สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 25
|
|
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13009729/W13009729.html
บทที่ 25
ถ้าปาฏิหาริย์ใดๆ ไม่ปรากฏในยามวิกฤติรุนแรงเช่นนี้ ทายว่าสักประเดี๋ยวฤดีดิษถ์ต้องกระอักเลือดจนล้มลงแล้วตายเลยโดยไม่ทันได้ทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้า และตอนนี้เธอก็ล้มลงจริงๆ ร่างเปื้อนเลือดเกลือกกลิ้งประหนึ่งเจ็บปวดทั้งที่ไม่มีใครทำร้ายสักคน "กลิ่นอายชั่ว เจ้า สมิงพรายไพรหรือ เจ้าเสือสันดานหยาบ"
แล้วหัวใจของหมอผาก็เต้นแรงด้วยประโยคเกรี้ยวกราดที่หลุดจากปากฤดีดิษถ์ ในคัมภีร์ไสยเวทย์ระบุถึงอาคมสยบสมิงขั้นสูง ตอนนี้เขาจะไม่ใคร่ครวญใดๆ ให้ละเอียดแจ่มแจ้งมากไปกว่าช่วยชีวิตสาวครีเอทีฟให้หลุดพ้นจากสถานการณ์พิสดารจนปลอดภัยเสียก่อน
แต่จะต้องทำยังไงเล่า เขาไม่ได้ศึกษามนตราบทนี้อย่างแตกฉาน แล้วเท่าที่รู้ ก็ไม่เคยมีใครต่อยอดอานุภาพอันร้ายกาจของมันอีกเลยหลังจากที่แม่นางอชินีดับสูญ
"เอาเว้ย เป็นยังไงก็เป็นกัน ไม่ลองก็ไม่รู้"
หมอผาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว เขาไม่มีเวลามาก เพราะฤดีดิษถ์ผลุงลุกขึ้นยืนจังก้า สะบัดหน้าฮึดฮัดคล้ายคลุ้มคลั่ง ผมยาวแผ่สยายตามแรงกระโชกร้ายของสายลมวิปริต ตาแดงก่ำเหลือกถลนและกราดมองทุกอย่างด้วยกริยาขวางๆ เหมือนคนถูกผีเข้า
ท่วงท่าก็ยังดูว่าองอาจห้าวหาญและพร้อมรบเหลือเกิน เธอหายใจแรงมาก และทุกครั้งที่พ่นลมหายใจ เลือดสดก็จะทะลักพรูจากรูจมูก พอมันย้อยไหลเปรอะปากคาง เธอก็เหวี่ยงท่อนแขนขึ้นปาดลวกๆ เสียทีหนึ่ง
เขานั่งลงสำรวมสมาธิ เร่งร่ายอาคมสยบสมิง มันไม่ใช่ขั้นสูง เพราะถึงขั้นนั้นคงไม่ไหว ขอแค่พื้นๆ พอระงับกลิ่นอายและสายลมฟุ้งกระจายบ้าบิ่นในยามนี้ได้ก็พอ
"คุณฤดีดิษถ์ นั่งลง"
ฤดีดิษถ์ได้ยิน แต่เธอกำลังสับสนในตัวเอง ตลอดร่างมันปวดตึงไปหมด เหมือนมีบางอย่างเบียดเข้ามาแย่งชิงกล้ามเนื้อ เลือดทุกหยด และทุกแรงเต้นของหัวใจ
เธออยากนั่งลง แต่บางอย่างที่ว่าก็คอยขัดขวางด้วยพลังที่แข็งกล้ากว่า ในหูมันก้องเปรี้ยงๆ ด้วยเสียงเกรี้ยวกราด แล้วตอนนี้ ลำคอก็โป่งพองเหมือนมีคนอัดขวดกลมใบใหญ่ๆ เข้ามากระทุ้ง ทำให้เกิดอาการพะอืดพะอมอยากอาเจียนตลอดเวลา
