Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< บัลลังก์ลูกไม้ ::..[47]>> vote ติดต่อทีมงาน

-สี่สิบเจ็ด-


พื้นที่หว่างตัวเรือนไม้ในตลาดนั้นแคบอยู่แล้ว ครั้นเจ้าของร้านจำหน่ายผ้า ใช้ราวพาดอวดโฉมแต่ละผืนเป็นช่วงๆ  ความแคบจึงยิ่งทวี กับบรรยากาศพลอยทึบทึมชวนอึดอัดชอบกล

อย่างไรก็ตาม ความงามของลายเย็บปักยังกลับกลืนลางร้ายไปเสียสิ้น วรร่างระหงในภูษาขาวที่ทรง ‘ออกแบบ’ ด้วยองค์เอง หยุดเพ่งพิศ บางทีไล้พระดรรชนีแตะคลำ จากนั้นทรงก้มต่ำ เลิกชายผ้าขึ้นเพื่อสืบพระบาทเข้าทอดพระเนตรผืนถัดไปอย่างเพลิดเพลิน

จวบทรงลุสู่ปลายซอกท้ายตัวร้าน...หรือลักษณะก็มิต่างจากตัวบ้าน...พื้นที่ด้านหลังเป็นลานดินเรียบ กว้าง มีลำไม้ยาวพาดขวางได้แนวเป็นระเบียบ แต่ละราวขึงผ้า สำแดงลายงามจากความละเอียดประณีต ครั้นเข้าอยู่รวมๆ กันยิ่งเกิดความละลาน เส้นทางอ้อมวกไปมาจึงประหนึ่งวงกตอันวิจิตร

ช่วงที่พระอารมณ์เพริศไปด้วยความใหลหลง พระทัยกลับวูบโหวงครั้นทรงพลิกผืนหนึ่ง แล้วพบว่าร่างเล็ก ยืนแข็งตรึงอยู่ราวรูปปั้น

“โอ๊ะ!”

พระหัตถ์ตบอุระ ต่อเมื่อพระสติคืนมา จึงทอดพระเนตรพบว่าเจ้าของร่างผอมเกร็ง ผิวคล้ำกลับดูซีดเซียว ในเสื้อผ้ามอมแมมนั้น ที่แท้ก็ตะลึงขึงอย่างตกใจไม่แพ้กัน

วงหน้าเล็ก ไม่เรียว เช่นเดียวกับเชื้อพันธุ์โมลาสโม่รายอื่น มีผมยาวกะรุ่งกะริ่งปลกหน้า คิ้วคม เข้มจัด เกิดรอยกดตรงหว่างหัว พร้อมกับดวงตากลมโต ดำสนิท มีแพงขนตางอนหนา เวลากะพริบจึงเหมือนจะกระพือ จมูกโด่ง ตรง ปลายเชิดแต่น้อย กับริมฝีปากได้รูปยังค่อนข้างเล็ก ที่เดาได้ว่าหากถึงวัยคงอวบเต็ม เป็นกลีบปากที่สวยเหมาะเจาะน่าชมคู่หนึ่ง รวมๆ กันแล้วยังสรุปไม่ได้ว่าเด็กหญิงหรือเด็กชาย หาก...เป็นเด็กที่งามเด่น

“หนู...?” ครั้นสงบความตื่นพระทัย พระอารมณ์ก็คืนสู่ความละไมละม่อม สุรเสียงที่เรียกใช้ อ่อนหวาน วงพักตร์งามเลิศยิ่งกว่า...ประดับพระเวณิถักงามทิ้งไว้ข้างหนึ่ง ประดับรอยแย้มดุจกุหลาบแรกผลิ

“...เป็นคนของร้านหรือ? เจ้ากับคนที่นี่มีฝีมือมากรู้มั้ย เราดูแล้วแทบเลือกไม่ได้ เพราะหลงรักไปทุกผืนนั่นเทียว...”

ถ้อยรับส่งรมณีย์มีอันหยุดลง ด้วยนอกจากสีหน้าตื่นละม้ายเกรงถูกคุกคามจะไม่หายไป เจ้าตัวน้อยยังส่ายหน้าดิก

“อ้าว! ไม่ใช่คนของที่นี่ แล้วมาจากไหน?”

ครั้นย่างพระบาทใกล้เข้า รายนั้นกลับกระถดถอยหนี

ค่าที่มัวทรงจดจ่ออยู่กับผู้เบื้องพักตร์ จึงไม่ทรงสำเหนียกว่าเบื้องปฤษฎางค์ เสียงผึบผับเบาๆ ที่ทรงคิดว่าผ้ากระพือ ที่จริงแฝงด้วยเสียงฝีเท้าสืบตามใกล้เข้ามาอีกช่วง

ผู้อยู่ในตำแหน่งหันหน้าเข้าหา กับทั้งระวังระแวงอยู่แต่แรก ย่อมสังเกตเงาและลักษณะเคลื่อนไหวผิดปกติได้ก่อน ตาเบิกจึงยิ่งโต แววตกใจเกือบเป็นลาน ปากห่อ ชักเท้าถอยหายไปในผ้าผืนข้างหลัง

“เดี๋ยว!”

