไว้นั่งกินนอนกินต้องคอยตามใจให้เหมือนพ่อแม่เขา ก็เท่ากับไปหานายมาไว้ในบ้าน ใครจะไปเลี้ยงเขาไหว”
       คำพูดนี้ทำให้เจ้าหนุ่มทั้งหลายที่ต้องการภรรยามาร่วมชีวิตและร่วมการงาน อถอยไปตามกัน ฉะนั้นถึงแม้ว่าทองโปรยจะ ชแตกเนื้อสาวขึ้นมา ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครสนใจ และม่เคยมีผู้ใหญ่ที่บ้านไหนในละแวกนั้น หมายตาเอาไว้เพื่อที่จะสู่ขอให้แก่บุตรชายของตน เพราะเห็นว่าทองโปรยไม่คุ้นเคยแก่การเลี้ยงดูเอาใจที่คุ้นเคยกว่าฐานะ เกินความเป็นอยู่ของตน แต่ทองโปรยไม่เคยได้สนใจในเรื่องเหล่านี้ เพราะถึงแม้ความต้องการของทองโปรยจะได้เปลี่ยนไปตามวัย แต่ความต้องการในเรื่องความรัก และเรื่องคู่ครองก็ยังมิได้เกิดขึ้น ทางฝ่ายบิดามารดานั้นเล่า ก็ได้วางแผนสำหรับชีวิตของทองโปรยไว้เป็นอย่างอื่น อากให้ทองโปรยได้มีการศึกษาสูงกว่าตน อยากให้ได้มีชีวิตที่สูงกว่าตน เมื่อบิดาของทองโปรยมีลูกพี่ลูน้อง เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ทองโปรยก็ถูกส่งตัวมาอยู่ด้วยเพื่อให้ได้เล่าเรียนต่อ และให้ได้เห็นชีวิตที่รุ่งเรือง ได้เข้าสังคมกับคนที่มีหน้ามีตา และเพื่อฝึกหัดกิริยามารยาทให้เป็นไปตามความนิยมที่มีอยู่ในสังคมเช่นนั้น
       ชีวิตในกรุงเทพมได้ทำให้ทองโปรตื่นเต้นหรือลุ่มหลงไปอย่างที่พึงจะเป็น เพราะตั้งแต่อ่านหนังสือแตกและพอจะมีความสนใจในโลกรอบๆ ตัว ทองโปรยก็ใช้เวลาว่างทั้งหมด ของลูกเศรษฐีที่ไม่ต้องการทำการงานอ่านหนังสือเล่น และนิตยสารต่างๆ ที่ถูกส่งไปขายจากกรุงเทพ ซึ่งก็ต้องแน่นอนที่กนังสทชือเหล่านี้จำนวนมากจะต้องพูดถึงกรุงเทพ ทำให้ทองโปรยรู้จักกรุงเทพ ดีเสียกว่าใครๆในละแวกนั้น ทองโปรยวาดภาพกรุงเทพและบรรยากาศแห่งกรุงเทพ ไว้ในใจและแม้เมิ่ชอก่อนจะมากรุงเทพ ทองโปรยก็ปฎิบัติตนตามแบบสาวชาวกรุงเทพอยู่แล้ว ตามที่ได้ศึกษาเอาจากหนังสือต่างๆ และจากคนกรุงเทพที่ผ่าไปมาและที่ทองโปรยได้รู้จักเมื่อมาอยู่ในกรุงเทพ ทองโปรยจึงเห็นกรุงเทพ เป็นของธรรมดาที่สุด และบางครั้งก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เพราะกรุงเทพตัวจริงนั้น ดูขาดความหรูหราโอ่อ่ากว่ากรุงเทพที่ทองโปรยได้วาดภาพไว้ในใจ แต่ในข้อนี้ทองโปรยก็มิได้เห็นความสำคัญ เพราะไม่ว่าทองโปรยจะต้องการสิ่งใดในกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอางตลอดจนเงินใช้สอย เที่ยวเตร่เพียงแต่จะหยิบกระดาษเขียนจดหมายส่งไปทางบ้าน พ่อแม่ก็จะหาเงินส่งมาให้ในเที่ยวเมล์หน้า มิได้เคยให้ทองโปรยต้องเตือนเลย
