Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< บัลลังก์ลูกไม้ ::..[46]>> vote ติดต่อทีมงาน

-สี่สิบหก-

“ม...มาโด...!”

ชั้นต้น ความตกพระทัยจี้ให้วรร่างน้อยถึงกับสะดุ้ง ต่อเมื่อทรงหันกลับมาพบว่า เจ้าของกระชากกำลังนอนเปิดตาจ้องมา ความดีพระทัยวาดรอยสรวล และกลัดน้ำเพชรลงในเนื้อมณีสีน้ำตาลเกือบดำทั้งคู่นั้น

“มาโด! ตื่นแล้วเหรอ?!”

พระสุรเสียงตื่นเต้น ขณะทรงวางหัตถ์ข้างที่ยังอิสระ ลงบนหลังมือค่อนข้างกร้านของอีกฝ่าย มิได้สนพระทัยเลยว่าเจ้าของมือที่คงกำรอบหัตถ์อีกข้างนั้น บีบแน่นจนทรงรู้สึกเจ็บ

“เป็นยังไงบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนมั้ย? รู้รึเปล่า...เจ้าทำเราตกอกตกใจแทบแย่?!”

นอกจากออกปุจฉาเหยียดยาว ยังทรงโน้มองค์ลงมาใกล้ผู้ที่คงทอดร่างสงบนิ่ง

แสงช่วงใบหน้าค่อนข้างน้อย ผู้ก้มทอดพระเนตรจึงไม่อาจทรงสังเกตรอยบางอย่างในดวงตาคู่นั้นได้ถนัด

...เจ็บใจ ทั้งคุมแค้น!...

“ว่าไงจ๊ะ? ยังเหนื่อยอยู่เหรอ...ไม่เห็นพูดอะไรซักคำ?”

กระแสสุรเสียงแจ่มใส แจ้งความพิสุทธิ์ในพระทัย อีกช่วงวงพักตร์ที่ต้องแสงสว่างมากกว่า คนในความมืดย่อมแลยินดีจริงใจได้ชัด

นั่น...ดูจะทำให้กำลังจิตแข็งกร้าวของเจ้าของมือ กลับทุเลาแรงลง

โดยผู้ถูกกุมหัตถ์ไม่ทันเอะพระทัย เจ้าของมือกุมกลับคลายเหลือคล้ายปลอกหลวม เสียงตอบแรกเบา สำเนียงป่าค่อนข้างห้วนอยู่แล้ว พรางให้ผู้ฟังไม่ทรงสำเหนียกถึงความห้วนตวัดมากขึ้นผิดจากปกติ

“เรา...เหนื่อย...แต่ดีขึ้น...”

“นั่นสิ แต่แปลกดี...เมื่อเช้าไม่เป็นยังไง แต่ตอนนี้มือไม้กลับรุมๆ นะ มียาบ้างมั้ย? สูตรยาก็ได้ เดี๋ยวจะพยายามผสมมาบรรเทา...”

อีกแล้ว...ความกระตือรือร้นเต็มไปด้วยน้ำใจ...

หัวคิ้วผู้ถูกถามมุ่นหากันหนักขึ้น แววตาเพิ่มความลังเล

“ไม่ต้องหรอก...” ประโยคต่อมาเหมือนพูดยาก

“...แค่อยาก...คุย...”

“จริงเหรอ? ดีเลย!”

คนถูกกุมข้อหัตถ์ ทรงหันไปลากเก้าอี้จากใต้โต๊ะมาชิด การจัดแจงฉุดให้หัตถ์องค์เองหลุดออกมาโดยง่าย...และอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด จนเจ้าของกุมมือต้องเม้มปากระงับบางความรู้สึก ในตายิ่งเปี่ยมแววครุ่นคิด ครั้นคู่สนทนาทรงลดวรกายประทับนั่งบนเก้าอี้ไม่มีพนักนั้นแล้ว

“เดสิทรี...” คำเริ่มใหม่ยังเบา แต่ค่อนข้างหนักแน่น...โดยเฉพาะประโยคถัดมา

“...พูดความจริงกันได้มั้ย?”

“หืมม์?”

