Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Half Twins บทที่ ๕ ฝาแฝด vote ติดต่อทีมงาน

สวัสดีค่ะ
ตอนนี้เป็นตอนที่ตอบคำถามว่าทำไมเรื่องนี้จึงมีชื่อว่า Half Twins หรือ ครึ่งแฝด นะคะ ^^

chenjiayi: คาดว่าจะใช้กับทวยะไม่ได้ผลค่ะ ทวยะมันน่ากลัวเกินไป ^^'

Psycho man: เรื่องนี้ทวยะเด่นสุดค่ะ ไทวะเด่นรองลงมา แต่หลังๆ ก็จะมีบทเด่นมากขึ้น

ลูกคิดน้อย: ดีใจที่ชอบค่ะ ^^

ตอนเก่านะคะ
อารัมภบท และ บทที่ ๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12879288/W12879288.html
บทที่ ๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12911942/W12911942.html
บทที่ ๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12978217/W12978217.html
บทที่ ๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13009856/W13009856.html

และก็แฟนเพจ ^^
http://www.facebook.com/treepunt

###

บทที่ ๕ ฝาแฝด

วันต่อมา ผมพบกับอัทธ์ที่ห้องเรียนอีก เขาเปลี่ยนไปมากกว่าเมื่อวาน ขอบตาดำคล้ำ ดวงตาเหม่อลอย ท่าทางก็ดูเฉื่อยชา ผมคิดว่าเมื่อคืนเขาก็คงใช้พลังจากหินแก้วนั่นอีกหลายครั้งเลยทีเดียว

ระหว่างที่กำลังรอเวลาเรียน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเห็นเขาก้มมองหินแก้วอันนั้น ยื่นมือจับมัน แล้วกระซิบอะไรบางอย่าง ผมจึงเดินตรงไปหาเขา

“อัทธ์...” ผมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงธรรมดา ไม่ได้ตะโกนหรือเข้าไปกระซิบใกล้ๆ แต่เขาถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่

“อะไร!” เขาร้องถาม เสียงสั่นด้วยความตกใจ

“ฉันมาขอโทษแทนทวยะน่ะ เรื่องเมื่อคืน ฉันว่าทวยะมันก็บ้าไปหน่อย” ผมบอกออกไปแบบนั้น เพื่อให้เขาไว้ใจผมมากขึ้น อยากให้เขารู้สึกว่าผมมาดี...

อัทธ์เงยหน้ามองผมนิดหนึ่ง มือที่จับหินแก้วอยู่กำแน่นเข้า เหมือนกลัวว่าผมจะเข้าไปกระชากมันออกมา

“ช่างมันเหอะ ว่าแต่...นายอยู่กับคนแบบนั้นได้ยังไงวะ วันดีคืนดีมันจะไม่ลุกขึ้นมาบีบคอนายหรือ”

“ไม่หรอก ความจริงทวยะก็เป็นคนดี เขาหวังดีกับเพื่อนนะ เพียงแต่วิธีการมันไม่ค่อยเหมือนมนุษย์สักเท่าไร” อันนี้ผมพูดจากใจจริง

หนุ่มพังค์รับคำแล้วก็นิ่งไป ผมสังเกตว่ามือที่กำหินแก้วอยู่คลายออกนิดหน่อย แสดงว่าเขาเริ่มไว้ใจผมบ้างแล้ว ดังนั้นผมจึงรุกต่อไป

“นายไม่คิดว่าคำพูดทวยะมันมีส่วนถูกบ้างหรือ”

“ถูกยังไง”

“วันนี้นายส่องกระจกดูสภาพตัวเองรึยัง ฉันว่านายโทรมไปเยอะนะ”

รุกฆาต!

อัทธ์ดูเหมือนอึกอักเล็กน้อย เขากำหินแก้วแน่นขึ้นอีก ทั้งยังพยายามเบี่ยงตัวหันไปทางอื่นด้วย

“เมื่อคืนฉันนอนดึกต่างหาก นอนไม่พอมันก็โทรมอย่างนี้แหละ” เขาตอบน้ำขุ่นๆ

“แต่ว่า มันก็น่าคิดนะ...นายรู้ไหม ก่อนที่นายจะซื้อมันมา มีคนเอามามันขายให้ฉันเหมือนกัน”

อัทธ์เหลือบตามองผมอย่างสงสัย แต่คงยังไม่ไว้ใจเท่าใด จึงไม่หันมามองเต็มตา

“ฉันรู้ว่ามันเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง” ผมเล่าต่อไป “ฉันเองก็เกือบจะซื้อมันมาแล้วเหมือนกัน แต่ทวยะดึงฉันออกมาก่อน หมอนั่นบอกว่ามันอันตราย เป็นของอันตรายน่ะ ฉันเชื่อ เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะฉันเคยเห็นเขาส่งปิศาจตนหนึ่งลงนรกกับตามาแล้ว”

“ส่งปิศาจลงนรกหรือ!”

