ความคิดเห็นที่ 1 1000 A.D. นักบวชศาสนาคริสต์เชื่อว่า ปี 1000 จะเป็นการกลับมาของพระเยซูในครั้งที่สอง เพื่อเตรียมต้อนรับการมาของพระองค์ ชาวบ้านหลายคนสละทิ้งข้าวของทั้งหมด ลาออกงาน/เลิกทำงาน แล้วทิ้งบ้านให้ร้าง เมื่อวันนั้นมาถึงและยังไม่สิ้นโลก ชาวบ้านกลุ่มนั้นกลับคิดไปว่าวันสิ้นโลกใกล้จะมาถึง แต่พวกเขาคำนวณอายุของพระเยซูผิดไป แล้วคิดใหม่ว่าวันสิ้นโลกจริงจะจบลงในปี 1033 AD นี้คือสิ่งที่เรารู้ และมันเป็นเรื่องผิดอย่างมหันต์ทีเดียว จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:18:58

ความคิดเห็นที่ 2 1 กุมภาพันธ์ 1524 โหราศาสตร์ลอนดอนสร้างความวิตกกังวล ให้กับประชาชนเป็นอย่างมากเมื่อตีความว่า การเรียงตัวของดาวเคราะห์ในราศีมีน งู (ปลา) หมายถึงวันสิ้นโลกด้วยน้ำท่วมใหญ่ คนนับหมื่นหาที่หลบภัยบนที่สูง บางคนถึงกับสร้างเรือขนาดใหญ่(แบบโนอา) เื่พื่อเตรียมอพยพหนีน้ำท่วมโลก แต่น้ำไม่เคยท่วมโลกเลย จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:19:48

ความคิดเห็นที่ 3 19 พฤษภาคม 1780 วันที่ 19พฤษภาคม 1780 ความมืดครึ้มปกคลุมทั่วนิวอิงแลนด์ เป็นแรงกระตุ้นกลุ่มศาสนาที่รู้จักกันในชื่อ Shakers  เชื่อว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงแล้ว แม้ว่าท้องฟ้าจะมีสีดำผิดปกติ ต่อมารู้จักกันและเรียกว่า วันมืด มันเกิดขึ้นมาจากการผสมผสานของ ควันไฟที่ไหม้ป่าและกลุ่มหมอกหนาทึบ ส่งผลให้นักบวชในทุกนิกายศาสนา ต้องมีภารกิจที่จะเผยแพร่ข้อความ ให้ชาวบ้านเร่งรีบรักษาพรหมจรรย์ไว้ (สำนึกบาปและไถ่บาปกับนักบวช) จึงจะเป็นการล้างบาปได้ (จะไม่ต้องถูกตัดสินโทษ ในวันพิพากษาโลก/วันสิ้นโลก ตามคำสอนของศาสนาคริสต์) จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:20:31

ความคิดเห็นที่ 4 21 มีนาคม 1843 - 21 มีนาคม 1844 William Miller วิลเลียม มิลเลอร์ ได้หลอกสาวกจำนวนมาก หรือ พวก Millerites เมื่อเขาประกาศว่าวันสิ้นโลก จะอยู่ระหว่าง21 มีนาคม 1843 และ 21 มีนาคม 1844 เมื่อครบวันประกาศแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงย้ายวันไปเป็น22 ตุลาคม 1844 หลังจากพระเยซูไม่กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง (รู้จักกันดีว่า GreatDisappointment ความผิดหวังอย่่างแรงส์ส์ส์ ) พวก Millerites ที่เหลือบางส่วน เลิกนับถือผู้สอนศาสนา Miller และไปตั้งนิกายใหม่ชื่อ SeventhDay Adventistsกันเอง จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:21:33

ความคิดเห็นที่ 5 ดาวหาง ฮัลเลย์ Halley  19 พฤษภาคม 1910 ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 20 จะมาถึงนักดาราศาสตร์ ได้ทำการศึกษาและรู้ว่าหางของดาวหาง มีก๊าซพิษที่เรียกว่าcyanogens ไซยานอเจนส์ การค้นพบนี้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างกว้างขวาง ในปี1910 เมื่อชาวบ้านรู้ว่าโลกกำลังจะโคจร ผ่านหางของดาวหางฮัลเลย์ที่ยาวมาก แม้ว่านักวิทยาศาสตร์สรุปเห็นพ้องต้องกันว่า สิ่งมีชีวิตในโลกไม่ตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใด แต่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ รวมทั้งฉบับที่น่าเชื่อถือมากที่สุด Newyork Times นิวยอร์กไทม์ กลับเล่นกับข่าวความเชื่องมงายเรื่องนี้ และระบุว่าวันสิ้นโลกใกล้มาถึงแล้ว แน่นอนเลยว่า ไม่มีอะไรที่ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับ ก๊าซพิษของดาวหาง เพราะมันไม่สามารถผ่านชั้นบรรยากาศของโลกได้ และปริมาณก๊าซไม่เพียงพอ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายกับโลกได้แต่อย่างใด จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:22:36

ความคิดเห็นที่ 6 1914 ในปี 1876 CharlesTaze Russell ชาร์ลส์ ทาซี่ รัสเซล ผู้ก่อตั้งนิกายพยานของพระเจ้า Jehovah's Witnesses ทำนายว่าพระเยซูจะกลับมาในปี 1914 แต่คำทำนายล้มเหลว เขาก็ยังไม่ละความพยายาม ที่จะำทำนายอีกอย่างน้อยเจ็ดครั้ง ว่าวันสิ้นโลกจะมาึถึงอีก แต่จะมาในวันอื่น ๆ แทน แต่วันสิ้นโลกยังไม่เคยมาถึง และกลุ่มนี้มีชื่อเสียงที่รู้จักกันดีที่สุด คือการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แบบเคาะประตูบ้านต่อบ้าน ทั้งยังเป็นกลุ่มที่ปฏิเสธการบริจาคเลือดให้คนอื่น และการรับการถ่ายเลือดจากคนอื่น จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:23:36