หมอผาส่ายหน้าและตัดใจไร้มารยาทต่อพลังอำนาจแข็งแกร่งที่กำลังคุกคามอยู่ในร่างสาวครีเอทีฟ เขาหลับตาไม่ขอรับรู้ต่อสิ่งพลิกผันที่อาจจะเกิดขึ้นในวินาทีข้างหน้า และตามประสาคนมีวิชา แค่ว่าสำรวมสมาธิให้นิ่งได้ อานุภาพของขลังก็แผ่พลังได้ทันที
อาคมสยบสมิงเคลื่อนแทรกฝ่ากระแสสายลมซาตานที่กระโชกหวีดหวิวไปบรรจบกับพลังครึ่งๆ กลางๆ ในร่างเปื้อนเลือดของฤดีดิษถ์
แม่นางกณิการ์พลันนึกรู้ รีบทรุดนั่งต่อยอดอาคมอย่างเชี่ยวชาญ หมอผาก็เลยมีอันสะดุ้งในทันทีที่ประจันกับดวงตาร้อนแรงและดุร้ายเข้มข้นของแม่นางในห้วงนิมิต
"ไม่ต้องกลัว" แม่นางกล่าวอย่างเข้าใจ "เจ้าเป็นหน่อเนื้อฝ่ายไหนของเจ้าแม่เราเล่า"
"ผม.. "
"เจ้าร่ายอาคมสยบสมิง ย่อมหมายความว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวดองกับเรา เจ้าเป็นใคร แต่ช่างเถอะ จะเป็นใครในเวลานี้ ก็ไม่ควรแก่การใคร่รู้ เราขอบใจที่เจ้าช่วยเหลือในครั้งนี้ยิ่ง"
"เอ้อ ผม.. "
แม่นางโบกมือขึ้น ร่ายมนตราประหลาดที่หมอผาได้ยินแต่ไม่รู้จักเลย มันน่าอัศจรรย์มากที่จู่ๆ สายลมร้ายที่ควรจะกระโชกไหลไปข้างหน้าก็พลันย้อนกลับอุตลุด
ทุกอย่างดูย้อนคืนถอยหลังพิลึกพิลั่น บังเกิดเสียงเปรียะโครมทึบตึงคลุกเคล้าวุ่นวายจนแยกไม่ออก แต่เสียงนี้สิ ดูว่าแกร่งกล้ามากกว่าเสียงใดๆ
"แม่นางน่าชัง เจ้าจงมาประจันหน้าเราซาตานวจา ข้ารอเจ้าอยู่ อย่าดีแต่ร่ายอาคมสยบสมิงชั้นต่ำอวดวาสนาอับเฉาแล้วของเจ้าอยู่เลย"
"บังอาจ" แม่นางตวาดว่า "สันดานซาตานชั้นต่ำเช่นเจ้าหรือกำแหงมาท้าทายเรา จงฟังไว้ เราไม่ได้พลีชีพเพื่อกลับมาฟังเจ้าพล่ามความยโส แต่เรากลับมาเพื่อกำราบให้เจ้าดับสูญชั่วนิรันดร์ บนคามดารกะอันไพศาลภายใต้วาสนาแห่งเราแม่นางกณิการ์ ต้องสิ้นไร้กลิ่นอายซาตานชั่วร้ายเช่นเจ้า"
"ก็จงเร่งมาเถอะ ข้ารอเจ้าอยู่ รอที่จะชื่นชมชัยชนะอันแท้จริงของเจ้าอยู่"
พอสิ้นวาจาท้าทายโอหัง ซาตานวจาก็แผดเสียงหัวเราะเยาะโหยหวนและยาวนาน จนหนำใจแล้ว จึงค่อยลบหลู่ด้วยเสียงยืดยานลำพองว่า
"น่าสังเวชเจ้ายิ่ง ดูไปในยามนี้ ตัวเจ้าก็เก่งแต่ปากกล้าเช่นแม่ครูยานีของเจ้าในกาลนั้นไม่ผิดแท้"
"เจ้า.. "
"ต้องให้เราเท้าความให้ฟังไหมเจ้าว่าแม่ครูโรงนาฏศิลป์ดับสูญด้วยสภาพใดและใครทำ"
