Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 28 vote ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13046052/W13046052.html

บทที่ 28

ด้วยจิตอันหาญกล้าและเฉียบขาดตามวิสัยผู้นำ แน่นางกณิการ์พลันกระชากปิ่นทองเสียบมวยผมตวัดใส่ดวงตาซาตานชั่ว ไม่ลืมหรอกว่าอาวุธใดๆ ก็ไม่อาจระคายผิว แต่ในยามฉุกละหุก ก็จำต้องใช้วิธีนี้หันเหวิถีพิฆาตไปก่อน

ต่อให้ศัตรูตระหนักว่าตนเป็นอมตะก็เถอะ แต่ขึ้นชื่อว่าสัญชาตญาณป้องกันตัว มีหรือจะไม่รีบปัดป้อง เช่นนี้แล้ว องครักษ์ศมะก็จะปลอดภัย

แม่นางลอยพุ่งว่องไวประกบองครักษ์หนุ่มแล้วกระชากเหวี่ยงไปข้างหลัง แต่ไม่ทันคาดคิดว่าในจังหวะเอี้ยวตัวหมายตะโกนสั่งความบางอย่าง ลำคอระหงก็ตกเป็นเหยื่อท่อนแขนแข็งหยาบหยามรัดขังเข้าเสียก่อน

องครักษ์ศมะไม่ยอมเสียเวลากับอาการใจหายวาบ เขาหย่อนร่างลงพื้นแค่อึดใจ ก็พุ่งปราดคว้าผืนแส้กับผ้าคาดเอวบนพื้นแล้วทะยานลอยกลางอากาศ อาศัยกำลังตอนบิดกายกระตุกอาวุธอ่อนเบาหมายแค่ให้ซาตานชั่วร่างซวนแล้วคืนอิสระสู่แม่นางเจ้าฟ้า

หากแต่ศัตรูกลับตอบโต้ ตะปบอาวุธสองชิ้นด้วยมืออีกข้างแล้วกระชากลากร่างกำยำให้ถลันลอยเข้าหาอย่างเสียหลัก ก่อนจะเกร็งข้อมือออกแรงตวัดเหวี่ยงปัดเหยื่อลอยพุ่งเข้าไปหาเสากลมที่หมายตา

แม่นางกณิการ์ไม่ลนลานแม้จะเพลี่ยงพล้ำ ครั้นเห็นว่าองครักษ์คู่ใจปะทะวิกฤติมรณะอีกหน ก็ไม่นิ่งดูดายรอช้า รีบเกร็งกำลังโยนตัวลอยขึ้นแล้วไขว้ขาหนีบอาวุธคู่กายตามด้วยยื่นมือข้างหนึ่งกระชากซ้ำ

องครักษ์ผู้กล้าก็ไม่เฉื่อยชากับความเป็นความตายของตน ทันทีที่สัมผัสได้ว่าพลังผลักเหวี่ยงลดกำลังลงก็รีบบิดกายเป็นเกลียว ประชาชนไม่เว้นพระครูลาพุชก็เผลออุทานแตกตื่นฮือฮาใหญ่ เพราะศีรษะองครักษ์หนุ่มไถลวืดผ่านลำเสากลมไปอย่างเฉียดฉิวน่าหวาดเสียวยิ่ง

ผ้าคาดเอวถูกดึงมาใช้แทนอาวุธ องครักษ์ศมะร่ายคาถาศาตราแปรแล้วเหวี่ยงไปเกี่ยวตลบลำคอใหญ่ของศัตรูได้อย่างแม่นยำ กระตุกดึงจนลำแขนขึ้นเส้นเอ็นโปน

รู้สึกได้ถึงกระแสร้าวหนึบที่แผ่ซ่านจากปลายนิ้วมาสู่หัวไหล่ แต่ก็จนใจที่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้น ลำคอใหญ่ซาตานไม่เกิดแผลแม้แต่รอยช้ำรอยถลอกด้วยซ้ำ

"คืนอิสระสู่แม่นางเจ้าฟ้ามาโดยเร็ว" ยามว้าวุ่นปนร้อนรุ่ม องครักษ์หนุ่มก็ตวาดกร้าว ตาวาวดุร้ายยิ่ง

