Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Dead Poet Part 15 : พระของพ่อ vote ติดต่อทีมงาน

Dead Poet Part 15  พระของพ่อ

  รัตติกาลนี้ หากมีใครสักคนเข้ามาในคอนโดที่ผมอาศัยอยู่ เมื่อเปิดประตูห้อง 1506 เข้ามา เขาจะพบร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาดี อายุ 20 ปี นอนนิ่งอยู่บนเตียงในชุดนักศึกษา ในมือขวาของชายหนุ่มคนนั้น กำรูปถ่ายของหญิงสาววัยไล่เลี่ยกันไว้แน่น ร่างที่อยู่ตรงนั้นดูสงบ  ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกก็ไม่มี

ผมยืนมองดูศพตัวเองอยู่นาน ความตายนี่มันช่างง่ายดายเหลือเกิน เพียงยานอนหลับไม่กี่สิบเม็ด ก็ส่งวิญญาณผมออกจากร่างได้แล้ว ผมลองมานึกทบทวนอีกที ผมน่าจะเลือกวิธีการตายให้มันดูทรมาน หรือน่าสังเวชกว่านี้อีกหน่อย เผื่อแฟนผมจะได้รู้สึกผิดบ้างที่เธอทิ้งผมไป

ผมมองเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวินาที บางคนอาจคิดว่าความตายสามารถทำให้เราลืมความเจ็บปวดในชีวิตได้ทุกอย่าง ความตายคือจุดสิ้นสุดของความทุกข์ แต่ผมอยากบอกพวกเขาจริงๆว่า ความตายมันไม่ได้ช่วยบรรเทาอะไรผมเลย ผมยังคงรู้สึกเศร้า ยังมีบาดแผลในจิตใจ แต่ผมไม่ได้รู้สึกกลัว หรือเสียใจแม้แต่น้อย กับการเลือกใช้ชีวิตหลังความตาย เพราะหากผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไร้ความรัก สำหรับผมแล้วมันก็เหมือนกับคนที่ไร้หัวใจและไร้ชีวิตอยู่ดี

เมื่อชีวิตพบกับความตาย มันทำให้ผมไม่มีจุดหมายปลายทางอีก ผมเริ่มรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี มองไปรอบๆห้อง เหลือบไปเห็นอัลบั้มรูปวางอยู่บนชั้นหนังสือ ผมจึงหยิบมันลงมานั่งเปิดดูไปเรื่อยๆ ผมเห็นภาพตัวเองถ่ายร่วมกับกลุ่มเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ภาพของผมกับแฟนซึ่งถ่ายไว้เมื่อตอนไปเที่ยวน้ำตกด้วยกัน ผมยังจำเรื่องราวต่างๆ ในภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ราวกับนั่งดูบันทึกชีวิตอันแสนสั้นของตัวเอง มันไม่ได้ทำให้ผมเศร้าเสียใจมากขึ้น แค่เพียงเสียดายวันเวลาเก่าๆตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น

มือที่ไร้เลือดเนื้อของผมพลิกเปิดอัลบั้มไปจนเจอภาพหนึ่ง เป็นภาพของผมกับพ่อกำลังดีใจกันหลังจากที่เราสองคนเก็บกล้วยในสวนได้เต็มตระกร้า ผมยืนยิ้มร่าชูสองนิ้ว ส่วนพ่อถือกล้วยน้ำว้าไว้ในมือข้างละหวี รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อสองปีก่อน เป็นภาพสุดท้ายที่ผมกับพ่อได้ถ่ายร่วมกัน ก่อนที่ผมจะเดินทางเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ
ทันทีที่เห็นภาพนั้น ทำให้ผมนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

‘สร้อยพระของพ่อ!’

ผมรีบวางอัลบั้มรูปลง กลับไปที่เตียงและเปิดลิ้นชักหัวเตียงออก หาสร้อยพระที่เก็บอยู่ในนั้น แต่ทันทีที่มือผมสัมผัสถูกสร้อยพระ ผมกลับรู้สึกปวดแสบปวดร้อนราวโดนไฟบรรลัยกัลป์แผดเผาวิญญาณ ผมรีบกระโดดถอยออกมาห่างจากที่นอน เพื่อตั้งหลักก่อน

‘ลืมไป! เรากลายเป็นผีไปแล้วนี่หว่า แล้วจะหยิบสร้อยพระได้ยังไงวะ’  

ผมกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม ครุ่นคิดหาวิธีการจะนำสร้อยพระกลับไปคืนพ่อให้ได้ เพราะพ่อบอกว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของสำคัญมากที่สุดในชีวิตพ่อ เป็นสิ่งที่ทำให้พ่อมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ แต่จะทำยังไงดี เพราะผมก็กลายเป็นผีไปซะแล้ว  

