Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 9 “เป้าหมายข้างหน้ายังคงชัดเจน” vote ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12829259/W12829259.html
ตอนที่ 1  “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12832639/W12832639.html
ตอนที่ 2  “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12842042/W12842042.html
ตอนที่ 3  “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12857797/W12857797.html
ตอนที่ 4  “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html
ตอนที่ 5  “ความเครียดที่มองไม่เห็น” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12890910/W12890910.html
ตอนที่ 6  “ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12903209/W12903209.html
ตอนที่ 7  “Stand by Me” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12917721/W12917721.html
ตอนที่ 8  “นับหนึ่งกันใหม่” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12948984/W12948984.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 9 “เป้าหมายข้างหน้ายังคงชัดเจน”

อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ ช่วงเวลาบ่ายๆ...........................

ตั้งแต่ช่วงเช้าที่หน่องต้องกลับมาอยู่ที่ห้องคลอดพิเศษอีกครั้ง เป็นเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากที่ได้ย้ายออกมาอยู่ห้องพักผู้ป่วยปกติ ผมยังคงเดินไปมาอยู่ที่หน้าห้องคลอดพิเศษ ยังรอคอยอย่างอดทนโดยไม่รู้ว่าจะรอถึงเมื่อไร มันเป็นช่วงเวลาที่ผมนึกอะไรไม่ค่อยออกเลย มันมึนๆตื้อๆไปหมด มันเหมือนผมโดนหมัดน็อคเข้าไปเต็มๆ .............มันอยู่ในอารมณ์ที่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมผมยังต้องมารอลุ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับภรรยาผมแบบนี้อีกแล้ว ผมต้องมาเผชิญกับสิ่งที่ผมไม่สามารถจัดการอะไรกับมันได้อีกแล้ว มันเกินกว่าที่ผมจะสามารถแก้ไขด้วยตัวผมเอง ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหน่องอาจจำเป็นต้องคลอดเลยหรือเปล่า เท่าที่ผมรู้คือทางห้องคลอดพิเศษกำลังเฝ้าดูอาการหน่องอย่างใกล้ชิด ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับหน่องจริงๆว่าลูกน้อยจะยังอยู่ในครรภ์คุณแม่ต่อไปได้ไหม ..........เฮ้อออออออออ!!!!!!! สภาวะแบบนี้มันน่าอึดอัดจริงๆ แถมอาการเหนื่อยและท้อมันก็ตามติดมาโดยไม่รู้ตัว

ทำไมอาการของหน่องถึงตีกลับเร็วขนาดนี้ เป็นสิ่งที่ผมตอบไม่ได้จริงๆ เพราะการหยุดให้ยาหรือเปล่า เพราะเมื่อคืนหน่องดีใจมากไปหรือเปล่า เพราะเมื่อคืนได้คุยโทรศัพท์กับเพื่อนหรือเปล่า หรือหน่องมีเรื่องกังวลใจแอบคิดโน้นคิดนี่หรือเปล่า ผมรู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ

ผมกระวนกระวายไม่ต่างจากวันแรกที่เข้ามาเลย ยิ่งนานเท่าไรใจผมก็ยิ่งสับสนมากเท่านั้น  จนตัวผมเองรู้ตัวนะว่าชักเริ่มจะฟุ้งไปกันใหญ่แล้วเรา................สิ่งที่ผมพอจะทำได้คือผมต้องทำให้ใจผมนิ่งก่อน การคิดวกวนไปมาแบบนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง ดังนั้นผมจังตัดสินใจหยุดเดินและนั่งลง ..................ผมหลับตา นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ อยู่กับตัวเองก่อน ถ้าผมใจนิ่งเดี๋ยวผมคงคิดออกเองว่าผมควรจะทำอะไรต่อไปดี ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆครับ ................. ผมหายใจเข้าลึกๆ ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ................. ก็ได้ผลนะ รู้สึกร่างกายสงบและผ่อนคลายมากขึ้น  ................. และเมื่อผมลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือรูปวาดรูปนึง เป็นรูปวาดรูปที่แขวนอยู่ตรงผนังมานานแล้ว ตั้งแต่หน่องเข้ามาอยู่ที่ศิริราชผมก็เห็นรูปนี้แล้วละ เพียงแต่ผมไม่เคยสนใจหรือดูรูปนี้อย่างจริงจังมาก่อน ที่ผ่านมาผมมีแต่มองเข้าไปในห้องคลอดพิเศษ ไม่คิดจะเหลียวมองดูรอบๆตัวเลย รูปวาดนี้เป็นรูปทรงของผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ยืนอยู่ ตรงหน้าท้องจะมีรูปหัวใจด้วย น่าจะแสดงถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน มันเป็นความรัก เป็นเหมือนดวงใจของเราอยู่ตรงนั้น