ซาตานอมตะจงใจเปล่งคลื่นเสียงหัวเราะเยาะโหยหวนทำลายสมาธิที่จวนเจียนนิ่งเต็มที่ของแม่นางผู้เกรียงไกร
มันเร่งเร้าให้เดือดดาลสุดขีดจนสามารถแยกพลังจิตเป็นอิสระ แล้วบังคับให้แม่นางในกาลใหม่วิ่งพลุ่งพล่านมาตามทิศที่กลิ่นอายซาตานชี้นำ ขอเพียงมาให้ถึงวิหารวังร้าง และเข้ามาถึงโถงคำสาปได้ แม่นางในกาลใหม่ก็จะตกเป็นเหยื่อให้แม่นางแพรผู้น้องเอาชีวิต
ไม่แน่หรอกว่าเลือดที่หลั่งออกจากกายใหม่ในกาลนี้ อาจชะล้างคำสาปได้ แล้วมันก็จะเป็นไทจากแผ่นยันต์โลหะกับโซ่ตรวจอุบาทว์ เมื่อนั้น คามดารกะก็จะกลับมารุ่งเรืองภายใต้การปกครองอันเหิมเกริมของมัน
น่าเสียดายที่หมอผาไม่ยอมเป็นใจให้กับเป้าหมายที่หมายมั่นของเจ้าซาตาน เขาจำได้ว่าในคัมภีร์ไสยเวทย์บันทึกมนตราแม่นางกณิการ์บนแผ่นยันต์โลหะหนัก
แม่นางนั่งลงร่ายมนตราอย่างยาวนาน พร้อมกับองครักษ์นักรบก็ช่วยกันร้อยรัดโซ่ตรวนพันธนาการซาตานวจาไว้ในบ่วงคำสาป เขาจะร่ายมนตร์บทนั้นกำราบคลื่นเสียงคำรามโหยหวน
บังเกิดเสียงสวดเยือกเย็นงึมงำยาวนานไหลแทรกเข้าไปสกัดคลื่นเสียงเย้ยหยันโหยหวนอย่างช้าๆ
เสียงเย็นนั้นปริร้าวแล้วแยกเป็นเส้นเล็กเส้นน้อยดั่งรากแก้วรากฝอยที่ยึดตรึงต้นไม้ให้ชูลำตระหง่านเหนือพื้นดิน คลื่นเสียงชั่วร้ายก็มีอันส่ายรวนเคลื่อนขยับพลุ่งพล่านกระทั่งขาดสะบั้นหายวับไปในที่เร้น
แม่นางแพรกรีดร้องโหยหวนในโถงอับชื้น ร่างนางผีพลิ้วลนลานกลางอากาศ ตาไร้แววทอดทื่อตื่นตระหนกไปยังดวงตาถลนเหลือกที่ค่อยปรือลงของพี่ชาย
ซากร่างแห้งกรังแน่นิ่งไม่ไหวติง เปลือกตาหนาและแตกเป็นเส้นเป็นร่องหลุบลงบดบังรังสีดุร้าย ไม่นานเลย ซาตานวจาก็โดนกักขังให้หลับใหลในบ่วงคำสาปแม่นางกณิการ์ตราบจนกว่าเสียงสวดเยือกเย็นงึมงำนั้นจะจางหาย
แน่นอน ในเมื่อสถานการณ์เลวร้ายกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว หมอผาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยื้อเวลาไว้ในตลาดอีก เขายุติบทสวดนั้น แล้วรีบลุกไปอุ้มฤดีดิษถ์ซึ่งหมดสติไปแล้ว
แตกตื่นในใจว่าตัวเหนียวเหนอะด้วยเลือดชโลมนั้นร้อนจัดดั่งไฟ แล้วท่อนแขนของเขาก็บังเกิดควันขาวพุ่งพวยขึ้น ตามด้วยกระแสแสบร้อนแสบไหม้นิดๆ แต่ก็ช่างมันไปก่อน กลับถึงบ้านลุงโภชน์แล้วค่อยมาสำรวจอาการว่ารุนแรงมากน้อยแค่ไหนเถอะ