ตอนมีชีวิตอยู่ ผมเป็นคนชอบดูหนังผีมาก แต่ในหนังกลับไม่เคยสอนวิธีการใช้ชีวิตแบบผีเลย พอได้มาเป็นจริงๆผมถึงได้รู้ว่า เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมากกว่า เพราะวิญญาณจริงๆแล้วหายตัวไปไหนไม่ได้ เดินทะลุกำแพงก็ไม่ได้ ส่องกระจกดูหน้าตัวเองก็มองไม่เห็น และไม่มีอิทธิฤทธิ์วิเศษใดๆทั้งสิ้น
 
ระหว่างที่นั่งคิดอยู่นั้น ผมนึกถึงเพื่อนซี้คนหนึ่งขึ้นมาได้ มันชื่อ ‘ไอ้วัจน์’ เป็นชายหนุ่มร่างท้วมเรียนคณะสถาปัตย์รุ่นเดียวกับผม มันเป็นวัยรุ่นยุคใหม่ที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์เป็นอย่างมาก ทั้งดูดวง พิสูจน์บ้านผีสิง หรือคนทรงเจ้า มันเคยลองมาหมดแล้ว ดังนั้น ไอ้วัจน์ นี่ล่ะคือเป้าหมายเดียวที่จะเป็นผู้ช่วยผมในเรื่องนี้

หลังจากคิดแผนการไว้ในหัวแล้ว ผมเปิดประตูวิ่งออกจากห้อง ขึ้นรถเมล์สายประจำไปลงที่หน้าบ้านไอ้วัจน์ โดยมีเสียงหมาเห่าหอนต้อนรับผมอย่างเอิกเกริก

บ้านของไอ้วัจน์เป็นบ้านไม้สองชั้น ผมตะเกียกตะกายปีนขึ้นต้นไม้ กระโดดเข้าห้องนอนไอ้วัจน์ทางหน้าต่างที่เปิดไว้ ผมจะเจรจาขอร้องให้มันช่วยเหลือ โชคดีที่มันกำลังนอนหลับสบายอยู่เชียว ผมคิดอยากจะเข้าฝันมันก็ทำไม่เป็น แต่ผมจะลองใช้วิธีที่น่าใช้ได้ผลเหมือนกันดู

“เฮ้ย! ไอ้วัจน์...นี่ทศเองนะ” ผมนั่งลงบนเตียง แล้วพูดกระซิบข้างหูมัน “เรามีเรื่องให้นายช่วยว่ะ”

ไอ้วัจน์หลับสนิท แต่เริ่มขยับตัวเล็กน้อย

“ตอนนี้เราตายไปแล้ว ศพของเราอยู่ในห้องที่นายเคยไปน่ะ เราอยากให้นายช่วยไปเอาสร้อยพระที่อยู่ในลิ้นชักตรงหัวเตียงเรา กลับไปคืนพ่อเราให้หน่อยได้ไหม?”

“อื้อ.. แล้วพ่อนายอยู่ที่ไหนล่ะ?” ไอ้วัจน์ละเมอพูดออกมาช้าๆ ผมยิ้มและบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมถึงเส้นทางไปบ้านพ่อให้มันฟัง

“ไอ้วัจน์ แต่นายอย่าบอกพ่อเรานะ ว่าเราฆ่าตัวตาย เรายังไม่อยากให้พ่อรู้ตอนนี้ว่ะ” ผมกำชับมัน

“เออๆ นายไปได้แล้ว...ขอนอนต่อก่อน” มันตอบ แล้วพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้าน

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่มุมห้องของไอ้วัจน์ มองเข็มนาฬิกาที่หมุนวนไปอย่างช้าๆ รอเวลาให้ผ่านไป

เช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้วัจน์สะดุ้งตื่น มันลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงซักพัก ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือกดหาใครคนหนึ่ง แต่เหมือนปลายสายไม่รับ มันทำหน้างุนงงเหมือนครุ่นคิดอะไรซักอย่าง จากนั้นมันรีบลุกจากเตียง อาบน้ำแต่งตัว ก่อนขับรถเก๋งคันเก่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว

ผมนั่งรถมากับไอ้วัจน์จนถึงหอพักของผม มันเปิดประตูห้อง 1506 ออกง่ายดาย เพราะผมไม่ได้ล็อกกลอนไว้ มันตะโกนเรียกชื่อผม และเดินตรงไปยังร่างของผมที่นอนอยู่บนเตียง จับชีพจรตรงข้อมือ และใช้มืออังที่จมูกของร่างนั้น  