ผู้ทอดพระเนตรทุกสิ่งในแง่ดี ถึงอย่างไรก็กลับไม่ทรงรู้สึกว่ากำลังถูกจี้พระทัย เพราะ...แค่เรื่องเล็กน้อยเกี่ยวกับ ‘สถานะ’ ...ซึ่งไม่น่านำพาไปเรื่องใหญ่อื่นๆ ได้ นอกจากนั้นก็ล้วนรับสั่งตามน้ำใสพระทัยจริง

“เจ้ากับเนธาน...เป็นอะไรกันแน่?” การพูดเร่งจนกลายรวบคำ ราวกับต้องรีบก่อนจะหมดความกล้า

“ก็...เป็นสามีภรรยาไง”

รับสั่งติดจะทรงเขินนิดๆ ด้วยซ้ำ ทำให้ยังไงก็ดูจะห่างไกลจากการมดเท็จ

ก็...ผู้รับสั่งไม่ทรงรู้สึกว่าองค์เองกำลังมดเท็จ ในเมื่อทรงผ่านพิธีวิวาห์มาแล้วจริงๆ นี่

คงทรงทราบว่าผู้โดยเสด็จเป็นเสีย ‘อย่างนี้’ ล่ะมั้ง ฝ่าบาทเลยต้องทรง ‘สร้างเหตุการณ์’ ให้สมจริงเตรียมเผื่อแต่ต้น!

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอาจจะแต่งงาน ‘จริง’ แต่ในความจริงก็ยังมีสิ่ง...ปลอมๆ อยู่บ้างเหมือนกัน จึงทรงขจัดความตะขิดตะขวงชวนรู้สึกผิดในพระทัยนั้นโดยต่อ

“แต่ความจริง...”

“ความจริงเป็นยังไง?!” คนเค้นถาม แทบจะทะลึ่งลุกด้วยความใคร่รู้

“เรา...” พระสุรเสียงทอดอ่อยๆ คนฟังก็จับตามองทุกรายละเอียดบนวงพักตร์จนไม่กะพริบ

“เราไม่ได้เต็มใจแต่งหรอก...แบบว่า...จับพลัดจับผลูน่ะ”

“ถูกขู่บังคับ?”

“ไม่...ไม่ถึงกับอย่างนั้น...”

มาโดถามอย่างนี้ คงเพราะเห็นฝ่าบาททรงชอบหาเรื่องแกล้งหม่อมฉันแหละเห็นมั้ย?!

“แค่...รวบรัดตัดความ...”

“เนธานใช้กำลัง?!”

“ม่...ไม่...”

เอ...หรือจะใช่? ก็คืนนั้น...กับคืนที่ผ่าน รู้สึกเหมือนจะทรงออกพระกำลังกอดเสียแน่นจนคนถูกกอดแทบหายพระทัยขัด

“มัน...ต้องรวบรัดเพราะความจำเป็น และเราก็เข้าใจ...”

การ...จับผิด...คงอีกครู่แล้วค่อยราไป พร้อมกับพิษร้ายจากตะกอนปริศนาบางประการ

ลมหายใจของมาโดค่อยสงบลง ทั้งที่ยังมีไออุ่นพองระอุ เจ้าตัวปล่อยน้ำหนักเอนหลัง ความตั้งใจคลายแล้ว แต่ความติดใจยังไม่จาง ทั้งนี้ บางเรื่องยังเร้าให้ตาเคยพราว กลับขุ่นคิด

ความเงียบก่อกำแพงระหว่างกันชั่วอึดใจ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างหลบสู่เงื้อมเงาแห่งคำนึงตน จวบผู้เป็นอาคันตุกะ ทรงพยายามลบเรื่องราวเกี่ยวกับคู่ครองได้พอเลือนๆ จึงทรงเป็นฝ่ายทลายกำแพงลงด้วยคำถาม

“มาโด...ขอถามอะไรบ้างได้มั้ย?”

สายตามองเหม่อ รวบรวมเป็นจุดเดียว เสมาจบยังพระเนตรดวงจรัส...ถือแทนการตอบรับ

“วันนี้ถอดเสื้อผ้าเช็ดตัวให้...แล้วได้เห็น...” ปลายถ้อยทอดเงียบลงอย่างหมดหาญ เนื่อง ‘สิ่งนั้น’ อาจเป็นข้อควรอ่อนไหวของคนเป็นเจ้าของ

และ...น่าจะจริงตามดำริ...ผู้ทรงยอมให้องค์เองหลุดคำถามไป ตกพระทัย อีกอดโทษองค์เองมิได้ ในเมื่ออีกฝ่าย...ทั้งที่อยู่ในแสงสว่างน้อยกว่าคำสลัว ยังเห็นพรายน้ำแล่นหล่อระยับขึ้นในหน่วยตา

“รอยแผลเป็น”

หลังจากกลืนกล้ำความรู้สึกลงไป ผู้เป็นเจ้าของกลับเอ่ยออกมาเอง...อย่างไม่มีเค้าของประโยคคำถามด้วยซ้ำ เนื่องจากย่อมรู้ดีว่ามีอยู่เรื่องเดียว...