มันมีประโยคที่น่าสนใจสอดแทรกอยู่บนภาพๆนั้น ซึ่งผมพึ่งจะสังเกตเห็นคำพูดที่เขียนอยู่ในรูปวาดภาพนั้น ทั้งๆที่รูปวาดนี้มันอยู่ตรงนี้มานานแล้วแท้ๆ มันเขียนว่า

"When a woman is pregnant, her heart is no longer in her chest. But .....in her womb instead."

ผมอ่านแล้วก็รู้สึกว่า ลูกคือทุกสิ่งที่แม่สร้างมาด้วยความรักความทะนุถนอม เป็นชีวิตที่อยู่กับคุณแม่ เติบโตในครรภ์ของคุณแม่ ดังนั้นกำลังใจที่จะทำให้หน่องสามารถไปต่อได้ก็มาจากลูกในครรภ์คนนี้เท่านั้น  ขอเพียงหน่องยังคงมีกำลังใจที่ดี เราก็จะผ่านมันไปได้ เป้าหมายของเราสองคนคือลูกคนนี้จริงๆ

ทันใดนั้นก็มีเสียงของพยาบาลเรียกผม “ญาติของคุณอาภาพรค่ะ”  

“แฟนผมเป็นยังไงบ้างครับ”  ผมรีบเข้าไปถามทันที

“คุณหมอกำลังคุยกับคุณแม่อยู่ค่ะ รออีกนิดนะ เดี๋ยวคงได้เยี่ยมแล้ว”  พยาบาลบอกเพื่อให้ผมสบายใจ

“เยี่ยมได้เมื่อไรจะแจ้งให้ทราบนะค่ะ”  พยาบาลบอกผมทันทีเพราะคงรู้ว่าผมอยากเข้าไปหาภรรยาผมมากแค่ไหน

“ขอบคุณครับ”  ผมพูดได้แค่นี้จริงๆเพราะสิ่งที่ผมทำได้คือรอต่อไป

และไม่นานนักหลังจากรอมาตั้งแต่เช้า ทางพยาบาลก็อนุญาตให้ผมเข้าไปเยี่ยมหน่องได้  แต่หน่องไม่ได้อยู่ห้องเดิมแล้วนะครับ ห้องเดิมของหน่องมีคุณแม่ท่านอื่นใช้ไปแล้ว อย่างที่ผมเคยบอกละครับว่ามีคุณแม่อีกหลายๆท่านต้องการใช้ห้องต่อจากหน่อง ห้องทุกห้องจะมีการต่อคิวอยู่ตลอดเวลาพอหน่องออกก็มีคนใช้ต่อทันที ส่วนห้องที่หน่องมาอยู่นี้เป็นห้องที่คุณแม่อีกท่านพึ่งคลอดไปแล้วเมื่อเช้านี้เช่นกัน ก็ถือว่าหน่องยังมีโชคที่มีจังหวะห้องว่างพอดี  

