สายฝนเม็ดเล็กๆ ตกลงมาอย่างประปลาย ข้ามองลอดผ่านลวดเหล็กบานหน้าต่างเมื่อเห็นหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าบ้าน ข้ารีบยิบร่มคันเก่าแล้ววิ่งปรี่ออกไปหาหล่อน เมื่อก้าวเท้ามาถึงประตูรั่วไม้เก่าผุๆ ได้เห็นใบหน้าของหล่อนชัดขึ้น ข้าแทบจะอยากหยิกเนื้อตัวเองให้เจ็บๆ สักทีเตือนตัวเองว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ความฝัน ข้ายิ้มให้กับหล่อนที่ยืนอยู่ในละอองสายฝน มือของหล่อนทั้งสองข้างถือกระเป๋ามาอย่างพะรุงพะรัง สายตาของหล่อนดูเศร้าๆ อย่างบอกไม่ถูก ข้ารีบยื่นมือรับกระเป๋าหล่อนที่ถือมาพร้อมส่งร่มในมือของข้าให้กับหล่อน
เดินลุยฝนมาอย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก ข้าบอก แล้วนี้มากับรถอะไร ข้ายังเอ่ยถามต่อพร้อมกับถือกระเป๋าเดินนำหล่อนเข้าไปในบ้าน
หล่อนทิ้งร่มคันที่ข้ายื่นให้แล้วเดินปรี่เข้ามากอดแผ่นหลังข้าท่ามกลางสายฝนเม็ดเล็กๆ มันคือความอบอุ่นท่ามกลางความเหน็บหนาวที่คุ้นเคย เหมือนเมื่อวันวานของหลายปีก่อนเพิ่งผ่านมาแค่ไม่นาน ข้ารู้สึกได้กับหยาดละอองฝนทุกเม็ดยามกระทบสัมผัสกับผิวกาย
เรียมขอโทษ...
ไปเถอะ...เอาไว้คุยกันในบ้าน
หล่อนเข้ามานั่งอยู่บนโซฟาโต๊ะรับแขกด้านล่าง ส่วนข้าเดินเอากระเป๋าของหล่อนขึ้นไปเก็บในห้องชั้นบน ข้าเปิดประตูเอากระเป๋าไปวางไว้ในห้องเดิมที่เคยเป็นห้องของหล่อน รูปหล่อนยังวางอยู่บนหัวเตียง อยู่ดีๆ รอยยิ้มมันผุดขึ้นมาบนใบหน้าของข้า ข้าต้องย้ำเตือนกับตัวเองอีกทีว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน ข้าเห็นภาพหล่อนกลับมาแล้วจริงๆ เมื่อสองวันก่อนหล่อนได้โทรมาหาข้า หล่อนบอกว่าอยากลับมาที่นี่ สิ่งที่ข้าคิดในตอนนั้นอาจจะเป็นเดือน เป็นปี หรือหล่อนแค่พูดไปอย่างนั้นเอง แต่แล้วฝันเลือนรางก็กลับกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาไม่เหมือนอย่างที่ข้าคิด เมื่อตอนนี้หล่อนกลับมาแล้วจริงๆ
ข้าเดินลงไปยังด้านล่างพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดตัวให้กับหล่อนที่ยังนั่งอยู่บนโซฟา
ไปอาบน้ำก่อนเถอะเดี๋ยวเป็นหวัดเอาเปล่าๆ ข้าบอกกับหล่อนที่นั่งก้มหน้าอยู่ กินอะไรมายัง จะกินอะไรไม่ หล่อนคล้ายกับพยักหน้านั้นเหมือนเป็นคำตอบของหล่อน ข้าเลยหันหลังเดินเข้าไปยังในครัว...
คุยกับเรียมก่อนซิ เสียงหล่อนกลับเอ่ยขึ้นเมื่อข้ากำลังจะเดินไป
ได้...ได้ซิ ข้าเดินวนกลับเข้าไปนั่งใกล้เธอบนโซฟาตัวยาว
นัยน์ตาของหล่อนแดงกล่ำคล้ายน้ำตากำลังจะปริ่มล้น เรียมท้อง น้ำเสียงแห้งผากหล่อนมันมีความหมายแห้งแล้งจนหัวใจข้าสั่นหวิวรู้สึกเย็นชาไปทั้งตัว คำถามมากมายเกิดขึ้นในห้วงความคิด...
