“โอ๊ย!”
เสียงร้องลั่นของอดิรุจที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาริมน้ำ ภายในบ้านกิตติโยธิน ทำเอาบรรดาเด็กรับใช้ที่อยู่ระแวกนั้นชะเง้อคอมองด้วยความตกใจ แต่พอเห็นว่าผู้ที่ประทุษร้ายเจ้านายตัวเองเป็นใคร ความสนใจเลยหมดไปโดยปริยาย
ส่วนอดิรุจที่หันไปเจอคนแผ้นศรีษะก็ร้องประท้วงทันที
“ไอ้รัก ไอ้บ้า ฉันยังเจ็บอยู่นะ ตีซะแรง ถ้าฉันความจำเสื่อมแบบยายโมขึ้นมาแกจะว่าไง”
“ว่าไงรึ ก็ดีใจไงวะ”ดนุนัยว่า เดินไปนั่งบนพนักไม้ฝั่งตรงหน้า แล้วหันมาทำตาขวางอย่างเอาเรื่อง “ถึงจะรับปากหนูโมไปแล้วว่าจะไปแผ้นกบาลแก แต่พอเจอตัวแล้วอดไม่ได้ ขอสักทีแล้วกัน”
อดิรุจได้แต่ทำเสียงฮึดฮัด เพราะรู้ดีแก่ใจว่าถ้าดนุนัยกลับมา เขาต้องโดนเล่นงาน ไม่ตบศรีษะก็คงได้โดนลูกเตะ ดีที่มันเลือกอย่างแรก แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็น่าจะลดความแรงลงสักหน่อย
“เออ ฉันผิดเอง”เขายกมือขึ้นลูกศรีษะ “ดีที่น้องอาการครบสามสิบสอง ไม่อย่างนั้นฉันคง...”พูดได้แค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบ เพราะไม่กล้าคิดต่อว่าถ้าน้องสาวคนเล็กเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เขาจะทนแบกรับความทุกข์นั้นไหวหรือไม่
ดนุนัยหรี่ตามองเพื่อน เอ่ยเสียแข็ง “ที่ฉันฉลองใส่แกไปหนึ่งทีไม่ใช่เพราะแกขับรถประมาท แต่เป็นเพราะไอ้ท่าทางหงอยๆ เหมือนหมาโดนเจ้านายดุนี่ต่างหาก”เขาว่า ขณะที่อีกฝ่ายหันควับกลับมามองทันทีที่ได้ยินว่าตนถูกนำไปเปรียบเทียบกับหมา “ก็มันจริงนี่หว่า เป็นทหารซะเปล่าคิดอะไรหยุมหยิมไม่เข้าท่า”
“ตกลงว่าจะมาเยี่ยม มาตบหัว หรือมาเทศนาใส่ฉันกันแน่”
“ทั้งหมดนั่นล่ะ”
อดิรุจผ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง เอ่ยเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นอีกฝ่ายแต่งเครื่องแบบเต็มยศ
“จะเข้ากรมฯ รึไง”
“อืม ไปรายงานตัว”
“อีกวันสองวันฉันไปทำงานบ้างดีกว่า”
ดนุนัยสำลักน้ำส้มที่เด็กรับใช้เพิ่งยกมาให้ คิ้วเข้มขมวดยุ่ง “จะบ้ารึไง ขาก็ยังเจ็บ หัวก็มีแผล ไหนจะแผลตามตัวอีก อยู่บ้านพักไปอีกสักอาทิตย์ คอยให้รินมาเยี่ยมไปนั่นล่ะดีแล้ว”
“แผนอ้อนสาวมาเป็นชุดโดยไม่ต้องร้องขอเลยนะเอ็ง หัวครีเอ็ทกับเรื่องนี้จริงๆ”อดิรุจแกล้งประชด พลันก็นึกถึงน้องสาวขึ้นมาอีก เลยเอ่ยถาม “แล้วเป็นไง ไปเยี่ยมโมมาแล้ว”
“ให้ตอบจริงๆ ใช่ไหม -- ตกใจว่ะ”ดนุนัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอนหลังพิงพนักไม้ด้านหลัง “ตอนฟังจากมิกซ์ทางโทรศัพท์ก็ว่าแย่แล้ว พอเจอตัวเข้ายิ่งแย่ไปกันใหญ่ มันหมือน...เหมือน -- เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า”
อดิรุจพยักหน้ารับอย่างเข้าใจดี “คงต้องใช้เวลาตามที่พวกหมอๆ เขาว่ากัน แต่จะว่าไปยายโมรุ่นความจำเสื่อมนี่ก็ดีไปอีกอย่างนะ ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ ว่าง่าย สงบเสงี่ยบเรียบร้อยดี”
ดนุนัยเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะขัดใจอยู่บ้างนิดๆ ที่ท่าทางของน้องสาวต่างสายเลือดไม่ได้ติดเขาแจ แถมยังทำกิริยาราวกับเว้นห่างระหว่างเขาอีก แต่โดยรวมแล้วต้องยอมรับว่าหญิงสาวดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นเยอะ
“อ้าวพี่รัก กลับมาจากป่าตั้งแต่เมื่อไรค่ะ”
ดนุนัยส่งเสียงครางต่ำในลำคอ มองร่างเล็กบางของหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ผมยาวสีน้ำตาลดัดเป็นลอนใหญ่เป็นประกายอยู่กลางแสงแดด
“แหม พูดอย่างกับว่าพี่เป็นคนป่า นี่คิดเองเหรอว่าติดเชื่อปากไม่ดีมาจากว่าที่สามีจ๊ะ น้องริน”
รสรินวางถาดใส่ขนมสองถ้วยที่ถือมาลงบนโต๊ะไม้ ยิ้มขำ
“แล้วพี่รักว่าอย่างริน ความเป็นไปได้ข้อไหนมีมากกว่ากันล่ะค่ะ”
“ติดมาจากไอ้แม็ค”
“อ้าวเฮ้ย!”