"มันเป็นของข้า ใครก็แย่งมันไปจากข้าไม่ได้ ข้าจะเสพสวาทให้อิ่มหนำ จะสูดกลิ่นความสุขที่ระเหยออกจากตัวของมันให้หมดจดทุกซอกทุกมุม สาแก่ใจพยาบาทแล้ว ข้าจึงค่อยดูดเลือดกินเนื้อขบกระดูกมันไม่ให้เหลือแม้แต่รากของเส้นผมเส้นขน"

"บังอาจ"

"ไม่เลย คนที่บังอาจคือเจ้าต่างหากไอ้องครักษ์ชั้นปลายแถว เจ้าบังอาจขึ้นเสียงหยาบช้าต่อข้าซาตานวจาผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าสมควรตาย"

พอสิ้นคำกร่างอำนาจ ซาตานวจาพลันคำรามไสยเวทย์ดำ พวยไฟสีแดงจัดดั่งเลือดสดก็พุ่งพรูเป็นทางยาวออกมาจากปากที่อ้ากว้าง ผ้าคาดเอวขององครักษ์หนุ่มไหม้เกรียมทันอกทันใจแล้วขาดสะบั้นเป็นสองส่วน มือใหญ่รีบปล่อยทิ้งพลางร่างกำยำก็ถลันหนีไอร้อนจัดว่องไว

ยามเหลือบไปทางประชาชนที่วิ่งหนีกันอลหม่าน องครักษ์ศมะก็แสนสงสารนัก แต่ก็ปลีกตัวไปปกป้องคุ้มครองไม่ได้ เขารู้ว่าทุกคนไม่กล้าวิ่งหนีไปไหนไกล นอกจากย้ายจากมุมหนึ่งไปซุกเบียดกันอีกมุมหนึ่งอย่างจนตรอกและสิ้นหวังเท่านั้น

ครั้นเหลือบขึ้นไปบนระเบียง ก็เห็นพระครูบิดายืนสง่าสุขุม ท่วงท่าดูสำรวมมั่นคง หากแต่แววตาดูแตกซ่านร้อนรนจนเห็นได้ชัด

แต่ที่องครักษ์ผู้กล้าไม่เห็นก็คือการซุ่มซ่อนหดหัวของเจ้าฟ้าธุวชินแห่งคามธุมาธารนั่นเอง แล้วในยามอลหม่านเช่นนี้ ฝ่ายโน้นก็ย่ามใจกระหยิ่มนักว่าสบโอกาสเร้นกายขึ้นสู่โถงชั้นบนได้อย่างปลอดภัยแล้ว จึงรีบกล่าวเร่งกับองครักษ์ประเดว่า

"จังหวะนี้แหละเหมาะควรยิ่งแล้ว ไม่มีใครสนใจเราเลย ไปเถอะ ท่านประเด เลียบไปตามเสาต้นนั้น อาศัยชายผ้าม่านกับหมอกควันยามนี้กำบังตัวไปเรื่อย"

"แล้วแม่นาง.. "

"แม่นางก็คือแม่นาง เกี่ยวข้องกับเราด้วยสัมพันธ์ใดเล่าท่านประเด ไปเร็ว เราต้องถึงตัวแม่นางหน่อเนื้อก่อน ถ้าพาหนีไปก่อนได้ก็จะยิ่งเป็นการดี เพราะถ้าหากแม่นางกณิการ์ดับสูญจริง การหนีล่วงหน้าของเราสองก็จะกลายเป็นทางรอดที่ปลอดภัย"

องครักษ์ประเดถอนใจรนๆ สถานการณ์ตอนนี้เหมือนว่าไม่ค่อยเข้าทางแม่นางกณิการ์เอาเสียเลย ท่ามกลางความเพลี่ยงพล้ำ ก็เห็นแต่องครักษ์ศมะที่ทุ่มเทกายใจปกป้องเจ้าชีวิตโดยไม่เกี่ยงชีวิตตน

และเป็นเพียงคนเดียวที่รอบรู้ชั้นเชิงการต่อสู้ แต่เท่าที่ทุ่มเทไป มองยังไงก็เห็นแต่ทางพ่ายแพ้เท่านั้น ในเมื่อศัตรูคู่แค้นมากวิชาประหลาดแกมอำมหิตเสียยิ่ง

