Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 42 vote ติดต่อทีมงาน

ขอลองลงบทที่ 42 ก่อนนะครับ
บทที่ 41 ลงมาสี่รอบแล้วไม่สำเร็จครับผม

บทที่ 41 ในบล็อกครับ
ล่องกัลปาลัย บทที่ 41
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sampoiluang&group=11


บทที่ 42


          “เกิดอะไรขึ้น?”


            สายโซ่ที่กองอยู่เบื้องหน้า ทำให้ชลธรทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เห็นทนายความหนุ่มยืนกอดอกด้วยท่าทางครุ่นคิดบางอย่าง


           “ถ้าอย่างนั้น เสียงที่เราได้ยินเมื่อคืนนี้ก็ไม่ใช่เสียงนกหวีดแน่นอน แต่ต้องเป็นเสียงของคนที่ถูกกักขังไว้ในห้องแห่งนี้ ใช่ไหมคะ?”


          “ผมก็คิดว่าอย่างนั้นนะชล”


         ภูไทเดินเข้ามาพิจารณาเส้นโซ่ขนาดเขื่อง แล้วนิ่วหน้า


             “คุณคิดว่าเป็นฝีมือของใครคะ ในเมื่อที่ทับสนธยาก็มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน เท่านั้น... แล้วก็...”


               หล่อนมองใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดเช่นเดียวกัน คำตอบที่ไม่น่าจะเชื่อ แต่ก็หลุดออกมาจากปากของทั้งคู่พร้อมกัน


               “ลุงอาตม์!”


                 คำถามก็คือ ชายชราผู้นั้นจะกักขังใคร หรือขังไปทำไม? หรือว่าใครสักคนที่ล่วงรู้ความลับบางอย่างจากทับสนธยา? และน่าจะเป็นเจ้าของนกหวีดปริศนาที่หล่นอยู่หน้าห้องใต้ดินนั่นด้วยเช่นกัน


             เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเสียงกรีดร้องนั่นเอง


            แต่เพื่ออะไรกันเล่า?


              คำตอบมาถึงในเวลาต่อมา เมื่อเงาสีดำทะมึนปรากฏขึ้นตรงกรอบประตูเหนือบันไดขั้นบนสุดของทางลงสู่ห้องใต้ดินที่คนทั้งสองยืนอยู่ ก่อนที่ร่างนั้นก้าวลงมาช้าๆ


             ภูไทรีบฉายไฟฉายกราดตรงออกไปทันที ขณะที่ผู้บุกรุกยังไม่ตอบใดๆทั้งสิ้น เหมือนท่าทางนั้นจะลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วก็รีบก้าวลงมาเรื่อยๆ ได้ยินเสียงน้ำหยดลงมาจากชายเสื้อคลุมดังเปาะ แปะ ตลอดเวลา แสดงว่าภายนอกอาคารทับสนธยา คงจะมีพายุฝนรุนแรงอยู่ไม่น้อย


            “นั่นใคร?”


         แสงไฟปะทะผ่านใบหน้าที่หยีตาลงเมื่อรับกับแสงเจิดจ้าจากหลอดไฟ ร่างของผู้บุกรุกดูรุ่มร่ามเนื่องจากเสื้อคลุมพลาสติกที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ และเปียกปอนตั้งศีรษะลงมาจนจรดปลายเท้า ภูไทคุ้นหน้าอีกฝ่าย เหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน


           “นายเป็นใคร แล้วเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?”


           “ผะ-ผมมาตามหามะขิ่น ผม ผมชื่อ มินอ่อง...”


             ร่างสูงผอมตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสำเนียงแปลกแปร่ง เขายกมือขึ้นปาดคราบน้ำฝนที่ชะนองใบหน้า จนทำให้เห็นว่าแววตาซื่อคู่นั้นนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเช่นเดียวกัน ชลธรจำได้แล้วว่ามะขิ่นเคยพูดถึงพี่ชายหล่อนเอาไว้ แต่ตอนที่มะขิ่นกลับหมู่บ้านไปตอนค่ำของเมื่อวานหล่อนก็ไม่ทันได้เห็นว่าพี่ชายที่มารับตัวเด็กสาวเป็นใคร จนกระทั่งมินอ่องปรากฏกายขึ้นอย่างผิดที่ผิดทางนี่เอง ชลธรจึงมีโอกาสเห็นหน้า “พี่มินอ่อง”ของมะขิ่นเต็มตา ทว่าคำพูดต่อมาของเขานั่นต่างหากที่ทำให้คนทั้งสองเริ่มเข้าใจบางอย่างมากขึ้น


            “มะขิ่นกลับเข้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ยังไม่ติดต่อเรากลับไป ผมคิดว่าอาจจะมีอันตรายกับมะขิ่น ผม... เป็นห่วงน้อง ก็เลยตัดสินใจย้อนกลับเข้ามาตั้งใจจะรออยู่ข้างนอก แต่ฝนลงเม็ดหนักมาก จนต้องเข้ามาหลบฝนในนี้”


             “นายเข้ามาหลบฝน แต่เดินผ่านเข้ามาถึงข้างในห้องนี้เชียวหรือมินอ่อง?”


          ชายหนุ่มหน้าซื่อรีบแย้งทันที


            “ผมไม่ได้ตั้งใจเลยนะครับ ประตูหน้าของห้องด้านนอกเปิดอยู่แล้ว ผมนึกว่าจะมีใครอยู่ข้างในแต่ไม่เห็นมีสักคน ลุงคนดูแลก็ไม่เห็น ก็เลยเผลอเดินเข้ามาเรื่อยๆ นึกว่ามะขิ่นอาจจะอยู่ห้องครัว แต่ไปๆมาๆก็ไม่รู้ว่าหลงเข้ามาถึงนี่ได้อย่างไร พอดีได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ ผมเลยเดินลงมาที่ห้องข้างล่างนี่ สาบานได้เลยครับว่า ไม่ได้เข้ามาขโมยข้าวของอะไรทั้งสิ้น”


              เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองไม่มีท่าทีเอาเรื่องหรือน่าหวั่นเกรงอย่างที่คิดไว้ ทำให้มินอ่องกล้าพูดออกไปมากขึ้น


                ด้วยท่าทางซื่อๆของชายหนุ่มผู้นี้ ทำให้ชลธรเชื่อสนิทใจว่าเขามาตามหาน้องสาวจริงๆ หล่อนเหลียวมองโซ่เส้นนั้นที่วางกองอยู่บนพื้น และพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด


                  ถ้ามินอ่องจะไม่มองเห็นบางอย่างหล่นอยู่ที่พื้นเสียก่อน ชายหนุ่มชาวพื้นเมืองรีบตรงดิ่งไปยังอีกมุมของห้องใต้ดินแคบๆแห่งนั้นทันที แล้วก้มลงไปหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นมาชูขึ้น


               มันเป็นเพียงเศษผ้าผืนเล็กๆที่กองปนอยู่กับเศษดินเศษหินจนแทบจะกลืนไปกับข้าวของระเกะระกะรอบๆบริเวณนั้น ทว่าสายตาของมินอ่องกลับแยกแยะมันออกมาได้อย่างชัดเจน


             “นี่เป็นเศษผ้าผูกผมของมะขิ่น มันหลุดมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ?”


             เขาเผลอส่งเสียงดังถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ทุกคนส่ายหน้าด้วยความงุนงง ไม่เคยมีใครสังเกตมาก่อนด้วยซ้ำว่ามะขิ่นผูกผ้าพันผมด้วยอะไร


               “เป็นผ้าของมะขิ่นแน่ๆ ผมจำได้”


                  “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า คนที่ถูกขังอยู่ในนี้เมื่อคืนต้องเป็นมะขิ่นน่ะสิคะคุณภูไท แล้ว... แล้วมะขิ่นหายไปไหนล่ะ?”


                 ชลธรพึมพำขึ้นมองหน้าชายหนุ่มที่ถือไฟฉายค้างอยู่หลังจากกดดับไฟลงไปแล้ว และเมื่อนั้นเองชื่อที่ทั้งหล่อนและภูไทสงสัยแต่แรกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


              “ลุงอาตม์!”


               พริบตานั้นเอง เมื่อหางตาหล่อนมองเห็นการเคลื่อนไหวที่มุมประตูห้องด้านนอก และภูไท ทินบดี ก็รีบพุ่งตัวตรงดิ่งขึ้นไปยังบันไดขั้นบนสุดจนแทบจะกระโดด เสียงแอ๊ดดดดด ดังขึ้นเมื่อบานประตูเสียดสีกับพื้นด้วยเสียงลากยาวจนน่าขนลุก


               ทั้งหล่อนและมินอ่องยังตกอยู่ในอาการตกตะลึง แสงไฟฉายวาบขึ้นวูบหนึ่งจากปลายบนสุดของขั้นบันได ก่อนที่ประตูทั้งบานจะถูกผลักกลับเข้าปิดสนิทหากันดังเดิมด้วยน้ำมือของใครคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกห้องใต้ดินนั่นเอง


               และเมื่อมองผ่านรอยแยกที่กำลังเลื่อนปิดเข้าหากันเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเอง ชลธรก็มองเห็นเสี้ยวหน้าของใครคนนั้น ผู้อยู่ด้านหลังประตูและลอบฟังการสนทนาตลอดเวลา ก่อนที่มันจะตัดสินใจล็อคประตูขังหล่อนกับภูไทเอาไว้


             นัยน์ตาไร้แวว ของลูกแก้วตาเทียมข้างหนึ่งนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนายอาตม์ คนรับใช้ปริศนาของทับสนธยานั่นเอง...


              ประกายบางอย่างสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาอีกข้างหนึ่ง ส่งตรงมาที่หล่อนพอดีโดยไม่มีคำพูดใดๆหลุดจากปาก


              แต่ชลธรก็ไม่มีเวลาได้สนใจ เมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะทำ เพื่อนสาวของปีระกา เผลอกรีดเสียงร้องออกมาสุดเสียง


              แล้วความมืดมิดก็ครอบคลุมลงมาภายในห้องใต้ดินแห่งนั้นจนหมดสิ้น!

             *************************


                    ร้อยเอกคมจักร จักษุราช รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยอาการเจ็บแปลบบริเวณศีรษะ แม้จะไม่ถึงกับมึนวูบจนจำอะไรก่อนหน้าไม่ได้ แต่กระนั้น ความทรงจำก็เลือนหายไปชั่วขณะ จนต้องพยายามนั่งทบทวนอยู่พักใหญ่ นายตำรวจหนุ่มมองเห็นแต่ความมืดรายล้อมรอบด้าน ปราศจากผู้ใดปรากฏอยู่ข้างกายแม้สักคนเดียว นอกจากรถคันเก่งของเขาเอง ที่จอดนิ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าสิบเมตร


               แสงจันทร์กระจ่าง ทำให้ชายหนุ่มยกมือแตะตำแหน่งเจ็บแปลบบนศีรษะแล้วนำมาส่องไปข้างหน้า มองเห็นคราบเลือดที่เริ่มแห้งกรังติดมือออกมา อย่างน้อยก็ยังไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากถูกตีศีรษะจากใครบางคน


              ใคร?


              ไม่อาจตอบได้เลย นอกจากเสียงที่มันดังขึ้นจากด้านหลัง แล้วเมื่อกำลังจะหันกลับไปก็ได้ยินเสียงไม้หวดลงมา จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลงไป


              ปีระกา!!


            ความห่วงกังวลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่วมท้น เหตุการณ์ก่อนหน้าเกิดขึ้นราวกับภาพในความฝัน ดวงวิญญาณเจ้าของทับสนธยาปรากฏกายขึ้นไม่ต่างกับภูตพราย  ก่อนที่ใครบางคนจะเข้ามาขัดขวาง เขารีบพยุงกายลุกขึ้นแล้วเดินย้อนกลับไปที่รถอย่างเร่งร้อน ทุกอย่างจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เมื่อมองเห็นอันตรายเกิดขึ้นกับปีระกา


               หญิงสาวผู้นี้กำลังจะต้องเผชิญกับอันตราย ไม่ว่าจะมาจากทั้งคนหรือผี!


                ชายหนุ่มรีบดึงลิ้นชักหน้ารถออกแล้วล้วงเอาปืนพกส่วนตัวออกมาถือไว้ทันที สายตาเพ่งมองฝ่าละไอหมอกที่เริ่มหนาตัวขึ้นทุกขณะ ในท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นและชื้นจัดหลังฝนตก


                ผ่านแนวไม้ครึ้มเป็นดงทะมึนออกไป มองเห็นเงาของหอคอยฝั่งใต้แห่งทับสนธยา ปรากฏขึ้นชัดเจนกลางแสงจันทร์อร่ามเรืองรอง


                 ในความมืดที่ควรจะเป็น เขามองเห็นแสงสว่างวอมแวมปรากฏขึ้น ราวกับมีสิ่งเรืองแสงกำลังกระพริบแพรวพรายอยู่ภายในนั้น!


                คมจักร รู้แล้วว่าเขาจะต้องไปที่ไหน

          *************************


               อา... ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็มาถึงตามความต้องการนั้นเสียที สิ่งที่เขารอคอยมานานแสนนานนัก พร้อมกับค้นหาตัวตนอย่างบ้าคลั่ง ไม่ต่างกับการหลงวนเวียนอยู่ในม่านหมอกหนาทึบไร้ทางออก บัดนี้แสงสว่างเรืองรองได้ปัดกวาดละไอหมอกแห่งความสงสัยเคลือบแคลง ให้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว


               สิงหเมฆินทร์ใช้อาวุธปืนที่ตนเองชำนาญยิ่งขึ้น กดแผ่นหลังหญิงสาวบีบบังคับให้ก้าวผ่านบันไดแต่ละขึ้นขึ้นไปยังห้องด้านบน เขาได้ยินเสียงหล่อนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน และอาการหนาวเหน็บจากการตากพายุฝนก่อนหน้านี้


                  ไม่น่าเชื่อว่า เวลาเกือบศตวรรษที่เขาต้องรอคอย นับจากเด็กหนุ่มนามพยับ วงศ์วนาผู้นั้น สืบทอดผ่านลูก จนมาถึงหลานสาวคนนี้


             ผู้เป็นทายาทที่ถือกำเนิดขึ้นจากเขาและผอบแก้ว!!


               นางผู้เป็นทวารันตร์ ด้วยมีชาตกาลอันกำเนิดขึ้นอยู่ระหว่างทวารบถแห่งสองภพ ของบิดาและมารดา


               สิงหเมฆินทร์มองร่างหญิงสาวผู้นั้นด้วยความพิศวง เพราะเหตุนี้เอง หล่อนจึงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับองค์สุวรรณชตุกาได้ และจักเป็นผู้เดียวที่จะนำพาเขากลับคืนเข้าสู่กัลปาลัยได้สำเร็จ


                 มันเพ่งมองใบหน้าสวยคมได้รูปอีกครั้ง และนึกเทียบกับเด็กหนุ่มบนอาชาสีขาว ผู้เป็นลูกของตนเองอีกครั้งหนึ่ง


                พยับอ่อนแอกว่านี้มาก นัยน์ตาเด็กหนุ่มคนนั้นมีแต่ความผิดหวัง หวาดหวั่น จนถึงกับเตลิดหนีความจริงไปไกลสุดขอบฟ้า ในขณะที่ทวารันตร์ผู้นี้ มีจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญยิ่งกว่า สายตาคู่นั้นมีแต่ความสงสัยระคนตื่นเต้นมากกว่าจะเป็นความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างไร้สติ


                แต่น่าประหลาด ความรู้สึกผูกพันที่ควรจะเป็นก็หาได้บังเกิดขึ้นกับมันไม่ เสมือนว่า นางผู้นี้ได้แตกออกจากตัวตนของสิงหเมฆินทร์ ไปเริ่มต้นชีวิตของมันเองขึ้นมาใหม่ และห่างไกลเกินกว่าจะเกิดความอาลัยอาวรณ์ใดๆ


              นอกจากเป็นเพียง “พาหนะ” สำหรับการเดินทางล่องกัลปาลัยเท่านั้น!


               นางจึงเป็นความหวังของการกลับคืนสู่วิเทหนคร เขารู้แล้วว่าผู้ที่อยู่ที่นั่นจะต้องได้รับการชำระสะสางให้สาสม!


              โดยเฉพาะไอ้เศาร์ ที่คนพวกนั้นเรียกขานกันว่า หลวงอนุรักษ์วนาดร!!


                “เร็วเข้า อย่าชักช้า ตอนนี้ฉันต้องการให้เธอเป็นคนนำพาฉันขึ้นไปหากัลปาลัยให้เร็วที่สุด”


               “เป็นหนังสือเก่าเล่มนั้นใช่ไหมที่คุณต้องการ”


                ปีระกาตอบกลับออกไปพยายามถ่วงเวลาเพื่อหาหนทางออกอันมืดมน แต่หล่อนก็เชื่อว่าในความมืดมิดของความคิดขณะนี้ อย่างน้อยก็น่าจะหาทางออกได้


                   เสียงหอบเหนื่อยระหว่างการก้าวขึ้นไปแต่ละก้าว มันยาวนานเสียเหลือเกิน อาจจะเป็นด้วยความอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งวันนี้


            “ใช่! ฉันต้องการมัน รวมถึง ค้างคาวทอง”


            “ฉันเห็นหนังสือเล่มนั้นแล้ว มันมีสภาพที่เก่ามากเสียจนใกล้จะหลุดเป็นชิ้นแล้วนะคะ มันกำลังจะเปื่อยสลายลงไปในไม่ช้า”


                   เห็นอีกฝ่ายอึ้งไปนิดหนึ่ง หากก็ยังใช้อาวุธจี้ประกบหล่อนแนบแน่น ปีระกาพยายามคิดว่าคมจักรน่าจะพอฟื้นคืนสติแล้วตามมาในไม่ช้า น่าแปลกที่คราวนี้หล่อนกลับรู้สึกเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายยิ่งนัก


                  ระหว่างการถูกควบคุมตัวของสิงหเมฆินทร์ หรือที่รู้จักกันในนามเจ้าเสือเข่นฟ้า หล่อนลอบมองเห็นนายตำรวจหนุ่มหายใจรวยรินหมดสติอยู่ อย่างน้อยก็ยังเบาใจว่าเขาไม่ได้เสียชีวิตจากฝีมือของอมนุษย์ตนนี้!


           อมนุษย์ผู้มีศักดิ์เป็นถึงคุณปู่ทวดของหล่อนนั่นเอง หาใช่หลวงอนุรักษ์วนาดรไม่...


             ปีระกา กลับไม่ได้รู้สึกถึงความตื่นเต้น ดีใจใดๆทั้งสิ้น ในเมื่อท่าทางของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผูกพันใดๆที่จะเชื่อมโยงกันได้กับตัวหล่อนเลย


                   แท้จริง หล่อนเป็นเพียงทวารันตร์ให้กับสิงหเมฆินทร์เท่านั้น ทำหน้าที่ไม่ต่างกับตัวแปรสำคัญที่อีกฝ่ายใช้สำหรับเป็นใบเบิกทางเพื่อการจรดลเข้าไปสู่กัลปาลัย เท่านั้นเอง


             เพราะมีเพียงหล่อนคนเดียวเท่านั้นที่ติดต่อกับธามได้...


          ความคิดของปีระกาสะดุดลง เมื่อก้าวขึ้นมาถึงชานบันไดขั้นสุดท้าย เยื้องขึ้นไปเบื้องหน้าคือห้องทำงานใต้หลังคาของหอคอยฝั่งใต้ที่ยกพื้นสูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับขั้น ณ ที่นั้นคือตำแหน่งห้องทำงานของหลวงอนุรักษ์วนาดร และเป็นเป้าหมายของสิงหเมฆินทร์นั่นเอง


         ประตูเปิดแง้มเอาไว้เพียงเล็กน้อย และเสียงสำทับของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง


              “ผลักประตูให้เปิดออก แล้วเดินตรงเข้าไปเลย!”


             

                         ปีระกาออกแรงผลักประตูไม้ที่เคยผ่านเข้ามาแล้วในครั้งก่อน เสียงแอ๊ดลากยาวบาดความรู้สึกเมื่อบานประตูไม้เก่าคร่ำคร่าเสียดสีกับพื้น แล้วความมืดมิดเบื้องหน้าก็เผยตัวออกจากกันช้าๆ


               แสงไฟจากกระบอกไฟฉายในมือสิงหเมฆินทร์กราดออกไป หางตาหล่อนมองเห็นเสี้ยวเงาบางอย่างเยื้องอยู่หลังประตู กำลังจะส่งเสียงร้องออกไป หากก็ไม่ทันเสียแล้ว


               ร่างทั้งร่างถูกผลักด้วยแรงมหาศาลของอีกฝ่าย จนเซคะมำเข้าไปข้างหน้า


             ก่อนเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นจากด้านบน!

************************


                 ในความมืดมีเพียงแสงเรืองรองส่องขึ้นมาช้าๆ ใครคนหนึ่งคว้ากระบอกไฟฉายเอาไว้แล้วค่อยกดปุ่มเปิดมันขึ้นมา


               ลำแสงอ่อนจาง จนพอมองเห็นเสี้ยวหน้ากันได้บ้าง แสดงให้เห็นว่าพลังงานจากก้อนถ่านแบตตารีใกล้หมดเต็มทีแล้ว หากอย่างน้อยก็ยังทำให้ชลธรรู้สึกหายใจคล่องคอขึ้นมาบ้าง ความมืดมิดที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองหายใจไม่ออกแล้วก็หน้ามืดขึ้นมาวูบหนึ่ง จนแทบจะหมดสติไปด้วยความหวั่นกลัว


            สายลมพัดเอื่อยเย็นมาจากจุดใดจุดหนึ่งภายในห้องใต้ดินแห่งนี้ อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าภายในห้องที่ถูกขังไว้หาใช่ห้องปิดตายที่ขาดอากาศหายใจไม่


              “ดับไฟฉายก่อนก็ได้นะคะคุณภูไท ตอนนี้ชลรู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ เราจะได้ประหยัดถ่านไฟเอาไว้ด้วย”


             ภูไทค่อยๆก้าวกลับลงมาจากบันไดขั้นบนด้วยท่าทางหัวเสียอยู่ไม่ใช่น้อย ท่าทางฮึดฮัดอย่างพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้เช่นนั้นเป็นภาพที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน อันที่จริงก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันในเมื่อชายหนุ่มพลาดไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เฒ่าอาตม์จะผลักประตูล็อคกลับเข้าไป


           ทนายความหนุ่มพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ยังเคร่งขรึมผิดไปจากเดิม แล้วกดไฟฉายปิดลงเมื่อนั้นเอง ความมืดทะมึนก็กลืนเข้ามาภายในห้องแห่งนั้นตามเดิม แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่ เมื่อสายตาเริ่มปรับกับความมืดได้แล้ว ชลธรจึงรู้สึกว่ายังพอมองเห็นภาพเบื้องหน้าได้พอสลัวจากแสงเพียงเล็กน้อยที่ลอดผ่านประตูเข้ามา


            หล่อนตัดสินใจทรุดกายนั่งลงกับพื้นไม่สนใจฝุ่นละอองหรือเขม่าดินเปรอะเปื้อนใดๆ หากแต่เพ่งมองหน้าชายหนุ่มที่นั่งเยื้องไปยังฝั่งตรงข้าม เห็นเสี้ยวหน้าเป็นเพียงเงาตะคุ่มเหมือนท่อนศิลาสลักนิ่ง ท่าทางภูไทเองก็เหมือนพยายามจะคิดหาทางออกไปจากที่นี่อยู่เช่นกัน หล่อนได้ยินเสียงเขาแอบถอนหายใจ


           “ลุงอาตม์แกจะปิดประตูขังเราเอาไว้ทำไมคะ คุณภูไท?”


           “ตาเฒ่านั่นคงจะต้องการอะไรสักอย่าง อาจจะมีเรื่องที่ต้องปกปิดไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ ก็ได้”


          “เรื่องปกปิด?”


              ทวนคำพูดของฝ่ายชายด้วยความฉงนฉงาย ภูไทดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างก่อนหน้า... ในสิ่งที่หล่อนและปีระกายังไม่รู้


             “ก็... อาจจะเป็นเรื่องพินัยกรรมนั่นก็ได้ครับ บางทีแกอาจจะต้องการฮุบเอาทรัพย์สินแล้วก็ทับสนธยาแห่งนี้เอาไว้เพียงคนเดียว ก็เลยตัดสินใจปิดตายขังเราเอาไว้”


                  เสียงชายหนุ่มแผ่วต่ำอยู่ในลำคอด้วยอารมณ์เดือดดาลอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่ชลธรไม่อาจมองใบหน้าเขาได้ชัด


             “ทำไมคุณภูไทถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ ถ้าอย่างนั้นลุงอาตม์จะเป็นฝ่ายติดต่อให้บริษัทของคุณภูไทติดตามหาตัวยายปีมาทำไมให้ยุ่งยาก ในเมื่อเรื่องมรดกทั้งหลายยายปีเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ”


            ภูไทนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนพยายามหาคำตอบ


            “ก็... คุณชลไม่เห็นที่ตาเฒ่านั่นมันทำกับพวกเราหรือครับ ขังเราไว้ในนี้ ไม่ต้องการให้ออกไปไหน แล้วคงหาโอกาสออกไปจัดการกับปีระกายังไงล่ะครับ สงสัยว่าถ้าเห็นเราอยู่ด้วย ก็อาจจะขัดขวางแกไว้ก็ได้”


                   ในสถานการณ์เช่นนี้หล่อนอยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่อาจทำได้ ด้วยรู้สึกเกรงใจและความรู้สึกที่เคร่งเครียดของทนายความหนุ่ม บางทีในสถานการณ์ว้าวุ่นใจเช่นนี้ อาจจะทำให้เขาพลอยสับสนจนคิดเรื่อยเปื่อย อย่างไม่มีเหตุผลแบบนี้ไปเลยก็ได้ แต่ในคำพูดที่เลื่อนลอยอย่างนั้น ชลธรกลับรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เขาพยายามปกปิดเอาไว้


          อะไร?


            ในวูบเวลานั้น เพื่อนสาวของปีระกาก็นึกถึงชายชราผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้ง ร่างผอมบางจนดูแทบไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงใดๆ มาทำอันตรายปีระกาได้ และเพื่อนสาวของหล่อนก็ยังมีผู้กองคมจักร นายตำรวจหนุ่มฉกรรจ์อยู่ด้วยทั้งคน


           ไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่ชายชราจะล็อคประตูขังหล่อนและภูไทเอาไว้ ยกเว้น...


              ประกายตาของชายชราผู้นั้นก่อนบานประตูจะปิดเข้ามา ปรากฏขึ้นมาในห้วงเวลานี้พอดี เมื่อความตื่นตระหนกตกใจเริ่มลดระดับลงจนสู่สภาวะปกติ หล่อนจำได้และคิดว่าอ่านสิ่งที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาข้างนั้นไม่พลาด


             มันไม่ได้แสดงอาการมุ่งร้าย หมายขวัญใดๆทั้งสิ้น เฒ่าอาตม์แทบจะเอ่ยเป็นประโยคขออภัยออกมาด้วยซ้ำ เพื่อส่งตรงถึงหล่อน


    ...เพียงคนเดียว!


              ขออภัยและลุแก่โทษที่จำเป็นต้องขังตัวหล่อนเอาไว้ในห้องใต้ดินแห่งนี้ ร่วมกับชายหนุ่มอีกสองคน...


                เมื่อนั้นชลธรจึงนึกถึงมินอ่องขึ้นมาได้


          “คุณภูไทคะ... แล้วมินอ่องล่ะ?”


          แล้วเสียงดังสนั่น ก็ดังขึ้นในเวลาไม่นานหลังจากนั้น


             เสียงปืน...
          **********************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 07:49:11




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com