ตอนนั้นผมคิดว่าคำพูดของผมได้ผล เพราะอัทธ์หันมาสนใจทันที ทว่า...

“ไอ้ขี้โม้! ในโลกนี้มีเรื่องพันธุ์นั้นที่ไหน มีแต่ปาหี่ทั้งนั้น” เขาบอกอย่างอารมณ์เสีย

ผมหรี่ตามองเพื่อนอย่างขัดใจ คิดอยู่ว่าจะทำใจดำเหมือนทวยะ ปล่อยให้เขาตายไปโดยไม่ช่วยจะดีหรือไม่ แต่สุดท้าย เทวดาบนไหล่ขวาก็ชนะซาตานบนไหล่ซ้าย ...ถึงทวยะไม่ช่วย ผมก็จะช่วย

ตอนแรกผมคิดจะเล่าเรื่องครูปานลักษมิ์ กับเรื่องของรดาให้เขาฟัง คิดว่ามันน่าจะโน้มน้าวให้เขาเชื่อได้ เพราะยังมีคนช่วยยืนยันด้วยอีกสองคน ติดก็แต่มันมีผลกระทบต่อหญิงสาวทั้งสองโดยตรง ผมจึงไม่ได้พูดออกไป... อย่างไรเสีย ผมก็ยังมีมารยาทพอที่จะไม่เล่าเรื่องของคนอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน

แต่ผมก็ยังคิด...บางที ครูปานอาจจะช่วยพูดได้ คำพูดของครูสมควรน่าเชื่อถือว่าคำพูดของเพื่อน ผมจึงตัดสินใจว่า เย็นวันนั้นจะไปขอความช่วยเหลือจากครูปาน

---

และแล้ววันนั้นก็เป็นอีกวันที่ครูนรินทร์ท้องเสียอย่างรุนแรงจนต้องงดสอน ไม่ต้องสงสัยเลย มันต้องเป็นเพราะพลังของหินแก้วนั่นแน่ๆ

ผมเก็บของ เดินออกจากห้องเรียนมาพร้อมกับเพื่อนๆ ตรงไปยังบันไดทางลงอาคาร ระหว่างนั้นผมต้องเดินผ่านห้องเรียนของทวยะ ซึ่งกฤตย์ก็อยู่ห้องนั้นด้วย

ผมนึกถึงกฤตย์ขึ้นมาทันที ระหว่างนี้ ถ้าให้รูมเมทอย่างกฤตย์ช่วยสังเกตพฤติกรรมของอัทธ์เอาไว้ ให้กฤตย์คอยห้ามไม่ให้เขาใช้พลังจากหินแก้วนั่น ก็อาจจะช่วยชลอไม่ให้เขาสูญเสียพลังชีวิตเร็วเกินไป

คิดได้อย่างนี้แล้วก็ไม่รอช้า ผมแอบไปยืนอยู่ริมประตู คอยมองหากฤตย์...แต่ดูเหมือนสวรรค์ไม่ค่อยเข้าข้างผมเลย กฤตย์นั่งอยู่หลังห้องริมหน้าต่างโน่น เรียกว่าตรงข้ามกับประตูซึ่งอยู่เยื้องมาทางหน้าห้อง

ผมเดินกลับเข้าไปที่ห้องเรียนของตัวเอง ตอนนั้นเพื่อนๆ ทยอยออกจากห้องกันไปหมดแล้ว ผมจึงตรงไปที่หน้าต่าง ผลักบานหน้าต่างเปิดออก ด้านนอกนั่นมีเฉลียงแคบๆ สำหรับวางคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ ผมปีนลงไปยืนที่นั่น แล้วค่อยๆ คืบคลานไปยังห้องของกฤตย์

ผมมาหยุดอยู่ใต้หน้าต่างข้างที่นั่งของกฤตย์ เอื้อมมือเคาะหน้าต่างเบาๆ พอให้เขารู้แค่คนเดียว พอกฤตย์ชะโงกมองมา ผมก็ชี้มือไปที่ห้องเรียนของตัวเอง เป็นสัญญาณบกว่าผมจะคุยกับเขาที่นั่น

ผมคลานกลับมาที่ห้องเรียนร้าง ปีนหน้าต่างกลับเข้าห้อง รออยู่อีกครู่หนึ่งกฤตย์ก็เดินเข้าประตูมา...

