บทที่ 1
ภาพต่างๆ รอบตัวช่างเลือนราง ราวกับมองผ่านกระจกใสที่ฝ้ามัวไปด้วยไอน้ำ แม้พยายามเผยอเปลือกตาขึ้น แต่ยิ่งกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง ทั่วทั้งร่างปวดร้าวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ยินเสียงตัวเองครางแผ่ว แล้วทุกอย่างรอบตัวก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“ยายหนู ลูก ยายหนูฟื้นแล้ว! ตามหมอ ตามหมอมาเร็ว!”
“หยุดตรงนั้นเลยพี่แม็ค หัดเจียมสังขารซะบ้างว่ายังเจ็บอยู่ เดี๋ยวผมไปตามให้เอง”
“โทรบอกพ่อด้วย”
เสียงพูดคุยเหล่านั้นดังอยู่ใกล้ๆ และตอนนี้ร่างสองร่างกำลังชะโงกอยู่เหนือตัว รู้สึกได้ว่ามีมือๆ หนึ่งกำลังกอบกุมอยู่กับฝ่ามือของตัวเอง
“โมจ๋า...คนดีของแม่”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คนไข้แค่หลับไปอีกเท่านั้น ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วด้วย”นายแพทย์วัยสี่สิบปีผู้เป็นเจ้าของไข้เอ่ยบอกอาการ
“แล้วลูกสาวดิฉันจะฟื้นอีกเมื่อไรล่ะค่ะ”
“หมอตอบเวลาที่แน่นอนไม่ได้หรอกครับคุณหญิง แต่คิดว่าอย่างช้าที่สุดก็อาจจะเป็นพรุ่งนี้ช่วงสายๆ”
คุณหญิงลัดดา กิตติโยธิน ถอนหายใจยาว ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงของบุตรสาวคนเล็ก สีหน้าดีอกดีใจเมื่อครู่ กลับกลายเป็นหม่นเศร้าอีกครั้ง
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับแม่ พี่หมอก็บอกอยู่ว่าน้องพ้นขีดอันตรายแล้ว แค่หลับไปอีกเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง เชื่อมิกซ์สิ” ผู้เป็นลูกชายยืนยันหนักแน่น “แล้วเรื่องพ่อว่าไงพี่แม็ค จะให้ผมโทรไปบอกไหมว่าไม่ต้องมาแล้ว”
คนเป็นพี่ส่ายหน้าปฎิเสธเนือยๆ “ถึงโทรบอกไปพ่อก็มาอยู่ดี ไม่เป็นไรหรอก”
ร้อยเอกอดิศร ลูกชายคนรองของบ้านกิตติโยธินมองมารดากับพี่ชายสลับไปมา ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ เพราะตั้งแต่น้องสาวคนเล็กประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนต้องเข้ามารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อสี่วันก่อน ทุกคนในบ้านก็พากันตื่นตกใจ โดยเฉพาะแม่ที่ร้องห่มร้องไห้หนักตั้งแต่ยืนเฝ้าอาการอยู่หน้าห้องไอซียู กับพี่ชายจอบเฮียบที่เป็นคนขับรถตอนที่ประสบอุบัติเหตุ แถมตอนนี้ยังใส่ชุดคนไข้หอบหิ้วขวดน้ำเกลือก็เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ประมาท ทำให้น้องสาวคนเล็กเจ็บหนัก ขนาดย้ำหนักหนาแล้วว่าตอนนี้น้องสาวพ้นขีดอันตราย แต่ก็ดูเหมือนทั้งสองคนจะไม่ยอมรับรู้เอาเสียเลย
“ยายโมพ้นขีดอันตรายแล้วใช่ไหมมิกซ์” พลโทธณกร ที่เพิ่งมาถึงเอ่ยถามอาการของบุตรสาวกับลูกชายคนกลางที่เป็นแพทย์ทหาร ทั้งสองเลี่ยงออกมายืนอยู่หน้าประตูห้องคนเจ็บ “แล้วแผลตามตัวเป็นยังไงบ้าง”
“พี่หมอฉีดยาให้ แผลเลยเริ่มยุบตัวลง ไม่อักเสบ แต่ที่ยังหลับอยู่ก็เพราะฤทธิ์ยาแล้วก็ร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่มาก พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับ “แบบนี้พ่อก็ค่อยเบาใจหน่อย แต่แม่กับพี่ชายแกนี่สิ อาการหนัก”
“แม่น่ะยังพอว่า แต่พี่แม็คนี่สิ นายทหารจอมเฮียบ -- เป็นไปได้”อดิศรบ่นอุบ มองพี่ชายแล้วส่ายหน้าไปมา “แบบนี้มันน่าให้พี่รักตบกบาลสักทีสองที”
“เจ้ารักน่ะเหรอ”ธณกรหัวเราหึๆ “ตอนรู้ข่าวยายหนูรถชน อาการโคม่าอยู่ห้องไอซียู มันแทบจะวิ่งแจ้นกลับมาจากป่า ดีที่เจ้าสิทมันว๊ากกลับไปทัน ไม่อย่างนั้นคงได้มายืนทอดอาลัยอยู่กับเขาด้วย”
“ก็นั่นแหล่ะพ่อ พี่รักเขายังมีสติฟังที่ลุงสิทพูด แต่พี่แม็คสิ มิกซ์พูดปากจะฉีกจนถึงรูหู ยอมคล้อยตามที่ไหน”
“อ้าว แล้วแบบนี้แกจบโทรจิตวิทยามาได้ยังไง แค่พี่ชายตัวเองยังกล่อมไม่ได้ วู้! ไม่ได้เรื่อง”
อดิศรแกล้งส่ายหน้าส่งเสียงต่ำๆ ในลำคอกับคำแซวของผู้เป็นพ่อ ที่เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้
“ลูกปลอดภัยแล้วนะดา อย่าคิดมาก นี่ถ้ายายหนูตื่นขึ้นมาเจอแม่ผอมสูบซีดจะเสียใจนะ”ธณกรปลอบภรรยา มือที่วางอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างออกแรงบีบเบาๆ “เราก็เหมือนกันเจ้าแม็ค มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ใช่ว่าจะตั้งใจสักหน่อย คนผิดน่ะโน้น ไอ้รถพ่วงที่มันหลับในมาปาดหน้ารถเราก่อนต่างหาก”
“แต่ว่าผม...”
“เลิกทำหน้าสังกะตายเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!”
“โหพ่อ ถึงพ่อจะใส่ชุดทหาร แต่ผมน่ะชุดคนไข้นะ แถมยังห้อยขวดน้ำเกลืออีก”อดิรุจประท้วง ชูขวดน้ำเกลือแกว่งไปมา
“อ้าว รู้ด้วยรึว่าตัวเองก็เจ็บเหมือนกัน”
“แกหุบปากไปเลยมิกซ์”คนเป็นพี่ที่วิญญาณเฮียบเริ่มกลับคืนร่าง มองน้องชายตาขวาง “แล้วรักมันจะกลับมาเมื่อไรล่ะพ่อ”
“ก็จนกว่าจะฝึกเสร็จนั่นแหล่ะ คงราวๆ สามสี่วันได้”
ลัดดาเงยหน้าขึ้นมองสามี “ทำไมตารักถึงฝึกภาคสนามบ่อยจังค่ะ ทั้งที่ยศก็พอๆ กับตาแม็ค หรือเพราะเป็นหัวหน้าแผนกการฝึก”เธอถาม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเห็นลูกชายของเพื่อนสนิทมักจะออกไปฝึกภาคสนามในป่าอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเทียบกับลูกชายคนโตที่ปีๆ นึงจะออกฝึกอย่างมากก็ครั้งหรือสองครั้ง
“ไอ้รักมันโรคจิตครับแม่ พอเห็นว่ามีฝึกภาคสนามทีไร เป็นได้วิ่งแรดไปกับเขาด้วยทุกที”
ลัดดาตีแขนลูกชายคนโตดังเพียะ ส่วนอดิศรนั้นยืนหัวเราะจนตัวสั่น
“ก็มันจริงนี่แม่”อดิรุจย้ำหนักแน่น “มีแค่สองเรื่องแหล่ะที่ทำให้ไอ้รักกระโจนเข้าใส่ อย่างแรกก็ถือปืนวิ่งเข้าป่า อีกเรื่องก็ผู้หญิง”
“พอๆ หยุดเลยเรา มิกซ์ ลากพี่ชายเรากลับไปนอนสิ ลุกขึ้นมาจ้อนานแล้ว เดี๋ยวแผลก็ไม่หายสักที
“แล้วใครจะเฝ้าน้องล่ะครับแม่”
“ไม่ใช่หน้าที่ของพี่แม็ค แล้วก็แม่ด้วย”อดิศรตัดบท “พี่น่ะป็นคนไข้ต้องพักผ่อน ส่วนแม่ก็อดหลับอดนอนมาหลายคืนแล้ว กลับบ้านไปกับพ่อเถอะครับ ทางนี้มิกซ์จัดการเอง”
“นั่นสิดา กลับไปพักเถอะนะ พรุ่งนี้พี่จะพามาแต่เช้า”ธณกรรีบออเออรับลูกคู่ตามลูกชายคนกลาง จนศรีภรรยาใจอ่อน ยอมกลับบ้านแต่โดยดี
“ไปพี่แม็ค กลับไปนอนที่ห้องซะเลย แล้วก็หลับด้วย ไม่อย่างนั้นผมจะจับพี่ฉีดยานอนหลับ” อดิศรแกล้งขู่ด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจัง จนอีกฝ่ายต้องยอมล่าถอย แต่ยังไม่วายหันมาทำตาขวางใส่
ในเช้าวันต่อมาที่อากาศแจ่มใสของกลางฤดูร้อน แต่กลับเป็นวันที่แสนจะมืดมนของหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ห้องพิเศษ ภายในโรงพยาบาลทหารใจกลางกรุงเทพฯ ดวงตากลมโตค่อยๆ เหลือบแลไปยังผู้คนมากมายที่อยู่รายล้อมเตียงของเธอ สีหน้าเหล่านั้นบ่งชัดว่ากำลังอยู่ในอาการช็อค ตื่นตระหนก โดยเฉพาะหญิงวัยห้าสิบปลายๆ ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ร้องห่มร้องไห้ราวใจแทบขาด โดยมีนายทหารใหญ่คอยพูดปลอบอย่างอ่อนโยน หากแต่แววตานั้นก็หม่นเศร้าไม่แพ้กัน
“ไม่เอาน่าดา หยุดร้องเถอะ ยายหนูตกใจหมดแล้ว”
“ดาอุตสาห์ตังตารอวันที่ยายโมฟื้น แล้วดูสิ โธ่...ลูกแม่”
คำพูดนี้ล่ะที่ทำให้คนเจ็บยิ่งงุนงง ตื่นตกใจระคนเศร้าโศกตามไปด้วย
“น้องเพิ่งฟื้นน่ะครับแม่ สมองได้รับการกระทบกระเทือน ร่างกายก็ยังอ่อนแอ แถมยังได้รับยาเข้าไปอีกหลายตัวก็เลยอาจจะหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง ขี้คร้านอีกสักวันสองสามวันก็กลับมาจ้อได้เหมือนเก่า”อดิศรปลอบมารดาพลางยิ้มกว้าง ทั้งที่ความจริงรู้ดีว่าอาการหลงๆ ลืมๆ ของน้องสาวนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กเอาซะเลย เพราะไม่ใช่แค่ว่าจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เธอจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเรื่องที่ว่าตัวเองชื่อเล่นชื่อโม