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องแม้จะเป็นห้องใหม่แต่สิ่งที่ผมเห็นยังคงเป็นภาพคล้ายๆเดิมเหมือนที่ผมเคยเห็นมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคือที่หน้าท้องของหน่องก็จะมีการติดอุปกรณ์สำหรับวัดอาการเกร็งมดลูก ขณะนั้นอาการเกร็งของหน่องอยู่ในระดับที่ 20  ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และในขณะเดียวกันหน่องถูกให้ยาคลายมดลูกเกร็งตัวด้วย ในระดับที่ 30 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับวันแรกที่หน่องเข้ามาที่โรงพยาบาลเลย เห็นระดับยาที่ให้แล้วผมเลยสรุปเอาเองว่านี่คงเป็นค่ามาตรฐานเวลาที่คุณแม่ที่มีอาการท้องแข็งท้องเกร็งจะต้องได้รับยาในระดับที่ 30 ไว้ก่อน

เมื่อผมเห็นหน้าหน่อง สิ่งแรกที่ผมทำคือรอยยิ้มและสัมผัส โดยการกอดภรรยาครับ จริงๆ ก็ไม่ได้กอดอะไรได้มากมายเพราะมือซ้ายหน่องก็มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ ที่ท้องก็มีเครื่องวัดอาการเกร็งติดอยู่ แต่ก็ได้กอดให้กำลังใจอยู่ประมาณหนึ่งละครับ รู้สึกดีที่ได้แสดงความห่วงใยที่มีให้กัน

“หน่องเป็นยังไงบ้าง” ผมพูด

“หน่องโอเคแล้ว ..........................เมื่อกี๊คุณหมอมาเยียมหน่องแล้วด้วยละ”   หน่องบอก

“หมอว่ายังไงบ้าง” ผมรีบถาม

“คุณหมอบอกว่า “ไม่เป็นไร” ให้พักผ่อนเยอะๆอย่าเครียด”    หน่องบอก

“แล้วหน่องถามคุณหมอหรือเปล่าว่า อะไรเป็นสาเหตุ”   ผมถามต่อด้วยความอยากรู้

“คุณหมอบอกว่า ตอนนี้เวลาที่หน่องเริ่มเครียด ร่างกายก็จะรับรู้และแสดงออกมาทันที”   หน่องอธิบาย

“เพราะความเครียดอีกแล้ว”   ผมคิดในใจ

“คุณหมอยังถามต่ออีกว่า ขนาดมาอยู่ที่นี่แล้วยังเครียดได้ขนาดนี้ มีอะไรให้คิดเยอะเหรอ เราเป็นคนที่คิดโน้นคิดนี่มากเกินไปหรือเปล่า” หน่องเล่า

“คุณหมอมีดุด้วยแบบพี่ชายตักเตือนน้องสาว ไม่เหมือนคุยกับคนไข้เลย” หน่องแสดงความคิดเห็น  

“คุณหมอคุยกับหน่องนานมาก 40 นาทีได้ จนหน่องยังรู้สึกเกรงใจคนไข้คนอื่นเลย” หน่องเล่าแบบชื่นชมความเอาใจใส่คนไข้ของคุณหมอ

“แล้วคุณหมอก็สอนว่า อย่าไปคิดนะว่าทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างที่เราคิดเสมอไป และเราก็ไม่สามารถให้คนอื่นคิดหรือรู้สึกอย่างที่หน่องคิดได้ คุณมาอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปคิดโน้นคิดนี่ว่า คนนั้นคนนี้ไม่เห็นห่วงเราเลยหรืออะไรแบบนั้น คนที่ไม่มาเยี่ยมไม่ใช่ว่าเค้าไม่ห่วงนะ ทุกๆคนมีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะ เราวัดความเป็นห่วงจากการที่เค้ามาเยี่ยมหรือไม่ ไม่ได้หรอก แต่คนที่คุณคาดหวังได้ว่าเค้าจะเป็นห่วงคุณเสมอก็คือคนในครอบครัว คุณหมอแนะนำให้ยึดครอบครัวเป็นหลัก เรื่องอื่นๆ เอามาคิดได้แต่ต้องรู้จักปล่อยวาง