วูบหนึ่ง องครักษ์ต่างคามก็อดที่จะสะทกสะท้อนใจลึกๆ ไม่ได้ ในยามคับขันจวนเจียนดับสูญเช่นนี้ อดีตเจ้าฟ้าสามีกลับหมางเมินเลือดเย็นด้วยว่าสะบั้นสัมพันธ์ร่วมเหย้ากันไปนานแล้ว

ทั้งที่อันที่จริง เจ้าฟ้าหนุ่มฝ่ายตนก็น่าจะคำนึงถึงความจริงบางอย่างที่ว่า 'แม่นางกณิการ์คือเจ้าฟ้ามารดาของหน่อเนื้อมัลลิกา'  

"ท่านประเด มัวช้าเฉื่อยทำอะไร เราบอกว่ารีบมา"

"เอ้อ เจ้าข้า"

องครักษ์คู่ใจรีบร้องรับบัญชา ตัดใจจากความชุลมุนในม่านหมอกจางพลางรี่ฝีเท้าตามหลังเจ้าชีวิตอย่างเร่งรีบ และแม้ว่าจะยังบอกชัดไม่ได้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดกลางโถงจะแปรผันลงเอยในรูปใด

แต่ก็แปลกที่เขากลับเกิดความเชื่อมั่นลึกๆ ว่าแม่นางกณิการ์ต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างงดงามในท้ายที่สุดแน่ ด้วยว่าบารมีของแม่นางนั้นใช่ว่าเพิ่งจะมาเจิดจ้าเอาตอนนี้ หรือจะบอกให้ชัดๆ ก็ต้องว่ารังสีผู้นำอันเกรียงไกรของแม่นางนั้น จรัสพราวตั้งแต่แม่นางอายุเจ็ดขวบโน่นแน่ะ




ใช่ ด้วยบารมีของแม่นางกณิการ์ มีหรือจะยินยอมตกเป็นเหยื่อซาตานคู่อริได้นานเช่นนี้ กระทั่งเห็นองครักษ์คู่ใจเสียท่าไปหลายหนหลายครา แม่นางก็ยังเยือกเย็นด้วยว่าแสนสงสารประชาชนที่แตกตื่น

ในฐานะเจ้าฟ้าผู้ปกครอง เห็นประชาชนบาดเจ็บล้มตายไปบางส่วน ที่เหลือก็ตกอยู่ในอาการหวาดผวา แม่นางก็ปวดใจแปลบๆ ยิ่งปวดใจ ไฟแค้นก็ยิ่งปะทุโชน ซาตานวจาต้องได้รับผลกรรมที่ก่ออย่างสาสมแน่แท้

"พอเท่านั้นก่อนเถอะท่านศมะ เจียมฝีมืออันด้อยแล้วถอยไปให้ห่าง เราขอจัดการเอง"

"แม่นาง" องครักษ์ศมะร้องดังอย่างร้อนรุ่ม

"เราจัดการเองได้ เราต้องการเจรจาในที่มิดชิด เจ้ากล้าหาญเทียมเท่าเราไหมเล่าเจ้าซาตานวจา"

ตอนท้าย แม่นางเจ้าฟ้ากล่าวกับศัตรูที่ยังคำรามลำพอง ท่อนแขนสกปรกยังรัดรอบลำคอระหงอย่างเหิมเกริม

มันพอได้ฟังข้อเสนอเช่นนั้น ก็ยิ่งหัวเราะเยาะยโส ดูแคลนว่าแม่นางคู่อริสร่างบารมี อีกอึดใจหนึ่งเถอะ มันจะดูดซับรังสีวาสนาเสียให้สิ้น จะย่ำยีให้แปดเปื้อนราคะ จะให้กรีดร้องเจ็บปวดและโหยหวนยาวนานไม่ผิดเพี้ยนจากแม่นางแพรผู้น้องในกาลดับสูญ

โน่นแน่ะ แม่นางแพรของมัน ลอยร่างพลิ้วไปพลิ้วมาอย่างกระวนกระวายใกล้หน้าต่างบานยาว นอกจากมันแล้ว ย่อมไม่มีใครเห็นดวงวิญญาณภักดีที่เฝ้ารอพี่ชายให้หวนคืน มันสบตาไร้แววอย่างผูกพันเจือคิดถึง บอกกล่าวผ่านจิตอันกระชุ่มกระชวยว่า