“บัวลอยอร่อยๆ ค่ะ”รสรินเอ่ยแทรกขัดคู่หมั้นที่ตั้งท่าร่ายยาว พลางวางถ้วยขนมลงให้กับชายหนุ่มทั้งสอง “ลองชิมให้หน่อยสิค่ะพี่รักว่ารสชาติใช้ได้ไหม รินทำเองเลยนะคะเนี่ย”
ดนุนัยตักขนมคำแรกใส่ปาก เคี้ยวไปทำสีหน้าครุ่นคิดไปอยู่ราวห้าวินาทีก็เอ่ยตอบกลับมา
“ฝีมือระดับนี้ไม่น่าจะหัดทำครั้งแรกนะ”
รสรินยิ้ม “ค่ะ ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ทำมานานเป็นปี กลัวรสมือจะตกเลยหาคนช่วยชิมให้”
คนถูกขอร้องให้ลองรสชาติขนมยิ้มกว้าง “ทำไม จะทำให้ไปให้ผู้ใหญ่ที่ไหนกินรึไง”
“ผู้เด็กล่ะสิไม่ว่า”
คำตอบของอดิรุจทำเอาคนฟังถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ชักเริ่มตามทุกเพื่อนไม่ทัน
“น้องโมบ่นว่าอยากทานน่ะค่ะ รสเลยอาสาว่าจะทำไปให้”
ช้อนบัวลอยไข่หวานชะงักอยู่กลางทาง ไม่ได้ส่งเข้าปากที่อ้ารออยู่
“หนูโมบ่นอยากกินบัวลอยไข่หวาน!”ดนุนัยเอ่ยทวนราวกับไม่แน่ใจว่าตนหูฟาดไปรึเปล่า ความมึนงงสงสัยพุ่งขึ้นสูง เพราะตลอดหลายปีที่สนิทสนมกับอรพลิน น้องสาวของเขาคนนี้แทบไม่เคยแตะขนาหวานที่มีส่วนผสมของแป้ง กะทิ น้ำตาล เนย ไข่ ครีม หรือสรุปก็คือ ขนมหวานทุกอย่างนั้นล่ะ ด้วยสาเหตุที่ว่า
‘มีแต่ของทำให้น้ำหนักขึ้นทั้งนั้น’
‘นานๆ กินสักครั้ง นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ’
แต่อรพลินนั้นกลับส่ายหน้า ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องมองกลับมาราวกับพี่ชายสุดที่รักเพิ่งทำเรื่องคอขาดบาดตาย
‘เริ่มจากนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็จะกลายเป็นต่อยาว หลออกตัวเองว่าไม่เป็นไรๆ ไม่อ้วน ทั้งที่มันอ้วน’
นั่นล่ะอรพลินที่เขารู้จัก
“น้องความจำเสื่อม แกอย่าลืมให้มันบ่อยนักสิ”อดิรุจพูดดักคอ เมื่อเห็นสีหน้าบอกอาการพิลึกพิลั่นของเพื่อนสนิท
“ก็...ใช่ ความจำเสื่อม แต่มัน...อย่างกับ”ดนุนัยกลืนคำสุดท้ายลงคอไป
“มิกซ์บอกว่าคนความจำเสื่อมก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ต้องใช้เวลา บางทีพอกลับมาบ้าน เจอสภาพแวดล้อมเดิมๆ ที่คุ้นเคยก็จะค่อยๆ จำได้เอง”รสรินบอก
“ขอให้เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน”
“อ้าว จะไปแล้วเหรอ”
ดนุนัยหันไปพยักหน้า ก้าวลงจากศาลาริมน้ำ “ปาเข้าไปตั้งบ่ายโมงแล้ว ขืนชักช้าไปกว่านี้ ช่วงเย็นฉันไปไม่ทันนัดแน่”
“ออกจากป่าปุ๊บก็ออกเดทกับหญิงเลยนะเอ็ง ทำไม กลัดมันมานักรึไง”อดิรุจที่รู้ไส่รู้พุงเพื่อนเป็นอย่างดีแกล้งแซว
“ฉันเปล่า ทางนั้นเป็นฝ่ายนัดมาเอง พยายามปฎิเสธแล้วแต่เขาก็ยืนกราน เลยต้องไป”
“อย่างพี่รักเนี่ยนะคะปฎิเสธไม่ได้ อมรถถังสิบคันไว้ในปากรินก็ไม่เชื่อ”