รอยแผลเป็น...เส้นเนื้อนูนเป็นแนว ทาบพันแทบทั่วหลังไหล่และต้นแขน...

ตอนที่ทอดพระเนตร...เจ้าหญิงเพอร์นีเลียยังตกพระทัยถึงห่อโอษฐ์ แทบไม่ทรงกล้าแตะเนื้อผ้าหมาดน้ำซับผิวเนื้อบริเวณเหล่านั้น ต่อเมื่อแน่พระทัยว่าเป็นแค่รอยแผลเป็น...เจ้าของแผลคงไม่เจ็บ จึงทรงยอมลูบแผ่นผ้าเพียงผะแผ่ว

“เรา...ขอโทษ...ไม่ควรพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเลย...”

“ไม่เป็นไร” เสียงตอบต่อมา เข้มแข็งขึ้น

“เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ไม่มีใครพูดถึง ก็ไม่ใช่ตัวเราเองจะไม่หวนคิดถึง...ทั้งที่ไม่อยากคิด”

“ไม่ต้องเล่าก็ได้ถ้าไม่สบายใจ...” รับสั่งอย่างทรงห่วงความรู้สึกอีกฝ่ายจริงใจ ใช่เพียงมรรยาท

“ไม่หรอก ข้าควรดีใจด้วยซ้ำ...ก็มันผ่านพ้นไปแล้วนี่นา...จะไม่มีวันย้อนกลับมาอีกแล้ว...” ประโยคท้ายคล้ายปลอบตัวเองมากกว่า

“สมัยที่ข้ายังเยาว์ โมลาสโม่ของเราสวยงาม...สุขสงบ สวยงามอย่างแสนบริสุทธิ์...” สายตาคนพูดเหม่อมองออกไป ราวในความมืดของผืนฟ้าโน้น แฝงภาพจำเก่าก่อนในกลีบเมฆ

“ทั้งหมู่บ้านมีแต่คนของเรา ตั้งแต่เช้าผู้ชายโมลาสโม่จะออกไปทำงานในไร่นา ขณะที่ผู้หญิงจะเลี้ยงเด็กและทำงานต่างๆ อยู่ในบ้าน กลิ่นอาหารจะคละคลุ้ง ผืนผ้าเย็บปักเสร็จใหม่ จะถูกซักตากบนราวสะบัดไสว กับภาชนะจักสานเคลือบชันวางตากรอแห้ง...นั่นคือการแข่งขันอย่างมากที่สุดของพวกเรา”

รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนดวงหน้ากลม

“เดสิทรี...” เสียงเรียกยังห้วนตามสำเนียง ทว่าครานี้มีเค้าอ่อนหวาน

“เจ้าพอจะมีเชื้อสาย แต่คงอยู่ในที่แสนไกล เจ้ารู้หรือไม่...ผ้าของเราเป็นที่เลื่องลือ โดยเฉพาะไปถึงเมืองบนโน้น...อันเป็นที่เหน็บหนาวอย่างยิ่ง...”

การพยักเพยิดน่าจะหมายถึงเมือง...อันมียอดหอคอยคู่ไต่เทียบสู่ฟ้า

“เพราะว่าผ้าของโมลาสโม่ทั้งงาม ทั้งอบอุ่น...เราเย็บประกบกันจากสามชิ้น ชิ้นบนและชิ้นล่างเป็นผ้าฝ้าย ส่วนชิ้นในเป็นพวกแผ่นใยให้ความบอุ่น ข้าน่ะ...เคยช่วยแม่ต่อปักเรียงรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ เป็นสีๆ ออกมาเป็นรูปคล้ายๆ ดอกไม้ในทุ่งหญ้าสำหรับชิ้นบนหน้า ใครๆ ต่างพากันชื่นชมความแปลกตา ก็ส่วนใหญ่...เขาทำเป็นรูปเรขาคณิตหลากๆ กันซะมาก แต่ข้าไม่ชอบความดื่น...”