ไม่ทันเสด็จตาม หรือกระทั่งคว้าปลายนิ้วเจ้าของร่างนั้นไว้ได้ ผ้าผืนที่เรี่ยพระขนองถูกเลิกแรง เสียงไม้พาดออดแอด โดยเฉพาะกลิ่นเหม็นเหงื่อไคลนั้น เรียกให้ทรงหันกลับมาเผชิญพักตร์

ผู้ชายฉกรรจ์ ตัวใหญ่ ยากจะแยกหน้าตาจากโมลาสโม่อื่นได้ เพราะยังไม่ทรงคุ้น แถมยังเครายาวเหมือนๆ กัน หากที่โดดชัดคือในแววตา...หาใช่ความทุกข์ทนกึ่งไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า ผู้ก้าวเข้ามาใหม่มีแววตาเป็นประกาย ต่อเมื่อกอปรกับรอยยิ้มเหี้ยมกระหายที่ค่อยถูกจุดขึ้นมุมปาก สร้างความรู้สึกน่าขยาดแขยง

วาระนั้น เสียงผ้าเลิก พร้อมใครบางคนในสภาพคล้ายๆ กัน ปรากฏตามมาอีก ทีนี้รายล่าสุดถึงกับร้อง “โอ๊ะโอ!” เมื่อได้เห็นหญิงงามแปลกหน้า

“ข้าว่า ต่อให้ไม่เจออีนังบี แต่คราวนี้เราคงมีตัวช่วยลดโทโสของเจราด”

“ท่านเจราด!” คนมาก่อนขัด และแก้ให้ด้วยเค้าเคารพ

หากถึงอย่างไร ไม่มีคำตอบจากอีกคน

มันย่างสามขุมเข้ามาพร้อมพยักถามด้วยท่าทางหยาบ

“ว่าไง? น้องสาว เจ้าเป็นคนบ้านไหน ทำไมมายืนอยู่ในที่เปลี่ยวๆ อย่างนี้ตามลำพัง?”

“บางทีนางงามนี่จะเป็นนางฟ้า” คู่หูพลอยฮา ดาหน้ารุมเข้าใกล้

“เรามากับแม่ และพี่ชาย เขาทั้งสองรออยู่ที่หน้าร้าน!”

ต่อให้ทรงกลัวเท่าไหร่ ความผยองยังฉุดให้ปลายหนุเชิดขึ้น สุรเสียงก้องกร้าว

“เหรอจ๊ะ? งั้นทำไมน้องมาอยู่ข้างหลังคนเดียวอย่างนี้ล่ะ? เอ...หรือว่า...สองคนนั้น...?”

เจ้าของคำถามพยักไปเบื้องปฤษฎางค์ ‘นางฟ้า’ จึงพลอยหลงกล

อึดใจที่ทรงสะบัดพักตร์กลับมาเตรียมกริ้วกราด ไม่ทันมีสุรเสียงใดหลุดโอษฐ์ได้ด้วยซ้ำ...

กำปั้นใหญ่ของ ‘มัน’ รายหนึ่ง กระแทกเข้าช่วงล่างพระอุทร เต็มรัก!

พระวรกายงอก่อ ก่อนโลกจะมืดด้วยอีกกำปั้น พระโอษฐ์ขยับไม่เป็นคำ ผะแผ่ว...

. . . . . . . . . . . .



“ช่วยด้วย!”

แรงขับจากภาพอดีต ดีดวรองค์ให้ทะลึ่งลุกขึ้นจากนิทราทั้งความโชกชุ่มตลอดพระฉวี พระหทัยกระทุ้งถี่ ขณะที่อัสสาสะ – ปัสสาะสะระรัวแรง ถึงกับทำทรงหอบ

ไม่ทันยกพระหัตถ์ปาดเสโท กับความรู้พระองค์ยังหารวมกันมั่นไม่ ต้องตกพระทัยเสียก่อนด้วยภาพเบื้องพักตร์

หญิงที่ไม่รู้จัก...ท่าทางคงกำลังตกใจเหมือนกัน

“โธ่! ปลุกตั้งนาน นึกจะตื่นก็สะดุ้งขึ้นมาเฉยๆ!”