       ด้วยอุปกรณ์สำคัญที่จะใช้ในชีวิตได้ตามใจและอย่างอิสระคือเงินทองโปรยก็ใช้ชีวิตในกรุงเทพ นั้นไปโดยไม่รู้สึกถึงคุณค่าอันแท้จริงและก็เป็นธรรมดาของคนที่ใช้ชีวิตเช่นนั้น ที่จะต้องรู้สึกว่าชีวิตเป็นของจืดชืดน่าเบื่อหน่ายไปโดยเร็ว ชีวิตในกรุงแทนที่จะมีความหมายสำหรับทองโปรย กลับกลายเป็นชีวิตที่จือชือไม่มีรสชาติ ทุกสิ่งที่เคยได้ยินฟังว่ามีอยู่ในกรุงเทพ เป็นต้นว่าหนังละคร ร้านขายของ งานออกร้านานสังคม มองโปรยก็รีบฉวยมาให้กับตน ประกอบกับที่บ้านญาติที่มาอยู่ด้วย มีบุตรหลานรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคน คนเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนกิน เป็นเพื่อนใช้เงิน แต่ภายในเวลาไม่นาน ของที่ใหม่เลห่านั้นก็กลับเป็นของเคยชินหมดความสนใจต่อไป ทองโปรยเริ่มมองกรุงเทพด้วยความระอาเห็นว่าไร้สาระและไร้ความหมาย วิชาความรู้ที่ญาติพี่น้อง แนะนำให้เรียน เป็นต้นว่า การเรือน วิชาตัดเสื้อ ก็ไม่มีอิทธิพลผูกพันหัวใจของทองโปรให้เกิดความสนใจได้ เพราะทองโปรยมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องเรียน ทองโปรยจะเรียนการเรือนไปทำไม เมื่อมีคนที่จะทำให้จะเรียนตัดเสื้อไปทำไม เมื่อมีเงินพอที่จะจ้างเขาตัดดีกว่า ทองโปรยเริ่มจะมีความต้องการอันแปลกประหลาดเกิดขึ้น คือการใช้ชีวิตที่ต้องไม่มีความเบื่อหน่าย ชีวิตที่น่าสนใจมีสิ่งที่น่าอภิรมย์ยิ่งกว่าที่ได้เคยพบมาแล้วเมื่อก่อนจะมาจากบ้าน ทองโปรยเคยนึกว่าจะหาชีวิตเช่นนั้นได้ในกรุงเทพ แต่เมื่อได้มาใช้ชีวิตในกรุงเทพเข้าใจทองโปรยก็รู้ว่าหาได้เป็นดังที่ตนได้ตั้งใจไว้ไม่ เพราะชีวิตในกรุงเทพหรือชีวิตที่บ้านก็น่าเบื่อหน่ายเช่นเดียวกัน ทองโปรยยังอ่อนต่อชีวิตเกินไปที่จะรู้ว่าทุกข์สุขตามธรรมดาสามัญนั้นเป็นเพียงของเปรียบเทียบ ความสุขที่ได้จนพร่ำเพรื่อ การถูกตามใจโดยปราศจากการยับยั้ง ความที่นึกอยากได้สิ่งใดก็ต้องได้เสมอไปนั้น ในที่สุดจะทำให้ชีวิตเปล่าเปลี่ยวปราศจากความหมาย ความหวังต่างๆของผู้ที่ขาดแคลนหรืออาภัพนั้นยังมีวันที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้แต่ความเบื่อหน่ายของผู้ที่สมบูรณ์นั้นยากที่จะแก้ให้หาย ทองโปรยหมดปัญญาที่จะทำอะไรในกรุงเทพได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจกลับบ้านและพอตัดสินใจอย่างนั้น ทองโปรยก็เก็บข้าวของและไปลาญาติพี่น้อง และออกเดินทางกลับบ้านโดยทางเรือ โดยมิยอมฟังเสียงทัดทานใดๆ ทองโปรยไม่รู้ว่าญาติผู้ใหญ่ทางกรุงเทพ ได้มีหนังสือไปถึงทางบิดามารดาของตนในภายหลัง ตำหนิติเตียนอย่างหนักในข้อที่เอาแต่ใจตัว ไม่เชื่อฟังคำพูดของผู้ใหญ่ แต่บิดามารดาทองโปรยมิได้ว่ากล่าวทองโปรยแต่อย่างไรเพราะได้ตามใจทองโปรยจนเป็นนิสัยเสียแล้ว