เจ้าของเรื่องหยุดกลืนน้ำลาย ในตาเริ่มแต้มรอยเศร้าแต่น้อย

“ความโดดเด่นนี่ล่ะ หวนกลับทำร้ายข้าเอง...”

“ทำไมเป็นอย่างนั้น?”

“ชายหนุ่มในโมลาสโม่...เวลาเลือกคู่ เขาจะดูกันจากผ้าที่ตากไว้หน้าบ้าน ผืนไหนสวยกว่า แสดงว่าผู้หญิงที่ทำย่อมมีค่ามาก...”

“คงมีคนต่อสู้แย่งชิงเจ้ามากมาย?”

“ไม่!” คำปฏิเสธหนักแน่น

“ตอนนั้น...ในหมู่บ้านมีผู้ชายคนเดียว เก่งกล้า และเฉลียวฉลาดจนใครๆ ก็ไม่อาจต่อกร แข่งขันชนะกระทั่งท่านผู้นำเผ่า”

“เขาคือ...”

“เจราด...คนที่กลายเป็นสามีของข้า!”

โมลาสโม่เห็นความงามมิใช่ที่หน้าตา ทว่าฝีมือ การที่คนหนุ่มเช่นเจราด ออกล่าสัตว์ร้ายกลับมาโดยไม่เคยได้รับอันตราย ทั้งยังเป็นผู้ช่วยชีวิตเพื่อนฝูง และชาวบ้านรายอื่นหลายครั้ง มีผลผลิตจากงานในไร่สูงสุด เจ้าตัวจึงคือหนุ่ม ‘รูปงาม’ และน่าหมายปองที่สุดของเผ่า

กระนั้น คืนแรกของคนเป็นเจ้าสาว กลับส่อเค้ารางแห่งความอาดูรอัปยศ

“ความรักของเขาไม่ใช่ความอ่อนโยน หรืออ่อนหวาน อย่างที่ข้าเคยได้ยินมาคู่แต่งงานก่อนๆ พรรณนา สามีของข้าเอาแต่ใจตนจนถึงขั้น...ทำร้าย...!”

น้ำตารื้น ภาพตรงหน้ามัวพร่าราวจะเห็นเงาวาวแห่งคมมีดที่กลับซ้อนทับขึ้นมา มันค่อยลากกรีดลงบนเนื้อสาว โดยเจ้าของใบมีดมีแต่รอยแสยะยิ้มร่า หาได้แยแสเสียงอ้อนวอนขอความเมตตาจากมาโดเลยแม้แต่น้อย

“แรกๆ...ในอาภรณ์รุ่มร่ามอย่างโมลาสโม่ ทำให้ไม่มีใครมองเห็นรอยแผลที่เกิดแก่ข้า...เกิดซ้ำๆ ทุกคืน...ทุกคืน...โดยที่ข้าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง หรือร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้...”

การแต่งงานที่หมายถึงการแยกเรือน...เรือนที่มีฝ่ายชายเท่านั้นเป็นใหญ่ หญิงที่ดีไม่พึงแพร่งพรายเรื่องไม่งามของสามีตนต่อคนอื่น

“โดยเฉพาะ...ข้าอาย...ใครๆ คงนึกสมเพชแกมหัวร่อเยาะ...ผู้หญิงที่เคยมีแต่คนนิยมยกย่อง!”

สิ่งที่ต้องเก็บกดและอดทน กลับเริ่ม ‘เกินทน’ เพียงชั่วไม่นานต่อจากนั้น

“เริ่มมีคน ‘ข้างนอก’ ผ่านเข้ามาในโมลาสโม่มากขึ้น เจราดติดต่อกับพวกเขาได้ยังไงข้าไม่รู้ และ...ไม่กล้าให้คนอื่นๆ ล่วงรู้ กลัวจะถูกตำหนิ ถึงกับขับไล่ให้ออกไปจากหมู่บ้าน”

“ทำไมล่ะ? สมัยก่อนโมลาสโม่ยังเคยให้ความช่วยเหลือผู้ก่อตั้งอะแลมเบิร์กนี่นา?” คนที่ไม่ค่อยทรงทราบ หรือสนพระทัยในประวัติศาสตร์นัก ยังพอทรงรู้เรื่องนี้

“นั่นเป็นข้อยกเว้น...โมลาสโม่พึงให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่กรณีนี้...ไม่ใช่!”