ผู้พูดพลางลูบอกป้อย เป็นสตรีวัยไม่มากไม่น้อยไปกว่า วงหน้าค่อนข้างแป้นตามเชื้อสายยิ่งกลมขึ้น เพราะกลุ่มผมทั้งหมดถูกรวบด้วยผ้าเรียบร้อย สีทึมๆ โทนเดียวกับชุดอันแลละม้ายใช้ผ้าผืนใหญ่ห่มพันทั้งผืน แสงไฟสลัวรางไม่ช่วยให้จำแนกได้ว่าเป็นสีกระไรแน่ กระทั่งเครื่องหน้ากว่าค่อนก็ถูกซ่อนอยู่ในเงา เห็นเพียงแนวสันจมูกสูงจนดูเป็นแท่ง กับดวงตาลึก กลม โต เป็นสีดำจัด สังเกตแววไม่ชัดเนื่องจากม่านขนตาหนาเป็นแพพรางอยู่

เจ้าหญิงเอลีโอน่าทรงถอยท่อนบนห่างจากผู้นั่งอยู่เกือบชิด สีพระพักตร์เริ่มจากหลากพระทัย กึ่งๆ ไม่สบพระอารมณ์ด้วยความเจ้ายศ ที่ถูกคนไม่รู้จักถือวิสาสะเข้าใกล้ จากนั้นครั้นโครงหน้าและลักษณะการแต่งกายของอีกฝ่าย กระตุ้นให้ทรงสำเหนียกได้ในความเป็นไปก่อนหน้า ลักษณาการจึงเริ่มแปรสู่ความไม่ไว้วางพระทัย

โดยพระจักษุยังจับอยู่ที่ผู้เบื้องพักตร์เป็นหลัก...เริ่มทรงสำรวจสิ่งแวดล้อมสลับไป

ห้องพัก...ค่อนข้างเล็ก มีแต่เตียงแข็งๆ ที่ถูกนำวรร่างมาประทับ กับอีกฝั่งเป็นเตาผิงใกล้มอด ต้นกำเนิดแสงเดียวที่มีจึงกลายเป็นเทียนบนเชิงทื่อๆ คือปราศจากลวดลายโดยสิ้นเชิง วางอยู่บนขอบเหนือเตาผิง

เสียงปะทุคลับคล้ายสำลักลมหายใจสุดท้าย ระคนกับเสียงกลไกฝืดๆ และกระฉอกน้ำแว่วๆ ผ่านรูหว่างบานหน้าต่างที่หับอยู่เข้ามา

สายพระเนตรเสไปหยุดยังจุดสุดท้ายของห้อง

บานประตูปิดสนิทอยู่ไม่ไกล...

แทบจะวินาทีเดียวกับที่สัญชาตญาณประจำองค์บ่งว่า...หาทางออกไป! หญิงแปลกหน้าเอ่ยด้วยคำเดียวกัน

“มาเถอะ เปลี่ยนชุดแล้วรีบไป!”

ด้วยเหตุนี้ ที่ดำริแต่ต้นจึงกลับถูกแทนด้วยคำถาม...อย่างยังติดจะไว้องค์

“เปลี่ยนชุด? ไปไหน? แล้วที่นี่ที่ไหน? เจ้าเป็นใคร?”

คนถูกถามถอนลมหน่ายๆ ครั้นหันเข้าหาแสงมากขึ้น เจ้าหญิงเอลีโอน่าจึงเริ่มทรงประจักษ์ถึงความร้อนใจของเจ้าตัว

“นี่คือที่ที่อันตรายที่สุดในโมลาสโม่ และข้าคือผู้จะชี้ทางเจ้าไปยังที่ปลอดภัยได้!”

ว่าพลางก็รีบเปลื้องชุด ทว่าถูกพระหัตถ์รั้งข้อมือไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิ!”

มีเพลาให้ทรงปะติดปะต่อเรื่องได้แค่ชั่วแวบ กระนั้นก็ยังทรงสรุปได้เป็นคำถาม

“เกิดอะไรขึ้นในโมลาสโม่กันแน่?”

ชั้นต้น คนถูกถามอีก แสดงสีหน้าเกือบขัดใจ แต่เสมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงสูดลมหายใจอย่างพยายามสงบอารมณ์ลง

“เปลี่ยนชุด ระหว่างนี้จะเล่าให้ฟัง”

ด้วยข้อแลกเปลี่ยนนี้ จึงจำทรงทำตาม

“โมลาสโม่ไม่ใช่เมืองสงบและสันโดษอีกต่อไป มันเริ่มตั้งแต่ ‘พันธุ์ไม้ประหลาด’ ที่เจราดนำมาปลูก...” คนเล่าเริ่มต้น พลางปลดชายผ้าที่เหน็บไว้ออกอย่างยุ่งยาก เพราะลักษณะการพันไว้ทั้งตัว

“...นอกจากพิษร้ายในตัว มันยังเป็นต้นกำเนิดของพิษร้ายทั้งหมดในโมลาสโม่!”

“หมายความว่ายังไง? ต้นอะไร? แล้วใครคือเจราด?”

ผู้ถาม ทรงถอดง่ายกว่า หากก็พยายามรักษาความช้า เพื่อทอดเวลาให้ทันกัน...มาตรว่าเหตุใดอุบัติระหว่างนั้น จะไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบเป็นอันขาด

“เจราดเป็นหนุ่มรูปงามที่สุด ความทะยานอยากต่อชัยชนะ ทำให้เขาผิดกับชาวโมลาสโม่ทั่วไป...”