       ในตอนที่เดินทางกลับจากกรุงเทพนั่นเอง ทองโปรยก็รู้สึกตัวว่าได้รับความสนใจจากชายหนุ่มที่นั่งติดๆกันในเรือเป็นอย่างมากเขาเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับทองโปรยหากจะแก่กว่าทองโปรยก็คงไม่เกินกว่าสามปี ชายหนุ่มคนนั้นมีหน้าตาคมสัน กิริยา และ วิธีแต่งกายสุภาพเรียบร้อย จากนามบัตรของเขาที่ติดอยู่กับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆตัวทองโปรยก็รู้ว่าเขาชื่อสันต์และนามบัตรนั้นบอกด้วยว่าเขาเป็นปลัดอำเภอในละแวกบ้านของทองโปรยซึ่งทองโปรยสันนิฐานได้ว่าคงจะเพิ่งเดินทางไปรับตำแหน่งครั้งแรกในคราวนี้ เพราะท่าทางเขาส่อให้เห็นเป็นเช่นนั้น ประกอบกับทองโปรยมิได้เคยเห็นหน้าเขาในละแวกใหล้บ้านมาก่อนเลย ระหว่างที่เรื่อแล่นไกลออกไปจากกรุงเทพเรื่อยๆ สันต์ก็ชำเลืองมองดูทองโปรยบ่อยๆ และเมื่อทองโปรยมิได้แสดงกิริยาว่ารังเกียจที่จะรู้จักด้ว สันต์ก็เรื่อมแนะนำตัวเองเมื่อก่อนถึงสีกุก และเมื่อเรือนั้นเลี้ยวเข้าแควั้นแล่นผ่านท้องทุ่ไป สันต์ก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเขาเองให้ทองโปรยฟัง เขาบอกทองโปรยว่าเขาเป็นคนกรุงเทพครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ออกบ้านนอก แต่ก็จำใจต้องมาเพราะเป็นการเลื่อนฐานะทางราชการให้แก่ตัวเขาเอง ทั้งสองคนนั่งคุยกันมาในเรือด้วเรื่องต่างๆหลายอย่าง และไม่ว่าทองโปรยจะแสดงความเห็นออกมาด้วยเรื่องอะไรสันต์ก็คล้อยตามความเห็นด้วยทุกครั้งไป เมื่อเรือถึงบ้านแพน ทองโปรยก็รู้ตัวว่าตนติองการสันต์ไว้เป็นคู่ครอง ความรู้สึกของทองโปรยนั้นจะว่าเป็นความรักเมื่อแรกเห็นก็มิใช่โดยแน่นอน ทองโปรยรู้เพียงว่าต้องการสันต์มาเป็นของตน เหมือนกับที่ได้เคยต้องการสิ่งอื่นๆ และได้เป็น กรรมสิทธิ์มาแล้วในชีวิต เมื่อรูปร่างหน้าตาตลอดจนวิธีการพูดของสันต์เรียบร้อยต้องใจ ทองโปรก็ต้องการสันต์เพียงด้วยเหตุเท่านั้น ทองโปรยหารู้ไม่ว่าในขณะเดียวกันนั้น สันต์ก็หลงรักตัวเสียงอมแงมด้วยความรักที่เพียงแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆไม่มีวันจะลดลง
       เมื่อความต้องการของทองโปรยเป็นอยู่อย่างนี้ และเมื่อสันต์ก็ตกหลุมรักทองโปรยเมื่อแต่แรกพบ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องไปมาหาสู่บ่อยๆ และในระยะเวลาเจ็ดเดือนต่อมา พ่อแม่ของทองโปรย ผู้ซึ่งไม่เคยขัดใจลูกสาวก็จัดการแต่งงานให้อย่างออกหน้าออกตา ปลูกเรือนอย่างทันสมัยให้ลูกสาวอยู่กับสามีใกล้ๆบ้าน ประดับประดาด้วเครื่องตกแต่งมีค่าต่างๆ ตามแต่ลูกสาวจะพึงใจเรียก พรอมกับมอบทรัพย์สมบัติให้เป็นทุนอย่างพร้อมมูล โดยมิได้เรียกร้องเอาสิ่งใดตอบแทนจากเจ้าบ่าวเลย