“เฮ้ย! เรื่องจริงด้วยว่ะ” มันพึมพัมกับตัวเอง สีหน้าไอ้วัจน์ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด “ทศวิญญาณนายยังอยู่ในห้องนี้ใช่ไหม เราเชื่อเรื่องที่นายเข้าฝันเราเมื่อคืนนะ เดี๋ยวเราจะเอาสร้อยพระนี้ไปคืนพ่อนายให้ นายไม่ต้องเป็นห่วงนะเพื่อน”  

ในที่สุดไอ้วัจน์หาสร้อยพระจนเจอ    

หลังปฏิบัติการสำเร็จ มันออกจากห้องของผมอย่างรวดเร็ว ผมวิ่งตามมันไปขึ้นรถเพื่อออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานีถิ่นฐานที่ผมจากมา


เป็นเวลาเกือบค่ำ ผมกับไอ้วัจน์จึงเดินทางมาถึงที่หมาย บ้านพ่อผมอยู่ห่างจากตัวเมืองค่อนข้างมาก หนำซ้ำถนนหนทางยังขรุขระตลอดเส้นทาง

บ้านของพ่อ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว มีพื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา แต่มีที่ดินสิบกว่าไร่อยู่ข้างๆ ซึ่งพ่อทำเป็นสวนปลูกกล้วยน้ำว้าขาย ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เหมือนตอนผมยังอาศัยอยู่ที่นี่

“คุณลุง! คุณลุงครับ” ไอ้วัจน์ลงจากรถแล้วยืนตะโกนอยู่หน้าบ้าน ขณะที่ผมยืนอยู่ข้างๆมัน

“นั่นใคร? เอ็งมาหาใครเรอะ” เสียงที่คุ้นเคยของพ่อดังมาจากในบ้าน ก่อนพ่อจะเดินออกมาที่ประตูบ้าน
 
ใบหน้าของพ่อซูบตอบลงกว่าเดิมมาก พ่อยังใส่แว่นตาอันเก่า เส้นผมบนศีรษะก็เริ่มขาวและบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมดีใจที่เห็นพ่อยังดูสุขภาพแข็งแรงอยู่  

“ผมชื่อวัจน์ครับลุง เป็นเพื่อนของทศครับ” ไอ้วัจน์ยกมือไหว้ และตอบพ่ออย่างสุภาพ “พอดีทศเขามีของสำคัญฝากผมมาให้คุณลุงน่ะครับ”

“อ้าว แล้วทศอยู่ไหนล่ะพ่อหนุ่ม ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?” พ่อถามพลางมองหา

“เอ่อ..คืออีกสองสามวันทศต้องไปออกค่ายอาสาที่ต่างจังหวัดนานหลายเดือนเลยน่ะครับ พอมันรู้ว่าผมต้องมาเยี่ยมญาติที่อุบลฯ มันก็เลยฝากสร้อยพระเส้นนี้มาให้คุณลุงด้วยครับ” ไอ้วัจน์พูดติดๆขัดๆ พลางหยิบสร้อยพระออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ไหนๆ ขอลุงดูหน่อยพ่อหนุ่ม” พ่อเปิดประตูบ้านออกมา และรับสร้อยจากไอ้วัจน์มาดู “นี่มันสร้อยพระที่ลุงให้ทศไว้ก่อนจะไปกรุงเทพนี่”

“อ่อ.. ครับ” ไอ้วัจน์พยักหน้าเออออ

“เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าคุยกันในบ้านก่อนไหม? พ่อหนุ่ม” พ่อชวน “นี่มันดึกแล้ว ขับรถกลับตอนนี้น่ากลัวจะอันตราย”    

“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ผมโทรจองที่พักไว้แล้วครับ เดี๋ยวผมขับรถกลับไปนอนในเมืองดีกว่าครับ ไม่อยากรบกวนคุณลุง”

“งั้นพ่อหนุ่มอยู่คุยกับลุงซักประเดี๋ยวได้ไหม? ลุงอยากรู้ว่าทศอยู่ที่กรุงเทพฯเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า”
ไอ้วัจน์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลา ก่อนตอบพ่อ “งั้นก็ได้ครับคุณลุง”  

ผมและไอ้วัจน์เดินตามพ่อเข้าไปในบ้าน ท่านพระภูมิเจ้าที่อนุญาตให้ผมผ่านเข้าบ้านได้โดยสะดวก พ่อพาพวกเรามานั่งพักในห้องรับแขก

“เอ้า ดื่มน้ำซะก่อนนะพ่อหนุ่ม” พ่อวางแก้วน้ำบนโต๊ะรับแขก “เอ็งชื่ออะไรนะ เมื่อกี้ข้าไม่ทันได้ฟัง”