ยังไม่ทันได้หายใจคล่องกับภาวะปกติที่มาเยือนไม่ถึงห้านาที จู่ๆ ฟ้าก็แปรจากใสเป็นหม่น จากสีฟ้าก็กลายเป็นสีเทาขุ่น
เมฆก้อนหนาก้อนบางหรือบางก้อนก็แค่ผนึกตัวเป็นริ้วหนาสักนิดพากันเคลื่อนพุ่งสวนทางแบบฉวัดเฉวียนเหมือนหนีอะไรบางอย่างที่ไล่ล่าจากข้างหลัง
หมอผาแหงนเงยสำรวจจนคอตั้งบ่า พลางเร่งรวมสมาธิในขณะที่สองแขนเกร็งยังโอบอุ้มฤดีดิษถ์หมดสติ เขามองไม่เห็นสิ่งผิดปกติในที่เร้นเลย แต่ก็ตระหนักว่าเหตุแปรปรวนบนท้องฟ้ามันไม่ปกติ
"อะไรกันอีกละนี่"
เขาฉุนเฉียวและร้อนรุ่มไปพร้อมกัน ฝีเท้าสั่นปนล้ารีบสาวแทรกไปตามทางเดินขรุขระที่เกลื่อนข้าวของมากมาย แล้วก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ายามนี้ทั้งตลาดก็เหลือเพียงเขากับสาวครีเอทีฟนี่ล่ะ
ครั้นเหลียวรอบเป็นวงก็ค่อยส่ายหน้าท้อแท้วูบ ใจก็บ่นตะครั่นตะครอทำนองว่า 'เหมือนอยู่กลางทุ่งสงครามที่ศึกเพิ่งเลิกไปหมาดๆ '
ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา ฝนก็โปรยปรายตามติด สายฟ้าสีเงินแลบแปลบเป็นทาง พาดเฉียงพาดหงิกก็แล้วแต่อารมณ์ เพิงมุงจากใกล้ตำแหน่งพาดผ่านเกิดกลิ่นไหม้และควันคลุ้ง สักพักก็ไฟลุกพรึ่บขึ้น แล้วลามไปเผาเพิงใกล้เคียง
หมอผาห่อปากอยากร้องไห้ เขาอาจจะเหนื่อยบ้าง แต่ก็ไม่เสียใจเลยจริงๆ ที่ตัดสินใจเร่งรุดตามมาสมทบกับหญิงสาว เพราะแน่ใจแล้วว่าชะตาเธอมันทั้งร้อนจัดและร้ายมหาศาล
"คุณเป็นใครกันหนอ ทำไมถึงมีอานุภาพมากมายดึงพลังลี้ลับออกมาเต้นระบำกลางวันแสกๆ ได้ ผมละเชื่อคุณเลย แล้วนางพญาชุดเทาคนนั้นเล่า เป็นใคร เธออยู่ในร่างคุณ พูดกับผมด้วย เธอพูดถึงหน่อเนื้อ โอ๊ะ"
ไม่ทันรำพันจบ เท้าก็สะดุดตึกเข้ากับตอไม้เตี้ยข้างเพิงที่ตั้งตรงโค้งทางเดิน ร่างหมอผาหนุ่มใหญ่ก็มีอันถลำคะมำไปข้างหน้า ในจังหวะซวนนั้นเองที่ทำให้ร่างฤดีดิษถ์ร่วงจากแขน แล้วกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามทางลาดชันข้างล่าง
"คุณฤดีดิษถ์ ตายแล้ว คุณฤดีดิษถ์ โอ๊ย จะตกอะไรโครมๆ ตอนนี้ มืดฟ้ามัวดินจริงๆ มองอะไรไม่เห็นแล้วนะ โอ๊ะ คุณพระ"
บ่นหงุดหงิดแล้วตามด้วยใจหายวาบเมื่อพบว่าสายฝนที่หล่นโครมๆ มันมีสีแดงดั่งเลือด ดีหน่อยที่ไร้กลิ่นคาวคลุ้ง ไม่อย่างนั้น คงได้โก่งคออาเจียนกันจนตับไตไส้พุงไหม้เกรียมแน่ๆ