ข้าหันหน้ามองเธอที่พยายามหลบตา แต่ข้าเองก็ได้เพียงนิ่งอึ่งด้วยสีหน้าเชือนๆ พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ จนเมื่อหล่อนโน้มใบหน้ามาซบตรงอกพร้อมกับบ่อน้ำที่ทะลักออกมา มันไปแล้ว ไอ้ผู้ชายนั่นเฮงซวยมันไม่รับผิดชอบ หล่อนระบายออกมาพร้อมกับสะอื้น
ร้อยยิ้มของหล่อนคือสิ่งสวยงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ ต่อของมีค่าทุกสิ่งในโลกนี้ถูกนำมาหลอมรวมกันมันไม่ได้สำคัญเท่ากับหยาดน้ำตาเพียงหยดของหล่อนที่หลั่งริน ข้าจะยอมนอนราบกองกับพื้นดินกลายเป็นเศษฝุ่นผงธุลีให้ผู้คนเหยียบย้ำ และจะยอมรับจมปลักกับความเจ็บปวดในทุกๆ เสี้ยววินาทีที่หายใจ...แค่เพียงเพื่อได้เห็นหล่อนมีความสุข แค่เพียงหล่อนจะไม่ต้องอายใคร
หล่อนถูกสร้างขึ้นมาด้วยความรัก...และจะยังคงดำรงอยู่ด้วยสายใยแห่งความรักกับสายสัมพันธ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ข้ารู้ดีว่าสักวันนึ่งหล่อนจำเป็นต้องเดินจากข้าไป และข้าไม่ควรเหนี่ยวรั้งในหนทางที่หล่อนควรมีสิทธิ์เลือก ข้าได้แต่ยืนมองหล่อนเดินห่างออกไปวันนั้น...ข้าได้แต่หวังว่าเขาคนนั้นที่หล่อนเลือกคงจะเป็นคนดีและจะรักหล่อนได้เท่ากับที่ข้ารัก
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ คำถามมากมายที่ประดั่งถาโถมอยู่ในสมองหล่อนปล่อยให้มันคั่งค้างอยู่อย่างนั้น น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเป็นเพียงถ่อยคำที่เอ่ยปลอบโยนเท่าที่พอจะทำได้
ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว ข้าเอามือลูบผมอันเปียกปอน แล้วเอ่ยปลอบหล่อนซ้ำๆ ด้วยถ่อยคำที่แสนจะน้ำเน่า ข้าน่าจะมีประโยคหรือถ่อยคำอะไรที่มันดีกว่านี้ เสียงสะอื่นร้องไห้ของหล่อนทำให้ข้าเองก็อดกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่อยู่ เพราะแค่ปลายนิ้วของหล่อนข้ารักมันมากยิ่งกว่าชีวิตของข้า ตอนหล่อนอยู่กับข้า หล่อนไม่เคยมีแม้รอยขีดข่วน หรือถ้าอาจจะมีบ้าง...ก็เป็นไปด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ ข้าไม่ชอบเอาเสียเลยกับอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันทำให้ข้าดูเหมือนคนอ่อนแอบ่อน้ำตาตื่นอะไรเทือกนั้น นี่เป็นหนที่สองเท่านั้นสำหรับในชีวิตข้าจากที่เริ่มจำความได้ กับหนแรกคราวนั้นที่ข้าเผลอร้องไห้ออกมาในวันที่หล่อนจากไป
จนเมื่อเสียงสะอื้นของหล่อนเงียบลง แล้วเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ข้าเอียงคอหล่อนลงมาหนุนตัก
ตักของข้ามันเป็นที่ที่หล่อนเองเคยบอกว่าทำให้หล่อนรู้สึกปลอดภัยที่สุดเมื่อได้นอนอยู่ตรงนี้ แต่หล่อนก็ได้หนีหายไปหลายปี