        ขวบปีแรกแห่งการสมรส ทองโปรยรู้ตัวดีว่ามีความสุขเสียนี่กระไร ชีวิตที่เคยขาดวัตถุแห่งความสนใจ ความปรารถนานั้นเปลี่ยนเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ มีสันต์สามีผู้เป็นวัตถุนั้นๆ ทองโปรยมิได้ต้องการอะไรอีกนอกจากสันต์ และสันต์ก็มอบตัวให้แก่ทองโปรยโดยสิ้นเชิง ถาหากพ่อแม่เคยตามใจมาจนลือชื่อ สันต์ก็สันต์ก็ตามใจภรรยาเขาไปมากกว่านั้นหลายสิบหลายร้อยเท่า ไม่มีสิ่งใดที่ทองโปรยต้องการแล้วเขาไม่หามาให้ไม่มีความประสงค์ใดของทองโปรยที่เขาไม่ปฏบัติตามแม้แต่กิจการเล็กๆน้อยๆ ภายในบ้านซึ่งที่ถูกทองโปรยควรจะเป็นผู้ทำให้แก่เขา เขากลับทำให้แก่ทองโปรยเสียทุกอย่างไปเหมือนกับว่าเขาเป็นคนใช้อีกคนหนึ่ง ในจำนวนคนใช้สองคนที่ทองโปรยจ้างไว้ปรนนิบัติตน คนทั้งปวงเมื่อได้เห็นชีวิตสมรสของทองโปรยก็ได้แต่พากันพูดว่าทองโปรยมีโชคชีวิตอันดีเลิศ และทองโปรยก็คิดเช่นนั้นจนอกไป หนึ่งต่อมาการสมรสของทองโปรยในขั้นแรกเป็นไปโดยราบรื่นปราศจากอุปสรรค์ ด้วยเหตุนี้ทองโปรยจึงเริ่มเบื่อชีวิตสมรสอย่างที่เคยเบื่อสิ่งอื่นๆมาแล้ว การที่สามีคอยตามใจคอยเอาใจไปทุกฝีก้าวนั้นก็ดีอยู่ ถ้าหากภาวะเช่นนี้เป้นของใหม่ แต่ชีวิตสมรสราบรื่นนั้นเป็นไปโดยปราศจากอุปสรรค์เรื่อยม สันต์เองก็ไม่มีท่าว่าจะเปลี่ยนไปจากเดิม ทองโปรยเองยิ่งดูชีวิตเช่นนั้นไปแล้วก็เกิดความเบื่อหน่าย และวามเบื่อหน่ายนั้นเมื่อได้เริ่มขึ้นแล้วก็ยิ่งดูจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะชีวิตของทองโปรยแต่ละวันเหมือนกับชีวิตของนกในกรงที่มีผู้คอยดูแลอย่างดี ไม่มีความขาดแคลน ไม่มีภัยอันตราย ไม่มีความทุกข์ ไม่มีการเสี่ยง ไม่มีความหวัง ไม่มีความวิตก ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสมบูรณ์อย่างที่เคยแล้วมาในชีวิต ทองโปรยปรารถนาอะไรต้องได้ บอกให้สันต์ทำในสิ่งใดสันต์ก็จะทำชีวิตกลายเป็นของจืดชืดปราศจากรสชาติอีกครั้งหนึ่งเพราะไม่เคยมีความทุกข์ความกังวลเข้ามาช่วยให้ชีวิตนั้นเจิดจ้าในยามมีสุขและปราศจากกังวล