ทำชีวิตให้สบายๆ มันจะเป็นยังไงก็ปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องคาดหวังอะไรมากเกิน อย่าไปคิดว่าทำไมคนนั้นต้องทำแบบนี้กับเรา ทำไมคนโน้นคิดไม่เหมือนเรา คุณอาจจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมาโดยตลอด เก่ง มีความสามารถ แต่คุณก็คงไม่สามารถคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างทุกคนเป็นไปอย่างที่คุณคิดได้นะ แต่คนที่คุณมั่นใจได้เลยว่าเค้าจะอยู่ข้างๆคุณเสมอก็คือครอบครัว เรื่องอื่นๆไม่ต้องไปคิด คิดจนเครียดไม่รู้ตัวแบบนี้ยิ่งไม่ควรคิดเข้าไปใหญ่”  หน่องเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่คุณหมอพยายามสอนหลังจากเริ่มเห็นว่าหน่องมีอาการเครียดมีความกังวลอยู่บ่อยๆ

“แล้วคุณหมอก็สรุปว่า ทำใจให้สบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ไม่ต้องรีบร้อน”   หน่องสรุป

“ดังนั้นหน่องก็ไม่ต้องคิดเยอะหรอก คิดดูสิ แป๊บๆก็เดือนหนึ่งแล้ว สู้อีกนิดเพื่อลูกน้อย มันยังสู้อยู่นะ แต่แม่ต้องช่วยมันด้วย”   ผมรีบเสริมต่อ

“หน่องนี่แย่จัง ชอบไปคิดโน้นคิดนี่ บางทีก็อดไม่ได้ว่าเดี๋ยวก็จะได้กลับบ้านแล้ว ไปทำงานเลยดีไหม หรือต้องอยู่บ้านรักษาตัวต่อ อะไรแบบนี้ละ”   หน่องออกอาการเซ็งตัวเอง

“ต่อไปนี้ช่วยหยุดคิดได้แล้ว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ผมพูดด้วยเสียงที่เข้มมากขึ้น

ผมคิดอยู่นิดนึงว่าควรจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ไหม เพราะผมไม่อยากให้หน่องเครียดไปกว่านี้ .......... แต่หลังจากที่ผมพยายามพูดให้กำลังใจหน่องมาโดยตลอด หน่องก็ยังคงมีเรื่องกังวลใจแว๊บไปแว๊บมาตลอด..........  สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะพูดให้หน่องเห็นภาพอะไรชัดกว่านี้แบบตรงไปตรงมา

ผมจึงพูดขึ้นมาว่า “หน่อง! พี่ถามหน่อยซิ หน่องรับได้ไหมถ้าเกิดการที่หน่องคิดเยอะๆเนี่ยแล้วไปทำให้ปากมดลูกเปิดกว่านี้แล้ว ลูกยังไม่พร้อมที่ออกมา ลูกก็คงต้องอยู่ในตู้อบ ซึ่งที่ศิริราชมีแค่ 4 เครื่องเอง ถ้าเครื่องไม่ว่างพอดีตอนที่ลูกเราคลอดออกมา  เราก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากจำเป็นต้องย้ายโรงพยาบาลทันที เพื่อไปหาโรงพยาบาลที่มีตู้อบสำหรับลูกเรา นี่เรื่องใหญ่เลยนะ จำได้ไหม คุณหมอเคยบอกเรื่องนี้แล้ว”   ผมพูด

“อึม ..... จำได้”   หน่องตอบ

“พี่ไม่อยากคิดอะไรที่แย่ไปกว่านี้ ซึ่งเราคาดเดาไม่ได้เลย”   ผมพยายามบอกหน่องถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นที่หน่องก็คงประเมินได้ว่าจะเป็นยังไง