"น้องข้าเอ๋ย เจ้าเห็นวันมงคลของพี่เจ้าแล้วใช่ไหม รออีกสักอึดใจ เถอะ พี่จะให้เจ้าหัวเราะเยาะสาแก่ใจ ปรบมือ กระโดดโลดเต้น และโห่ร้องอย่างยินดีในชัยชนะของพี่"

"อย่าประมาทนะพี่ แม่นางกณิการ์ไม่ใช่ศัตรูที่พี่จะคายไฟพยาบาทกำราบได้โดยง่าย จงตั้งมั่น.. "

"เจ้าไม่เคยเปลี่ยนเลย ทุกคราที่คิดทำการใหญ่ เจ้าเป็นต้องคอยหาข้อขัดแย้งมาบั่นทอนความฮึกเหิม หวั่นนั่นกลัวนี่ไม่สิ้นสุด เพราะลังเลในจิตเช่นเจ้านี่ยังไง วาสนาถึงหยุดชะงักอยู่ที่ตำแหน่งชายาเจ้าฟ้าไร้อำนาจ"

"พี่ น้องไม่ได้หวั่นไม่ได้กลัวเพื่อตัวเอง น้องเป็นห่วงพี่"

"ไม่ต้องห่วงหรอกแม่นางแพร จงรอสักครู่เถอะ แล้วพี่จะให้เจ้าได้ร่วมเสพสุขด้วยกัน"

แม่นางแพรน้ำตาปริ่มแต่ก็ไม่กล้าลอยร่างเข้าไปใกล้กว่านี้ ด้วยว่ารังสีวาสนาของแม่นางเจ้าฟ้านั้นร้อนแรงยิ่ง เท่าที่ใจกล้าแอบเข้ามาเร้นในโถงมงคล ก็นับว่าเสี่ยงต่อการแตกดับของดวงวิญญาณจะแย่แล้ว

นางผีไม่ค่อยวางใจในน้ำเสียงเย็นเยียบที่แฝงเงื่อนงำลี้ลับของแม่นางกณิการ์เลย แม่นางสัมผัสได้ถึงความเก่งกาจที่ไม่น่าจะยุติลงโดยง่ายเพียงแค่โดนรัดคอด้วยท่อนแขนข้างหนึ่ง

ดั่งว่าศัตรูจงใจทำทีอ่อนข้อให้พี่ชายกระหยิ่มในชัยชนะ แต่ในใจอันซับซ้อนอาจวางกลรับมือไว้แล้วก็เป็นได้ ซึ่งตรงนั้นล่ะ ที่น่าหวั่นเกรงยิ่ง




ใช่ แม่นางแพรคาดเดาไม่ผิดเลย แม่นางกณิการ์ตัดสินใจแล้วตั้งแต่พลาดท่าเพลี่ยงพล้ำ แม่นางสามารถร่ายมนตราขนนกสลายร่างได้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ทำ

ฝ่ายซาตานวจาก็ไขว้เขวไปว่าแม่นางตระหนกจนสมาธิแตกกระเจิง ไม่อาจร่ายมนตราใดๆ ได้อีก แน่นอน ความคิดเช่นนั้น มันเป็นการลบหลู่ที่ประมาทสิ้นดี

ดังนั้น หลังจากที่สูดหายใจลึกยาวและสำรวมสมาธิแน่วนิ่งชั่วอึดใจ และเท่ากับเปิดโอกาสให้ซาตานสันดานหยาบได้สนทนาทักทายกับดวงวิญญาณผู้น้องจนสิ้นความแล้ว โถงหายนะถูกปกคลุมด้วยความเงียบอันน่าสะพรึงกลัวชั่ววูบ

ประชาชนกอดรัดกันแน่น น้ำตาก็ปล่อยให้ไหลเปื้อนกันและกันโดยไม่กล้าส่งเสียงสะอื้น องครักษ์ศมะยังคงตั้งท่าหรี่ตา มองหาจังหวะพุ่งเข้าไปช่วงชิงแม่นางเจ้าฟ้ายอดดวงใจ และบนระเบียงก็ยังคงยืนหลับตาสงบนิ่งไว้ด้วยร่างพระครูชราลาพุช