ข้ามองลงไปในดวงตางของหล่อนที่หลับใหล ทำให้ข้านึกย้อนถึงตอนเจอหล่อนครั้งแรกที่โรงพยาบาล ตอนนั้นข้ายืนมองหล่อนอยู่นานโดยหล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ริมฝีปากบอบบางกับนัยน์ตาปิดแนบสนิทของหล่อน คล้ายกับทำให้ข้าเหมือนต้องมนต์สะกดยืนตะลึงงันอยู่ในความฝัน หล่อนทำให้ข้ารู้จักและเข้าใจกับคำว่า...รัก หล่อนทำให้หัวใจด้านชาได้ลิ้มรสสัมผัสกับไออุ่นที่ชุ่มช่ำ หล่อนทำให้เหล็กเข็งกระด่างอย่างข้าอ่อนหยวบอย่างกับปุยนุ่น หล่อนทำให้ข้ารู้คำตอบว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ข้าได้เคยให้สัญญากับตัวเองจากวินาทีนั้นว่าผู้ชายไม่เอาไหนคนนี้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและจะคอยดูแลเธอตราบเท่าที่ลมหายใจของข้าจะยังคงมีอยู่
คำมั่นสัญญาในวันนั้นกลับมาดังก้องอยู่ในหัวข้าอีกครั้ง เลือดบ้าเหมือนเมื่อครั้งวัยหนุ่มถูกสูบฉีดจากหัวใจไหลพล่านผ่านเส้นเอ็นไปทั่วทั้งร่าง ไม่ต้องรอเวรกรรมที่ไหนหรอกข้านี่เหละจะสั่งสอนไอ้เลวให้มันหลาบจำ ข้าจะกระชากคอเสื้อของมันแล้วกะซวกมีดเสียบท้องไอ้นรกนั่นให้ทะลุ ให้ตับไต๋ไส้พุงโสโครกของมันล้นทะลักออกมา ข้าจะยืนดูมันล้มลงกราบแทบเท้าลนลานร้องขอชีวิต ในเมื่อมันทำให้หล่อนมีน้ำตาข้านี่เหละจะทำให้มันร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด
ฝ่ามือใหญ่หนาหยาบกร้านของข้าเตะลงบนหน้าผากของหล่อน ถ้าหากว่ามันทำให้เอ็งเจ็บ...อีเรียม มันก็ต้องเจ็บกว่าเอ็งอีกหลายเท่า ข้าให้สัญญา... ข้าก้มลงกระซิบข้างๆ หูของหล่อนที่หลับใหล
__________
ข้าก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่ เสื้อลายดอกสีแดงกับกางเกงยีนสีซีดตัวเก่าทำให้ข้ารู้สึกกระชุ่มกระชวยเหมือนครั้งตอนเป็นหนุ่ม ก่อนจะแกะผ้าขาวม้าผูกไว้กับเอวเอามาเช็ดหน้าเพราะเหนื่อยล้าจากการนั่งรถเข้ากรุงเทพมาเกือบทั้งคืน แล้วไม่ลืมที่จะลองใช้มือลูบคลำตรงเอวจับดูว่ามีดพกที่เอามาด้วยว่ามันยังอยู่
มีดพกอันนี้ทำให้นึกหวนถึงวีรกรรมคราครั้นนั้นเมื่อตอนหนุ่มแน่น ข้าไล่ตะเพิดไอ้หนุ่มบ้านใต้ที่ริมาทำเบ่งต่างถิ่นเสียจนตะเพิดตะเพิง มันใช้ปืนค้อนที่พกมาจ่อยิงหัวข้า...แต่ข้ากลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่สักนิด เอ็งกล้าเอ็งก็ยิง...ยิงเลย...ยิงสิ...ยิง... ข้าขู่ตะวาดดังลั่นจนไอ้หนุ่มต่างถิ่นหน้าเสีย ไม่กล้าแม้แต่จะเหนียวไก แล้วเมื่อข้าล้วงมีดพกออกมาบ้าง คราวนี้มันถึงกับวิ่งหนีหางจุกตูดแทบไม่ทัน ชื่อเสียงคำเลื่องลือความเป็นนักเลงของข้าดังไปทั่วทั้งหมู่บ้าน นึกถึงหนนั้นแล้วความหึเหิมมันลุกโชนขึ้นมาหลายเท่าตัว