“ดีที่สุดคือเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วเราจะได้ไม่เสียใจทีหลัง หน่องคงไม่อยากมานั่งนึกเสียใจทีหลังถ้าเกิดอะไรที่แย่ไปกว่าการที่ลูกต้องอยู่ในตู้อบ และหน่องก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ และมันอาจจะทำให้หน่องเสียใจยิ่งกว่านี้อีกนะมันจะเป็นบาดแผลที่เจ็บลึกเจ็บนานกว่าสิ่งที่หน่องเป็นอยู่นี้อีกนะ” ผมเน้น..... แต่ไม่อยากจะพูดตรงไปกว่านี้แล้ว

หน่องนิ่งเงียบ .............................................

“เอาพลังความเป็นแม่ออกมา”   ผมพูดเพื่อไม่ให้สิ่งที่พูดดูเครียดจนเกินไป

“บ้า ................”   หน่องพูดออกมาโดยที่ไม่ได้มองผมเลย

เธอมองไปที่ครรภ์ของตัวเอง และกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่.............. ผมเห็นแววตา ณ เวลานี้ของหน่องแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่า หน่องคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว จะว่าเหมือนประมาณบัวพ้นน้ำก็ว่าได้  แววตาดูมีความมั่นใจบางอย่างซ่อนเร้นอยู่และเหมือนตัดสินใจได้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป

“ต่อไปนี้หน่องจะไม่คิดอะไรเยอะแล้ว เหนื่อยแล้ว ไม่อยากคิดโน้นคิดนี้แล้ว หน่องคิดแต่ลูกของเราก็พอ และหน่องจะคิดแค่นั้นจริงๆ”   หน่องบอกตัวเองด้วยเสียงที่มุ่งมั่น

“ดีแล้ว”   ผมยิ้มให้หน่อง

“ลูกคับ แม่นี่แย่จริงๆเลย แต่ต่อไปนี้นะ แม่จะไม่มาคิดโน้นคิดนี่แล้ว แม่จะให้ลูกอยู่ในท้องของแม่ให้นานที่สุดเลยนะคับ คนดีของแม่”   หน่องพูดไปเอามือลูบหน้าท้องตัวเองไปอย่างทะนุถนอม

“คุณพ่อค่ะ คงต้องให้เยี่ยมแค่นี้ก่อน พอดีมีเคสคุณแม่อีกคนค่ะ จะวุ่นๆหน่อย”   พยาบาลเดินมาบอกผม

“ได้ครับ”   ผมพูด

“หน่องรู้แล้วว่าควรทำตัวยังไง พี่ไม่ต้องห่วงนะ”   หน่องยืนยันกับผม

“พี่อยู่หน้าห้องเหมือนเดิมนะ”   ผมยิ้มให้หน่องพร้อมกับเดินออกจากห้องคลอดพิเศษ

หลังจากหมดเวลาเยี่ยมผมก็ออกมานั่งอยู่ด้านนอกอีกครั้ง มานั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเช้านี้ มันรวดเร็วจนจับต้นชนปลายไม่ถูก อาการที่ดูว่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว แต่พอผ่านไปเพียงคืนเดียวทุกๆอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม ร่างกายของหน่องคงจะเปราะบางมาก และคงยากจริงๆที่จะทำตัวให้ใช้ชีวิตเหมือนปกติได้ง่ายๆ ดูเหมือนจะดีขึ้นแล้วแต่ร่างกายของหน่องไวมาก ความเครียดความกังวลที่อยู่ในตัวหน่องพร้อมกลับมาทำร้ายหน่องและลูกได้ตลอดเวลา ผมเองนึกไม่ออกจริงๆ ถ้าเกิดกลับบ้านไปเลยตั้งแต่เมื่อวาน เช้าวันต่อมาคงไม่มีคุณหมอท่านไหนมาตรวจหน่อง แล้วพอกลับบ้านไป หน่องคงมีเรื่องคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คิดให้จัดการเต็มไปหมดตามมาแน่ๆ แล้วอาการของหน่องจะเป็นยังไงนะ ............... คิดมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ไม่อยากคิดต่อเลยจริงๆ มันเริ่มทำให้ผมตระหนักแล้วว่า บางทีการที่หน่องจะอยู่ที่ศิริราชไปเลยโดยไม่ต้องกลับบ้าน อาจจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับหน่องเอง