ความคิดเห็นที่ 7 1936, 1943, 1972, และ 1975 ผู้ก่อตั้งคริสตจักรสากลของพระเจ้า Worldwide Church of God เฮอร์เบริท ดับบิว. อาร์มสตรอง Herbert W. Armstrong ได้บอกกับสมาชิกคริสตจักรสากลของเขาว่า วันมหาปลื้มปิดิจะเกิดขึ้นในปี 1936 มีแต่สาวกของเขาเท่านั้นที่จะรอดชีวิต แม้ว่าคำทำนายจะผิด เขาก็ยังเปลี่ยนคำทำนายอีกถึงสามครั้ง แต่ก็ยังผิดพลาดทุกครั้ง จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:24:27

ความคิดเห็นที่ 8 10 มีนาคม 1982 ในปี 1974 นักฟิสิคส์ดาราศาสตร์ จอห์น กริบบิน John Gribbin กับ สตีเฟ่น เพลกมานน์ Stephen Plagemann ได้ตีพิมพ์ผลงานระบุว่า วันที่ 10 มีนาคม 1982 ดาวเคราะห์ทุกดวงจะมีวงโคจรเรียงตัว อยู่ในระนาบเดียวกันกับดวงอาทิตย์ จะสร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อแรงโน้มถ่วง จะนำไปสู่การเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ในตอนหลังหนังสือเล่มนี้ถูกเรียกชื่อว่า กลับมาเถิด ภัยพิบัติดาวจูปิเตอร์ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 55 22:12:10 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:25:38

ความคิดเห็นที่ 9 Y2K (1 มกราคม2000) ไม่มีใครแน่ใจได้จริง ๆ ว่า อะไรเกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม 2000  เว้นแต่ว่ามีการกักตุนน้ำดื่มและน้ำขวดให้เพียงพอ  แบตเตอรี่/ถ่านไฟฉายสำรอง และอาวุธปืน ความวิตกกังวล คือ การที่คอมพิวเตอร์ทั่วโลกจะไม่เข้าใจปี 00 มันจะอ่านเป็นปี 1900 แทนปี 2000 การเข้าใจผิดนี้จะทำให้ระบบเทคโนโลยี ที่ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่ใช้ตัวเลขแบบนี้ จะล่มสลายก่อให้เกิดการพังยับเยินทั่วโลก (เพราะย้อนหลังตัวเลขไปอีกพันปี การคำนวณต่าง ๆ จะผิดพลาดไปหมด) แล้วสหัสวรรษก็มาถึงและผ่านพ้นไป ชาวโลกทุกคนต่างเป็นปรกติดี  มีเพียงแต่คนไม่กี่คนที่ผิดหวัง กับการต้องใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา หลบอยู่ในหลุมหลบภัยในวันโลกาวินาศ จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:26:37

ความคิดเห็นที่ 10 21 พฤษภาคม 2011 แฮโรลด์ แคมป์ HaroldCamping ประธานเครือข่ายวิทยุครอบครัว Family RadioNetwork สร้างความโกลาหลอย่างมากในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เมื่อเขาทำนายว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้น โดยแผ่นดินไหวและแผ่นดินจะม้วนตัว หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ วันมหาปลื้มปิติ หลังจากวันที่ 21 พฤษภาคม ผ่านไป ไม่มีเทวดาสักองค์โผล่หัวขึ้นมา ตามด้วยสัญญาณใด ๆ ของ ไฟนรกโลกันต์และไฟจากกำมะถัน (ตามคำทำนายของศาสนาคริสต์)  แต่ แคมป์ยังเลื่อนวันสิ้นโลกออกไปอีก เป็นวันที่ 21 ตุลาคม 2011 และยังไม่มีคำตอบว่า ทำไมพวกเราทุกคนยังอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่านักเทศน์วัย 90 ขวบ จะได้ตัดสินใจที่จะหยุดการทำนายทั้งหมด และลาออกจากตำแหน่งประธานเครือข่าย หลังจากที่คาดการณ์วันสิ้นโลก ครั้งที่สองผิดพลาดอีก เีัรียบเรียงจาก  Business Insider จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 20:29:13

ความคิดเห็นที่ 11 คนเราคงต้องมีความเชื่ออะไรสักอย่างมั้งคะ แม้แต่ความเชื่อว่าโลกจะสิ้นก็ตาม จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 01:11:02

ความคิดเห็นที่ 12 ในความรู้สึกส่วนตัว ผมไม่มีความเชื่อเรื่องคำทำนายเหล่านี้ แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว จากคุณ : GTW เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 08:12:34

ความคิดเห็นที่ 13 รอโลกแตกมาหลายรอบแล้ว อิอิ ถ้ามันแตกจริงก็ดีเนอะ จะได้สร้างโลกใหม่ จากคุณ : มาโซคิส เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 17:05:07

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ค่อยชอบเรื่องคำทำนายตามความเชื่อหรือไสยศาสตร์เท่าไหร่ แต่ชอบข้อเท็จจริงที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตมากกว่า (เช่น มลพิษ, แหล่งทรัพยากร, ความเสื่อมของศีลธรรม, ภัยธรรมชาติ ฯลฯ) ถ้า โลกแตก ก็ไม่แปลกนะ เพราะมนุษย์ที่ อยากได้ จากธรรมชาติ มีมากกว่ามนุษย์ที่พยายาม รักษาธรรมชาติ เอาไว้... จากคุณ : myladyannbook เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 18:00:15