"เราไม่ต้องการให้ประชาชนของเราบาดเจ็บล้มตายมากกว่านี้" แม่นางก็พลันเปล่งเสียงกังวานขึ้น

"เอาสิ ต้องการแบบไหนยังไงก็เสนอมาได้เลย ข้ายินดีน้อมสนองได้เสมอ ว่ามาแม่นางคนงามของข้า"

"บังอาจ"

องครักษ์ศมะตวาดลั่น แค้นใจเป็นที่สุดยามได้เห็นกิริยาต่ำช้าหยาบหยามของศัตรูชั่ว มันช่างไม่เจียมความต่ำต้อย พอสิ้นวาจาถากถางระคนเย้าหยอก ก็ทำทียื่นหน้าหมายลวนลาม ถ้าไม่จูบแก้มก็อาจไซ้ซอกคอ

แม่นางเจ้าฟ้าก็ช่างแน่วนิ่งไม่แยแสความรุ่มร้อนเป็นห่วงของเขาเสียบ้างเลย ไม่อยากเชื่อว่าแม่นางจะยอมสิ้นท่าพ่ายแพ้ง่ายดายปานนั้นได้

"เจ้าช่างเหิมเกริมนัก ไอ้องครักษ์ชั้นปลายแถว ข้าใกล้จะหมดความอดทนกับเจ้าเต็มทีแล้ว"

"อย่างนั้นก็คืนอิสระสู่แม่นางเจ้าฟ้า แล้วมาประลองกับเรา พิสูจน์ความเชี่ยวชาญการรบกันจนกว่าจะปรากฏผลชี้ชัดดีไหมเล่าเจ้าซาตานชั่ว"

พอสิ้นวาจาท้าทาย ซาตานวจาก็คำรามด้วยโทสะ โบกมือขึ้นกระชากสายลมปีศาจโถมเข้ากระแทกกายกำยำขององครักษ์หนุ่มหนักหน่วง

แม่นางกณิการ์บดกรามดุร้าย ปลายเท้าว่องไวเขี่ยผ้าคาดเอวลอยขึ้น ร่ายเวทย์ศาตรากล้าแข็ง แล้วแกว่งวนเป็นวงจนได้จังหวะก็เหวี่ยงเต็มเหนี่ยวเข้าไปคานพลังสายลมร้ายขุมใหญ่

บังเกิดเสียงเปรี้ยงลั่นโถงพร้อมกับประกายสีเงินปนแดงแลบแปลบเป็นรัศมีวงใหญ่เมื่อผ้าคาดเอวปะทะกับพลังสายลมชั่ว องครักษ์หนุ่มย้ายร่างหลบหลีกปราดเปรียว ประชาชนพากันก้มศีรษะหดตัวเบียดกายสั่นโอบกอดกันแน่นอย่างหวาดกลัว

พระครูลาพุชลืมตาแล้วทอดถอนใจ ท่านไม่ทันสังเกตว่าเจ้าฟ้าธุวชินกับองครักษ์ประเดแอบย่องมาข้างหลังแล้ว และกำลังจะผ่านร่างชราไปสู่โถงพักของแม่นางมัลลิกาอย่างเงียบกริบ

"ยุติการประลองไร้สาระลงเสียที เราต้องการเจรจาความกับซาตานวจาชั่ว หากเพียงเจ้าขวัญกล้าพอที่จะพาเราไปยังโถงบูชาเจ้าฟ้า การเจรจาก็จะเริ่มต้นขึ้น"

'โถงบูชาเจ้าฟ้า' ยกเว้นพระครูลาพุชเพียงหนึ่ง ที่เหลือจากนั้นทั่วโถงต่างก็พากันอุทานฮือฮาลั่น

เจ้าฟ้าธุวชินกับองครักษ์ประเดก็มีอันชะงักฝีเท้ากึก หันสบตากันแวบ แล้วเจ้าฟ้าหนุ่มต่างคามก็ย้ายทิศจากโถงพักแม่นางหน่อเนื้อมาเกาะราวระเบียงอย่างตื่นเต้น ในตาเรียวคมปรากฏแววฉงนปนลังเล