“ผมชื่อวัจน์ครับ เป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับทศ” ไอ้วัจน์ตอบพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างกระหาย ส่วนผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆไอ้วัจน์ มีพ่อนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“อยู่กรุงเทพลูกชายลุงเป็นอย่างไรบ้าง มันสบายดีใช่ไหม? ตั้งใจเรียนหรือเปล่า”

ไอ้วัจน์นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนตอบพ่อ “ทศมันก็สบายดีครับคุณลุง มันเรียนเก่ง ไม่ต้องเป็นห่วงมันนะครับ”

“ลุงไม่ห่วงมันไม่ได้หรอกพ่อหนุ่ม” พ่อตอบด้วยน้ำเสียงเบาลง “ลุงมีลูกอยู่คนเดียว ตอนนี้มันไม่อยู่บ้าน ลุงก็ได้แต่คิดถึงมันทุกวัน”

“ที่กรุงเทพมีแต่ของกินอร่อยๆครับคุณลุง สิ่งอำนวยความสะดวกก็เยอะ แถมทศก็อัธยาศัยดี มีเพื่อนคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว คุณลุงอย่าคิดมากนะครับ” ไอ้วัจน์พูดปลอบใจพ่อผม

“แล้วทศมันไปชอบใคร หรือมีใครมาชอบมันบ้างหรือยัง?”

คำถามนี้ทำเอาผมสะดุ้ง เพราะความรักทำให้ผมเป็นแบบนี้

“เอ่อคือ ..ผมก็เห็นวันๆมันก็เรียนอย่างเดียวนะครับ ก็..คงไม่มีเวลาไปชอบผู้หญิงคนไหนหรอกครับ” ไอ้วัจน์ตอบติดๆขัดๆ

“ได้ยินแบบนี้ลุงก็สบายใจ ขอบใจเอ็งมากนะพ่อหนุ่มที่อุตส่าห์เอาสร้อยพระเส้นนี้มาให้ สร้อยพระเส้นนี้มีความหมายกับชีวิตลุงมาก” พ่อเริ่มมีรอยยิ้ม หยิบสร้อยพระขึ้นพนมมือ แล้วสวมคอ “ถ้าไม่รบกวนเวลามากไป พ่อหนุ่มช่วยอยู่คุยเป็นเพื่อนลุงอีกซักหน่อยจะได้ไหม? ลุงมีเรื่องอีกเยอะเลยทีอยากจะเล่า”

ไอ้วัจน์มองสีหน้าที่กำลังอ้อนวอนของพ่อ ก่อนตอบรับ “ได้ครับคุณลุง”

ผมนึกขอบใจไอ้วัจน์ มันคงจะเห็นใจพ่อ จึงอยู่คุยเป็นเพื่อน ขณะที่ลูกชายอย่างผมทำได้แค่นั่งมอง ผมเพิ่งมารู้ตัวว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา ผมคุยกับพ่อน้อยมาก ถ้ามีโอกาสอีกซักครั้ง ผมก็อยากนั่งคุยกับพ่อแบบที่ไอ้วัจน์กำลังทำอยู่

พ่อเล่าความหลังให้ไอ้วัจน์ฟังว่า ตั้งแต่เกิดพ่อเป็นเด็กกำพร้า ถูกเอามาทิ้งไว้ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี จนกระทั่งพ่ออายุได้ 20 ปี พ่อคิดจะบวชเป็นพระไปตลอดชีวิต แต่สุดท้ายพ่อกลับเปลี่ยนใจ เดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำแทน พ่อไปเป็นลูกจ้างเข็นกล้วยน้ำว้าส่งให้ตามแผงผลไม้ในตลาดสด ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ที่พ่อได้พบรักกับแม่ของผม เพราะแม่เป็นคนขายผลไม้อยู่ การแต่งงานที่สวยงามไม่ได้เกิดขึ้น เพราะพ่อตัดสินใจพาแม่หนีจากเมืองหลวงอันวุ่นวาย มาใช้ชีวิตสุขสงบอยู่ที่นี่ พ่อกับแม่ใช้เงินที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิต เพื่อซื้อบ้านหลังนี้ และเปิดมุมหนึ่งเป็นร้านอาหารอีสานเล็กๆ ซึ่งตอนแรกประสบความสำเร็จมาก แต่หลังจากที่แม่ให้กำเนิดผม พ่อกับแม่ก็ทะเลาะกันบ่อยขึ้น เพราะร้านเริ่มขายไม่ดี ฐานะครอบครัวผมเริ่มแย่ลง จนกระทั่งผมอายุ 7 ขวบ ร้านของพ่อและแม่ก็ต้องปิดตัวลง เมื่อไม่มีเงิน แม่ตัดสินใจทิ้งพ่อกับผมไปกับอยู่กับคนอื่น เหลือจดหมายไว้ให้พ่อเพียงหนึ่งฉบับ ในนั้นเขียนข้อความสั้นๆว่า ‘ดูแลลูกให้ดี ฉันจะไม่กลับมาอีกแล้ว’