“ฮ่าาา อันนี้ฉันไม่ได้สอนนะโว้ย”
อดิรุจหัวเราตัวงอ ในขณะที่ดนุนัยนั้นทำได้แค่ยิ้มเย็น เลือกเดินเลี่ยงออกมา ขืนอยู่นานกว่านี้อีกสักสามสิบวินาที คงได้ถูกแซวจนไม่มีเหลือชิ้นดีแน่
พอเพื่อนเดินลับตาไป อดิรุจกันหันไปทางแฟนสาว “ริน พักนี้ได้เจอฝ้ายบ้างไหม”
“เจอสิค่ะ สอนหนังสืออยู่มหา’ลัยเดียวกัน ถามหาฝ้ายแบบนี้ พี่แม็คมีอะไรหรือเปล่าค่ะ”
อดิรุจลอบถอนหายใจ นึกถึงจิรัชยาเพื่อนรุ่นน้องของรสริน คิดทบทวนอยู่หลายตลบว่าควรพูดดีไหม ซึ่งสุดท้ายความอึดอัดคับข้องใจก็เป็นฝ่ายชนะ
“จำได้ไหมว่าก่อนที่พี่จะรถชน ฝ้ายเขาเคยพูดทำนองว่าให้พี่ระวังเรื่องขับรถ”
รสรินเม้นปากแน่น ทำไมเธอจะจำไม่ได้ ในเมื่อวันที่รุ่นน้องคนสนิทพูดเธอก็อยู่ด้วย หนำซ้ำก่อนหน้านั้น เธอก็เคยถูกเกริ่นๆ เกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุของคู่หมั้น ถึงจิรัชยาจะย้ำว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิตก็เถอะ แต่ครั้งแรกที่ได้ยินนั้นเธอถึงกับเข่าอ่อน เพราะรู้ซึ้งดีว่าครอบครั้วของรุ่นน้องคนนี้ค่อนข้างเชี่ยวชาญในเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ และทุกครั้งที่เอ่ยเตือนใคร ก็ยังไม่เคยพลาดสักรายเดียว
“จำได้ค่ะ พี่แม็คอยากคุยกับฝ้ายเหรอค่ะ”
“ก็ไม่เชิง แค่อยากพิสูจน์ว่าทั้งหมดแค่บังเอิญ หรือฝ้ายเขารู้ว่าต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ฮืม...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ยังไม่ได้ว่าอะไรฝ้ายเลยนะ”เขารีบพูด เมื่อเห็นหน้าแฟนสาวงอหงิก
“แต่ฟังเหมือนดูถูกฝ้ายเลย”
“คิดไปถึงนั่น แล้วฝ้ายเขาเป็นไงมั่ง ไม่เจอนานแล้ว สบายดีไหม”
“กำลังเร่งเคลียงานน่ะค่ะ ฝ้ายเขาจะลาออกไปเปิดร้านอินเตอร์เน็ตที่บ้านต่างจังหวัด”
“อ้าว”อดิรุจอุทาน “ทำไม งานมีปัญหา หรือมีปัญหากับคนที่ทำงาน”
รสรินส่ายหน้าปฎิเสธ “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฝ้ายเขาฝันว่าอยากมีกิจการเป็นของตัวเองมานานแล้ว พอทำงานเก็บเงินได้ครบ ก็เลยทำตามฝันของเขา อีกเดือนสองเดือนก็จะไปแล้วล่ะค่ะ รินว่าจะไปช่วยฝ้ายแพ็คของ”
“ไปเมื่อไรก็บอกพี่ด้วย จะไปช่วยอีกแรง”เพื่อนสนิทแฟนย้ายบ้านทักทีก็ต้องไปช่วย เพราะตัวเขาเองก็สนิทกับจิรัชยาเช่นกัน อีกอย่างเขาอยากไปเจอเธอเพื่อสอบถามเรื่องบางอย่างที่ยังทำให้เขาหนักใจจนถึงทุกวันนี้
...............................................
แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 55 19:58:23
จากคุณ |
:
Fercianut
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ธ.ค. 55 16:19:37
|
|
|
|