หนึ่งเดือนที่ผ่านไปกับการที่ต้องกลับมาเริ่มต้นให้ยากันใหม่ที่ปริมาณยาระดับที่ 30 เท่ากับวันแรกที่หน่องเข้ามาศิริราชเลยก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผมและหน่องไม่ต้องมาประเมินแล้วว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไร ก็ต้องทำอย่างที่คุณหมอแนะนำจริงๆว่า ไม่ต้องไปคิดว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไรและทำใจให้สบายไม่ต้องเครียด เฮ้อ! จากนี้ไปก็คงดูกันไปอาทิตย์ต่ออาทิตย์ ต้องมาลุ้นกันต่อว่าอาการของหน่องจะดีขึ้นหรือแย่ลง สิ่งที่ท้าทายที่สุดในตอนนี้คือยอมรับกับการที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน อาจจะนานจนหน่องคลอดเลยก็เป็นได้

ในวันเดียวกันนั้น ขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้าน ............ ผมจะเปิดวิทยุเป็นประจำอยู่แล้ว เสียงเพลงจะช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป และในวันนั้นผมได้ฟังเพลงอยู่เพลงนึง ได้ยินท่อนนึงของเพลงนี้ โดนมากๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังรุมเร้าเข้ามาหาหน่องแบบนี้

“จากวันนี้ไม่ว่าจะเจออะไร หนักหนาถาโถมสักเท่าไหร่

คนๆนี้สัญญาจะเคียงข้างเธอ

จากวันนี้ไม่ว่าจะเจออะไร จะดูแลเธอเสมอ

และฉันไม่มีวันห่างไกล”

ผมไม่เคยปลื้มกับผลงานเพลงของศิลปินคนนี้เลยครับ แต่พอได้ฟังเพลงนี้จบเหมือนผมสามารถ Reboot ตัวเองอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้ให้คำมั่นที่จะดูแลหน่อง ผู้ชายคนนี้ก็จะไม่ยอมแพ้ครับ แม้ว่าเหตุการณ์จะตึงเครียดขนาดไหนผมก็จะยิ้มสู้กับมันครับ

อายุครรภ์ 31 สัปดาห์...........................

ชีวิตของผมหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยแตกต่างจากหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเท่าไรนัก ถ้าเป็นช่วงจันทร์ถึงศุกร์ ผมเองก็ยังคงไปๆมาๆจากบ้านไปที่ทำงานแต่เช้าและไปต่อที่ศิริราชตอนเย็น ผมจะนำกับข้าวที่ซื้อมาตั้งแต่กลางวันมากินเป็นข้าวเย็นกับหน่องด้วยกัน  คุยกันจนถึงสองทุ่มกว่าๆ คืออยู่จนหมดเวลาเยี่ยม แล้วผมก็จะลงมาจากตึกมุ่งไปที่ลานพระบิดา เพื่อมาไหว้พระบิดา มาเล่าให้ท่านฟังว่าหน่องเป็นยังไงบ้างในวันนี้  มากราบขอพรให้พระบิดาช่วยดูแลหน่องและลูก ขอให้คนดีได้รับสิ่งที่ดีๆ  และขอให้ทั้งแม่และลูกปลอดภัย  