“มีอะไรด่วนหรือ ฉันขออนุญาตครูออกมาเข้าห้องน้ำ อยู่ได้ไม่นานหรอกนะ” เขาแจง

“ฉันขอเวลาไม่นานหรอก ว่าแต่...นายเชื่อเรื่องภูตผีปิศาจไหม” ผมค่อยๆ เริ่ม

“หือ!” เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ก็...นิดหน่อยมั้ง ฉันก็กลัวผีเหมือนกัน”

“อย่างนั้นถามอีกข้อ...นายสังเกตไหมว่าช่วงนี้อัทธ์มีอะไรผิดปกติไปบ้าง”

“ก็...พูดคนเดียว ไม่ค่อยทะเลาะกับฉัน แล้วก็ดูเหมือนผีตายซากพิลึก” เขาตอบแล้วก็ยักไหล่

“นายคิดว่าเป็นเพราะอะไรล่ะ”

เพื่อนผมเบิกตาโต “อย่าบอกนะโว้ย ว่ามันโดนผีเข้า!”

“ก็ไม่เชิง แต่นายเชื่อฉันไหมล่ะ ว่ามันเกี่ยวกันอยู่”

ผมเห็นเขานิ่งไปนิดหนึ่ง ทำหน้าตื่นเหมือนถูกผีหลอก จากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ ผมจึงเล่าต่อ

“นายเห็นหินแก้วที่อัทธ์สวมอยู่ที่คอไหม นั่นน่ะ มันจะดลบันดาลให้สิ่งที่อัทธ์พูดเป็นความจริง แต่ทุกครั้งมันก็จะคอยดูดพลังชีวิตของอัทธ์ไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่รีบ อัทธ์มันก็จะเหลือแต่ร่างไร้ชีวิต”

“เฮ้ย! จะ...จริงหรือ แล้วจะทำยังไงดีวะเนี่ย”

“นายต้องคอยดูอัทธ์ อย่าให้มันพูดอะไรที่เป็นความต้องการของมัน”

“แบบนั้นฉันไม่ต้องนั่งเฝ้ามันทั้งวันหรือ” เขาโวยวายเล็กน้อย “นี่ฉันมีเรียนอยู่นะโว้ย แล้วเรื่องที่นายบอกก็ไม่รู้ว่าเชื่อได้รึเปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นนายก็เลือกเอา ระหว่างขาดเรียนไม่กี่ครั้ง กับชีวิตรูมเมทของนาย... พวกนายอยู่กันมานานพอสมควรแล้วนี่ ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมา ก็คงมาหานายคนแรกล่ะ” ผมพูดกระตุ้นเขา พลางเดินไปที่ประตู “บอกตามตรง ฉันก็กลัวผีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นฉัน ก็คงเลือกเพื่อนมากกว่า”

ผมเปิดประตู แล้วก้าวออกไป เพื่อปล่อยให้เขาใช้ความคิดของตัวเอง...หวังว่าคำพูดกระตุ้นของผมคงมีผลอยู่บ้าง

ผมรออยู่ที่หน้าห้องครู่หนึ่ง กฤตย์ก็เดินออกมา พร้อมกับใบหน้าซีดสลด

“จริงของแก ว่าแต่ตอนนี้อัทธ์มันไปไหนแล้วล่ะ”

“ครูนรินทร์เจอฤทธิ์หินแก้วอันนั้น ทำให้ต้องงดสอน ฉันว่านายน่าจะรู้ดีกว่าฉัน ว่าอัทธ์มักจะไปที่ไหน ในเวลาไม่มีเรียน”

“เออ ฉันรู้ ก็ฉันเป็นรูมเมทมันนี่หว่า” เขาบอก แล้วเดินรี่ลงจากอาคารเรียนไป

---

เป้าหมายต่อไปของผมคือ ครูนางฟ้า...

