หมอพราหมณ์กล่าวแบ่งรับแบ่งสู้ เมื่อพิจารณาแผลอักเสบใต้คิ้วที่ปวดปูดจนหนังตาแทบปิดลงมาข้างหนึ่งของกุสุมาลย์แล้ว อาการของนางดูย่ำแย่กว่าเดิมมากนัก ไม่น่าเชื่อว่าแผลที่ใต้คิ้วเพียงเล็กน้อยแค่นี้กลับลุกลามไปถึงครึ่งใบหน้าได้ เมื่อแรกนางแค่มีอาการคันและเกิดเม็ดผื่นแดงที่พาดผ่านยาวลงมายังนวลแก้มใส แล้วต่อมากลับกำเริบจนเม็ดผื่นระอุเป็นตุ่มน้ำใสภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เมื่อรับยาขับของแสลงตำหรับคุณท้าวจันทร์หอมเข้าไป อาการอักเสบเบื้องต้นก็ลดลง แต่หลังจากนั้นสองสามวันก็กลับกำเริบขึ้นอีก
หมอพราหมณ์สั่งยุติการรับประทานยาแก้แสลงลง เนื่องจากยานี้มีผลแค่ระงับอาการอักเสบแต่มิได้ช่วยรักษาให้หายได้ หากเป็นผื่นแพ้เล็กๆ น้อยๆ โดยธรรมชาติแล้ว ผิวหนังจะค่อยๆ สมานตัวรักษาบาดแผลเองได้ ไม่ใช่เพราะหายด้วยตัวยาอย่างที่ผู้คนทั่วไปซึ่งไม่ชำนาญวิชาแพทย์เข้าใจ
แต่ในกรณีของกุสุมาลย์นั้น ผื่นลุกลามใหญ่โตเกินกว่าจะเป็นแค่อาการระคายเคืองผิวหนัง ยาแก้แสลงเพียงแค่กดทับอาการอักเสบไว้ชั่วคราว และมีผลทำให้ร่างกายลดระดับการสมานแผลไป อีกทั้งยังแม่หญิงคนงามยังใช้แป้งดินสอพองและผงถ่าน ที่ผสมผงคันมาพอกหน้าเขียนทับปิดรอยผื่นนั้นซ้ำเข้าไปอีก จึงเป็นตัวขยายผลอย่างดีให้แผลลุกลามไปรวดเร็วจนคาดไม่ถึง ผื่นคันจึงแปรสภาพเป็นหนองผุดเม็ดน้ำใสขึ้นมา แต่เม็ดผื่นนั้นถูกกดอาการด้วยยาแก้แสลงจึงแห้งลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังซึ่งปรับสภาพตามไม่ทันไม่สามารถสร้างพื้นผิวใหม่ขึ้นมาชดเชยผิวที่ถูกทำลายไปได้ทัน ก็เริ่มแข็งตัวตายลงจนแห้งกรังกลายเป็นตะปุ่มตะป่ำสีน้ำตาลไหม้จนเกือบดำ
"แผลน่าเกลียดนี่จะหายไปจากหน้าข้าหรือไม่? ถ้าข้ากินยาจนครบและทำตามที่หมอสั่ง" นางถามซ้ำ
"คงจะทุเลาขึ้น แต่รอยแผลนั้นข้าไม่มั่นใจนัก เพราะหนองมันกินเนื้อจนเปลี่ยนสี" กุสุมาลย์ได้ยินดังนั้นก็กรีดร้องโหยหวน จนศรีดาราต้องกอดตระครองนางไว้มิให้จิตใจเตลิดไปไกลกว่านี้
"ข้าจะหายไหม? ข้าจะหายไหม? ข้าจะหายไหม?" เสียงนางถามย้ำซ้ำไปซ้ำมา คล้ายไม่ต้องการคำตอบ หากแต่รำพึงรำพันราวกับดวงขวัญบินหายไปจากนางเสียแล้ว
"พี่กุสุมาลย์ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็หาย เชื่อข้าสิ...เดี๋ยวก็หาย"
"เจ้าไม่หลอกข้านะ ศรีดารา ฮือ..อ" นางผู้เคยงดงามครางออกมาด้วยดวงใจสลาย
กว่าศรีดาราจะหลอกล่อให้นางสงบแล้วพาไปนอนพักได้ นางก็เหนื่อยจนต้องมานั่งหอบอยู่กับพื้นห้อง ครู่ต่อมาปทุมมาก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับโตกใส่สำรับอาหาร นางมีสีหน้าหดหู่และเหนื่อยล้าไม่แพ้กัน เนื่องด้วยยามนี้นางต้องถวายงานแก่มหิตาแทน ในส่วนของศรีดาราอีกด้วย เพราะสหายขอลาหยุดมาดูแลกุสุมาลย์ซึ่งพระเทวีก็ประทานอนุญาต โดยมิถามไถ่เสียด้วยซ้ำว่าพระพี่เลี้ยงของพระองค์อาการเป็นอย่างไร คล้ายมิต้องการรับรู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น
"พ่อหมอว่ากระไรบ้างศรีดารา?" นางถามพลางวางถาดอาหารลง เมื่อแลเห็นว่าคนป่วยนั้นนอนหลับคงมิสามารถลุกขึ้นมารับประทานได้ในตอนนี้
"มันน่าแปลก..." คำตอบของศรีดาราสร้างความฉงนหงายแก่ปทุมมานัก
"แปลกอย่างไร? รีบแจ้งมาอย่าช้า"
"พี่กุสุมาลย์มิได้เจ็บป่วยเพราะแผลที่ใต้คิ้ว แต่นางแพ้พิษบางอย่าง"
"พิษ? พิษอันใด? ข้าไม่เข้าใจ?"