แปลก...ในถ้อยนั้นราวถักด้วยเส้นใยสองสาย...ความรักจนถึงเทิดทูน กับความผิดหวังและเจ็บแค้นลึกซึ้ง

“ความเก่งกาจ ฉลาดเจ้าเล่ห์ ส่งให้เขามีเสน่ห์ ชนะใจสตรีทุกราย และแข่งขันทุกด้านได้ชัยชนะบุรุษทุกผู้ ยกเว้นผู้เดียว...ผู้นำเผ่าของเรา...ท่านพ่อ!”

คำสุดท้ายหลุดลอด พร้อมน้ำตาหลุดร่วง

“เจราดมีฝันยิ่งใหญ่ ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเอาต้นไม้พวกนั้นมาจากคนนอก เอามาเพาะเพื่อแลกกับข้าวของแปลกประหลาดที่โมลาสโม่ไม่เคยมี...คนนอกบอกเขาว่าต้นไม้นี่คือยา และไม่มีที่ใดปลูกมันได้เลยนอกจากที่นี่!”

“แต่มันเป็นพิษ?”

การสนพระทัยจับพระเนตรในลูกตาของคนเล่า กับทั้งความมืดภายในห้อง ไม่ทำให้ผู้ถาม สามารถทรงสังเกตรอยแผลเป็นบนร่างเกือบเปลือยของผู้เล่าได้ง่ายๆ

“ใช่! เจราดบังเอิญรู้ฤทธิ์ของมันเพราะวัวของเขาเผลอและเล็มใบเหม็นเขียวนั่นทุกวัน จนสภาพค่อยๆ พิกลพิการจนไม่เหมือนวัว! เขารู้...แต่ไม่เคยบอกใครกระทั่งข้า…แล้วเขาก็หลอกใช้ข้าให้นำมาผสมอาหารให้พ่อ เพราะนึกว่ามันคือยาบำรุง แต่ยาบำรุงนี่แหละที่ทำให้พ่อหมดแรง เจราดได้ชัยชนะในการแข่งขันสุดท้ายกับผู้ชายคนเดียวที่เขาไม่เคยชนะ!”

สรรพคุณทางยา พื้นที่ปลูก...และเชื้อสายของใครบางคน เกี่ยวโยงเข้ากันลงตัว ฉุดให้พระทัยผู้สดับวับไหว หากยังต้องเก็บกลั้นไว้เพื่อติดตามต่อ

“พวกผู้ชายหน้าโง่ต่างคิดว่าผู้หญิงหลงใหลเจราด เพราะข้าวของประดามีที่เขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สมุนของเขาจึงเพิ่มจำนวน จนสามารถเกณฑ์คนมาก่อสร้างที่นี่ได้สำเร็จในไม่ช้า...วิมานของนังมาโด!”

น้ำเสียงติดจะริษยา ให้คำตอบได้ดีว่า ‘นังมาโด’ ควรคือใคร

เจ้าของเรื่องเล่า หยุดชั่วพักเพื่อแลกชุดกับฉลองพระองค์

“พวกผู้ชายที่ต่อต้านเขา ล้มตายไปด้วยเหตุต่างๆ ส่วนมากมักเป็นตอนออกไปล่าสัตว์ บางคนเกือบถูกสัตว์ทำร้าย แต่เขา ‘เผอิญ’ ช่วยไว้ได้ ก็หันมาเข้าร่วมกับเจราด ที่สำคัญคือ พวกลูกเมียของคนที่ตายไป ได้รับการช่วยเหลือจากเขา โดยให้มาช่วยงานที่นี่...ส่วนใหญ่ทำเครื่องจักสาน...”

“แปลก...” ผู้ฟังทรงปรารมภ์ ขณะทรงจับชายภูษาพันองค์เก้งก้าง

“จากเล่ามา...ที่นี่...ใหญ่ที่สุดในโมลาสโม่ น่าจะคือโรงเรือนที่มีกังหันน้ำขนาดใหญ่...” ยังทรงจำได้จากทิวทัศน์เมื่อแรกทอดพระเนตรเมืองน้ำ กับเสียงกลไกฝืดๆ ระคนด้วยเสียงน้ำแว่วๆ อยู่นี้

“...ได้ยินว่าใช้กังหันนั้นบดโม่... หรือว่าผลผลิตมากจนต้องการภาชนะจากเครื่องจักสานขนาดนั้น? แต่...ที่จริงแรงงานก็น่าจะไปเกี่ยวกับการผลิตมากกว่าการบรรจุ?”

“สายตาคนนอก!” เจ้าของเรื่องราวลงเสียงเยาะ

“ผลผลิตพวกนั้นเป็นเครื่องมือตามคำแนะนำของพวกเจ้านั่นเอง... ‘คนนอก’ ช่างเข้าใจกันดีเสียจริง ว่าจะต้องถูกของพวกนั้นเบนความสนใจไปได้ง่ายๆ!”

