“อ้าวรัก กลับมาแล้วเหรอลูก แล้วน้องล่ะ”
ดนุนัยเดินเข้าไปนังชิดกับมารดา ที่กำลังนั่งคุยอยู่กับลัดดากลางห้องรับแขกในบ้านกิตติโยธิน
“ไปขลุกอยู่ที่เรือนกล้วยไม้แล้วครับ -- ป้าดา แม็คกับมิกซ์ไปไหนเหรอครับ”
“แม็กพาหนูรินไปลองชุดที่ใช้วันหมั้นจ๊ะ ส่วนมิกซ์ --”
“ -- ผมอยู่นี่” อดิศรโผล่หน้าออกมาจากห้องครัว สองมือเต็มไปด้วยขนมฝีมือมารดา
“ทำไม ค่ายทหารที่กาญฯไม่ค่อยมีอะไรให้กินรึไง เห็นกลับบ้านทีไรกินอย่างกับยัดนุ่น” ดนุนัยยิ้มขำ
อดิศรส่ายหน้า เอ่ยขยายความเมื่อกลืนขนมชั้นชิ้นใหญ่ลงกระเพาะอาหารไปเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ได้กันดารอดอยากอะไรขนาดนั้นหรอก แต่กับข้าวกับขนมฝีมือแม่ผมกับป้าช้อย อร่อยที่สุดในสามโลก กินแล้วมันหยุดไม่ได้“
ลัดดาหันไปส่งค้อนให้ลูกชายคนกลาง “ไม่ต้องมาพูดประจบเลยพ่อตัวดี”
ดนุนัยพยักหน้าเนือยๆ “แล้วเรื่องแอลกอฮอล์ล่ะ อดอยากไหม”
“หูยยย”อดิศรลากเสียงยาว เดินเข้ามานั่งบนโซฟาตัวใหญ่ใกล้ผู้เป็นมารดา “ยิ่งกว่าอดอยากอีกพี่รัก ไม่ใช่ว่าไม่มีใครตั้งวงกันหรอกนะ แต่ผมน่ะหมอทหาร ดื่มบ่อยๆ มันจะส่งผลเสียกับงาน”
“งั้นก็รีบกินขนมเสียให้หมด แล้วไปตั้งวงกัน”
“ตารัก!”พรพรรณเสียงหลง ตีแขนลูกชายดังเพียะ “จู่ๆ ไปชวนน้องกินเหล่าเสียอย่างนั้น เกรงใจป้าดาบ้างสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่พิม ดาชินแล้ว ผู้ชายบ้านนี้นิสัยแบบตารักทั้งนั้น นึกจะชนแก้วก็ตั้งวงกลางบ้านกันซะงั้น”ลัดดาหัวเราะ “ว่าไงมิกซ์ จะกินขนมหรือจะเปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มเผาตับ”
“ขนาดบอกว่าชิน ยังแอบมีแขวะ -- ว่าแต่พี่เถอะ นึกยังไงชวนผมก๊งเหล่ากลางวันแสกๆ”อดิศรมองหน้าคนชวน
“กินกลางวันสิดี กลางคืนนอน ตื่นเช้ามาก็ไปทำงาน”
“ต๊าย...ลูกชายฉัน ช่างมีความรับผิดชอบจริงๆ”พรพรรณแกล้วแซวลูกชายที่ได้แต่ทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ
เมื่อสิ่งจำเป็นสำหรับการดื่มถูดจัดเตรียมไว้จนครบ ชายหนุ่มทั้งสองก็ปลีกตัวไปนั่งเอกเขนกอยู่ที่ซุ้มศาลาริมน้ำ
“วงก็ตั้งแล้ว แล้วแก้วแรกก็กรึ๊บแล้ว อยู่กันตามลำพังสองคนแล้ว ที่นี้พี่จะสารถภาพรักกับผมได้รึยัง”อดิศรหัวเราะก๊าก เอี้ยวตัวหลบเมล็ดถั่วลั่นเตาคั่วที่ถูกเขวี้ยงมาจากอีกคนที่นั่งอยู่บนพนักไม้ฝั่งตรงข้าม
“ไอ้บ้า อย่าพูดแบบนี้อีกนะโว้ย ขนหัวลุก”ดนุนัยขึงตาดุ
“ก็ได้ๆ ทีนี้บอกมาสิว่าพี่มีเรื่องอะไร”
“รู้ด้วยเหรอว่าฉันมีเรื่อง”