ขณะที่พ่อเล่าเรื่องราวในอดีต ผมเห็นขอบตาพ่อเริ่มแดงกร่ำ มีน้ำตาคลออยู่ ด้านไอ้วัจน์ได้แต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร บรรยากาศในห้องนี้เหมือนถูกหยุดเวลาไว้ชั่วครู่

“หลังจากนั้นไม่นาน ลุงจึงพาทศไปบวชเป็นสามเณรกับหลวงพ่อที่ลุงเคยอาศัยอยู่กับท่าน”

“อ้าว ทำไมต้องให้ทศไปบวชเณรด้วยล่ะครับคุณลุง?” ไอ้วัจน์ถามขึ้น เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจพ่อมาตลอดเหมือนกัน “ทำไมไม่ให้มันอยู่เป็นเพื่อนคุณลุงล่ะครับ?”

“ลุงคิดว่าจะเอาทศไปฝากให้หลวงพ่อเลี้ยง แล้วลุงจะไปตามทางที่ลุงตั้งใจไว้” พ่อตอบน้ำเสียงเบาลง

“ลุงคิดจะไปไหนเหรอครับ?”

“พูดจริงๆนะพ่อหนุ่ม เรื่องนี้ลุงไม่กล้าบอกทศ” พ่อก้มหน้าลง เสียงของพ่อสั่นเครือ “ตอนนั้นลุงคิดจะฆ่าตัวตาย ลุงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”

ผมอึ้งที่ได้ยินคำตอบนี้จากพ่อ เพราะสิ่งที่พ่อเคยคิด กลายเป็นสิ่งที่ผมทำลงไปแล้ว

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับลุงล่ะครับ?” ไอ้วัจน์ถามพลางทำหน้าเครียด

“นับว่าเป็นโชคดีของลุงนะ หลังเสร็จสิ้นพิธีบวชของทศแล้ว ลุงก็กำลังจะออกจากวัด พอดีเจอหลวงพ่อท่านเดินมาทักลุงเสียก่อน” พ่อหยิบองค์พระที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาดู “หลวงพ่อท่านมอบสร้อยพระเส้นนี้ให้กับลุง ท่านบอกว่าทศมีเจ้ากรรมนายเวรตามตัว ชาติที่แล้วคงไปฆ่าทารุณคนไว้มาก จึงให้ลุงมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับทศเมื่อทศอายุครบ 18 ปี และทศต้องสวมสร้อยพระติดตัวไว้เสมอ มิฉะนั้นทศอาจจะมีอันตรายถึงชีวิต”

ผมสังเกตเห็นสีหน้าไอ้วัจน์ซีดลง ผมเดาใจว่ามันคงคิดเหมือนผม ว่าคำทำนายของหลวงพ่อช่างแม่นยำจริง ตอนไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมไม่เคยใส่สร้อยพระของพ่อเลย

“พอลุงกลับมาถึงบ้าน ลุงได้แต่นั่งมองสร้อยพระเส้นนี้อยู่นาน ในหัวก็คิดสับสนไปเรื่อยเปื่อย ก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ทิ้งเชือกที่เตรียมไว้ผูกคอตัวเองลงในถังขยะ วินาทีนั้นลุงนึกขึ้นได้ว่ายังเหลือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตลุง นั่นก็คือทศ ลุงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อใส่สร้อยพระให้ทศด้วยมือของลุงเอง”

มันทรมานที่ผมอยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ได้

“ทุกวันนี้ ลุงก็ได้แต่สวดมนต์อธิษฐานให้ทศพบเจอแต่สิ่งที่ดี แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง เฝ้าคอยนับวันรอให้ทศเรียนจบแล้วกลับมาบ้าน”

“อ้าว.. แล้วทำไมคุณลุงไม่ตามทศไปอยู่ที่กรุงเทพล่ะครับ”

“ลุงอยากไปเหมือนกันพ่อหนุ่มเอ๊ย แต่ก็ต้องตัดใจ ตามไปไม่ได้ เพราะลุงต้องอยู่ทำสวนที่นี่ก่อน เพื่อส่งเงินค่าเทอมให้ทศมันเรียนจบไวๆ”

ทุกถ้อยคำ ทุกประโยคที่ผมได้ยินจากปากของพ่อ ทำให้ผมสำนึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน ที่กระทำบาปต่อพ่อ ผมตัดสินใจพลาดไปเพียงเพื่อผู้หญิงคนเดียว ทั้งๆที่พ่อรอคอยผมอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ผมกลับทิ้งพ่อ...ไปตลอดกาล