ผมกลับมาที่หอพักแล้ว จึงตรงไปยังห้องพยาบาลทันที

ขณะที่ผมเปิดประตูเข้าไป ครูปานลักษมิ์ซึ่งนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์จ่ายยาก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่

“ว่าไงจ๊ะ ไทวะ เป็นอะไรมาหรือ” ครูนางฟ้าของผมถามพร้อมยิ้มหวาน เผยให้เห็นฟันเขี้ยวเล็กๆ น่ารักทั้งสองซี่

ผมปั้นหน้าเครียด เดินเข้าไปตรงหน้าครูปาน

“ผมมีเรื่องให้ครูช่วยครับ”

“มีอะไร...เรื่องรายแรงมากหรือ” ครูปานเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“มันเกี่ยวกับความเป็นตายของอัทธ์ครับ” ผมตอบตามตรง “ครูเชื่อใช่ไหมครับว่าทวยะมีพลังพิเศษเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ”

ครูปานพยักหน้ารับอย่างงงๆ ผมจึงเล่าเรื่องอัทธ์กับหินแก้วปิศาจอันนั้นให้เธอฟัง ไม่ต้องสงสัยเลย ครูปานเชื่ออย่างสนิทใจ เพราะเธอเองก็เคยเห็นพลังพิเศษของทวยะมาแล้วกับตา...

“ครูปานจะช่วยกล่อมให้อัทธ์ถอดหินแก้วอันนั้นออกได้ไหมครับ ตอนนี้มีแต่ครูเท่านั้นที่ช่วยเขาได้” ผมทำเสียงอ้อนวอน ซึ่งความจริงไม่จำเป็นเลย เพราะนางฟ้าของผมยินดีที่จะช่วยเหลือนักเรียนทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่อารมณ์ของผมในเวลานั้นมันพาไป

“จ๊ะ แต่ครูคงทำได้แค่ให้อัทธ์เชื่อว่าทวยะมีพลังพิเศษจริงเท่านั้นน่ะสิ”

“แค่นั้นก็เยี่ยมแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับ”

---

ผมกับครูปานรออัทธ์อยู่ที่ใต้หอพักจนกระทั่งเย็น ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะกลับมา ผมเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย แต่คนที่แสดงความกังวลจนเห็นได้ชัดก็คือครูปาน เธอเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่นเลยทีเดียว

ความจริง เวลาเย็นมักจะต้องเป็นเวลาที่นักเรียนที่อยู่หอค่อยๆ ทยอยกลับหอพัก หากแต่เย็นวันนั้นสถานการณ์กลับตรงกันข้าม...

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เพื่อนๆ พี่ๆ ต่างกรูกันออกจากหอพัก ผมเห็นสภาพเช่นนั้นจึงดึงเพื่อนรุ่นเดียวกันคนหนึ่งมาถาม

“เห็นเขาบอกว่า มีคนจะกระโดดตึกหนึ่ง รีบไปดูเร็ว!”

ตึกหนึ่ง ก็คือ อาคารเรียนหลังที่หนึ่ง... เมื่อมีคนจะกระโดดตึกเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว ครูปานกับผมจึงรีบบึ่งไปยังที่เกิดเหตุทันที

เมื่อเราไปถึงที่นั่น ก็เห็นกลุ่มนักเรียนมุง

ผมกับครูปานพยายามเบียดตัวฝ่าฝูงนักเรียนมุงเข้าไปใกล้อาคารเรียน และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปที่ดาดฟ้า ผมก็เห็นเงาเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขอบกำแพง

กฤตย์!

หัวใจผมหล่นโครมลงไปกองอยู่ที่ส้นเท้าทันที เขารับคำผมไปช่วยสังเกตและทักท้วงอัทธ์ไม่ให้ใช้พลังจากหินแก้วนั้น แต่ทำไมเหตุการณ์จึงกลับกลายเป็นเช่นนี้...

ไม่ต้องสงสัยนาน เพราะตัวการอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง... อัทธ์นอนพังพาบหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่หน้าอาคาร โดยมีรุจยานั่งร้องไห้พร้อมกับประคองตัวเขาไว้อยู่ไม่ให้ล้มฟุบไป

ผมกับครูปานตรงเข้าไปดูพวกเขาทันที แต่ใบหน้าของอัทธ์ในยามนั้น ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้า มือสั่นตัวชาด้วยความตื่นตระหนก

ใบหน้าของเขา ต้องเรียกว่าเหมือนศพ ซูบและขาวซีดไร้สีเลือด ขอบตาดำคล้ำ ดวงตาที่เบิกโพลงอยู่ลึกโหลจนเหมือนจะหลุดออกจากเบ้า ริมฝีปากก็ซีดจนเป็นสีม่วงคล้ำ!