“คนอย่างพี่ถ้าได้เอ่ยว่าจะทำอะไรแปลกประหลาดไปจากเดิม รับรองว่าต้องมีลับลมคมใน”อดิศรพูด มองอีกฝ่ายผ่านปากแก้วทรงกระบอก ก็ร้อยวันพันปีเคยกินเหล้าตอนกลางวันแบบนี้ที่ไหน ต่อให้หว่านล้อมอย่างไรก็บอกปัดท่าเดียว ครั้งล่าสุดก็เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง
“ได้เมาแดดก่อนเมาเหล้า”ประโยคปฎิเสธของดนุนัยเริ่มต้นเช่นนี้ทุกครั้ง
“งั้นกินในห้องแอร์”อดิรุจที่เกิดนึกครึมอยากก๊งเหล้ากับเพื่อนและน้องชายยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
หากแต่ดนุนัยส่ายหัววืด “ไม่ได้ฟิว”
“ถ้างั้นไปนั่งกินที่ร้านแม่ไอ้เม่น แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา รับลมธรรมชาติ”
“พร้อมด้วยไอร้อนของเดือนเมษา -- ขืนแดกเหล้าเข้าไปตอนแดดเปรี้ยงๆ ทั้งตับฉันตับแกคงได้ระเบิดคาร้าน”
“กลัวอะไรว่ะ พกหมอไปด้วยทั้งคน”อดิรุจใช้นิ้วโป้งชี้ห้ามไหล่ไปหาน้องชายที่กำลังนั่งขำจนตัวสั่น
“ไอ้หมอน้องเอ็งนั่นล่ะตัวดี ตับมันจะระเบิดก่อนใครเพื่อน”
“ออๆ ไม่กงไม่กินมันแล้ว!”อดิรุจเริ่มยั่วะ ตั้งท่าเดินหนีเข้าบ้าน แต่ยังไม่วายหันกลับมาหยอดอีกประโยค “เปลี่ยนเป็นตอนเย็นก็ได้วะ”
นั่นล่ะ คนที่กลัวตับระเบิดถึงได้ยอมตกลง
“อาการหนูโมเป็นยังไงบ้าง”
คำถามยิงเข้าประเด็นอย่างไม่มีอ้อมค้อมของดนุนัย ทำเอานายแพทย์ทหารถึงกับสำลักเครื่องดื่มแคกๆ
“โดยรวมแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อาการดีวันดีคืน”
นัยน์ตาสีนิลของดนุนัยหรี่ลง ยกนิ้วชี้หน้าตัวเอง “นี่พันตรีดนุนัย ไม่ใช่พันตรีอดิรุจ เอ็งปิดพี่ไม่มิดหรอก คายออกมาสะดีๆ”
คนถูกจับได้กลืนความลับไม่ลง จึงต้องจำใจคายออกมา
“อาการของโมไม่เหมือนกับการสูญเสียความทรงจำแบบคนไข้รายอื่นๆ ไม่ได้ลืมเฉพาะบางเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลืมทั้งหมด เพราะเขายังสามารถใช้ชีวิตประจำได้ได้ตามปกติ ช่วยเหลือตัวเองได้ อ่านเขียนหนังสือออก มีชีวิตแบบคนปกติทั่วไป เพียงแค่เขาลืมในทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง ทำให้อุปนิสัยต่างๆ เปลี่ยนไป ซึ่งผมยังสรุปหรือระบุให้แน่ชัดไม่ได้ รวมทั้งเรื่องที่ว่าเมื่อไรโมจะหายเป็นปกติด้วย”อิดศรร่ายยาว
“แล้วอาการปวดหัวล่ะ”ดนุนัยพยายามเรียบเรียงคำถาม “สมมุติว่าถ้าหนูโมพอที่จะจำเรื่องอะไรในอดีตได้ แล้วพยายามนึกจนปวดหัว แบบนี้เราพอจะมีหวังไหมว่าความทรงจำเขากำลังจะกลับมา”
“อาการปวดมันเป็นดาบสองคมนะพี่รัก จำได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้แล้วฝืนมากๆ สภาพร่างกายคนไข้จะแย่ลง จิตใต้สึกนึกจะเข็ดขยาดกับความเจ็บปวด ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ผมถึงบอกกับน้องเสมอว่าถ้าจำไม่ได้ก็อย่าฝืนคิด -- ทำไม หรือว่ายายโม…”