แต่ปัญหาของข้าในตอนนี้คือข้ายังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้หมอนั้นเลย อย่างแรกที่ข้าต้องทำ คือต้องรู้ให้ได้ก่อนว่ามันเป็นใคร อยู่ที่ไหน ชื่ออะไร
ข้าจากเรียมมาโดยไม่ได้บอกล่าว ทิ้งไว้แค่กระดาษใบเล็กๆ เขียนบอกว่าข้าไปธุระในเมืองสักสองวัน ทั้งๆ ที่ตอนนี้ข้ากำลังเดินเข้าไปยังอพาร์ทเม้นท์สูงแปดชั้นเพื่อไปหาเด็กสาวที่ชื่อแก้ว โดยอีแก้วนั้นเป็นเพื่อนกับอีเรียมตั้งแต่ตอนสมัยเรียนมัธยม ข้าคิดไปเองว่าหล่อนน่าจะพอรู้เกี่ยวกับไอ้ผู้ชายคนนั้นบ้าง
ประตูด้านหน้าอพาร์ทเม้นท์ใช้ระบบคีย์การ์ด ข้ายืนรออยู่สักพักฉวยจังหวะเวลามีคนเข้าออกเดินเข้าไปในอาคาร ถึงแม้อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้จะมีลิฟต์แต่ข้าก็เลือกจะเดินขึ้นไปชั้นแปดโดยใช้ขั้นบันได เทคโนโลยีทันสมัยดูจะไม่ค่อยเหมาะกับข้าเท่าไหร่ ข้ายังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ แม้กระทั้งตอนย่างเท้าเดินขึ้นบันไดเลื่อนในห้าง
ตลอดทางที่เดินขึ้นมาทุกก้าวย่างขั้นบันได ข้ายังรู้สึกพะว้าพะวงอยู่ลึกๆ เพราะความจริงข้าเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับอีแก้วมากนัก ครุ่นคิดถึงระยะเวลาความเนิ่นนาน ข้าไม่ได้เจอกับหล่อนมาตั้งหลายปี บางทีข้าอาจเป็นคนแปลกหน้าสำหรับหล่อน แต่ทางเลือกก็ดูจะมีไม่มากสำหรับข้า ข้ายืนเคาะประตูอยู่สักพักก่อนหล่อนจะเปิดประตูออกมา ข้าได้แต่หวังว่าหล่อนคงจำข้าได้ สวัสดีค่ะคุณ... แล้วหล่อนก็จำชื่อข้าไม่ได้จริงๆ แต่ยังโชคดีหลังจากที่หล่อนใช้เวลานึกอยู่สักช่วงอึดใจก็เริ่มพอจำหน้าข้าขึ้นมาได้ ฮ่อ...เรียมไม่ได้อยู่นี้แล้วค่ะ มาหาเรียมหรือค่ะ
ข้าพยักหน้าเชิงเข้าใจด้วยสีหน้าราบเรียบ มาหาเอ็งนั้นแหละ...อยากถามอะไรหน่อย
เข้ามาข้างในก่อนค่ะ หล่อนเปิดประตูออกกว้างรีบเชื้อเชิญข้าเข้าไปนั่งด้านใน มีเรื่องอะไรเหรอค่ะ คำพูดของหล่อนทุกคำถึงมีความหมายเป็นกันเอง แต่ก็ยังมีท่าทีแสดงออกถึงความเหินห่างอย่างเห็นได้ชัด
ห้องเล็กๆ ที่มีพื้นไม่กี่ตารางเมตร เตียงอันใหญ่วางอยู่กลางห้องกินพื้นที่เกือบทั้งหมดไปแล้ว มีชั้นวางทีวีอยู่ปลายเตียง ใกล้ๆ กับหัวเตียงมีโต๊ะคอมพิวเตอร์กับตู้เสื้อผ้า ถัดไปเกือบสุดทางออกตรงระเบียงด้านหลังที่เป็นบานกระจก ก็มีห้องน้ำ แต่ในห้องข้าวของทุกอย่างก็ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าเคยมาที่นี่ครั้งสองครั้งเมื่อหลายปีก่อน ตอนอีเรียมยังพักอยู่กับอีแก้วในห้องนี้ แต่เมื่อสามปีที่แล้วอีเรียมได้แยกย้ายไปอยู่ที่อื่น หลายอย่างในห้องอาจดูแปลกตาไปบ้าง อย่างทีวีครั้งที่ข้ามาหนก่อนยังเป็นทีวีสิบสี่นิ้วรุ่นเก่าอยู่เลย แต่ที่เห็นตั้งอยู่ตอนนี้เป็นจอแบนรุ่นใหม่ไปแล้ว ข้านั่งขัดสมาธิลงกับพื้นห้องซึ่งก็ดูสะอาดสะอ้านโดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง เอ็งพอจะรู้ไม่ว่าเรียมคบอยู่กับใคร ข้าถามเอ่ยถามหล่อนตรงๆ โดยไม่คิดจะอ้อมค้อม
เออ... น้ำเสียงของอีแก้วดูลังเล
บอกมาเถอะ
มีอะไรหรือเปล่าคะ
ข้าใช้เวลาอธิบายกับหล่อนอยู่สักพัก โดยข้าไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับหล่อน เพราะเท่าที่ข้าสักเกตอีแก้วเองก็คงยังไม่รู้เรื่องที่อีเรียมท้อง ข้าเฉไฉบอกเหตุผลกับหล่อนไปว่าข้าบังเอิญไปรู้เรื่องมา ดูเหมือนอีเรียมจะมีเรื่องทะเลาะกับแฟน ข้าเลยอยากอาสาไกล่เกลี่ยคุยกับคนคนนั้นด้วนเหตุผล
ถึงอีแก้วจะยังดูไม่ค่อยเชื่อ การโกหกอาจไม่แนบเนียนนักสำหรับคนบ้านนอกอย่างข้า ยังมีข้อพิรุธที่ดูน่าแคลงใจหลายอย่างสำหรับหล่อน กะไอ้แค่เรื่องหนุ่มสาวทะเลาะกันทำไมข้าจึงต้องดั้งด้นมาถึงที่นี่ แล้วทำไมข้าไม่ลองถามสืบเซาะเรื่องชายคนนั้นกับอีเรียมเอง อุตสาห์แบกหน้ามาถามหล่อนทำไม ข้าได้แต่กลบเกลื่อนเรื่องทั้งหมดไปอย่างข้างๆ คูๆ และอีแก้วเองก็ดูจะยังไม่ค่อยคล้อยตามจากเรื่องที่ข้าบอกหล่อนนัก
แก้วไม่ได้เจอกับเรียมปีกว่าแล้วนะค่ะ แต่เรียมเค้าเป็นคนสวยนิค่ะเลยมีหนุ่มมาจีบเยอะ หล่อนบอกกับข้าอย่างทีเล่นทีจริง
ข้าไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่หล่อนพูดนัก แต่ก็ยังยิ้มรับเชือนๆ ตีสีหน้าเรียบเฉยไปตามน้ำ ข้าไม่ได้พูดอะไรตอบโต้กับหล่อน แต่นัยน์ตาคล้ายกลับอ้อนวอนขอให้หล่อนเอ่ยพูดต่อ สีหน้าของอีแก้วดูยิ่งอึดอัดใจขึ้นตามลำดับ เอ่อ...เท่าที่เห็นคนที่เรียมเค้าจริงจังก็น่าจะเป็นพี่วุฒิค่ะ
คนที่เรียมจริงจังมันหมายความว่ายังไง ข้ารู้สึกค้านขึ้นมาในใจ เพราะว่าข้ารู้ดีว่าอีเรียมไม่ใช่คนอย่างนั้น ความจริงแล้วในช่วงเวลาแบบนี้กับอารมณ์แบบนี้ข้าอยากจะล้วงถุงใบจากยาเส้นในกระเป๋ากางเกงออกมาม้วนสักมวนให้หายอึดอัด แต่ด้วยความสะอาดสะอ้านในห้องของหล่อนยิ่งทำให้ข้ารู้สึกเกรงใจ ข้าเก็บความอยากเอาไว้แล้วพุ่งตรงไปยังคำถามจุดประสงค์หลักที่ต้องมา อีแก้ว แล้วเอ็งพอมีรูปกับที่อยู่ของไอ้หนุ่มนั่นไม่
ค่ะ... สีหน้าของอีแก้วยิ่งดูสงสัย ความจริงแล้วข้าควรขอเบอร์โทรซิ แค่โทรคุยกันก็น่าจะพอแล้ว หล่อนคงคิดว่าข้าจะไปยุ่มย่ามอะไรนักหนากับเรื่องที่ดูไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด
ข้าบอกกับอีแก้วไปว่าข้าเป็นห่วงอีเรียม...โทรไปเท่าไรก็ติดต่อไม่ได้ ข้าไปหาอีเรียมที่ห้องใหม่ของหล่อนมาแล้วก็ไม่มีคนอยู่
ทุกอย่างเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ อีแก้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ทีวีแล้วกดเบอร์โทรไปหาเรียมแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนอย่างที่ข้าบอก ความจริงข้ารู้อยู่แล้วว่าโทรศัพท์ของอีเรียมปิดเครื่องอยู่ตั้งแต่เมื่อวาน ไม่มีทางที่อีแก้วจะสามารถติดต่อได้ ข้าคิดไปเองว่าอีเรียมคงไม่อยากให้ไอ้หมอนั่นโทรมาตามตอแยในตอนนี้
สุดท้ายอีแก้วก็ยอมให้ข้าดูรูปในเครื่องโทรศัพท์ของหล่อน มันเป็นรูปตอนสมัยเรียนมหาลัย รูปถ่ายของคนสองคนที่ถ่ายคู่กัน อีเรียมกับชายอีกคนที่ข้าพอจะเดาออกว่าเป็นใคร ส่วนที่อยู่แก้วไม่รู้หรอกค่ะ
ช่วยหน่อยได้ไม่ น้ำเสียงของข้าเอ่ยพูดออกมาอย่างอ้อนวอน
อีแก้วยิ่งมีสีหน้าดูลำบากใจเข้าไปอีก อาจเป็นด้วยความสงสาร หรืออาจจะเป็นด้วยความสมเพช หรือบางทีหล่อนอาจจะเพียงอยากทำให้เรื่องวุ่นๆ ของไอ้แก่บ้านี่จบๆ ไปซะที สุดท้ายอีแก้วก็ลุกขึ้นเดินไปคุยโทรศัพท์ยังระเบียงหลังห้อง แล้วหล่อนก็กลับมาพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งเขียนถึงชื่อที่ทำงานของชายชื่อวุฒิ รวมถึงรูปถ่ายรูปนั้นในเครื่องโทรศัพท์ที่หล่อนเอาไปพริ้นกับไอ้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นภาพให้ข้าอีกรูป
__________
แสงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำเข้าสู่ช่วงเย็น ข้านั่งรอมันตั้งแต่ตอนเที่ยงอยู่ตรงแนวระเบียงข้างถนนที่เขาเอาไว้ปลูกต้นไม้ติดกับป้ายรถเมล์ข้างๆ ตู้โทรศัพท์ สายตาของข้าจับจ้องผ่านถนนอีกฝั่งมองไปยังตึกสูงด้านหน้าตามที่อยู่ที่ได้มา เฝ้ารอลุ้นระทึกที่จะได้เห็นหน้าตาของชายชื่อวุฒิเดินออกมาสักที ข้าแกะผ้าข้าวม้าผูกเอวออกมาเช็ดเหงื่ออีกครั้งพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อยิบรูปของมันขึ้นมาดู ชายผิวขาวสูงโปร่งใบหน้าของมันดูเป็นรูปไข่ กับไฝเม็ดเล็กๆ บนจมูก ยิ่งมองไอ้เลวนี่นานๆ ยิ่งทำให้ข้าคิดถึงใบหน้าเศร้าหมองของเรียมกับคำที่หล่อนบอก...เรียมท้อง มันยังคงดังก้องอยู่ในรูหูของข้าทั้งข้าง ข้าเอามือลูบคลำมีดพกอีกหน