เมื่อพ่อเล่าจบ การสนทนาก็ยุติลง ไอ้วัจน์ก็นั่งถอนหายใจอยู่หลายรอบ

สายลมข้างนอกเริ่มพัดแรง ต้นไม้ไหวเอนไปมาอย่างไร้ทิศทาง หมู่เมฆที่เคยบดบังดวงจันทร์คงค่อยเคลื่อนตัวออก แสงนวลจึงสาดส่องลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง

“นี่ก็มืดมากแล้ว ขอบใจมากนะพ่อหนุ่มที่อยู่เป็นเพื่อนลุง” พ่อพูดขึ้น “เดินทางกลับที่พักของพ่อหนุ่มเถอะ”

“ครับคุณลุง” ไอ้วัจน์ตอบพลางพยักหน้ารับ “คุณลุงอยู่คนเดียวได้นะครับ”

“ลุงอยู่ไหว ยังไงก็ฝากความคิดถึงถึงลูกชายลุงด้วยนะ” พ่อพูดแล้วยิ้มเจื่อน แต่น้ำตาที่กักเก็บไว้ของพ่อกลับไหลรินลงมา “ฝากบอกมันด้วยนะพ่อหนุ่ม ว่าลุงยังรอให้มันกลับมาบวชให้ลุงตามสัญญาที่มันเคยพูดกับลุงไว้ ลุงยังรอมันอยู่นะ”

พ่อซุกหน้าลงในสองฝ่ามือ แม้จะไม่เห็นว่าพ่อร้องไห้มากแค่ไหน แต่เสียงสะอื้นที่ดังไม่หยุด ก็ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของพ่อได้เป็นอย่างดี

ผมอยากขอโทษพ่อ ผมลืมคำสัญญาที่เคยให้กับพ่อไว้เสียสนิท ผมลืมทุกคำพูดที่เคยเอ่ยกับพ่อก่อนจะมากรุงเทพฯ รวมถึงลืมคำพูดของพ่อที่เคยบอกกับผมด้วย

‘ทศไปอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่าลืมใส่สร้อยพระเส้นนี้ติดตัวไว้เสมอนะลูก’


หลังจากไอ้วัจน์กลับไปแล้ว ผมยังคงอยู่ที่บ้านกับพ่อ การได้กลับมาอยู่ที่นี่ ทำให้ผมระลึกถึงชีวิตที่หลงลืมไป แม้ผมจะเป็นวิญญาณ อาจไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกอันนุ่มนวลของใบไม้ ความแข็งกระด้างของผืนดิน ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำ และ ความร้อนแรงของแสงแดดได้ แต่สิ่งที่ผมสามารถรับรู้ได้คือความสุขสงบของธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหมือนเพื่อนแท้เพียงคนเดียวของพ่อในบ้านหลังนี้

‘แล้วเวลาของเราจะเหลืออีกเท่าไรนะ?’ ผมคิด ขณะที่ผมไม่รู้เลยว่าเมื่อไร ที่ผมจะถูกนำไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่มีวันจะได้กลับมาอีก

ผมใช้เวลาที่เหลือในการติดตามเฝ้ามองพ่อ ทุกวันพ่อจะตื่นตอนหกโมงเช้า หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว พ่อจะกินมื้อเช้า และเข้าไปในสวนกล้วยน้ำว้า เพื่อตรวจดูสุขภาพใบ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำต้นไม้ เก็บผลผลิตที่เน่าเสียทิ้ง เกือบบ่ายกว่าพ่อจะกลับมาที่บ้าน นั่งกินข้าวเที่ยง จากนั้น พ่อจะเดินกลับไปในสวนอีกรอบ พ่อชอบหมกตัวอยู่ในสวนกล้วยคนเดียว ไม่ค่อยออกไปข้างนอกเพื่อสุงสิงกับใคร นอกจากตอนเอากล้วยน้ำว้าใส่รถกะบะออกไปขายที่ตลาด    

“ขอให้ลูกของข้าพเจ้าปลอดภัย ขอให้ลูกของข้าพเจ้ามีความสุข ขอให้ลูกของข้าพเจ้าพบเจอแต่สิ่งที่ดี ขอให้ลูกของข้าพเจ้าพ้นภัยอันตรายทั้งปวง” ผมเห็นพ่อคุกเข่าพร่ำขอพรซ้ำไปซ้ำมาต่อหน้าโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปเป็นประจำก่อนจะเข้านอน

การฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาปมหันต์ หากวิญญาณของผมลงไปสู่ปรภพ คงต้องถูกลงทัณฑ์อย่างหนัก ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ ที่ต้องเห็นพ่อทนทุกข์อย่างเดียวดาย ทั้งที่ผมกับพ่อยืนห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือ หากย้อนเวลาได้ ผมคงไม่ฆ่าตัวตาย ผมอยากอยู่กับพ่อ

วันเวลาผ่านเลยไป จนเช้าวันหนึ่ง ขณะผมกำลังนั่งเล่นอยู่บนโซฟา ส่วนพ่อนั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหาร มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พ่อรีบลุกไปรับ พ่อพูดตอบรับกับปลายสายอยู่สองสามคำ ก่อนจะพูดเสียงดังลั่น

“ไม่จริงใช่ไหมคุณตำรวจ! ทศยังไม่ตายใช่ไหม! ไม่จริงใช่ไหมครับ!”

ผมสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินประโยคนั้นของพ่อ สิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิด มันกำลังเกิดขึ้น ผมไม่อยากให้พ่อรู้เรื่องของผมเลย ผมกลัวพ่อจะคิดสั้น

พ่อวางโทรศัพท์ และวิ่งไปที่รถกะบะซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ผมรีบวิ่งตามพ่อ กระโดดขึ้นกะบะหลังรถ ก่อนที่รถจะพุ่งออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว  พ่อขับรถเร็วที่สุดเท่าที่ผมเคยนั่งมาในชีวิต จนถึงปลายทาง คือ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

ตำรวจสองคนยืนรอพ่ออยู่หน้าโรงพยาบาล พวกเขาพาพ่อเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมวิ่งตามพ่อไม่ห่าง ทันทีที่เปิดผ้าคลุมหน้าของร่างที่อยู่บนเตียงออก พ่อถึงกับทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น พ่อร้องไห้ปานขาดใจ ตะโกนเรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา ผมอยากเข้าไปปลอบพ่อ แต่ทำไม่ได้ จริงอยู่เมื่อผมตายไปแล้ว ย่อมไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกายอีก แต่สำหรับจิตใจแล้วมันไม่ใช่เลย

ผมมองหาผู้หญิงคนหนึ่ง ที่น่าจะสำนึกผิดบ้างเมื่อเห็นผมตาย แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ

หลังจากพ่อควบคุมสติตัวเองได้ พ่อหยิบองค์พระที่ห้อยคอพ่ออยู่ขึ้นพนมมือ และสวดขอพร จากนั้นพ่อถอดสร้อยพระออกจากคอ แล้วสวมลงคล้องคอให้กับร่างอันไร้วิญญาณของผม
ทันใดนั้น ผมรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างฉุดกระชากวิญญาณของผมอย่างรุนแรง ผมถูกแรงนั้นดูดกลับสู่ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ทุกสิ่งพลันดับมืดลง ดวงตาผมมองไม่เห็นอะไรอีก แต่ผมยังได้ยินเสียงที่อยู่รอบๆตัว จมูกเริ่มได้กลิ่นฉุนของยาและแอลกอฮอล์ ร่างกายผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆ  

“ผู้กองครับ! ผู้กอง! ผู้ตายยังมีลมหายใจอยู่ครับ” ผมได้ยินเสียงชายคนหนึ่งพูด คิดว่าน่าจะเป็นตำรวจคนใดคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆพ่อ

“ทศ ..ทศลูกพ่อ ทศยังไม่ตาย” เสียงพ่อดังลั่น “ขอบคุณคุณพระคุณเจ้า เทพยดาฟ้าดินที่คุ้มครองลูกของข้าพเจ้า ทศยังไม่ตาย ลูกผมยังไม่ตาย” ผมรู้สึกมีมือมาเขย่าแขนซ้ายผมอย่างแรง

“อย่างนี้เอายังไงดีครับท่าน” เสียงผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อพูดขึ้น

“ก็รีบไปบอกหมอให้มาดูอาการซิ ถามมาได้  ไปเร็ว! ไป”

ผมได้ยินเสียงหมอวินิจฉัยว่า นี่ถือว่าเป็นเคสปาฏิหารย์ ที่ผมตายแล้วฟื้น แต่เนื่องจากสมองของผมขาดออกซิเจนไปนานหลายวัน ทำให้ผมต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ซึ่งหมอก็ให้คำตอบที่แน่นอนกับพ่อไม่ได้ ว่าผมจะกลับมาหายเป็นปกติเมื่อไร หรือต้องหลับใหลไปตลอดกาล

พ่อบอกกับหมอว่าจะพาผมกลับไปรักษาตัวที่บ้าน และขอให้หมอช่วยจดวิธีการดูแลรักษาร่างกายของผมโดยละเอียด เพราะพ่อมั่นใจว่าผมจะฟื้นขึ้นอีกครั้งแน่นอน