อันว่าโถงบูชาเจ้าฟ้านั้น ทุกคนต่างก็ล่วงรู้ถึงความเคร่งความขลัง ในนั้นรายล้อมด้วยมนตราไสยเวทย์มากมาย แท่นบูชาบรรพบุรุษทำจากหินแกร่งที่แตกแปร่งแยกตัวออกจากเทือกเขาใหญ่โดยธรรมชาติ

ช่างฝีมือทั่วคามเลือกเฟ้นชิ้นที่ดีที่สุดมาสลักเป็นรูปบัวบาน ด้านในของกลีบบัวเจาะช่องสำหรับเติมน้ำมันและหย่อนไส้ฝ้ายไว้สำหรับจุดให้แสงสว่างตลอดเวลา

และทุกกลีบบัวนั้นก็สลักคัมภีร์ไสยเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ละเอียดยิบ ภูตผีปีศาจจะไม่มีวันได้เข้าไปย่างกราย เพราะไม่อาจต้านกระแสร้อนของวิชาอาคม

อีกทั้งทั่วโถงนั้นเป็นจุดอับเพื่อให้กลมกลืนกับถิ่นพำนักของเหล่าเจ้าฟ้าดับสูญ รายรอบสี่ทิศมีทางเข้าทางออกเพียงหนึ่งคือประตูบานใหญ่

และทอดลงด้วยบันไดหินอ่อนสลักราวขนาบซ้ายขวาเป็นลวดลายอ่อนช้อยงดงามฝังประดับด้วยมวลรัตนชาติล้ำค่าก่อประกายระยิบระยับในความหลัว

บรรยากาศที่โรยตัวปกคลุมในนั้นก็แสนวังเวงชั่วนาตาปี โถงทึบไร้หน้าต่างทางออกอื่นใดจึงแลอึมครึมน่าสยองในแสงที่ส่องหรุบหรี่ออกมาจากมวลกลีบบัวรอบแท่นบูชานั้น

หากมีใครสักคนเผลอหลงเข้าไป แล้วประตูบานใหญ่ปิดขัง รับรองได้เลยว่าภายในไม่ถึงครึ่งวัน เป็นต้องดับสูญด้วยว่าสิ้นไร้อากาศถ่ายเท

นั่นล่ะ คือโถงบูชาเจ้าฟ้าที่เจ้าฟ้าผู้ปกครองจะเข้าไปทำพิธีบูชาในเทศกาลสำคัญ อย่างเช่นว่ารุ่งขึ้นปีใหม่ ฤดูกาลหว่านไถมาเยือน พฤกษาเบ่งบานทั่วคาม ตลอดจนพิธีมงคลอื่นอีกมากมาย

รวมทั้งวันนี้ พิธีฉลองการตั้งชื่อแม่นางหน่อเนื้อมัลลิกา หลังสิ้นพิธีศักดิ์สิทธิ์ในโถงงดงามแล้ว แม่นางเจ้าฟ้ามารดาก็จะพาหน่อเนื้อลงไปทำพิธีบูชาเจ้าฟ้าบรรพบุรุษ

แต่อนิจจานัก ด้วยว่าวาสนาหน่อเนื้อนั้นช่างน้อยนิดเหลือเกิน แม่นางมัลลิกาถือกำเนิดมาเพียงเพื่อเชื่อมโยงชะตาร้อนสองสายให้มาบรรจบ

แล้วไม่นานนัก แม่นางก็จะบรรลุหน้าที่ให้ประชาชนที่หลงเหลือน้อยนิดร่วมกันน้อมส่งสู่สวรรค์ นี่คือกาลภายหน้าในกระดานชนวนของพระครูลาพุช ซึ่งท่านยังไม่ได้แพร่ออกไป

ดังนั้น คนที่มองไม่เห็นเหตุการณ์ที่รออุบัติในกาลหน้าจึงย่อมต้องตระหนกว่าแม่นางเจ้าฟ้าช่างบ้าบิ่นเกินหญิงไปแล้ว ถึงได้กล้าท้าทายซาตานวจาลงไปเจรจาความที่นั่น

ที่ซึ่งอากาศไม่อาจไหลเข้าและถ่ายออก ที่ซึ่งโอบล้อมด้วยมนตราลี้ลับ และที่ซึ่งโอกาสแห่งความพ่ายแพ้ทางแม่นางขยายกว้างอย่างน่าใจหาย ทำไมเล่า ทำไมแม่นางผู้เกรียงไกรถึงได้ตัดสินใจอย่างนั้น หรือว่าแม่นางลอบตั้งใจเงียบๆ ไว้ก่อนแล้วว่าจะ 'แลกชีวิต'