ผู้คนแต่งชุดสวยหลากสีดูจะเดินผ่านไปมาอย่างกวักไขว่ ข้ายังไม่กินอะไรตั้งแต่เช้าเพราะไม่ได้รู้สึกหิวถึงท้องจะคอยร้องเตือนอยู่ตลอดเวลา มีเพียงไอควันกรุ่นๆ คระฟุ้งของมะเร็งกับน้ำเท่านั้นที่คอยดับกระหาย เศษท้ายใบจากถูกทิ้งกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นข้างๆ เท้า ข้าสังเกตเห็นถึงสายตาพวกหนุ่มสาวบางคนที่จ้องข้าอย่างสงสัย ว่าไอ้แก่บ้านี้มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ ข้านั่งนิ่งอยู่กับที่แทบจะไม่ได้ขยับก้นไปไหน จะมีบ้างก็ตอนแหนคอคอยมองเวลามีชายคล้ายคนในรูปเดินออกมา แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบเชียบและดูไร้วี่แววของไอ้หมอนั่น
เมื่อเข้าช่วงพลบค่ำแสงไฟตามถนนต่างติดสว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน พื้นปูนคอนกรีตที่ดูดซับความร้อนมาทั้งวันยิ่งทำให้รู้สึกอบอ่าว ข้ายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม จนเห็นชายใส่เสื้อเชิ้ตผิวขาวดูสูงโปร่งคล้ายกับคนที่ข้ารอก็เดินออกมา ข้าภวนาด้วยความหวังขอให้เป็นไอ้เลวนั่นสักที มันข้ามถนนมายังฝั่งป้ายรถเมล์ ข้าลุกขึ้นจากที่นั่ง ยืนหยั่งเชิงแหนมองอยู่สักพัก แล้วทำทีเดินเข้าไปใกล้ๆ มันเดินผ่านสวนข้าไป เลยทำให้ข้าเห็นไฝเม็ดเล็กๆ บน จมูกของมัน สมองประสาทสั่งงานอย่างปราดเปรียวข้าจึงรีบเดินสาวเท้าเร็วไปดักหน้ามันเอาไว้
เอ็งชื่อวุฒิใช่ไม่ ข้าถาม
คุณรู้จักชื่อผมได้ไง
เลือดบ้าวัยหนุ่มมันเตกพล่านไปทั่วทั้งร่างข้าอีกครั้ง ข้ากำหมัดเอาไว้แน่น แล้วก็เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าเต็มหน้าของมันอย่างไม่รีรอ ริมมุมแก้มของมันบิดเบี้ยวยามกระทบกับสันหมัด ใบหน้าของมันสะบัดตามแรงเหวี่ยงสุดแรงแขนที่ข้ามี
อะไรกันวะไอ้แก่ มันจ้องหน้าข้าเขม่ง แล้วก็วิ่งพรวดเข้ามาเหวี่ยงหมัดใส่หน้าข้าบ้าง... เหมือนพายุลูกโตหมุนติ้วกระโชกแรง ข้าผงะถอยล้มลงในทันที ศีรษะของข้ากระแทกกับพื้น เสียงดังกึกก้องอยู่ในหัวราวกับถูกโยนลงจากตึกสูง ข้ารู้สึกเหมือนน้ำสีแดงข้นค่อยๆ แฉะไหลไปเป็นทาง ดวงตาของข้าเริ่มเหม่อลอยติดอยู่ในภวังค์กึ่งความฝันกึ่งความจริง กึ่งความฝันกับวันที่ข้าได้เจอกับอีเรียมครั้งแรกในวันนั้น...คำมั่นสัญญาที่ข้าได้เคยให้ไว้กับหล่อน กับกึ่งความจริงที่ไอ้ชั่วยังยืนอยู่ตรงหน้า ลมหายใจกระเพื่อมของข้ามันจะยังหยุดนิ่งไม่ได้ ตราบเท่าไอ้ชั่วนั่นมันยังไม่รู้สำนึก ข้าได้แต่ย้ำกับตัวเองว่าหัวใจเก่าๆ อ่อนระโหยโรยแรงมันจะยังหยุดเต้นไม่ได้...มันยังไม่ใช่ตอนนี้
คุณบ้าเปล่า คุณต้องการอะไร มันพูดด้วยท่าทางโวยวาย จ้องตาแลข้าที่ล้มกองกับพื้นอย่างงุนงง พร้อมกับสายตาของผู้คนโดยรอบกรีดเสียงหวี๊ดว๊ายด้วยความตกใจ ตั้งวงมุงล้อมจับจ้องมายังเราทั้งสองคน