“ครูคะ...ช่วยอัทธ์กับกฤตย์ด้วยค่ะ พวกเขาเป็นอะไรกันก็ไม่รู้” รุจยาร้องพลางสะอึกสะอื้น

ครูปานเองก็ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก เพราะเธอไม่พูดอะไรเลย ได้แต่เขย่าตัวอัทธ์แรงๆ ตบแก้มเขาเบาๆ อีกหลายทีเพื่อเรียกสติ แต่นั่นย่อมไม่เป็นผล เนื่องจากอัทธ์สูญเสียพลังชีวิตให้กับหินแก้วที่คอไปหมดแล้ว

หินแก้วอันนั้น...มันยังอยู่ที่คอของเขา จุดสีฟ้าสว่างมากมายกระจายอยู่ในนั้น ทำให้สีน้ำเงินครามของหินแก้วดูสว่างตาไปด้วย จุดเหล่านั้นเคลื่อนที่ไปมาราวกับมีชีวิต... มันย่อมมีชีวิต เพราะมันคือพลังชีวิตของอัทธ์!

“รุจยา...” ผมเรียกเพื่อนสาว “เกิดอะไรขึ้น”

“เมื่อครู่ พวกเขาทะเลาะกัน เรื่องสร้อย เรื่องพลังชีวิตอะไรก็ไม่รู้ แล้วอยู่ๆ อัทธ์ก็ล้มลง ส่วนกฤตย์ก็เดินขึ้นไปบนนั้น” รุจยาเล่าพลางสะอื้นไห้ “ฉันกลัว...ไทวะ...ฉันกลัวพวกเขาตาย!”

ตาย!

“ก่อนอัทธ์จะล้มลง มันพูดอะไร” ผมถามเสียงดังจนเหมือนตะคอก “มันพูดอะไรหรือเปล่า!”

“ไม่รู้” เธอก้มหน้า ยิ่งร้องไห้หนัก คงตกใจเสียงผม ทว่าแวบเดียวเธอก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่ “ไม่...เขาบอก...เขาบอกให้กฤตย์ไปตายซะ!”

นั่นไง...

ผมหันซ้ายแลขวา ในที่สุดก็พบคนที่ผมต้องการหา...ทวยะ

เพื่อนผมยืนอยู่ในกลุ่มคน กำลังเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผมบอกไม่ถูกว่าสายตาของเขาเป็นอย่างไร ดูเหมือนนิ่งเฉย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนเศร้าสลด

ผมตรงไปกระชากปกเสื้อของเขาทันที

“ทวยะ...นายต้องช่วยพวกเขา นายต้องช่วยกฤตย์ มันเป็นเพื่อนนายนะโว้ย!” ผมตะคอก แต่ดูเหมือนทวยะจะไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของผม เขาเหลือบมองผมนิดหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองไปที่เพื่อนบนขอบกำแพงดาดฟ้า

“นายได้ยินแล้วใช่ไหม” เขากระซิบเสียงเบาจนเหมือนพูดกับตัวเอง คนอื่นในบริเวณนั้นไม่ได้ยิน แต่ผมยืนอยู่ตรงหน้าเขา ผมย่อมได้ยิน ซึ่งแน่นอน มันทำให้ผมชะงักไปด้วยความสับสน

“นายอยากเอาชนะไม่ใช่หรือ” เขายังคงกระซิบต่อไปอีก ทำเอาผมต้องคลายมือจากคอเขาเพราะความงุนงงอย่างที่สุด

ผมน่ะหรือ อยากเอาชนะ...

ระหว่างที่กำลังจะสติแตกเพราะทวยะ เสียงกรีดร้องของนักเรียนหญิงที่มุงดูอยู่ก็ดังขึ้น ผมหันขวับ แหงนหน้ามองขึ้นไปยังดาดฟ้า

“เฮ้ย! อย่านะ!” ผมร้องลั่น เมื่อเห็นเขาขยับเท้า แล้วถลันไปยืนตรงบริเวณที่คาดว่าเขาจะตกลงมา

ความคิดโง่ๆ ของผมในตอนนั้นคือ ผมจะรอรับเขา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเขาตกลงมาตรงนั้นพอดี ก็มีแต่จะทับผมตายไปด้วยเท่านั้น...