เพราะล่วงรู้ว่าที่แห่งนั้นปกคลุมด้วยไสยเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์มากมาย ซาตานวจาย่อมตระหนักว่าดวงวิญญาณแม่นางแพรไม่อาจกล้ำกรายล่วงล้ำ มันจึงแผ่มนตร์ดำเป็นสายลมลี้ลับส่งกลิ่นเหม็นเน่าของมวลซากศพคลุ้งฟุ้ง

ประชาชนพลันคลื่นเหียนโก่งคออาเจียนรดใส่กันหน้าดำหน้าแดง หากแต่แม่นางแพรกลับกระชุ่มกระชวยยืดคอยกหน้าสูดมันอย่างกระตือรือร้น

ประหนึ่งว่ามันคือกลิ่นอันหอมกรุ่นของหมู่ไม้ดอกในสวนใหญ่ ซ้ำร่างโปร่งเบาก็พลันก่อปฏิกิริยาวูบวาบดั่งว่าต้องชโลมด้วยละอองของพลังลี้ลับบางอย่าง

"จงตามพี่เข้าไป พี่จะให้เจ้าเห็นชะตาสุดท้ายของแม่นางน่าชัง ถึงเวลานั้นแล้ว จงช่วยพี่หัวเราะเยาะให้สาแก่ใจพยาบาทเถอะแม่นางแพร"

"น้องเข้าไปได้แน่นะพี่ น้องเป็นดวงวิญญาณที่.. "

"อย่ากังวลไปน้องพี่ เวลานี้เจ้าคือแม่นางแพรผู้ทรงอำนาจ มนตร์ดำแห่งเราซาตานวจาคือกำแพงอันแข็งแกร่งที่ไสยเวทย์ใดๆ ในโถงบูชาเจ้าฟ้าไม่อาจทำร้ายให้ดวงวิญญาณเจ้าระคายเคือง ไป นำหน้าไปก่อน"

แม่นางกณิการ์นึกรู้บ้างแล้ว เพราะหลังจากที่หลับตารวบรวมสมาธิกระทั่งเข้าสู่ภวังค์นิ่ง ทั้งบารมีและมนตราก็พลันสว่างใสในห้วงสำรวมนั้น ละอองแห่งดวงวิญญาณแม้จะบางเบาและละเอียดยิ่งกว่าปุยหมอก หากแต่ก็ยังลอยมากระทบแสงนวลในสมาธิ

แม่นางพยายามสื่อสารผ่านจิตอันนิ่งสู่องครักษ์ศมะ หากแต่ฝ่ายโน้นพลุ่งพล่านด้วยแรงเดือดดาลไม่สร่าง สมาธิจึงแตกซ่านไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียว

ดังนั้น ความพยายามขณะเคลื่อนฝีเท้าตามแรงลากหยาบช้าของซาตานศัตรูจึงไม่ประสบผล ซึ่งแม่นางก็ไม่ถึงกับวิตกกังวลใดๆ เพราะมั่นใจว่าต้องกำราบอริชั่วได้ด้วยสองมือ

โน่นยังไง ประตูบานใหญ่เปิดอ้าได้เองอย่างช้าๆ รอต้อนรับชะตาของสองคู่อาฆาตที่ต่างทะนงในบารมีอันแข็งกล้า

ในสายตาของแม่นางกณิการ์และซาตานวจา มันเป็นเพียงทางเข้าออกสู่โถงศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงหนึ่ง แต่สำหรับธิสัยผู้สูญเสียทุกอย่างนับแต่ก้าวผ่านช่องว่างอันประหลาดนั้นเข้าไป มันคือประตูนรก แล้วเขาก็ทั้งเกลียดทั้งกลัวจับใจ

ในกาลนี้ แม่นางกณิการ์คือเชลยที่ถูกควบคุมด้วยอำนาจหยาบช้าของซาตานวจาพาลงสู่แท่นบูชาด้วยจิตลำพอง หากแต่คืนอันหายนะ ณ หลายร้อยปีล่วงมา ธิสัยคือเหยื่อโชคร้ายที่ต้องจำนนต่อประกาศิตผีแม่นางแพร จำใจต้องล้ำล่วงสู่โถงศักดิ์สิทธิ์

เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะช่วยมวลผกากลับออกมาอย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่อุบัติขึ้น มันกลายเป็นชะตาร้ายที่เขาไม่อาจฝืนได้ เขาต้องสูญเสียภรรยา

ดวงวิญญาณของหล่อนถูกกักขังให้ต้องทนทุกข์ทรมานหลังประตูนรกบานนั้น คอยสังเวยเลือดสดใหม่ชโลมซากร่างแห้งกรังของซาตานจิตหยาบ ตราบจนกว่าจะมีเหยื่อรายใหม่ถูกแม่นางแพรล่อลวงให้เข้ามาตายทดแทน

"แม่นาง" พระครูลาพุชสาวเท้าตามหลังมาติดๆ ท่านส่งเสียงกระทบภวังค์นิ่งของแม่นางโดยไม่รู้ตัว

"ไม่ต้องเป็นห่วง" แม่นางเกร็งฝีเท้าหยุดยั้งแล้วหมุนกลับมาสบตา อวดประกายเจิดจ้า "เรายังไม่ลืมคำแนะนำของท่าน เราจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุดเพื่อความสุขของประชาชนทั่วคามดารกะที่อยู่ภายใต้การปกครองของเรา"

"แม่นาง" องครักษ์ศมะกระหืดกระหอบมาอวดร่างเหนื่อย "ให้เราลงไปด้วย เราไม่วางใจให้แม่นาง.. "

"เจ้าเองก็เถอะท่านศมะ จงอย่าได้ลืมบัญชาเราแม้แต่คำเดียว"

"แม่นาง"

"ไม่ต้องเป็นห่วง เราจะไม่จบชะตาในวันนี้ แต่เราแม่นางผู้เกรียงไกรจะสยบเจ้าซาตานให้อยู่อย่างดับสูญ เจ้าจงรออยู่แต่ภายนอก เตรียมถ้อยคำประโลมใจไว้แสดงความยินดีสู่ชัยชนะแห่งเราด้วยก็แล้วกัน"

"ช่างฝีปากกล้าไม่มีเปลี่ยนทีเดียวแม่นางน่าชังเอ๋ย" ซาตานวจาพอได้ยินวาจาอหังการก็แหงนหน้าหัวเราะเยาะ

"ฝีปากเราก็กล้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฝีมือหรอกเจ้า ลงไปสู่โถงเบื้องล่างก่อนเถอะ แล้วเราจะอวดความห้าวหาญแห่งเราให้เจ้าได้ยล ไม่ใช่ยลเฉยๆ นะ เจ้าต้องสยบแทบเท้าเราแม่นางเจ้าฟ้าด้วย"

"เจ้า.. "

"จงอย่าได้ลืมกำพืดต่ำช้าแห่งตน ซาตานชั่ว" เสียงกร้าวของแม่นางตอกย้ำกึ่งดูแคลน "ระลึกไว้ให้จงหนักว่าเราคือผู้ปลดตำแหน่งเขยเจ้าฟ้าของเจ้า บัญชาโทษตายแก่เจ้า แล้วเจ้าก็ดับสูญภายใต้อำนาจแห่งเรา"

'เลวยิ่ง' องครักษ์ศมะทรุดร่างบอบช้ำฮวบลงดั่งหมดแรง เขาได้ยินซาตานใจอัปรีย์คำรามกระด้างใส่แม่นางเจ้าฟ้ายอดดวงใจ ยังหยาบหยามด้วยการจิกเรือนผมนุ่มจนวงหน้าสดสวยแหงนหงาย แล้วพลันลากหุ่นอ้อนแอ้นหายลับไปหลังประตูบานใหญ่

ทันทีที่มันเลื่อนปิดเบาแผ่ว เสียงหัวใจผวาหวั่นก็พลันกังวานให้ทั่วร่างสะท้าน องครักษ์หนุ่มกอดขาบิดาดั่งต้องการเสาหลักและกำลังใจ และใจก็ร่ำภาวนาผ่านแรงรักและภักดีว่า 'ขอท่านจงปลอดภัยด้วยเถอะ แม่นางที่รักแห่งเรา'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 08:55:20




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com