ข้าเอามือข้างหนึ่งค้ำกับพื้นค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับมืออีกข้างเตรียมพร้อมเอาไว้ทุกเมื่อสำหรับการชักมีดพกออกมา เอ็งจะไม่รับผิดชอบอีเรียมใช่ไม่ ข้าขอแค่คำตอบที่จะทำให้ข้าเอามีดแทงเข้าท้องมันอย่างไม่รู้สึกผิด
คุณเป็นใคร สีหน้าของมันเริ่มเปลี่ยนท่าทีเมื่อได้ยินชื่อของเรียม ไอ้ชั่วอย่างมันคงจะพอเริ่มรู้สึกตกใจขึ้นมาบ้าง เมื่อสันดารเลวๆ ของมันกำลังจะถูกเปิดเผย
เอ็งจะรับผิดชอบไม่
เธอเป็นคนบอกเลิกผมเองแล้วคุณจะให้ผมรับผิดชอบอะไร
เธอท้องสามเดือนแล้วนี่เอ็งยังมาหน้าซื่อ แล้วพูดพล่อยๆ ว่าเอ็งไม่รู้เหรอ
ผมจะไปรู้ได้ไงก็ผมเลิกกับเธอเกือบสองปีแล้ว
เอ็งโกหก ถึงข้าจะเริ่มแคลงใจขึ้นมาบ้าง แต่ไอ้ชั่วอย่างมันคงจะเพียงเอ่ยคำโกหกจนเป็นสันดารไปแล้ว
แล้วผมจะโกหกคุณทำไม คุณไปถามเรียมก็ได้
ข้านิ่งอึ่งมองหน้ามันและลึกเข้าไปในแววตาของมัน ใช้เวลาช่วงอึดใจตรึกตรองและคิด ริมฝีปากของข้าเหมือนมีเข็มผูกด้ายเย็บติดเอาไว้
ผมว่าคุณกลับไปถามเรียมให้ดีก่อนดีกว่า...ว่าเธอท้องกับใคร
ทั้งชีวิตของข้าไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรมที่ไหนข้าไม่เคยเกรงกลัวใครทั้งนั้น ทุกคนที่รู้จักข้า ต่างก็รู้ดีว่าเวลาเลือดบ้าของข้ามันแตกพล่านแล้วสุดท้ายมันจะจบยังไง แม้แต่ครานั้นที่มีปืนมาจ่ออยู่ตรงหัวข้า...ข้าก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด แต่ทำไมกับหนนี้แค่เพียงคำพูดไม่กี่คำกลับทำให้ข้าถึงกับรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มือไม้แข้งขาของข้ามันรู้สึกเย็นชาไปหมด ข้าไม่ได้เตรียมใจเอาไว้กับสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด ความห้าวหาญเหมือนถูกเผามลายไปจนสิ้น ข้าได้แต่ยืนเงียบเพราะนึกไม่ออกถึงเหตุผลที่มันจำเป็นต้องโกหก ถ้าหากว่ามันจะโกหกเพื่อเอาตัวรอดก็คงไม่ใช่...ข้าแน่ใจว่ามันไม่ได้เห็นมีดที่ข้ากำลังจะชักออกมา มันเหมือนคนที่กำลังถือไพ่เหนือกว่า ถ้าหากดวนหมัดกันอีกครั้งไอ้แก่อย่างข้าคงไม่มีแรงพอสู้คนหนุ่มอย่างมันได้
ถ้าหากว่ามันจะโกหกเพื่อการรักษาหน้ากับกลุ่มคน ทำไมมันถึงไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับอีเรียมไปเลยละ ข้าย้อนนึกถึงเรื่องที่อีแก้วบอกว่าไม่ได้เจอกับอีเรียบปีกว่าแล้ว เลือดบนศีรษะไหลรินปาดใบหน้ามาตามโหนกแก้ม ข้าปล่อยมือจากมีดที่กำลังจะชักออกมา รู้สึกตัวเองอ่อนเรี่ยวอ่อนแรงไปหมด ข้าได้แต่ยืนมองมันหันหลังเดินฝ่าผู้คนจอแจที่ล้อมวงดูออกไปด้วยหัวใจวาบหวิว นาทีนั้นเองที่ร่างกายของข้ามันดูแก่ชราไปตามกาลเวลาอย่างบอกไม่ถูก
จากคุณ |
:
อิดดาเรส
|
เขียนเมื่อ |
:
วันพ่อแห่งชาติ 55 13:47:42
|
|
|
|