ส่วนถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ผมก็จะตื่นแต่เช้า ออกไปหาซื้ออาหารอร่อยๆ ที่ตลาดแถวบ้านมาให้หน่อง แล้วก็มุ่งหน้าไปที่ศิริราชเลย และรออยู่ข้างนอกห้องคลอดพิเศษเพื่อรอจังหวะที่จะได้เข้าไปเยี่ยมหน่องเป็นระยะๆ ถ้าได้เข้าไปผมก็จะแอบจับเวลาดูอาการของหน่องเป็นพักๆ กินข้าวเย็นกับหน่องและอยู่จนถึงสองทุ่ม ไหว้พระบิดาแล้วค่อยกลับบ้าน  ทุกวันในชีวิตผมดำเนินไปแบบนี้ โดยสิ่งที่ผมยึดไว้เป็นหลักก็คือจำนวนสัปดาห์ของอายุครรภ์หน่องที่เพิ่มขึ้นๆ  ผมได้แต่คอยลุ้นไปทุกๆ สัปดาห์ ให้ผ่านพ้นไปด้วยดี นับไปนับมาก็ผ่านมาห้าสัปดาห์แล้วกับชีวิตในศิริราชของหน่อง หน่องยังคงต้องปรับตัวกับชีวิตที่ดูลำบากและจำเจช่วงนี้ไปให้ได้

อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ...........................

สัปดาห์แต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไปกำลังใจหน่องยังคงดีอยู่และดูเหมือนหน่องจะตัดเรื่องรบกวนจิตใจของหน่องได้มากขึ้น การให้ยาลดอาการมดลูกเกร็งของหน่องก็ค่อย ๆ ลดลง แต่เป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งถือว่าช้ามากๆครับ ครั้งที่แล้วปริมาณยาที่ลดลงจะลงไปทีละ 5 บ้าง 10 บ้าง แต่ครั้งนี้ลดลงครั้งละ 2.5 เท่านั้น ผมประเมินเอาเองว่าคุณหมอคงอยากจะให้มั่นใจจริงๆ ไม่ใช่ว่ารีบลดแล้วมีอาการทีหลังเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ลุ้นกันไปในแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์

แต่แล้วก็มีอยู่วันนึงในเวลากลางคืน จู่ๆหน่องก็มีอาการท้องเกร็งขั้นรุนแรงมากจนทำให้พยาบาลที่ monitor อาการของหน่องอยู่ตกใจมาก จากที่อาการเกร็งน้อยลงน้อยลง นานๆจะมีอาการเกร็งทีและไม่มีอาการเกร็งแบบรุนแรงแสดงให้เห็นเลย แต่อยู่ดีๆอาการท้องเกร็งแบบรุนแรงก็กลับมาอีก

สาเหตุที่ทำให้มีอาการท้องเกร็งของหน่องครั้งนี้เกิดจากหน่องฝันร้ายครับ .......................... ใช่ครับ ความฝันสามารถทำให้เกิดอาการท้องเกร็งได้ครับ หน่องฝันว่ายืมรถน้องสาวไปขับและไปแวะซื้อของที่สามย่านกลับมารถหาย ในฝันก็วิ่งวุ่นหาใหญ่ว่ารถหายไปไหน .......................ผมได้ฟังเรื่องราวแบบนี้แล้วก็พูดไม่ออกจริงๆครับ

ในความคิดของผมตอนนี้ ผมคงไม่สามารถคาดการณ์ว่าหน่องจะสามารถควบคุมอาการมดลูกหดรัดตัวได้ตลอดโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก มันมีปัจจัยหลายอย่างมากเกินไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ ต่อให้หน่องเก่งมาจากไหนก็ตาม ความเครียดความกังวลใจมันน่ากลัวจริงๆ มันพร้อมที่จะทำให้อาการของหน่องแย่ลง แต่สิ่งที่ผมรู้คือ หน่องทำเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตลูกน้อยของเราไว้ และมันก็ดีที่สุดแล้วสำหรับผู้หญิงคนนี้ที่นอนอยู่บนเตียงมาตลอดแบบนี้ ผมคงไม่สามารถเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้แล้ว นี่ก็ดีมากแล้ว