         ทองโปรยมักจะใช้เวลาส่วนมากนั่งอยู่หน้าเรือน ทอดสายไปตามลำน้ำดุเรือแพขึ้นล่อง ผัวเมียบางคู่ที่ยากจนพายเรือผ่านมาด้วยใบหน้าที่เกรียมคล้ำไปด้วยแสงแดด เสื้อผ้าของเขาขาดปุปะ แต่ใบหน้าของเขาถึงจะมีริ้วรองแห่งความตรากตรำก็ยังมีแววแห่งความสุขที่ทองโปรยมองเห็นได้ แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาได้ที่ไหน บางทีผัวเมียที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือบรรทุกสินค้ามาจอดนอนอยู่ริมตลิ่งใกล้ๆ บ้าน บางครั้งทองโปรยได้ยินเสียงเขาทะเลาะทุบตีกัน ทำให้ทองโปรยคิดว่าการขัดใจกันการผิดใจกันระหว่างคนรักเป็นครั้งคราวนั้นเหมือนเครื่องเทศหรือเครื่องเทศอย่างฉุนเฉียวที่ปรุงชีวิตให้หายปร่า แต่งทองโปรยก็มิได้เคยปรุงชีวิตของตนเช่นนั้นได้ เพราะถึงแม้ทองโปรยจะทำจริตมารยา หาเหตุทะเลาะกับสามีสักปานใด สันต์ผู้สามีก็มิเคยได้ถือสาหาเรื่อง เป็นฝ่ายงอนง้อคืนดีด้วยก่อนเสมอจนบางครั้งทองดปรบต้องร้องให้อย่างขมขื่น ด้วยความเหงาและความชืดแห่งชีวิตของตน
         สันต์เป็นคนมีเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่บ้าง ส่วนมากก็เป็นเพื่อนนักเรียนหรือนักศึกษาร่วมสำนักงานกัน แต่ก่อนเพื่อนของสันต์ทุกคนเป็นคนหนุ่มวัยฉกรรจ์ ส่วนมากก็ยังไม่มีครอบครัว เวลาเพื่อนคนใดผ่านมาทางนั้นก็มักจะแวะมาค้างที่บ้าน เป็นเหคุให้ทองโปรยรู้จักสนิทสนมไปด้วย และเมื่อทองโปรยมีรูปโฉมงดงามก็เป็นธรรมดาที่คนหนุ่มบางคนจะอดมองดูด้วยคนสนใจมิได้ แต่เพื่อนของสันต์บางคนที่มาค้างนานวันทองโปรยก็ทอดสนิทผิดปกติเพื่อทำให้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงน่าสนใจขึ้น แต่แทนที่สันต์จะหึงหวงหรือกีดกันสันต์กลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น บางครั้งก็ทำทีเหมือนกับจะเป็นใจให้ทองโปรยได้คบหากับชายอื่น ความใจดีของสันต์นั้นยิ่งทำให้ทองโปรยเคียดแค้น ทำให้สามีของตนหมดความสำคัญเหมือนกับสิ่งประดับบ้านที่เก่าแก่ล้าสมัย ควรจะรุไปไว้ที่อื่น แต่งเมื่อสันต์มิใช่สรรพพัสดุ แต่เป็นคนที่ได้ชื่อว่าสามี ทองโปรยก็ต้องอดทนอยู่ไปโดยปราศจากความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
          ชีวิตของทองโปรย เป็นชีวิตที่คนส่วนมากอาจปรารถนาเพราะทุกอย่างเป็นไปตามประสงค์ของผู้ครองชีวิต ชีวิตไม่เคยมีทุกข์ ไม่เคยมีความปรารถนาเร่าร้อนใดๆ และต้องเป็นชีวิตปราศจากความหมายไร้สาระ เพราะความที่อยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่างนั้นเอง ทองโปรยเริ่มต้องการสิ่งที่ไม่น่าเบื่อเป็นไปได้ คือสามต้องการให้สันต์ขัดใจตน เอาเปรียบตน อย่างที่เคยอ่านในหนังสือนวนิยายต่างๆ ว่าผู้ชายบางคนเป็นเช่นนั้น แต่สันต์ก็ไม่ทำ เพราะเป็นการฝืนนิสัยที่ได้เคยตามใจทองงโปรยมาเสียแล้วแต่แรก