นี่ขนาดเกิดเรื่องราวมากมาย...หากเป็นก่อนหน้า คนพูดผู้เป็นลูกสาวผู้นำเผ่า จะอุดมด้วยฤทธิ์เดชถึงปานไหน!

คนฟังผู้โดยพื้นย่อมมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คงมัวทรงสงสัยและหวั่นพระทัยในรอยร้ายเสียมากกว่า จึงมิได้ทรงหาทางขจัดความขัดพระกรรณและนัยนา

ทรงยอมหันปฤษฎางค์ ให้ผู้แต่งตัวเสร็จก่อน ถวายฉลององค์ใหม่โดยดิบดี

“แล้วที่จริงของพวกนั้นใช้บรรจุอะไร?”

“ไม่มีใครรู้!” คนรัดกระตุกผ้าแน่น จนทรงสะดุ้ง

“ส่วนหนึ่งใช้บรรจุผลผลิตออกไปจำหน่ายจริง แต่...ภาชนะมันมีมากกว่านั้น...ควรจะเหลือสำหรับใส่อะไรได้มากกว่านั้น แต่ความจริงก็คือ...ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าพวกที่เหลือนั่นอันตรธานไปไหนหมด เจราดให้คนสนิทเท่านั้นคุมของลำเลียงทางแพซุง ซึ่งเทียบเข้ามาถึงในตัวเรือนด้วยคลองขุดพิเศษ ลำเลียงกันตอนกลางคืน ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะนังมาโดแหละ...ทำเป็นเรื่องมาก กลัวชาวบ้านจะรู้ว่าผัวตัวเองติดต่อกับคนนอกแล้วจะถูกตำหนิ...”

อคติทำให้ยากจะแยกแยะว่าส่วนไหนเป็นเรื่องจริง ส่วนไหนเป็นสิ่งที่คนเล่าคิดเอาเอง

“แล้ว...นั่นแหละ...คนงานเลยต้องสานเพิ่มตลอด!”

เจ้าตัวพ่นลมหายใจอย่างรำคาญ ครั้นเริ่มรู้สึกคล้ายถูกจูงออกนอกเรื่อง

การรีบหวนกลับมา พร้อมพลิกร่าง ‘หญิงต่างเมือง’ หันเผชิญหน้าเพื่อสำรวจความเรียบร้อย เป็นวิธีเตือนอ้อมๆ ว่า...เวลามีอีกไม่มาก!

“เรื่องทุกอย่างร้ายลงไปเพราะของแลกเปลี่ยนใหม่ที่เจราดได้รับ...” ว่าพลางก้มหยิบหมวกจากเตียง

“...เหล้า!”

คราวนี้เริ่มจัดการกับพระเกศายาวสลวยที่ยังอยู่ในเวณิ

“เจราดกับพวกเริ่มกินเหล้าซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของโมลาสโม่ นังเมียเขาเกิดทนไม่ได้เลยหนีไป...หนีไปเลยจากหมู่บ้าน! เจราดโกรธแค้น คิดว่ามันหนีตามผู้ชาย จากนั้นเขาก็ยิ่งหัวราน้ำ อาละวาดใส่ทุกคนในหมู่บ้านเพราะหาว่าเป็นใจให้กับมัน”

“ทำไมไม่มีใครคิดต่อต้านบ้าง?”

รอยหยันวาดบนเรียวปากคนจัดกลุ่มพระเกศาเป็นก้อนแบนเดียวบนพระเศียร

“หมดพ่อเสียคนก็ไม่มีหน้าไหนมีปัญญาทำอะไร! ฝ่ายตรงข้ามเคยพยายามรวบรวมคนหนุ่มที่เหลือเพื่องัดข้อ แต่ไม่มีใครเอาชนะเจราดได้...ในเมื่อ ‘ที่เป่าลูกดอกแบบใหม่’ ที่เขาได้มาจากคนนอก เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครหาทางต้านทานมันได้!”

ในที่สุด หมวกก็ค่อยถูกพันเป็นรูป คลับคล้ายครอบลงบนพระเศียร

“เราเสียคนหนุ่มเก่งกล้าไปเกือบหมด เหลือแต่พวกกลัวหัวหดที่...” มุมปากเหยียด กดลึกอย่างยิ่งดูแคลน

“ยอมแลกชีวิตลูกเมียเพื่อความอยู่รอด!”

การลงเสียงหนัก พร้อมๆ กับละมือห่างออกมาเป็นอันเสร็จสิ้น

“ผู้หญิงกับเด็กส่วนใหญ่ถูกนำตัวมาขังไว้ที่นี่ อาทิตย์นึงจึงจะมีโอกาสเยี่ยมหน้าออกไปพบญาติข้างนอกโดยมีผู้คุมไป ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่...ตั้งแต่มีข่าวว่า ‘เจ้าเมืองโน้น’ จะมาตรวจ เจราดเลยถือเอาคนที่นี่เป็นตัวประกัน แลกกับการบังคับให้พวกข้างนอกนั่นแสดง ‘ความสงบเรียบร้อย’ ป้องกันข้อสงสัย”

นี่เอง... คำตอบของปริศนาตลอดมา...