“ถึงบ้านเราแล้วนะลูก” พ่อกระซิบข้างหูผม “ทศ ลูกไม่ต้องกลัวนะ ลูกจะต้องหาย พ่อจะคอยดูแลลูกเอง ขอแค่ทศอยู่กับพ่อก่อนนะลูก อยู่กับพ่อก่อนนะ”

ในโลกมืดมิดไร้กาลเวลา ผมเหมือนถูกจับมัดแล้วถ่วงจมอยู่ในห้วงมหาสมุทร การได้ลมหายใจกลับคืนมาเป็นความหวังที่น่ายินดี แต่น่าเศร้าเหลือเกิน ที่ผมกลับถูกพันธนาการเหมือนทารกแรกเกิดเช่นนี้ ยังมีอีกหลายที่ผมอยากทำ รวมถึงผมคำสัญญาที่เคยพูดไว้กับพ่อ ผมได้ยินเสียงพ่อมาสวดมนต์ให้ฟังอยู่บ่อยๆ พร้อมรู้สึกถึงผ้าผืนนุ่มชุ่มน้ำอุ่นที่มาเช็ดถูทั่วร่างกาย ชีวิตใหม่ของผมกลับเป็นได้เพียงภาระที่พ่อต้องดูแลอย่างนั้นหรือ

สร้อยพระของพ่อ ทำให้วิญญาณของผมถูกกักขังอยู่ในร่างกายตัวเอง ไฟแห่งความหวังที่จะฟื้นคืนเหมือนคนปกติ เริ่มเลือนลางไปจากจิตใจผม มันแปรเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าตอนเป็นวิญญาณเสียอีก เพราะมีเพียงในฝันเท่านั้น ที่ปราศจากความมืดมนเช่นรัตติกาล

การหลับใหลสู่โลกแห่งความฝัน แล้วพลันตื่นขึ้นในความว่างเปล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันไม่น่าเรียกว่าการมีชีวิตอยู่เลย ในยามฝันของผมปรากฏเพียงภาพทรงจำเก่าในชีวิต ราวกับผมกำลังพลิกดูอัลบั้มภาพไปทีละหน้า ผมเห็นภาพตัวเองทำกิจกรรมอย่างมีความสุขกับเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ภาพวันหวานของผมกับแฟนสาวตอนไปเที่ยวน้ำตกด้วยกัน กาลนานผันผ่านไปภาพเหล่านั้นเริ่มจางไปทีละน้อย

‘ผมอยากไปจากโลกนี้แล้วครับพ่อ ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว มันทรมานเหลือเกิน แม้พ่อจะอธิษฐานให้ผมมีชีวิตอยู่ แต่ผมอยากขอให้พ่อถอดสร้อยพระออกจากร่างผม ปล่อยให้ผมเป็นอิสระเถอะครับ ตอนนี้แม้ต้องตายกลายเป็นวิญญาณอีกครั้งผมก็ยอม’ ผมคิด

“ขอให้ลูกของข้าพเจ้าปลอดภัย ขอให้ลูกของข้าพเจ้ามีความสุข ขอให้ลูกของข้าพเจ้าพบเจอแต่สิ่งที่ดี ขอให้ลูกของข้าพเจ้าพ้นภัยอันตรายทั้งปวง” เสียงที่คุ้นเคยของพ่อ ยังคงสวดมนต์ขอพรให้ผมอยู่เหมือนเดิม "ทศจะต้องหาย อดทนไว้ก่อนนะลูก อยู่กับพ่อก่อนนะ”

“พ่อรักลูกนะ ทศ”

พ่อยังคงหวังให้ผมกลับมามีชีวิตปกติอยู่เหมือนเดิม

“อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชา จะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะ ทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ”


ในห้วงชีวิตอันแสนยาวนาน ปานนิทราอันนานนิรันดร์ ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ภาพที่ปรากฎต่อสายตายังพล่ามัวและเลือนลาง แต่ผมเห็นแสงสว่างอย่างชัดเจน ร่างกายผมยังคงรู้สึกถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านมา และไออุ่นของแสงแดดที่กระทบผิวหนัง

ความศรัทธาของพ่อนำมาซึ่งปาฏิหารย์ ในยามที่ผมละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ไปแล้ว  
 
แม้ภาพทรงจำบางส่วนของผมจะเลือนหายไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังจำได้ดีเสมอ คือ คำสัญญาที่ผมมีต่อพ่อ

---------------- จบ ------------------

แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 16:51:47

แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 16:38:32

แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 16:02:49

จากคุณ : @Love_ที่รัก
เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 15:55:53




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com