เจราดฝ่าฝืนจารีตของชาวน้ำหลายประการ ชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าแข็งแรงที่สุด ทั้ง ‘ควรค่า’ ที่สุด กลับไม่เคยพอใจเพียงเท่านั้น...ความทรนง และการถือสันโดษอันนับเป็นเกียรติประการต้นๆ ของคนโมลาสโม่ ซึ่งดูจะมีอยู่น้อยเกินไปในตัวเจราด ทำให้เจ้าตัวยอม ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ แลกกับค่าตอบแทนและของกำนัล อันนำมาซึ่งความโอ่อ่า สะดวกสบาย อย่างที่ใครในหมู่บ้านไม่อาจเทียมหน้า

และหนึ่งในของกำนัลซึ่งเป็นที่โปรดปราน คือสิ่งต้องห้ามสำคัญของโมลาสโม่

“เหล้า! เขากินเหล้า! น้ำเมาที่พวกเราเกลียดชัง และไม่เคยปรากฏในหมู่บ้าน เพราะตามความเชื่อของเรา มันจะบันดาลความวิบัติ...อย่างที่เคยเกิดแก่คนในตำนานโมลาสโม่!”

นอกจากไม่กลัวเกรง ‘เรื่องเล่า’ ผู้เป็นสามีหรือจะเชื่อฟังคำปรามของภรรยา

“ทุกครั้งที่บอกเตือน เขาจะยิ่งทุบตี ทำร้ายข้า!”

มาโดไม่อาจทนเหตุการณ์เหล่านั้นต่อไปได้ หญิงสาวแอบบากหน้าไปหาเพื่อน หาพ่อแม่ แต่ผลสุดท้ายเหมือนกันหมด

“ไม่มีใครเชื่อ! ไม่มีใครอยากฟังด้วยซ้ำ! ทุกคนหาว่าข้าคงทะเลาะกับสามีตามธรรมดาแล้วปั้นแต่งเรื่อง ผู้หญิงโมลาสโม่มีหน้าที่ยอม...ยอมตลอดกาล!”

แต่มาโดไม่ยอม! ในเมื่อตระหนัก...นี่ไม่ใช่ขีดสุดท้าย ต่อไปเจราดจะทำกับตนได้ยิ่งกว่านี้!

มีเรื่องลับร้ายลงไปกว่าที่ไม่สามารถพูด มาโด ‘รู้’ และนั่นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาหลังหัก!

หญิงสาวตัดสินใจทำสิ่งร้ายแรง และคงเป็นตราบาปตลอดไปสำหรับสตรีโมลาสโม่

“ข้าหนี! ออกจากที่หมู่บ้าน ออกจากเมืองปิดที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่ามันคือแดนสวรรค์...สงบและปลอดภัย แต่...ไม่มีหรอก! ข้ารู้...เมืองนั้นจะไม่มีอยู่จริงอีกต่อไปแล้ว!”

ใช่...ก็เพราะ ‘ความรู้’ ...ความรู้นั้นนั่นเล่า!

“มาโด...” คำเรียกชื่อค่อนข้างสะท้าน แสดงถึงความสะเทือนพระทัยอย่างยิ่งเฉกกัน

“นั่นไม่ใช่ตราบาป อย่างน้อยเจ้าคือผู้หญิงเก่ง เข้มแข็ง และตัดสินใจได้อย่างฉลาดที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เราเคยรู้จักมา!”

“ขอบใจ...” ผู้ได้รับคำชม กรีดน้ำตา

“แต่ถึงเป็นคนบาปที่สุดก็นับว่าคุ้ม ในเมื่อทิ้งจากที่นั่น...ข้ายังได้เจอ ‘นาย’ ...” เช่นกันกับทุกครั้ง คำเรียกนั้นเต็มตื้นด้วยความรักใคร่ บูชิต ดวงตาที่เพิ่งหล่อด้วยหยดน้ำ แห้งเหือดไปเหลือแต่ประกายดาว

“ ‘นาย’ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นมากกว่าเจ้าชีวิต ข้ายอมแลกได้ทุกอย่าง...เพื่อ ‘นาย’!”

ประโยคท้ายติดจะแหลมกร้าวดุจคำสาบาน สายตาหลุดแววระแวงและมาดร้ายชั่วแวบหนึ่ง หากครั้นสบเพียงรอยสรวลอย่างยินดีด้วย วี่แววเหล่านั้นจึงจืดจางลง

“มาโด ต่อจากนี้...เจ้าจะโชคดีตลอดไป”

“เจ้าก็เหมือนกัน”

“หืมม์?” ผู้ตรับฟังตลอดมา ทรงเลิกขนงกังขา

“เชื่อเถอะ...การถูกความจำเป็นบีบบังคับให้ต้องแต่งงานตามเจ้าว่า มันจะไม่ใช่ปัญหา ในเมื่อเจ้าสองคนต่างรักกันอย่างยิ่ง”

“รัก...?” ทรงทวนคำ

“เราไม่มีพ่อ ไม่เคยเห็นการแสดงความรักของแม่ – พ่อ และในที่ที่เราอยู่ ไม่เอื้อให้เห็นความรักของหญิง – ชายคู่อื่น เราจึงยังไม่รู้จักความรักชนิดนั้นด้วยซ้ำ”

ท่าทำโอษฐ์ยื่น ชวนให้คู่สนทนาหัวเราะขันขึ้นหน่อยๆ

“โถ เดสิทรี...เจ้าช่างใสซื่อเสมือนเด็กน้อย ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าทั้งเจ้าและเนธาน ต่างก็รักกันจนดอกไม้ยังมองเห็น!”

ในเมื่อ ‘เด็กน้อย’ ยังทรงทำละม้ายไม่แน่พระทัย คนที่อายุไม่ต่างกันเท่าไหร่ ทว่าผ่านประสบการณ์โชกโชนจนจะแจ้งไปเสียทุกสิ่ง จึงทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู

“ลองนึกดูดีๆ...เวลาอยู่ใกล้เขา เจ้ามีความสุขใช่รึเปล่า?”

เอ...สุขหรือเปล่านะ? ก็พระองค์น่ะชอบทรงหาเรื่องแกล้งบ่อยๆ

“ไม่น่าจะสุขเท่าไหร่”

คำตอบ ดึงให้คิ้วของอีกฝ่ายเลิกสูงขึ้น

“เก๊าะ...มักจะทระ...เอ้อ...คือ ‘เขา’ น่ะ...” ทรงพยักเป็นเชิง

“...ชอบทำให้รู้สึกแปลกๆ อยู่เรื่อย เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ดี บางทีก็ใจสั่น หรือตัวหนาวๆ ร้อนๆ ยังกับจะจับไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ...แบบว่าเหมือนถูกสะกดจิต ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ค่อยไหว”

ขณะรับสั่ง แล้วเริ่มทรงจินตนาการเตลิดไปจริงจังว่า หรือปีศาจไก่ (ย่างสับปะรด) จะมีเวทมนตร์จริงๆ หญิงสาวเบื้องพักตร์ก็หัวเราะเสียงดัง

“เด็กโง่! เจ้าน่ะไม่ใช่แค่รัก แต่ตกหลุมรักลึกมากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!”

ทีนี้ ถึงกับทรงตะลึงขึง

“จ...จริงหรือ?”

“เฮ้อ! ควรจะสงสารเนธานดีหรือไม่ ที่มีคนน่ารักแสนซื่ออย่างเจ้าเป็นสาวคู่ใจ”

ความมืดสลัว พรางให้คนพูดไม่มีโอกาสเห็นวงพักตร์ที่เริ่มแดง ทั้งๆ พระนัยนาค่อยปรากฏวี่แววลำบากพระทัย

“พอเจ้า ‘รัก’ แล้ว นอกจากเป็นแบบทั้งหมดที่ว่ามา ซึ่งเจ้าบอกว่า ‘ไม่เป็นสุข’ แต่นั่นแหละ...เจ้าเองกลับไม่อยากให้เขาจากไป หรือพอเขาไป ใจของเจ้าก็จะกลับเป็นทุกข์ คอยกระวนกระวายอยู่เสมอ เฝ้าชะแง้แลหาการกลับมาของเขาอยู่เสมอ เป็นห่วงเป็นใยว่าเขาจะเป็นยังไง สบายดีมั้ย พบเรื่องร้ายๆ ที่ทำให้ยุ่งยากกายใจบ้างรึเปล่า...”

เอ...เมื่อตอนที่อยู่ในโพรงไม้ แล้วผู้นำทางทรงทิ้งไป ก่อนกลับมาพร้อมกลุ่มดอกไรอาทาร จำได้คลับคล้ายคลับครา...องค์เองก็จะทรงเป็นเช่นนั้น...

“...พอเขากลับมาเจ้าก็จะดีใจ หัวใจมันจะพองโต อยากมีเขาอยู่ใกล้ๆ อยากมองเห็นเขา อยากทำสิ่งดีๆ มอบให้เขา...ถึงจะเหนื่อยยากแค่ไหนเจ้าก็จะไม่เกี่ยง แต่ขณะเดียวกัน ทั้งๆ ที่ใจกว้างที่สุด เจ้าก็จะใจแคบที่สุด...กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน! เพราะเจ้าจะอยากเป็นที่หนึ่งของเขา ไม่อยากให้เขาใช้เวลาไปกับสิ่งใดเลยนอกจากเจ้า...”

ตลอดเพลาที่ร่ายยาว คนเล่ามีแววตาเคลิ้มฝันดุจเด็กสาวเยาว์วัย

“สำหรับข้าน่ะนะ จึงไม่แปลกใจเลย...ถ้าจะต้องเดินไปเดินกลับ จากที่นี่สู่ทุ่งไรอาทาร วันละหลายๆ รอบก็ยังได้...เพื่อนาย และ...เจ้าก็จะไม่แปลกใจเช่นกัน หากรู้ว่าข้าจะ ‘ทำ’ อะไรกับคนที่มันทำให้นายต้องเดือดร้อน หรือเป็นต้นเหตุให้เขาได้รับสิ่งร้ายแม้เพียงน้อยหนึ่ง!”

ด้วยโรจนาแห่งดวงตา น้ำเสียงกร้าวตอนท้าย กลับเริ่มสั่นเครือด้วยความสะท้อนใจ

“ข้า...มีนายอยู่เพียงคนเดียวในโลก ข้าจะเสียเขาไปอีกไม่ได้!”

อย่างไรก็ตาม ผู้ประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดูจะมิได้สดับความใดอีกต่อไปหลังจากตอนต้น...

ความสับสนพระทัยพลุ่งพล่าน และเป็นครั้งแรกที่ความเบิกบานตลอดมา ท่ามกลางเวลาแรงร้ายที่ไม่น่าเบิกบานได้ด้วยซ้ำ จึงเป็นครั้งแรก...ที่ยิ่งยังความหนักหนาในห้วงหฤทัย...

แน่หรือ...?

เป็นไปได้หรือที่จะทรงเกิดความรู้สึกเช่นนั้นต่อองค์มหิบาลอะแลมเบิร์ก?


ทั้งที่พยายามปฏิเสธ หากก็ด้วยองค์เองนั่นแหละ ทรงประจักษ์ความเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด

เป็นไปได้!

และ...เป็นไปแล้ว!


คำตอบนั้นเอง ประดุจต้นตอแห่งกระแสมาลุตรุนแรงมิแผกสลาตัน มันกระหน่ำใส่ อีกหอบเอาเศษกรวดเข้ากรีดกราด ดั่งจะเชือดเฉือนพระทัยให้มลายรานได้ในนาทีนั้น

เป็นลมแรงแห่งความกลัว...กลัวต่อการณ์อันจะสืบไปจากนี้!

ใช่สิ! มีทางอยู่หรือ? ในเมื่อฝ่าบาททรงอยู่สูง เปรียบไปย่อมไม่ต่างจันทรากับดินก้นผา แถมยังทรงมีพระคู่หมั้น...พระคู่หมั้นที่คือพระพี่นางของพระองค์เอง!

จากที่เคยทรงทราบ...ถึงไม่ใช่พระประสงค์ หากองค์ชนนีก็ย่อมเสมือนหนึ่งทรงแบ่งแย่งพระสวามีจากพระวิมาดา เจ้าหญิงเอลีโอน่าเชษฐภคินี ทรงชิงชังจนไม่ทรงปรารถนาเฉียดใกล้น้องน้อย ก็โดยเหตุนี้

แล้วนี่...ยังจะมีพักตร์ขีดให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?

ตอนนี้อาจยังทรงมีพระสติ หาก...ก็ถ้าหากทรงถลำลึกต่อไปจากนี้เล่า?

‘แต่ขณะเดียวกัน ทั้งๆ ที่ใจกว้างที่สุด เจ้าก็จะใจแคบที่สุด...กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน!’

เพอร์นีเลีย...เจ้าช่างโง่เขลากว่าที่ตัวเจ้าเคยคิดไว้ ควรจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัยแผ่ไพศาล ทรงมีพระเมตตาแก่พสกนิกรใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารถ้วนทั่ว แต่เจ้ากลับหยิบยกน้ำพระทัยนั้น ผันเป็นความเห็นแก่ตัวได้อย่างนี้!

ใช่! มาโดอาจทายใจเราถูก แต่ของฝ่าบาท...ไม่มีวัน!

และ...นั่นไง! เฉกเช่นคำเตือนไม่ผิด เพียงคิดแค่นี้ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ยังเผลอผุดความสงสัย...และความหวัง...

ฝ่าบาท...ฤาจะไม่ทรงรู้สึกซักน้อยหนึ่งต่อกัน...?

ไม่! ต้องไม่!

ทรงแบกรับพระราชภาระหนักหนาเพียงไหน มีหรือจะไม่ทรงรู้จักหน้าที่

เราต่างหาก...ปัญหาครั้งนี้อยู่เท่าเรา...

มันสมองของคนโง่เอ๋ย จงคิดให้ถ้วนถี่ จะทำอย่างไรดี...ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี...?

ในที่สุด ครั้นบทสนทนาค่อยว่างเว้นลง ผู้เป็นแขกจึงขอองค์เสด็จออก ด้วยความเงื่องเหงาผิดจากคราวเข้าไป

ไฟในเตาผิงมอดดับสิ้น ทั้งบ้านจึงตกอยู่กลางความมืดตะคุ่ม...ไม่ต่างจากในพระทัย และพระมรรคาเบื้องหน้าต่อจากนั้น

พระหัตถ์กำลังจะแตะบานประตูห้องนอนขององค์เองกับ ‘เนธาน’ หากความรู้สึกที่ทรงพยายามรำงับยั้งตั้งแต่ต่อหน้ามาโด ก็กลับถึงคราวทะลักพล่าน ฟายฟอง จนต้องทรงเพียรกัดริมโอษฐ์ไว้ป้องกันสุรเสียง

หัตถ์สั่น ลดลง พระวรกายสะท้าน ขณะพระวิญญาณเฉียบขึง

ถ้าเสด็จเข้าไป...ก็เสมือนย่างบาทลงใกล้กับเข้าอีกก้าว...

ลางที...จะไม่มีทางพาองค์เอง...โดยเฉพาะดวงหทัยขององค์เองห่างออกมาได้อีก...


และแล้ว โดยการตัดสินพระทัยทั้งยังไม่ได้พระสติ เป็นการตัดสินพระทัยชั่วแล่นเนื่องถูกหนุนด้วยแรงสิ้นหวัง วรร่างสั่นพร่าเริ่มถอยห่าง จากนั้นหมุนองค์ เปลี่ยนทิศทางมุ่งไป

ประตูไม้อีกบานถูกเปิด

แค่ไม่กว้าง...ลมกลางคืนยังถาโถมจนยะเยือก

โลกใต้ม่านราตรีกาลภายนอก กลับกระจ่างกว่าภายใน ด้วยแสงดารกาละมุนไล้ แตะแต้มดุจจะกรุณา...

‘ฟ้า’ คงประทานเส้นทางสว่างกว่า!

ก้าวแรกยากเสมอ หากต่อไปจะมั่นคงขึ้น และย่อมแข็งแรงขึ้น

ระหว่างที่ทรงเพิ่มความเร็วของฝีบาทจนเริ่มหอบล้า ผู้วิ่งหนี...ไม่มีทางทรงทราบว่า ความมืดนั่นเอง...ได้อาบย้อมประหนึ่งพรางพระนัยนา จึงไม่อาจทอดพระเนตรแต่ต้นว่า วรองค์สูงใหญ่ที่คงอยู่ในห้วงคำนึงทุกก้าวย่าง กลับทอดยาว สลบไสลอยู่บนพื้น ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าเตาผิงนั้นเลย...
. . . . . . . . . .
ปราปต์
2/12/12
.

 
 

จากคุณ : งี่เง่าบอย
เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 55 21:08:43




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com