เด็กและผู้หญิงหายไปไหน?

แล้วท่ามกลาง ‘ความปกติ’...ไยจึงมีความทุกข์เทวษในดวงตาคนทุกผู้!

“เอาล่ะ ในชุดนี้ จะไม่มีคนผิดสังเกตเจ้า จงออกไป!” คนเล่ายืดยาว จบลงด้วยการชี้นิ้วไปยังประตู

“ผ่านโถงใหญ่สู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อถึงประตู...เปิดออกไปจะพบทางเดินแคบๆ จงเลี้ยวซ้ายแล้วตามเส้นทางนั้นไปเรื่อยๆ ห้ามแยกไปไหน และไม่ว่าได้เห็นได้ยินกระไร จงอย่าสนใจหรือทำทีผิดสังเกตเป็นเด็ดขาด! หากเจ้าทำได้...ทางรอดของทั้งเจ้าและคนโมลาสโม่อีกทั้งหมด...อยู่ที่สุดทางนั้น!”

“แล้วเจ้า...?”

“นั่นคือที่ส่งของ!” คนเล่าไม่ยอมฟังสุรเสียง

“อีกไม่ช้าพวกผู้ชายสารเลวจะนำผลผลิตขึ้นแพซุง เจ้าจงแอบซุกขึ้นไปหลบเสียก่อน จากนั้นระหว่างทางจึงค่อยหนีลง นำเรื่องนี้ไปแจ้งที่ ‘เจ้าเมืองโน้น’ ...

“โมลาสโม่ไม่เคยคิดพึ่งใคร แต่คราวนี้...เราหวังว่าเจ้าโง่นั่นจะจำสัตย์สัญญาที่บรรพบุรุษของมันให้ไว้แก่บรรพบุรุษของพวกเราได้!”

“แล้วทำไมเจ้าไม่ไปเองแต่ต้น?”

“เหอะ!” เจ้าตัวลงเสียงในลำคอ สายตาเป็นอย่าง ‘ช่างโง่เสียนี่กระไร!’

“ทำไมจะไม่เคยมีใครคิดไป? แต่ถ้าสำเร็จ...ทุกอย่างคงไม่เป็นอย่างที่เจ้ากำลังจะได้เห็น!”

ความชอกช้ำ เจ็บแค้น ดุจจะแล่นขึ้นมาอย่างไฟลุก

“เพราะเราคือโมลาสโม่! โมลาสโม่ที่มีค่าด้อยกว่าอะแลมเบิร์ก! และที่น่าหัวร่อคือ...พวกเจ้าแผ่นดินอะแลมเบิร์กกลับเห็นว่าคนของพวกเขา มีค่าน้อยกว่าชาวต่างชาติเช่นกัน!”

ถ้อยนั้น มีรึจะมิยอกแสยงพระทัยผู้ฟัง

“เจ้า... ‘คนต่างชาติ’ จึงคือความหวังเดียวของพวกเรา จงไป! ไป้!”

ผู้ถูกสั่งไม่ทรงทราบเลยว่าอัสสุชลเริ่มหล่อหน่วยพระนัยนาตั้งแต่เมื่อไหน หากในวินาทีที่ความเป็นเหตุเป็นผลทั้งหมด ขจัดคำค้านจนสิ้นไป ทรงพบว่าภาพที่หมายทอดเพื่อประทับในความทรงจำ... ภาพผู้ที่ถูกบีบบังคับให้หัวใจที่ไม่น่าเคยเสียสละ กลับต้องกว้างใหญ่พอจะเสียสละ...ล้วนระยับด้วยความมัวพร่า และไม่ช้าเมื่อทรงพยักหนักแน่นแทนสัตย์สัญญา...ขัตติยะสัญญา! มวลน้ำเหล่านั้นก็ตกเป็นเม็ดใหญ่ๆ

คำสุดท้ายก่อนทรงผละจากมาด้วยความมุ่งหมาย คือ...

“ขอบใจนะ...ขอบใจ!”

. . . . . . . . . .