"คุณฤดีดิษถ์ คุณพระช่วย คุณฤดีดิษถ์"
เขาตะเกียกตะกายฝ่าสายฝนสีเลือด ป้องปากร้องตะโกน รู้สึกสองเท้ามันหนักอึ้งและอ่อนล้าจนแน่ใจว่าไล่ตามไม่ทันแล้ว จึงตัดสินใจนั่ง
คงต้องอาศัยวิชาที่มีเข้าช่วย เขาพนมมือร่ายมนตราเรียกสิ่งกีดขวางแถวนั้น หวังแค่ว่าให้มันช่วยสกัดจังหวะกลิ้งหลุนๆ สักชั่วขณะจนกว่าเขาจะไปถึงตัวเธอเท่านั้น
"ดิษถ์ ดิษถ์ ให้ตายสิ ดิษถ์"
ท่อนไม้และพงหญ้าละแวกนั้นลอยละลิ่วไปสกัดขวางร่างหมดสติได้อย่างหมิ่นเหม่ พร้อมกับเสียงร้องเรียกร้อนรนของลายสือ โอ้ เขามาแล้ว และต้องบอกว่าเขามาพร้อมกับเหตุแปรปรวนที่ไม่เคยมีใครนึกถึง
เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่น่าจะมีส่วนพัวพันกับตำนานในยุคแม่นางกณิการ์ แต่ดูเขาสิ เขาพัดพาเหตุปาฏิหาริย์มาเชียวนะ อะไรกันละนี่ หรือว่านี่คือปริศนาใหม่ที่ต้องเร่งค้นหาคำตอบกันอีกแล้ว
"คุณลายสือ"
"คุณทำอะไร พาเธอมาที่นี่ทำไม แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น"
อัศจรรย์ใช่ไหม ทันทีที่ลายสือถึงตัวแฟนสาว สายฝนก็แปรสีเป็นขาวบริสุทธิ์ ท้องฟ้าก็ย้อนคืนสีสดตามธรรมชาติ หมู่เมฆก็ลอยเอื่อย
โอ้ แล้วแสงแดดก็โปรยปรายแทรกม่านน้ำให้หมอผาห่อปากตะลึงจังงัง เขาเสยผมแล้วหลุดเสียงครางเพราะนิ้วบังเอิญไปกระทบแผลแตกพองตรงขมับ
ครั้นยกอุ้งมือซับหยดฝนตรงปลายจมูก ก็ครางโอยออกมาอีก เพราะไปแตะแผลแตกตรงมุมปาก ดูเอาเถอะ บนหน้าก็มีแผล ตามตัวก็เกลื่อนไปด้วยหลักฐานของเหตุพิสดาร
หวังเหลือเกินว่าเมื่อกลับถึงบ้านลุงโภชน์ แล้วเมื่อสาวครีเอทีฟฟื้นขึ้นมา เธอจะยอมลดความดื้อรั้นเชื่อมั่นในเทคโนโลยีลงสักนิด แล้วยอมเชื่อว่าที่นี่คือที่ที่เธอไม่ควรมาเหยียบเลยตามที่เขาพร่ำเตือนพร่ำห้ามอย่างห่วงใย
ท่านศมะลอยร่างโปร่งใสในที่เร้นก่อนจะหย่อนลงยืนด้วยท่วงทีสุขุม ท่านมองท้องฟ้าแจ่มใสแม้สายฝนจะพร่างพรมทั่วตลาดและละแวกใกล้เคียงด้วยเหตุไม่ปกติ อดครุ่นคำนึงไม่ได้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นคือต้นเหตุของปรากฏการณ์พิสดารหรือเปล่า
"เขาเป็นใครหรือท่านพ่อ ท่าทางเขาเหมือนว่าสนิทสนมกันดีกับแม่นางเจ้าฟ้า"