แต่ถ้าจะมีปัจจัยอื่นใดมาทำให้ลูกมีเหตุที่จะต้องลืมตาดูโลกเร็วกว่ากำหนด ไม่ว่าลูกจะคลอดเมื่อไร สัปดาห์ไหนก็ตาม ผมก็จะยอมรับมันและพร้อมจะดูแลลูกน้อยของผมต่อไป

“ถ้าลูกต้องคลอดเร็วกว่ากำหนด มีผลให้ไม่สามารถพัฒนาการทำงานของปอดได้เต็มที่ ผมก็จะพร้อมดูแลลูกของผม ไม่ว่าจะต้องเข้าตู้อบนานขนาดไหนก็ตาม”

“ถ้าลูกออกมาน้ำหนักน้อย ก็ไม่เป็นไร ถึงน้ำหนักน้อยจากข้างใน ผมก็จะขุนให้ลูกอ้วนข้างนอกแทนก็ได้”

สำหรับผมตอนนี้ ผมเปิดใจยอมรับทุกเรื่องที่จะเข้ามา ถ้าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเพราะฟ้าต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างกับผม ผมก็พร้อมจะทำจนถึงที่สุดครับ ไม่ว่าจะเป็นยังไงต่อจากนี้ก็ตาม

อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ ...........................

จนเข้าสู่สัปดาห์ที่ 33 แล้ว แม้ว่าหน่องจะมีอาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณยาก็ลดลงเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันหน่องก็เริ่มมีปัญหาในการหาเส้นเลือดใหม่ๆบนมือหน่องเพื่อเดินยาเข้าไปเพราะมือหน่องพรุนไปหมดแล้ว เพราะเส้นเลือดที่ใช้ไปแล้วไม่สามารถใช้ติดๆกันได้ พยาบาลจำเป็นต้องหาเส้นใหม่ๆซึ่งจะเป็นเส้นเลือดที่ทั้งเล็กและแตกง่าย คนที่จะทำก็ต้องมืออาชีพจริงๆ ไม่อย่างนั้นหน่องคงมีรูที่ใช้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ หลายๆอย่างที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกเห็นใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับภรรยาผมมากและภรรยาผมก็สละทุกอย่างที่ตัวเองเคยได้รับก็เพื่อรักษาลูกน้อยคนนี้ไว้ให้ได้  

พอมีโอกาสผมจึงถามภรรยาว่า “รู้สึกยังไงเวลาต้องอยู่คนเดียว”

ผมถามคำถามนี้เพราะผมรู้ว่าหน่องไม่ชอบนอนคนเดียวแบบที่ต้องเผชิญอยู่อย่างนี้ทุกๆวัน ผมก็อยากรู้ว่าหน่องยังโอเคไหม แต่คำตอบที่ผมได้รับ มันทำให้ผมรู้เลยว่าความรักที่แม่มีให้ต่อลูกนั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน

หน่องบอกว่า ....... “หน่องไม่เคยได้อยู่คนเดียวมาเจ็ดเดือนแล้วนะ หน่องมีลูกอยู่กับหน่องเสมอ”

คำตอบของหน่องเล่นเอาผมอึ้งไปเลย คำตอบนี้สมบูรณ์มาก ผมรู้สึกว่าคำตอบของคุณแม่คนนี้มันยิ่งใหญ่มากจริงๆ พลังเงียบที่ทำให้หน่องสู้มาถึงตอนนี้ได้คือเด็กในท้องหน่องนี่เองที่ทำให้คุณแม่คนนี้ยังมีกำลังใจสู้ต่อแบบนี้  เป้าหมายข้างหน้าของเรายังคงชัดเจนมากครับ :)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 10 “ย้ายห้องอีกรอบ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13055442/W13055442.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 55 13:25:09

 
 

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 55 10:11:48




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com