เท้าของเขาค่อยๆ พ้นออกจากขอบกำแพง ทว่าจังหวะที่เขากำลังจะเหยียบลงไปบนอากาศธาตุนั่นเอง ผมก็เห็นแสงไฟสีเขียวสว่างวาบขึ้นทางด้านหลัง ร่างของกฤตย์ผงะหงายกลับไปเหมือนถูกผลัก...หรือบางทีอาจเหมือนถูกกระชากเสียมากกว่า

ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย...ผมหันกลับไปทางทวยะทันที เห็นเขาเชิดหน้า ยักคิ้วให้ผมอย่างกวนประสาท

“นายช่วยกฤตย์!” ผมโพล่งออกมาอย่างยินดี พลางถลาไปถึงตัวเขา ซึ่งกำลังก้าวยาวๆ ออกมาจากกลุ่มคน

“อย่าปากมาก!” เขาตะคอกใส่ผมบ้าง แล้วก็บ่นอุบอิบ พร้อมก้าวตรงไปที่อัทธ์ “น่ารำคาญชะมัด”

ทันทีที่ทวยะมาถึงตัวอัทธ์ เขาก็ดึงคอเสื้อด้านหลังของเพื่อนซึ่งเวลานั้นมีสภาพเหมือนเพียงแค่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง แล้วลากเข้าอาคารเรียนไปโดยไม่ยี่หระต่อสายตาของใครต่อใคร ที่กำลังมองเขาอย่างแตกตื่น

ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกเช่นกัน...ผมวิ่งตามพวกเขาเข้าไปในอาคารด้วย

ทวยะลากอัทธ์เข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่ง ปล่อยเขาลงโดยไม่สนใจเลยว่านั่นคือร่างมนุษย์ แล้วเอื้อมมือกระตุกสร้อยหินแก้วออกจากคอเขามากำไว้เอาดื้อๆ

...นี่ถ้าอัทธ์มันยังมีสติดีอยู่ล่ะก็ มันคงไม่ยอมให้ทวยะทำแบบนี้ง่ายๆ

“ไทวะ...ปิดประตู” เพื่อนผมออกคำสั่ง “ล็อกห้อง อย่าให้ใครเข้ามา”

ผมไม่รีรอที่จะทำตามคำของเขา ไม่ได้ถือดีจนไม่ยอมให้ใครมาออกคำสั่ง ถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ผมยอมตามไม่ได้จริงๆ

ผมผลักประตูปิด ลงกลอนเรียบร้อย แล้วขยับไปยืนบังช่องกระจกใสเล็กๆ แคบๆ ที่บานประตู

ทวยะแบมือออก หรี่ตามองหินแก้วในมือ

“ดูดไปซะเยอะเชียวนะแก” ไม่ต้องสงสัยเลย เขากำลังพูดกับตัวอะไรในหินนั่นแน่ๆ “ว่าไง จะออกมาดีๆ หรือจะให้ฉันบังคับ”

คำขู่ของทวยะดูเหมือนจะมีผลต่อ ‘เจ้านั่น’ พอสมควร เพราะแสงสีฟ้าอ่อนค่อยๆ เรืองรองขึ้นจากหินแก้ว แสงนั่นกระทบต้องใบหน้าเขา ทำให้ใบหน้านั้นดูเป็นสีฟ้า จนเหมือนไม่ใช่มนุษย์

“ยังไม่ยอมออกมาใช่ไหม!” เขากัดฟันกรอด รู้สึกว่าดวงตาของเขามีประกายวิบวับ แล้ว ‘เจ้านั่น’ ก็หลุดผึงออกมาจากหินแก้ว ราวกับถูกเตะกระเด็นออกมา

มันเป็นปิศาจร่างเล็ก ผอมแห้ง ผิวหนังเป็นสีฟ้าเรืองๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นเหมือนชายชรา ใบหูแหลมเรียวพับลู่ลงเหมือนหมาหงอย ศีรษะล้าน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองไปที่เพื่อนผมอย่างหวาดหวั่น

“แกทำให้ฉันต้องดีดแกออกมาเองนะ” ทวยะบอก พร้อมกับใช้สายตาสาดประกายดุร้ายจ้องมองตอบ ทำให้มันต้องหลบสายตา ยกมือผอมแห้งสีฟ้าที่มีเล็บยาวสีน้ำเงินขึ้นบังศีรษะอย่างหวาดกลัว

“จะคืนเขาไปดีๆ ไหม” เพื่อนผมถามขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงข่มขู่คุกคาม

ปิศาจร่างสีฟ้าสะดุ้งก่อนหันมองไปยังร่างซูบซีดที่ทอดนอนเบิกตาค้างอยู่บนพื้นอย่างลังเล ท่าทีของมันดูไม่เหมือนปิศาจที่มีพิษมีภัยอะไรเลย ตรงกันข้าม มันกลับดูน่าสงสารเสียมากกว่า