"อย่าไปใคร่รู้เกินหน้าที่ของเราเลยท่านศมะ"
"ลูกไม่ได้ใคร่รู้อย่างไร้เหตุผลนะเจ้าข้า ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วเราจะวางใจได้หรือว่าเขาจะเป็นมิตรหรือศัตรูต่อแม่นาง"
ท่านศมะแย้งอย่างสำรวม สืบเท้าไปหยุดใกล้สิ่งกีดขวางที่หมอผาร่ายเรียกมาช่วยยื้อชีวิตแม่นางผู้เกรียงไกร ตาไร้แววทอดขรึมตามรถยนต์สีขาวของชายแปลกหน้าไปอย่างหวั่นกังวล
นอกจากความกลัดกลุ้มเพราะยังหาวิธีช่วยแม่นางให้หลุดพ้นจากพันธนาการร่างใหม่ไม่ได้ ยามนี้กลับต้องมาว้าวุ่นด้วยชายแปลกหน้าคนนั้น ชายที่มาพร้อมกับสายฝนสีเลือดและฟ้าขุ่นสีเทา
"น่าวิตกแทนแม่นางยิ่ง" พระครูผู้รอบรู้ปรารภเสียงหม่นขึ้น "หากร่างใหม่ยังกีดขวางบารมีอยู่เช่นนั้น แม่นางจะแผ่อำนาจกำราบรังสีอมตะของซาตานวจาได้ยังไง ช่างน่าสงสารนัก"
"ลูกก็สงสารยิ่ง อยากช่วยเหลือแบ่งเบา แต่ก็แสนคับแค้นนัก ลูกบกพร่องในหน้าที่องครักษ์เสียแล้ว"
"ไม่หรอกเจ้า อย่าติเตียนตนให้น่าเศร้าเช่นนั้นเลย เจ้าคือองครักษ์ผู้ห้าวหาญองอาจเคียงบ่าเคียงไหล่แม่นางตราบจนวินาทีสุดท้ายแห่งกาลเจ้าแล้ว"
"ปลอบโยนลูกก็เป็นด้วยหรือท่านพ่อ"
"ปากเจ้าเชือดเฉือนเราผู้พ่อ ก็ใช่ว่าจะย่อหย่อนลงไม่ใช่หรือ"
ท่านศมะค่อยคลี่ยิ้มได้บ้าง หากแต่จิตยังขุ่นมัวด้วยห่วงหาแม่นางกณิการ์ เพราะคาดเดาไม่ถูกว่าชายแปลกหน้ามาดีมาร้าย
จู่ๆ ก็โผล่มาแล้วตรงรี่ฉวยอุ้มไม่ถามไถ่ใครสักคน ดั่งว่าเป็นเจ้าของที่ล้นกรรมสิทธิ์ยิ่งเสียกว่าเจ้าฟ้าธุวชินแห่งคามธุมาธาร ผู้เคยกุมตำแหน่งเจ้าฟ้าสามีในกาลโน้น
"เอ๊ะ" แล้วอย่างฉับพลัน ท่านศมะก็อุทานดั่งฉุกคิดบางอย่างได้กะทันหัน เขาถามบิดาอย่างตื่นเต้นว่า "หรือว่าชายแปลกหน้าคนนั้นจะเป็นร่างใหม่ของเจ้าฟ้าธุวชินเจ้าข้าท่านพ่อ"
กายโปร่งใสในชุดสีเทาลอยพลิ้วไปกระวนกระวายกลางอากาศ ฝนจางสายแล้ว ทั่วท้องทุ่งเกษตรในกาลโน้นถูกย้อมด้วยแสงแดดอ้างว้าง
ความเงียบชั่วอึดใจเร่งเร้าให้ห้วงคะนึงหวาดระแวงถูกปั้นแต่งให้เป็นรูปเป็นร่างคมชัดขึ้น กระทั่งในจิตขาดความสงบและพลุ่งพล่านไปด้วยความห่วงใยล้นเหลือ
"ไม่ได้การ ลูกจะตามไปดูสถานการณ์ทางโน้นสักหน่อยก่อน ไม่อยากชะล่าใจมองข้ามเสี้ยนภัยแม้แต่หนึ่งเสี้ยน หากชายคนนั้นไม่ใช่เจ้าฟ้าธุวชินก็แล้วไป แต่หากใช่ ลูกคงต้องปกป้องแม่นางด้วยทุกหนทางแม้จะอยู่แยกต่างภพเช่นนี้ก็เถอะ เห็นด้วยไหมเจ้าข้า ท่านพ่อจะไปกับลูกด้วยไหม ท่านพ่อ ท่านพ่อเจ้าข้า อ้าว"