เส้นทางจากที่พักแรม ณ จุดจอดแพซุง มุ่งสู่โอฬารสถานอันเคียงด้วยกังหันน้ำกงมเหาฬาร แทบไม่มีตอนใดเลยที่แสงสว่างจะแรมาถึง

ทั้งนี้ ในป่าดกย่อมดำดื่น ก้านไม้แผ่ไกลแทบขัดไขว้เป็นหลังคา เฉพาะช่องว่างน้อยๆ เท่านั้น เศษแสงจากเสี้ยวจันทร์แห่งแรมสิบสามค่ำ กับหมู่สะพานดาว จึงจะย้อมให้ความเวิ้งว้างข้างบนดูกระจ่างขึ้นเป็นสีน้ำเงินเข้ม

อย่างไรก็ดี วิหคที่ลับหาย...จนนึกว่าดับชีพไปนาน กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการนี้

...แต่ต้น ผิว่าอยู่ในอารามกังวลถึงเจ้ายอดดวงหทัย เจ้าชายทีเบอร์เทียซยังอดประหลาดพระทัยแทรกขึ้นมามิได้

‘เดสิท! เจ้าคือเดสิท?! เจ้ายังไม่ตายหรอกหรือนี่?!’

มัวทอดพระเนตรท่าบินถลาพยักเพยิด...ราวจะฟังความได้แล้วให้สัญญาณยืนยัน ผู้อุทานมิได้ทรงหันหาคนเป็นพระพี่เลี้ยง จึงไม่ทรงเห็นสีหน้าที่เผือดลงเล็กน้อยด้วยตราแห่งความผิดที่ตนก่อไว้

‘ใช่มันจริงๆ แหละ...จ้ะ’ เจ้าตัวทูลยืนยัน โดยยังไม่ลืมบทบาทที่คงสวมอยู่

‘แต่อย่ามัวสนใจมันอยู่เลย...ลูกชาย เจ้าคิดจะทำอย่างไร? น้องสาวของเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายกาจ?’

เจ้านกแสนรู้ทำพองขน ก่อนสะบัดอย่างขัดอกที่ถูกแย่งความสนใจ เอลินอร์แทบจะค้อนให้ ในขณะที่เจ้าชายอาคันตุกะทรงสรุป

‘จากคำของบี...น้องสาวน่าจะถูกนำตัวไปไว้ที่โรงเรือนใหญ่ข้างกังหันน้ำ เราคงต้องเสี่ยงตามไป...’

‘แต่ว่า...’

‘ท่านแม่อยู่ที่นี่!’ ผู้สวมบทลูกชายทรงกำชับ ส่งสายพระเนตรให้คลายความเป็นห่วง และแฝงนัยอันผู้เท่าทันกันเท่านั้น จึงพอจะเข้าใจความหมาย

...จับตาบีกับเฟร็จไว้!...

‘บางที...จะมี ‘คน’ เดินทางผ่านมาในอีกไม่ช้า ท่านแม่น่าจะขอความช่วยเหลือจาก ‘เขา’ ได้’

หลังจากฝากภารกิจทิ้งท้าย ลูกชายเร่งรุดจากจุดเก่า มีเจ้านกโผผกตามมา

‘ดูท่าเจ้าจะไม่ค่อยชอบเอลินอร์?’

ถึงอย่างไร ในชั่วยามคับขัน การมีเพื่อนใกล้กันย่อมอบอุ่นใจ และผ่อนความตึงเครียดลงได้บ้าง ถึงเพื่อนที่ว่าจะมีปีกก็ตามทีเถอะ

กระนั้น ผู้ดำริต้องทรงคิดใหม่ในไม่ช้า เนื่องเจ้านกน้อยนั่นล่ะ...กลับเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่!

เดสิท...ใช่! เจ้านกนี่ช่างแสนรู้กว่าที่คิด!

การโบกบินเหนือพระเศียร ล้ำไปเบื้องพักตร์ในตอนต้น แล้วค่อยราแรงให้ช้าลง จน ‘เพื่อน’ ต้องทรงแหงนพระศอตาม ที่แท้คือความพยายาม...นำทิศ!

ผู้แหงนทรงประจักษ์...มันแหวกไปตามช่องว่างหว่างม่านไม้...ช่องที่มองเห็นฟ้าใส วิธีนี้...ผู้ตามย่อมแน่พระทัยได้...จะไม่ชนต้นใดเป็นอันขาด! กับการทดลองเท่าที่ผ่าน...มันฉลาดถึงขั้นอาศัยแสงจันทร์ราง แลทางเบื้องใต้ แล้วฉวัดขวา – ซ้าย เป็นการส่งสัญญาณหลบโขดขอนขวาง ชนิดผู้ใต้แค่ตาม ไม่จำเป็นต้องคอยทรงก้มระแวดระวังใดๆ เลย

เหตุนี้ เจ้าชายทีเบอร์เทียซจึงทรงลุถึงทางเข้าหมู่บ้านในเพลาอันสั้น

“อย่าบอกนะ ว่าเจ้ารู้ทางปลอดภัยสู่โรงกังหันนั่นอีก?”