“ต้องถึงมือฉันอีกหรือไง!” ทวยะตะคอก มันจึงรีบพยักหน้าหงึกหงัก กระวีกระวาดคลานเข้าไปข้างๆ อัทธ์ เอื้อมมือเหี่ยวแห้งประทับบนหน้าอกของเขา จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าเรืองรองขึ้นที่มือของมัน สว่างขึ้น...สว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่ผิวหนังตรงส่วนอื่นตลอดร่างกลับค่อยๆ ซีดลง...ซีดลง

แสงสีฟ้าค่อยๆ เคลื่อนจากมือของปิศาจเข้าไปในร่างของอัทธ์ ระหว่างนั้น สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นเรื่อยๆ มีสีเลือด ดวงตาลึกคล้ำก็ดูเป็นปกติมากขึ้น เปลือกตาที่เบิกค้างอยู่ก็ค่อยๆ ปิดลงจนสนิท

ในที่สุดปิศาจตัวสีฟ้าก็กลายเป็นปิศาจขาวซีดไปทั้งตัว หน้าตาเพื่อนข้างห้องของผมก็ดูเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง

“ไทวะ...ลากอัทธ์ออกไป” ทวยะสั่งอีก แต่ผมรู้สึกลังเลเล็กน้อย เพราะกลัวจะพลาดฉากสำคัญ ซึ่งทวยะก็ดูเหมือนจะรู้ใจผม จึงบอกอย่างรำคาญ “ยังไม่ถึงเวลาหรอกน่า แกลากมันออกไปก่อน แล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่”

ผมยินดีทำตามทันที คำพูดนี้ของเขาทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าตนเองพิเศษกว่าคนอื่นๆ ที่จะได้รู้ได้เห็น ได้อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งคนอื่นไม่มีโอกาสได้ประสบพบเจอ

ผมหิ้วปีกอัทธ์ที่ยังไม่ได้สติออกไปทิ้งไว้นอกอาคาร... ตอนนั้นที่หน้าตึกไม่มีกลุ่มนักเรียนมุงแล้ว จะเหลือก็แต่ครูปานกับรุจยา ทั้งสองคนแทบจะวิ่งเข้ามาในทันทีที่เห็นผม

“ปลอดภัยใช่ไหม” ครูปานถาม สีหน้าและน้ำเสียงแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ครับ” ผมตอบออกไป “เดี๋ยวผมต้องกลับไปช่วยทวยะ ฝากครูดูและอัทธ์ด้วยนะครับ”

ครูปานพยักหน้ารับ ผมจึงหันหลังกลับเข้าตึก แต่เมื่อเดินไปได้แค่สองก้าวก็เกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปถามอีกครั้ง

“ครูปานครับ แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ”

“ครูบอกให้กลับกันไปหมดแล้วล่ะจ๊ะ”

“พวกเขาเชื่อด้วยหรือครับ” ผมอดสงสัยไม่ได้ เรื่องบ้าบอพรรค์นี้ ใครบ้างจะไม่อยากรู้อยากเห็น

“ก็ครูปานเอาครูนรินทร์มาขู่น่ะสิ พอบอกว่าจะไปบอกให้ครูนริทร์มาจัดการ พวกนั้นก็เลยเผ่นกลับหอกันไปหมด” รุจยาแถลงแทนครูปานที่คลี่ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ หยุดหัวเราะนิดหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นอีก “ไม่รู้ซะเล้ย ว่าตอนนี้ครูนริทร์นอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาลโน่น” แน่ละ...เล่นท้องเสียติดต่อกันสองวันแบบนั้น ทนได้ก็ไม่ใช่คนแล้ว

“แล้วกฤตย์ล่ะครับ” ผมถามต่อไปอีก ไม่รู้มีคนไปเก็บซากของเขาลงมาจากดาดฟ้าแล้วหรือยัง

“กฤตย์ถูกส่งไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ เห็นบอกว่าแขนเดาะ เพราะกระแทกกับพื้นตอนล้มกลับลงไปบนดาดฟ้า” ครูปานอธิบาย

“อ๋อ...ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมบอก แล้วจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในตึก

---

เวลา...

การส่งปิศาจสักตนลงไปในนรกจะต้องขึ้นอยู่กับเวลา เรื่องนี้ทวยะบอกกับผมในภายหลัง เขาว่า ตัวเขาเองก็ไม่สามารถรู้แน่ว่าจะเป็นเมื่อไร แต่เมื่อถึงเวลา...เขาจะรู้เอง

ผมนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง เบื่อหน่ายกับการรอคอย ‘เวลา’ และที่เบื่อยิ่งกว่าคือ ไอ้สิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์อีกสองชนิดภายในห้อง ซึ่งนั่งนิ่งเหมือนขอนไม้ตากแห้ง ไม่พูดไม่จา ไม่กระดุกกระดิกเคลื่อนไหวเลย

...คุยกับมดที่ไต่ไปมาอยู่มุมผนังนี่ยังจะเพลินเสียกว่า

ผมคิดพลางนั่งนับมดที่กำลังพาเหรดกันเป็นขบวนยาวเหยียดจากพื้นจนถึงขอบหน้าต่าง จากนั้นก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

รู้สึกตัวตื่นมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงทวยะโพล่งขึ้น “ถึงเวลาแล้ว!

ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะหายงัวเงียดี ทวยะก็ส่งปิศาจขาวซีดลงนรกไปเสียแล้ว ผมจึงได้เห็นเพียงแค่เงารางๆ ของมัน ก่อนจะหายไป

“เวลาไม่รอนายหรอก” ทวยะบอกกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินนำผมซึ่งกำลัง ‘งอน’ ออกจากห้องเรียนนั้น

ทว่าผมย่อมไม่ยอมลดละ ยังมีอีกหลายคำถามที่ผมต้องการคำตอบ...อย่างชัดเจนด้วย!

“ฉันไม่ว่าอะไรก็ได้เรื่องที่นายต้องส่งมันไปตอนที่ฉันยังไม่ตื่นเต็มตา” ผมบอกขณะที่เดินตามเขาออกมาจากอาคาร “แต่นายต้องบอกฉัน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย ตอนที่ฉันขอให้นายช่วยพวกเขา”

“เกิดอะไร พูดไม่รู้เรื่อง”

“ก็นายบอกว่า ‘ได้ยินแล้วใช่ไหม’ กับ ‘อยากเอาชนะไม่ใช่หรือ’ นายคงไม่ได้พูดกับฉันแน่ๆ” ผมพยายามรุกไล่

เขากลอกตาตลบนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาพูดขึ้น “ก็ได้...บอกให้ก็ได้ แต่นายอย่าตกใจล่ะ”

ผมพยักหน้ารับ ทั้งที่มือทั้งสองเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง เกรงว่าคำตอบจะเป็นสิ่งลึกลับที่ผมไม่อาจมองเห็น

“ไม่เอาดีกว่า” เขากลับคำพลางยักคิ้วทีหนึ่ง “ฉันจะให้นายทาย”

ผมนิ่ง... ให้ทาย แล้วผมจะรู้ได้อย่างไร

“เอ้อ...ผี” ผมเดาออกไปอย่างหวาดๆ แต่คำตอบที่ได้มา กลับเป็นเสียงหัวเราะชนิดบ้านแตกของทวยะ

“ไม่ใช่”

“ภูต”

“ก็ไม่ใช่”

“น่ากลัวไหม”

“ไม่เลย เขาเหมือนฉันทุกอย่าง”

“ใครจะไปเหมือนกันทุกอย่าง นอกจากฝาแฝด” ผมโพล่งออกไปอย่างหงุดหงิด

“เผงเลย! นายนี่มันสุดยอดจริงๆ” เขาบอก ก่อนจะขยายความต่อไป “เขาเป็นฝาแฝดฉันนั่นละ เพียงแต่เราไม่เหมือนแฝดคู่อื่น”

“ไม่เหมือนยังไง”

เพื่อนผมหรี่ตา ชั่วครู่นั้น ผมรู้สึกเห็นแววปวดร้าวในดวงตาเขา หากเพียงวูบหนึ่งก็หายไป “เราอยู่ในร่างเดียวกัน”

ผมพยักหน้ารับรู้ ด้วยยังคงนึกถึงแววเจ็บปวดนั้น จนเมื่อพิเคราะห์ประโยคได้แล้ว ผมก็ต้องสะบัดหน้ากลับไปมองเขา พร้อมกับเบิกตาโต

ทวยะคงเห็นสีหน้าแสดงความแตกตื่นจนบิดเบี้ยวของผม จึงตรงเข้ามาตบบ่า แล้วดันผมให้เดินไปด้วยกัน โดยไม่พูดอะไรต่ออีกเลย

ส่วนผม แม้จะมีคำถามมากมาย แต่แค่คำถามแรกก็เจอแบบนี้เข้า ผมจึงต้องหยุดให้เวลาตัวเองได้ทำใจเสียก่อน ไม่เช่นนั้น ผมอาจจช็อคตาตั้งจนต้องส่งโรงพยาบาลไปอีกคนก็เป็นได้

###

แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 55 23:01:37

จากคุณ : ตรีพันธ์
เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 22:59:33




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com