ครั้นหมุนตัวกลับมาแล้วพบแต่ความว่างเปล่า องครักษ์ผู้ห้าวหาญก็อดยิ้มระอาไม่ได้ พระครูลาพุชจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมปล่อยให้ท่านรำพึงไปตามลำพังได้เล่า
กาลเวลาผ่านไปเป็นร้อยๆ ปีแล้ว นิสัยนึกจะไปนึกจะมาของพระครูผู้รอบรู้กลับไม่ได้รับการปรับปรุงจากเจ้าของเลยจริงๆ ช่างน่าเอือมยิ่ง
พระครูไม่ได้ไปไหนไกลเลย ท่านนั่งสำรวมตรงมุมสงบในที่เร้น หลับตาร่ายมนตราชะตาโคจร หวังเพียงจะได้เห็นที่มาของชายแปลกหน้าคนนั้น เขาปรากฏตัวพร้อมกับสายฝนสีเลือด
ในขณะเดียวกัน สีแดงข้นดั่งเลือดสดก็จัดจ้าทั่วดาวอาสภปริศนา มันโคจรกวัดแกว่ง บ้างหมุนวนไปซ้ายไปขวา บ้างก็เคลื่อนขึ้นเคลื่อนลง และแม้จะเห็นเต็มตา แต่กลับไม่กล้าคะเนว่าปฏิกิริยาเช่นนั้นแปลความว่ามันลิงโลดหรือหวั่นไหว
ครั้นลืมตา ท่านก็ส่ายหน้าด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน ในม่านแหดวงชะตานับร้อยๆ ปีของผู้คนที่เกิดแล้วตายผ่านยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง โดยเฉพาะในยุคอันรุ่งเรืองของคามดารกะ กลับไม่ปรากฏแม้แต่ร่องรอยเพียงเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อยของชายแปลกหน้าคนนั้น "จะให้เราแปลความยังไงหรือ เจ้าเป็นชายที่ไร้ที่มาในกาลเก่า ในเมื่อเราไม่เห็นร่องรอยเดิม แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าเป็นมิตรหรือศัตรูต่อแม่นางเจ้าฟ้าเช่นที่ท่านศมะปรารภ"
แปลกจริง ทำไมดาวดวงนั้นโคจรเข้าใกล้ดาวอาสภประหนึ่งตัดใจดับสูญตัวเองเช่นนั้นเล่า โอ แย่แล้ว มันพุ่งชนจริงๆ ดาวอาสภสั่นรวนแต่เปล่งรัศมีสีเพลิงเด่นชัด ซ้ำยังก่อเกิดประกายพลุเจิดจ้ารายล้อม
พระครูลาพุชจำต้องหยุดครุ่นคิดถึงร่องรอยชายแปลกหน้าลง แล้วรีบตามท่านศมะไปที่บ้านลุงโภชน์ อ้อ ไม่ดีกว่า ท่านควรไปสังเกตการณ์ที่วิหารวังร้าง น่าจะได้เห็นเหตุแปรเปลี่ยนทันท่วงทีกว่า
"ท่านศมะ ตามพ่อไปที่วิหารวัง เดี๋ยวนี้นะเจ้า"
ท่านส่งกระแสจิตเรียกหน่อเนื้อ แล้วรีบพุ่งฝ่าความเวิ้งว้างในที่เร้นไปพร้อมกับสังหรณ์ในนิมิต ท่านรู้สึกได้ว่ามันร้อน และดวงวิญญาณของท่านก็ระคายเคืองดั่งถูกคลุกลงในกรวดเผาไฟ
"มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม คามดารกะต้องไม่ฟื้นคืนสู่ความรุ่งเรืองอีก ดินแดนผืนนั้นสิ้นชะตาพร้อมกับแม่นางกณิการ์แล้ว ฟ้ากำหนดไว้อย่างนั้น เราทำนายไม่ผิดหรอก ใช่ไหม เราต้องทำนายไม่ผิดแน่"
พระครูมาหยุดห่างรังสีซาตานชั่วที่หลับใหลชั่วครู่ ต้องยกความดีความชอบให้ชายมีวิชาคนนั้นที่ร่ายมนตราแม่นางกณิการ์สยบฤทธิ์กำแหงลงได้
แต่ก็ไม่นานหรอก รอเพียงรัตติกาลมาเยือน มันก็จะตื่น และส่งเสียงคำรามอาละวาดจนเหล่าดวงวิญญาณอาจทานทนไม่ไหวพานแตกดับยุติการผุดเกิดลงอย่างน่าอนาถ
"มีอะไรผิดสังเกตหรือเจ้าข้า"
"มี ดาวประหลาดดวงนั้นพุ่งชนดาวอาสภแล้ว"
ท่านศมะทอดตาไปบรรจบกับร่างโปร่งใสของนางผีที่ยืนคุมเชิงทางเข้าเขตวิหาร สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก คงกังวลว่าพี่ชายซาตานจะไม่ตื่นกระมัง
"ท่านใจร้อนเกินไปหรือเปล่า ผิดวิสัยท่านศมะผู้เยือกเย็นรอบคอบยิ่ง พี่ชายเราไม่สยบง่ายดายด้วยมนตราต่ำต้อยของไอ้ชายมีวิชาคนนั้นหรอก"
"กลายเป็นท่านเองที่อวดความรุ่มร้อนไม่เป็นสุขในจิตร่ำไป ไม่ต่างจากตอนมีชีวิต บาปกรรมแท้แม่นางแพร จนถึงเดี๋ยวนี้ ท่านก็ยังหลงวนเวียนอยู่ในแรงทะเยอทะยานฝันเกินวาสนาของซาตานวจา ต้องรออีกกี่ร้อยปีเล่า ท่านถึงค่อยสำนึกว่าในนั้นมันปราศจากแสงแห่งทางออก"
"อย่ามาบังอาจต่อเรา" แม่นางแพรตวาดเกรี้ยวกราด ผลุนผลันร่างมาลอยฉุนเฉียว "ถึงยังไง วาสนาเราลูกช่างตีดาบก็ยังงดงามและสูงส่งกว่าหน่อเนื้อท่านพระครู ชั่วชีวิตก็เป็นได้เพียงองครักษ์นักรบ ในขณะที่เราเป็นถึงชายาเจ้าฟ้า"
"ท่านโดนปลดก่อนรับโทษแล้ว จำไม่ได้หรือท่าน"
พระครูลาพุชถอนใจพลางแตะแขนหน่อเนื้อเป็นเชิงปรามไม่ให้ต่อปากต่อคำ หากนางผีรู้สำนึกก็คงไม่วนเวียนผูกมัดชะตาไว้ใต้แรงทะเยอทะยานเกินวาสนาของพี่ชายเช่นนี้
แล้วท่านก็ไม่ได้ตามให้มาสมทบด้วยเหตุผลนี้ แต่เพื่อให้ช่วยกันมองหาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อนับแต่ยามนี้สู่รัตติกาลที่ไม่น่าวางใจเลย
จากคุณ |
:
รัชนีกานต์
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ธ.ค. 55 07:33:41
|
|
|
|