“มิกซ์ต้องช่วยน้องนะลูก”ลัดดาจับมือลูกชายเขย่าเบาๆ
“ถึงแม่ไม่ขอมิกซ์ก็เต็มที่อยู่แล้ว”
“แปลว่าหนนี้จะอยู่ยาว”อดิรุจถาม เพราะน้องชายของเขาไม่ได้ทำงานประจำอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ หากแต่ประจำอยู่ค่ายทหารในจังหวัดกาจณบุรี
อดิศรพยักหน้ารับ “จะอยู่สักเดือนน่ะพี่ – ว่าไงเรา จำที่พี่บอกไปเมื่อกี๊ได้รึยัง”เขาหันไปถามน้องสาวที่จ้องตากลมใสกลับมา
“ชื่ออรพลิน กิตติโยธิน ชื่อเล่นชื่อโม อายุ 20 เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 คณะวิทย์วิศวะคอมพิวเตอร์ พ่อชื่อพลโทธณกร แม่ชื่อคุณหญิงลัดดา มีพี่ชายสองคน คนโตชื่อแม็ค คนกลางชื่อมิกซ์”หญิงสาวเอ่ยช้าๆ แต่ชัดเจน
“ดีมาก”อดิศรยิ้ม ค่อยรู้สึกโล่งใจ เพราะอย่างน้อยก็ดูเหมือนจะแค่ความทรงจำเท่านั้นที่หายไป แต่ไอคิวสมองยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม “ไม่ต้องรีบร้อนนะ จำไม่ได้ก็บอกจำไม่ได้ ไม่ต้องฝืนคิด มันจะทำให้ปวดหัว เซลล์สมองที่ยังไม่เข้าที่จะทำงานหนัก มันไม่ดี”
หญิงสาวพยักหน้ารับ มองพี่ชายที่ไม่เพียงแค่จำไม่ได้ แม้แต่ความรู้สึกคุ้นเคยเธอก็ไม่มีให้กับเขา หรือกับใครๆ ที่กำลังอยู่รายรอบตัวเธออยู่ในขณะนี้เลยด้วยซ้ำ
มันเป็นประสบการณ์ที่แย่ที่สุด และไม่น่าจดจำเลยสักนิด
เมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อน เธอฟื้นขึ้นมาบนเตียงคนไข้ ถ่ามกลางเสียงพูดคุยและท่าทางตื่นเต้นดีใจของคนหลายคน พวกเขาเอ่ยถามอาการ ความรู้สึก ใบหน้ามากมายโผล่เข้ามา เต็มตื้นไปด้วยรอยยิ้มกว้าง หากแต่หญิงสาวกลับพูดเพียงว่า ไม่รู้ นึกไม่ออก จำไม่ได้
เธอจำเรื่องราวความหลังใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น ยกเว้นชื่อเล่นกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากการที่รถยนต์ประสบอุบัติเหตุ ราวกับเจ้าเสียงนั้นได้ดูดเอาความทรงจำทั้งหมดในสมองของเธอไป
“หนูขอโทษ”เธอเอ่ยเสียงแผ่ว รู้สึกผิดและเจ็บปวดที่ต้องเห็นบรรดาคนมากมายที่รักและเป็นห่วง ต้องโศกเศร้าเสียใจ โดยมีตัวเธอเองที่เป็นต้นเหตุ
ลัดดาลุกขึ้นมานั่งลงบนเตียง ยกแขนขึ้นกอดบุตรสาวอย่างแสนรัก “ไม่ใช่ความผิดของหนูนะลูก – แม่สัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีก แม่สัญญา”
เสียงที่พยายามควบคุมไม่หสั่นเครืออย่างยากลำบาก เรียกให้หญิงสาวยกแขนขึ้นโอบกอดผู้เป็นมารดาตอบโดยอัตโนมัติ ถึงแม้จะจำไม่ได้ แต่เธอก็ไม่อยากเห็นผู้หญิงคนนี้ต้องมาเสียใจเพราะเธออีก
“พ่อกับแม่ขอแค่ให้ได้ลูกสาวกลับมาอย่างปลอดภัย แล้วลูกก็กลับมา อาการครบสามสิบสอง ไม่มีอะไรวิเศษไปมากกว่านี้แล้วล่ะลูก”ธณกรยิ้ม เพราะสำหรับเขา การได้เห็นลูกสาวคนเล็กรอดชีวิตมาได้ราวกับปฎิหารย์ เพียงเท่านี้ก็สุขใจมากพอแล้ว”อีกสองวันพี่รักเขาจะกลับมาจากฝึกภาคสนาม คงตรงดิ่งมาหาเราที่โรงพยาบาลเลย”
“พูดถึงพี่รัก มิกซ์ว่ามิกซ์โทรไปบอกอาการยายโมให้พี่เขาฟังก่อนดีกว่า ขืนกลับมาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว มีหวังได้หัวใจวายตาย”อดิศรว่า พลางคิดไปถึงพี่ชายที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลย
“ไม่ต้องๆ ไม่ต้องบอกมัน”อดิรุจรีบห้าม “พี่อยากเห็นหน้าไอ้รักตอนรู้ว่ายายโมจำมันไม่ได้ แกเอ้ย...อยากเห็นจริงๆ ให้ตายสิพับผ่า”
อรพลินมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างสงสัย “พี่รัก? ใครเหรอค่ะ ไหนว่าโมมีแค่พี่แม็คกับพี่มิกซ์ที่เป็นพี่ชายไง”
“โอ้ว! โม น้องรักของพี่ พูดแบบเมื่อกี๊อีกหนสิจ๊ะ”อดิรุจคว้าเอาโทรศัพท์ไอโฟนรุ่นล่าสุดออกมาถืออย่างรวดเร็ว ใบหน้ายิ้มแฉ่ง “พี่จะอัดคลิปแล้วขอให้เพื่อนสนิทเอาไปส่งให้ไอ้รักมันดูถึงในป่า รับรองมันได้กระอักเลือดตายแน่”
“ไอ้แม็ค!/ตาแม็ค!”
สองสามีภรรยาเอ่ยปรามลูกชายคนโต ที่กำลังหัวเราะร่าพร้อมกัน
“ก็รักมันขี้ตู่ แย่งน้องสาวผมไปตั้งแต่เด็ก คราวนี้ถึงทีผมเอาคืนบ้างล่ะ”
“พี่รักน่ะ เขาเป็นลูกของลุงสิทธา กับป้าพรพรรณ เพื่อนสนิทของพ่อกับแม่เราน่ะ”อดิศรรับหน้าที่อธิบายขยายความให้ผู้เป็นน้องสาวฟัง “สนิทกันมาก บ้านก็อยู่ติดกัน เราน่ะติดพี่รักแจเลยนะโม ตั้งแต่เด็กแล้ว ประมาณว่าพี่รักเป็นพี่ชายหมายเลขหนึ่ง”
“ต่อไปนี้มันจะล่วงไปอยู่ที่สาม”อดิรุจแทรกขึ้นทันที เอ่ยข่มเพื่อนสนิทที่ยังไม่มีโอกาสได้กลับมาแก้ตัว “ไอ้รักมันเอาแต่ใจ เจ้าชู้ ชอบหนีเราไปเดทกับสาวๆ ประจำ”
อดิศรส่ายหน้ากับพฤติกรรมพี่ชาย “นิสัย”
“ยายหนู เดี๋ยวกินข้าวสักหน่อยนะ จะได้กินยาตามที่หมอสั่ง หายไวๆ จะได้กลับบ้านเรากัน”ลัดดาพูด กุลีกุจอเลื่อนโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว
อรพลินพยักหน้ารับ ทันทีที่เห็นอาหาร กระเพาะของเธอก็ส่งเสียงร้องประท้วงเป็นการใหญ่
“แม่ให้ช้อยทำแกงจืดตำลึงของโปรดของหนูมาให้ -- น้องกินได้ใช่ไหม มิกซ์”
“ขอแค่เป็นอาหารอ่อนๆ สด สะอาด รสจืด ไม่ใช่ผงชูรส ได้หมดครับแม่”
“ผ่านทุกข้อกำหนด มายายหนู กินข้าวดีกว่า”
“แล้วพี่แม็คล่ะค่ะ”อรพลินถาม ก่อนอ้าปากรับอาหารคำแรกที่มารดาป้อน เหลือบมองพี่ชายคนโตที่ยืoยิ้มหน้าบาน
“พี่กินเรียบร้อยแล้ว ฝีมือป้าช้อยเหมือนกัน”
เท่านั้นเอง เสียงร้องประท้วงของอีกคนจึงดังขึ้น “แต่มิกซ์ยังไม่ได้กินอ่ะ แม่มีเหลืออีกไหม”
“โน่น บนโต๊ะหน้าโซฟา แม่เขาขนมาเป็นหม้อแกง แล้วไม่ต้องมาทำท่าทางสะดีดสะดิ้ง เด่ะแตะกลิ้ง”
“โธ่พ่อ ผมแมนทั้งดุ้น”อดิศรว่า เดินไปนั่งบนโซฟา ตัดข้าวเคี้ยวตุ้ยๆ “เรื่องทำตัวชายเหนือชายน่ะรับรองว่าไม่เคยมีอยู่ในสมอง”
“แล้วทำไมถึงยังไม่แต่งงานสักที”
อดิศรกลืนอาหารลงคออย่างรวดเร็ว ใช้ข้อนที่มือชี้ไปยังพี่ชายคนโต “พี่แม็คก็ยังไม่ได้แต่ง”
“ได้ฤกษ์แล้ว หมั้นเดือนสิงหา แต่งต้นปีหน้าโว้ย”อดิรุจหันมาตอบเสียงเขียว
“พี่รักก็ยังโสด”
“ไม่ต้องมาเฉไฉ ยังไม่แต่งก็ไม่เป็นไร แต่สาวๆ พ่อกับแม่ก็ยังแทบไม่เคยเห็นแกควง”ธณกรว่า มองลูกชายอย่างจับผิด กลัวจับใจว่าจะเปลี่ยนรสนิยมแบบที่ผู้ชายสมัยนี้ชอบทำกัน
“จะให้มิกซ์หาสาวที่ไหนเป็นแฟน ค่ายทหารที่กาญฯ ก็มีแต่ทหารเกณฑ์หัวเกรียนตัวดำ หมอกับพยาบาลผู้หญิงก็แต่งงานมีลูกมีสามีกันหมด ไอ้ที่ยังโสดก็โน่น รุ่นๆ เดียวกับน้าสมศรี เลขาพ่อที่กรมฯ แหล่ะ”
“ถ้างั้นก็ย้ายไปค่ายอื่น หรือไม่ก็เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ”
อดิศรส่ายหัววืด “ย้ายมากรุงเทพฯ มิกซ์ได้เฉาตายพอดี อีกอย่างค่ายที่กาญฯมีมิกซ์เป็นหมอผ่าตัดอยู่คนเดียว ทิ้งไปไม่ได้หรอก”
“พ่อไม่ต้องไปห่วงมันหรอก”อดิรุจที่เริ่มคันปากยุบยิบ อดรนทนไม่ไหวเอ่ยเผาน้องชาย “มิกซ์มันก็กะล่อนน้องๆ ไอ้รักนั่นแหล่ะ ไม่มีเป็นตัวเป็นตนให้มาคอยตามกวนตัวกวนใจ”
“เขาเรียกว่าอยู่ในภาวะที่ยังไม่พร้อมสำหรับการมีครอบครัว”
อรพลินหลุดขำ นั่งมองพี่ชายสองคนปะทะคารมกันอย่างครึ้นเคร้ง ถึงแม้จะจำอดีตไม่ได้ แต่เมื่อมารู้ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่แสนอบอุ่นและน่ารักนี้ ก็ถือว่าเธอโชคดีที่สุดในโลกแล้ว
.......................................
เพิ่งเคยลงที่พันทิพครั้งแรกค่ะ (กลัวเหมือนกันนะเนี่ย )มีอไระก็ติชมได้นะคะ เรื่องคำผิดจะพยายามตรวจดูให้ละเอียด เพราะไม่ได้พิมพ์สัมผัส ก้มๆ เงยๆ จากแป้นคีบอร์ดไปที่สมุดทีี่เขียนนิยายไว้ ตาลายไปหลายรอบ
เรื่องนี้ลงไว้อีกที่ที่เว็ปเด็กดีค่ะ
ปล.แก้ไขคำผิดค่ะ ^^'
แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 55 19:29:06
แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 55 16:08:38
จากคุณ |
:
Fercianut
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ธ.ค. 55 16:06:44
|
|
|
|