เสียงขานคลับคล้ายผิวปาก ดุจเป็นการตอบรับ ก่อนเจ้าของเสียงจะโลดเริงต่อไปรวดเร็ว

หมู่บ้านที่กลางวันมิใคร่ขวักไขว่อยู่แล้ว ถึงกลางคืนยิ่งคล้ายเมืองร้าง นอกจากไม่มีคน...แต่ละหลังยังแทบปราศจากแสงไฟ ประหนึ่งชาวน้ำหลับใหลไปตั้งแต่ตะวันลับ...หรืออีกที...ต่างหวาดเกรงบางอย่างกลางยามค่ำ!

เสียงไม้พลิกใบ ไกวกิ่ง กับหรีดหริ่งเรไรที่ร้องระงมเท่านั้น ขับประสานให้สำเหนียกถึงความเคลื่อนไหวที่ยังมีอยู่ แปลกที่ไม่มีแม้ยามหมู่บ้าน...

ผู้แทรกองค์ไปตามเงื้อมเงา ทรงหวนถึงเหล่า ‘ผู้ช่วยชาย’ ซึ่งกระจายละม้าย ‘กำกับการ’ อยู่ทั่วไปในตอนกลางวัน ป่านนี้คนพวกนั้นอยู่ที่ไหน? ไม่น่าใช่...บ้าน...

อีกครู่ใหญ่ เจ้าปีกพรายก็โผนำองค์ยุพราชบูเลทิน เสด็จถึงพงไม้ข้างคูขุด

ทางน้ำมิได้สะท้อนแสงโสมและสรรพดาราระยิบระยับ ทั้งนี้ บนผิวหน้าเต็มไปด้วยแพสวะบางๆ ครั้นเข้าใกล้จึงทรงพบ...คูกว้างขนาดแพซุงล่องผ่านได้สบาย จากปากคำของเจ้าของนามบี...คูนี้จะต่อจากทะเลสาบตรงสู่โรงเรือนกังหันน้ำ...

สิ่งก่อสร้างที่ตระหง่านอยู่เบื้องพักตร์แล้ว ณ บัดนี้!

ค่าที่แสงจันทร์และหมู่ดาวค่อนข้างรางเลือน นอกจากเงามืดกินพื้นที่กว้าง มีโครงอย่างล้อไม้ขยับเวียน วักน้ำเนือยนาย ส่งเสียงเอียดอาดและซู่ๆ ผู้มาใหม่ไม่สามารถทอดพระเนตรใดๆ ได้อีก

ทั้งนี้ ผิว่ามีลำริบหรี่ เล็ดลอดจากรอยต่อและรอยแตกของผนังตัวอาคารออกมาบ้าง บอกให้รู้ว่าคนข้างในน่าจะยังดำเนินการบางอย่าง หาก...ทุกช่องเปิดที่ใหญ่กว่านั้นล้วนถูกปิด ส่อชัดว่า ‘การ’ ดังกล่าว ถูกเก็บงำเป็นความลับจนสิ้น

‘...เจราดกับคนของมันกำลังระวังตัว ‘คนนอก’ บอกมันว่า ‘เจ้าเมืองโน้น’ จะเข้ามาที่นี่...’

ความปกติที่ผิดปกติ จึงวังเวงละลอยล่องอยู่ในบรรยากาศ!

การเลาะริมลำน้ำกลับทำได้ลำบาก เพราะยิ่งมุ่งใกล้ตัวอาคาร สุมทุมอันพออาศัยเป็นกำบังกลับห่างหาย เหมือนเจ้าของอาคารจงใจทำลายหมด...เรียกว่า ‘ผิดปกติ’ วิสัยโมลาสโม่สิ้นเชิง! ในเมื่อที่ผ่านมา...มักมีร่มเงาของแมกไม้ โค้งคลุมต่างหลังคาบ้านอีกชั้นอยู่เสมอ

ระหว่างตัดสินพระทัยหาที่ซุ่มใกล้เข้าไปอีก สิ่งหนึ่งดูจะขยับไหว...ดึงดูดสายพระเนตรอยู่ใจกลางความมืดนั้น

เพ่งอยู่นานจึงทรงพบ...น่าจะเป็นบานหน้าต่างถูกผลักเปิด...แค่แง้มๆ แล้วอะไรบางอย่าง...อา...ร่างหนึ่ง...ค่อยหย่อนท่อนขายาวลงมาเป็นลำดับแรก ตามด้วยทั้งตัว...สูง...ระหง ในที่ที่...

เจ้าของร่างดังกล่าวดูจะเซพ้นชายหลังคามาเล็กน้อย และ...ต่อให้แสงราตรีน้อยกว่าน้อย ผู้เฝ้าจับพระเนตรอยู่ยังทรงจำได้แม่นมั่น

ชุดนั้น...

ชุด...ที่ผู้หญิงโมลาสโม่ไม่มีวันใส่ ชุดแบบที่ไม่มีทางเหมือนใคร เพราะผู้ใส่...ออกแบบมาเฉพาะองค์!

ใช่! เธอคือเอลีโอน่า!

. . . . . . . .
ปราปต์
11/12/12
.

 
 

จากคุณ : งี่เง่าบอย
เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:15:04




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com