"พิษก็คือพิษน่ะสิ!! จะเป็นอันใดไปได้ไม่เข้าใจรึ?" นางทะโมนบ่นอุบขึ้นมาพลางเหลียวไปมองคนบนตั่ง เมื่อเห็นว่ายังหลับอยู่จึงค่อยสนทนาต่อ
"พิษน่ะข้ารู้ แต่พิษมันมาจากที่ใดเล่า? พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ"
"พ่อหมอบอกว่าพี่กุสุมาลย์เป็นแผลอักเสบไม่ทันหายดี ก็มาเจอพิษเข้าไปอีกมันจึงออกอาการลามไปอย่างที่เห็น"
"แล้วกุสุมาลย์ไปรับพิษมาได้อย่างไร? หรือว่านางแพ้ยาที่คุณท้าวจัดให้เมื่อคราวก่อน?" ปทุมมามีสีหน้าเคร่งเครียดวิตกกังวลไปต่างๆ นานา
"ปัดโธ่ ยาแก้แสลงแค่นั้นน่ะ กินกันมาทั้งตำหนักแล้ว หากแพ้คงไม่ใช่แค่พี่กุสุมาลย์หรอก ข้ากับเจ้าต่างก็เคยกินมาแล้วทั้งนั้น" ศรีดาราส่ายหน้าออกอาการหงุดหงิดที่อีกฝ่ายตีความไปผิดๆ
"เอ...ถ้าอย่างนั้น ไปรับพิษมาจากไหนกัน? จะว่าแพ้อาหารก็ไม่น่าใช่ แพ้น้ำยิ่งไม่น่าใช่เข้าไปอีก เฮ้อ...หรือนี่จะเวรกรรมของนาง ผู้อื่นไม่แพ้มีแต่นางแพ้คนเดียว" เมื่อสุดทางจะคาดเดาปทุมมาก็เริ่มโทษเวรโทษกรรมแต่ปางหลัง
"ข้าคิดว่าข้าพอจะรู้นะ แต่...มันไม่น่าเป็นไปได้...."
สีหน้าของผู้พูดไม่ดีนัก ปกตินางคิ้วเข้มชอบทำหน้าทะลึ่งตึงตังหาความเป็นกุลสตรีไม่ แต่บัดนี้กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนปทุมมานึกกลัวสิ่งที่จะได้ยิน
"เจ้ารู้สิ่งใดรึ..?" เสียงถามแผ่วเบาคล้ายกระซิบ
"ก็ร้อยวันพันปี พี่กุสุมาลย์มิใช่คนแพ้ง่ายแพ้ดาย แถมยังเป็นแพ้เฉพาะผิวหน้าอีกด้วย...พูดไปข้าเองก็นึกกลัวข้อสันนิษฐานนี้ อาจจะเป็นข้าเองที่คิดมิดีไปไกลก็เป็นได้" กล่าวจบนางก็ตบปากตนเอง
"เดี๋ยวสิ...เจ้านึกถึงสิ่งใดได้บอกข้าเถิด" ปทุมมาหยุดมือที่กำลังตบปากตนเองของศรีดารา แล้วจ้องประสานตาด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งนัก
"เรื่องนี้มิใช่เรื่องดีงาม หากว่าข้าคาดเดาผิดไปแล้วใครรู้เข้าหัวข้าอาจหลุดจากบ่าได้"
"ร้ายแรงถึงกระนั้นเลยหรือ?" บุตรีขุนพลมหัทธนะมิได้ตอบ นางเพียงแต่พยักหน้าเบาๆ
"ข้าสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หากมิใช่ก็แล้วกันไป หากใช่แล้วผู้ใดล่วงรู้เข้าหัวข้าก็คงจะหลุดจากบ่าเป็นเพื่อนเจ้า" เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นางผู้คาดเดาความลับก็ค่อยคลายใจ และแย้มยิ้มกับมิตรภาพที่ปทุมมาส่งมอบให้
"ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อ และไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วย แต่นอกจากสิ่งนี้แล้วข้าคิดถึงสิ่งอื่นไม่ออกจริงๆ" ศรีดาราค่อยลำดับความคิดตนเองออกมาช้าๆ
"แผลบนหน้านั้นเมื่อแรกเป็นผื่นคันแดงไปทั่ว แล้วค่อยๆ ลุกลามไป เจาะจงเฉพาะที่ใบหน้าด้วย พี่กุสุมาลย์นั้นเป็นคนงามยิ่งพึงรักสวยรักงามกว่าผู้ใด...นางชมชอบการประทินโฉมยิ่งนัก และเมื่อยิ่งมีผื่นนางก็ยิ่งคิดพอกแป้งปกปิดรอยผื่นคันอันมิน่ามองนั้นเสีย"
"นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า...!!!" ปทุมมาอุทานเสียงดังออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวจบ เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบลดเสียงลง