บทที่ 10
เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศดังหวือพุ่งตรงมา ปริวรรตเอียงศีรษะหลบตามสัญชาตญาณ แต่กระนั้นลูกธนูก็ยังเกี่ยวเอาผ้าโพกศีรษะหลุดตามไปติดตรึงอยู่กับต้นไม้
ผมสีดำขลับก็สยายยาวลงมากระทบบ่า แล้วเลยไปถึงกลางหลัง
ผมยาว...
ปริวรรตลูบผมตัวเองด้วยความงุนงง เขาไว้ผมยาวอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ครั้นรู้สึกว่าเท้าไม่ได้แตะพื้นจึงก้มลงมอง แล้วก็ยิ่งฉงนใจเป็นทวีคูณ
เขากำลังนั่งอยู่บนหลังม้าท่าทางปราดเปรียวตัวหนึ่ง !
แสนผา... ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่า แม่หญิงแห่งเวียงสนธยา หาได้สงบเสงี่ยมเป็นแม่ศรีเรือนดั่งเวียงภูก่ำของเราไม่
แสนผา...
ปริวรรตฟังไม่ผิด ชายผู้ขี่ม้านำหน้า หันกายมาเรียกเขาอย่างนั้น
พวกนางมีเชิงธนูเป็นเลิศตามคำเล่าลือ หากข้าไม่เชื่อว่าจะเก่งเกินบุรุษ
ปริวรรตพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็กระตุกสายบังเหียนบังคับม้ากระโจนพุ่งสวนทิศทางที่ลูกธนูแหวกอากาศมา แม้จะมีต้นไม้ใหญ่น้อยหนาทึบ แต่เขาก็ยังบังคับม้าวิ่งหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว
เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก เขาก็เห็นหลังไวๆ ของสตรีนางหนึ่งวิ่งลัดเลาะไปตามต้นไม้ เพียงเห็นแค่ท่าทางกับชุดแต่งกายสีดำรัดกุมเขาก็พอเดาออกว่านางเป็นทหารแห่งเวียงสนธยา
ยังไม่ได้ทันถามไถ่ได้ความ ชาวเวียงนี้ถึงกับจะฆ่ากันทีเดียวเชียวหรือ
ปริวรรตตะโกนออกไปเพื่อหวังหยุดยั้งนาง ทว่าเจ้าของร่างว่องไวนั้นคงซอกแซกไปข้างหน้า แต่กระนั้นก็ยังอุตส่าห์ตะโกนเสียงใสตอบกลับมา
หากข้าต้องการฆ่าเจ้า ป่านนี้สิ่งที่ลูกธนูปักติดตรึงอยู่กับต้นไม้คงไม่ใช่ผ้าโพกหัวแล้วกระมัง
ปริวรรตแย้มยิ้มใคร่จะเห็นหน้านางเสียเหลือเกิน
พวกข้ามาดี ไฉนเจ้าจึงกระทำเยี่ยงนี้ หยุดสนทนากันก่อนจะเป็นไร
ไม่
คำตอบอันเป็นวาจาเด็ดขาด ไม่อาจทำให้ปริวรรตล้มความตั้งใจ
ถ้าเยี่ยงนั้น ข้าจำเป็นต้องเสียมารยาทอยู่บ้าง
แล้วเขาก็กระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้น ทว่าดูเหมือนยิ่งไล่ก็ยิ่งห่าง ฝีเท้าของม้าไม่อาจสู้ฝีเท้าของคนได้ในป่าทึบเช่นนี้
กว่าจะรู้ว่าหมดหวัง ปริวรรตก็ถลำลึกเข้าไปไกล พอจะชักม้าหวนกลับสู่ขบวนแห่งตน เสียงสวบสาบก็ดังขึ้นทุกทิศทุกทาง
ชายหนุ่มผู้รุกไล่ กลับถูกรุมล้อมด้วยพลธนู
สตรีไม่ต่ำกว่าสามสิบนางก้าวพ้นแนวต้นไม้โดยรอบ ทุกนางน้าวสายพร้อมปล่อยลูกธนูมายังเขาได้ทุกขณะ
น่าแปลกที่ปริวรรตไม่รู้สึกยี่หระ เขายิ้มอย่างใจเย็น กวาดสายตาชักม้าหมุนตัวไปรอบๆ แต่ละนางสวมชุดสีน้ำตาล หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดสวมชุดดำ
แล้วนางผู้ลอบทำร้ายเขา อยู่ที่ใด
นางผู้นั้นเล่า
ปริวรรตสอบถาม มิได้กลัวเกรงคมธนูกว่าสามสิบดอกเลยสักนิด
เจ้าถามถึงผู้ใด
สตรีที่อยู่เบื้องหน้าถามกลับ ปริวรรตยิ้มให้
เจ้าย่อมรู้ว่าข้าหมายถึงใคร
วงล้อมเริ่มกระชับเข้ามาใกล้ ระยะแค่นี้ ต่อให้มีปีกบินก็ไม่อาจรอดพ้นจากคมธนู สตรีนางเดิมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะเอ่ยถึงท่านแสงแก้ว
แสงแก้ว... ไยชื่อนี้จึงคุ้นหูยิ่งนัก
ปริวรรตสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนั่งอยู่บนเครื่องบิน ไม่ได้นั่งอยู่บนม้าเหมือนในความฝัน ไม่ได้มีพลธนูสตรีรายล้อม หากมีแต่ผู้โดยสารเป็นเพื่อนอยู่เต็มลำ
ชายหนุ่มหลับตาลงไปอีกครั้ง ความฝันนี้ช่างแจ่มชัดราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ปริวรรตรู้สึกถึงสัมผัสที่ข้อมือ จึงลืมตาขึ้นมา แล้วเขาก็ต้องตระหนกเมื่อสัญญาณไฟเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยกับเตือนให้ปรับที่นั่งตรงสว่างขึ้น
เขานึกถึงความฝันก่อนหน้านั้น !
คุณคะ... คาดเข็มขัดกับปรับที่นั่งให้ตรงด้วยค่ะ เครื่องบินจะลงแล้ว
ที่แท้เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่มาเตือน ส่วนคนที่แตะข้อมือปลุกก็คือผู้โดยสารชายซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ปริวรรตยิ้มให้อย่างขัดเขิน สองคนนี้คงแปลกใจที่เห็นเขาหน้าตาตื่น
เครื่องบินลงแตะรันเวย์อย่างนิ่มนวลไร้ปัญหาใดๆ ปริวรรตยังนึกขันตัวเองไม่หาย ที่นอนหลับฝันเป็นตุเป็นตะ ทั้งเครื่องบินตก ทั้งตัวเองกลายเป็นคนโบราณ
ช่างไร้สาระสิ้นดี
นายจอนมารับถึงสนามบินเหมือนเคย คนขับรถเก่าแก่ของนายประพันธ์กุลีกุจอเข้ามารับกระเป๋าเดินทางใบเล็กจากปริวรรต แม้จะรู้ว่าจะต้องถูกปฏิเสธ
หน้าตาคุณปลิวเหมือนไปบู๊กับใครมา
นายจอนเอ่ยปากทัก หลังจากแย่งกระเป๋าจากชายหนุ่มไม่สำเร็จ
หน้าผมนี่นะหรือครับ
ปริวรรตนึกไม่ออกว่าหน้าเหมือนไปบู๊กับใครมานั้น มันเป็นอย่างไร ยังไม่ทันจะซักไซ้ นายจอนก็เปลี่ยนคำพูด
เอ่อ... เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนน่ะครับ
อย่างนี้พอจะรู้ ซึ่งอันที่จริงเขาก็เพิ่งตื่นนอนอย่างที่กล่าว หลับตั้งแต่เครื่องบินเพิ่งได้ระดับความสูงเพดานบิน ยาวมาจนถึงเชียงราย
ถ้าง่วงหลับในรถต่อก็ได้นะครับ
นายจอนพูดต่อ ปริวรรตไม่กล่าวใดๆ เดินตามไปขึ้นรถ นายจอนคิดว่าเจ้านายจะหลับพักผ่อน จึงไม่ชวนคุย ขับรถมุ่งหน้าสู่บ้านท่าตอนอำเภอแม่อายอย่างเงียบๆ
ปริวรรตมาถึงเรือนในสวนส้มเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสามทุ่มครึ่ง โคมไฟที่ชานเรือนยังเปิดสว่าง แสดงว่าบิดาของเขายังไม่นอน ก็คงจะรอพบลูกชายก่อน
ชายหนุ่มหิ้วกระเป๋าเดินขึ้นบันได ในใจพลางคิดไปว่า เมื่อบิดาของเขายังไม่นอน ใครอีกคนก็ควรจะอยู่เป็นเพื่อนด้วย
พอก้าวพ้นบันได ปริวรรตก็เห็นบิดานั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด และมีนางพยาบาลนั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่ด้วยจริงๆ
เพียงแต่ไม่ใช่คนที่เขาคิด
สวัสดีค่ะ คุณปลิว
กันยารอให้พ่อลูกทักทายกันเสร็จแล้วจึงยกมือไหว้ชายหนุ่ม
สวัสดีครับ คุณกัน
ปริวรรตยกมือรับไหว้ตามธรรมเนียม เขานับวันแล้ว อย่างไรก็ไม่น่าจะพลาด พฤหัสบดีที่แล้วเป็นเวรของพุดตาน สลับกันคนละวัน ศุกร์นี้ก็ควรถึงเวรของพุดตานอีก แล้วทำไมกลายเป็นกันยาไปได้
หรือว่าพุดตานเลิกรับงานนี้ไปแล้ว...
เขาควรจะดีใจไม่ใช่หรือ เพราะที่ผ่านมาก็ตั้งใจจะบีบให้เธอลาออกอยู่แล้วนี่
มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณปลิว
กันยาทำตาปริบๆ เมื่อเห็นปริวรรตรับไหว้เธอแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่
เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่ผมสงสัยนิดหน่อยว่าวันนี้น่าจะเป็นเวรของคุณพุดตาน
อ๋อ... กันยาหัวเราะ กันขอสลับกับพุดเองค่ะ เพราะคืนพรุ่งนี้ติดธุระ
ปริวรรตพยักหน้ารับทราบ หากหญิงสาวยังพยายามอธิบายต่อ ตอนแรกจะสลับกันเมื่อวาน แต่บังเอิญเป็นวันพระ พุดเขาเลยขอเป็นวันเสาร์แทนแล้วต่อด้วยวันอาทิตย์เลย
ปริวรรตฟังแล้วมึน กันยาพูดเสียเร็วปรื๋อ แต่เขาก็จับใจความได้ว่าพุดตานจะมาทำงานสองคืนซ้อนเสาร์อาทิตย์
สนุกแน่ๆ สุดสัปดาห์นี้
--- มีต่อ --->
จากคุณ |
:
นายตั๋ม เจ้าสำราญ (คั่วกลิ้ง)
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ธ.ค. 55 09:59:46
|
|
|
|