ดนุนัยพยักหน้ารับ “ก่อนกลับบ้านพี่พาหนูโมไปกินข้าวแถวบางกอกน้อย จู่ๆเขาก็บอกว่าปวดหัว เห็นภาพอะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว -- พี่ไม่ได้ซักไซร์ถามอะไรต่อ มัวแต่ตกใจ” เขาเสริม เมื่อเห็นอดิศรที่นั่นหลังตรง มองกลับมาอย่างตั้งใจ ตั้งท่าจะเอ่ยถาม
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่โมทำท่าเหมือนจะจำอะไรขึ้นมาได้ ถือว่าเป็นข่าวดี”
“แต่ถ้าการจำเรื่องราวในอดีตต้องแลกกับอาการปวดหัวแทบระเบิดอย่างที่นายว่ามันเป็นดาบสองคม พี่ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นหรอกนะ เห็นแล้วสงสาร”ดนุนัยพูด นึกถึงตอนที่อรพลินยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หญิงสาวพยายามจะนึกเรื่องราวในอดีตของตนตามที่คนรอบข้างบอกเล่า แต่เธอก็จำไม่ได้ หน้ำซ้ำยังปวดหัวอย่างหนักถึงขั้นอาเจียน จนหมอต้องเขามาฉีดยาระงับความเครียดให้ “แล้วพี่ว่าหนูโมรุ่นความจำเสื่อมก็ไม่ได้เสียหายอะไรตรงไหน”
อดิศรส่งเสียงผ่านลำคอ แทนการเอ่ยปากถาม เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างไม่เข้าใจในคำพูดนั้น ดนุนัยจึงต้องอธิบายให้กระจ่าง
“ประมาณว่า ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างหนูโมคนก่อนกับหลังเกิดอุบัติเหตุ พี่ว่าปัจุบั้นดีกว่า” “เพราะ”
“พี่ปลื้มผู้หญิงนิสัยแบบนี้มากกว่าพวก...”ดนุนัยกลอกตา
“รวมถึงเรื่องดื้อเงียบด้วยป่ะ”อดิศรแกล้งยิ้มยั่ว
“ไม่มีใครในโลกนี้ดีไปหมดทุกกระเบียดนิ้วหรอกน่า”ดนุนัยทำเสียงฮึดฮัด “แต่โดยรวมในความเห็นของพี่น่ะนะ หนูโมมีเหตุผล เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”
แน่ละสิ อดิศรลอบยิ้ม ดนุนัยจ้องชอบอรพลินรุ่นความจำเสื่อมคนนี้มากกว่าอรพลินคนก่อนที่ชอบตามติดแจ แถมกระเง้ากระงอดเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไม่ว่าจะกล่อมเท่าไรก็ไม่ยอมฟัง และที่หนักที่สุดก็คือ ไม่ชอบให้สาวๆ หน้าไหนเข้าใกล้ดนุนัยมากไปกว่าตัวเอง
“พี่รัก”เขาเรียกอีกฝ่ายที่กำลังยกเครื่องดื่มขึ้นจรดริมฝีปาก “อีกไม่กี่วันผมต้องกลับแล้ว ระหว่างนี้ พี่ต้องช่วยผม ได้ไหม”
ดนุนัยวางแก้วที่บัดนี้เหลือเพียงก้อนน้ำแข็งใสๆ ลง “ถึงมิกซ์ไม่ขอ พี่ก็ทำอยู่แล้ว
...............................................
แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 55 21:58:41
จากคุณ |
:
Fercianut
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ธ.ค. 55 20:37:36
|
|
|
|