         ปีที่สามของชีวิตสมรส ทองโปรยก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะถึงสันต์และญาติพี่น้องจะหาหมอมารักษามิรู้จักกี่หมอ อาการของทองโปรยก็มิได้ดีขึ้น เพราะชีวิตของทองโปรยไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยวให้ทรงอยู่ได้ต่อไปความทุกข์บ้างสุขบ้างที่ชีวิตทั้งปวงได้รับนั้น มิใช่ของทองโปรยที่มีพร้อมแล้วทุกอย่าง ที่คนทั้งปวงเห็นว่าเป็นสิ่งพึงปรารถนา ทองโปรยมีเงิน มีบ้านอยู่ มีสามีที่เอาใจ ทุกคนจะต้องถามว่าทองโปรยต้องการอะไรอีกทองโปรยก็เคยตั้งปัญหานั้นถามแก่ตัวเองมิ แต่แล้วก็ตอบไม่ได้ และเมื่อทองโปรยนั้นตอบปัญหานั้นให้แก่ตัวเองมิได้ ทองโปรยก็หมดกำลังใจที่จะอยู่เฉยๆ ในที่สุดสันต์ก็ตัดสินใจลางานพาภรรยามารักษาตัวที่กรุงเทพฯ นึกว่าหากทองโปรยได้เปลี่ยนสถานที่ได้เที่ยวเตร่เสียบ้าง อาการก็คงจะดีขึ้นไปเองทองโปรยนั่งนิ่งๆมาในเรือกับสันต์ เมื่อเรือออกจากบ้านแทนในยมค่ำ ทองโปรยปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามเสียงฝนเสียงพายุที่กระหน่ำอยู่รอบตัวเสียงสันต์พูดอะไรเบาๆ อยู่ข้างๆ แต่ทองโปรยก็มิได้สนใจ เพราะสันต์คงจะถามว่าต้องการอะไรบ้าง เพื่อจะได้จัดหามาให้อย่างเคย และทองโปรยก็เบื่อเสียทุกอย่าง ไม่ต้องการอะไรอีก
       ทองโปรยจะมีชีวิตที่ว่างเปล่าอีกกี่สิบปี ก็ไม่มีใครคาดคะเนได้ ถ้าหากเรือลำนี้มิได้ล่มลง ทองโปรยกำลังเหม่อมองไปข้างหน้าเหมือนกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อเรือนั่นเอียงคว่ำ แบะเมือตัวทองโปรยกระทบกับผิวน้ำ โดยที่สันต์ถูกความแรงเหวี่ยงไปอีกทางหนึ่งทองโปรยก็อปล่อยให้ตัวจมดิ่งหายไป โดยมิได้กระดิกเคลื่อนไหวเพื่อช่วยชีวิตแม้แต่น้อยเมื่อสันต์ได้เห็นใบหน้าเมียของเขาที่ปราศจากชีวิตในยามเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ช่วยกันงมศพของทองโปรยขึ้นมาจากท้องเรือ เขาก็สังเกตว่าทองโปรยหลับตายิ้มน้อยๆ เหมือนกับที่ทองโปรยมักจะทำทุกครั้ง ในเมื่อเข้าหาสิ่งที่ทองโปรยต้องการมาได้ หรือทำอะไรให้ถูกกับความประสงค์ของทองโปรย

ปล.[สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาข้อมูลหรือต้องการเนื้อหานำไปทำเป็นรายงานก็สามารถคัดลอกไปได้เลยนะครับ เพราะเนื้อหาหลายชีวิตในเน็ตหายากมาก เนื้อหานี้พี่ลิงพิมเองผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะครับ ^^]
@ลิงสวรรค์

 
 

จากคุณ : พี่ลิงสวรรค์
เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 55 19:27:23




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com