Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ร่มรักเงาใจ >>>>>> บทที่ 4 - 5 vote ติดต่อทีมงาน

บทที่ 4

เช้าวันรุ่งขึ้น ดนุนัยขับรถกระบะคันใหญ่พาอรพลินไปยังสวนกล้วยไม้ที่จังหวัดนครปฐม เมื่อถึงที่หมาย หญิงสาวได้แต่กระพริบตาปริบๆ ด้วยความตื่นตะลึงกับสารพัดกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์บนเนื้อที่กว้างเกือบสิบสามไร่ ชินกร หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบปลายๆ ผู้เป็นเจ้าของสวน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของดนุนัยออกมายืนรอรับพร้อมทั้งบอกรายละเอียดคร่าวๆอย่างภาคมิภูใจ ว่ากล้วยไม้ที่สวนแห่งนี้ทุกต้น ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยฝีมือของเขาเอง

“จดรายชื่อกล้วยไม้ที่อยากได้มาหรือเปล่า”

ชินกรถาม มือใหญ่หยาบกร้านเฉกเช่นคนทำงานสวนมาเกือบทั้งชีวิต รับกระดาษจดรายชื่อกล้วยไม้ของอรพลินไปอ่าน ทำเสียงอืมๆ ในลำคอ พลางพยักหน้าหงึกหงัก

“มีอยู่ห้าหกอย่างที่น้าเพิ่งจะย้ายลงกระถางปลูก สูงราวๆสองนิ้ว ถ้าโมยังไม่อยากเลี้ยงตอนต้นเล็กๆ อีกสักสี่เดือนค่อยมาใหม่ แต่ถ้าเอากลับไปวันนี้เลย เดี๋ยวน้ายกให้ฟรี”

“อย่าเลยค่ะ กว่าน้าเก่งจะเพาะได้ถึงขนาดนี้ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี มายกให้แบบนี้รายได้หายไปเยอะนะคะ” อรพลินปฏิเสธ ทั้งที่ความจริงดีใจจนแทบจะฉีกยิ้มกว้าง หากแต่รู้ดีว่ากว่ากล้วยไม้พวกนี้กว่าจะโตจนแยกลงกระถางปลูกได้ ต้องใช้เวลานานนับปี ไหนจะทั้งค่าปุ๋ย ยา ค่าดูแลรักษาอีกสารพัด

“โอ๊ยหนู เรื่องเงินเรื่องทองอย่าไปคิดมาก”ชินกรโบกมือไปมา พูดอย่างอารมณ์ดี “เอาเป็นว่าตอนนี้ไปเดินเลือกดูก่อนแล้วกัน ชอบตัวไหนหยิบออกมาเลย ไม่ต้องลังเลเรื่องราคา เดี๋ยวน้าให้ลูกน้องไปคอยช่วยเข็นรถตาม -- ชาติ วางมือก่อน มาทางนี้หน่อย เอารถใส่ต้นไม้มาด้วย”

“ไงค่ะคุณ นานๆ ทีจะมีสาวๆ หน้าตาน่ารักมาเลือกซื้อกล้วยไม้ถึงบ้าน ถูกใจสิท่า ถึงได้ลดแลกแจกแถมเสียขนาดนั้น”

เกษรา ภรรยาของชินกรที่คุยอยู่กับดนุนัย แกล้งแซวสามีที่เดินกลับออกมาจากโรงเรียนกล้วยไม้ หลังจากยืนคุยกับหญิงสาวอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง

ชินกรหัวเราะลงลูกคอแล้วลงนั่งบนเก้าอี้กลังโต๊ะตัวใหญ่หน้าโรงเรือนกลัวไม้ ที่เขาใช่เป็นทั้งโต๊ะทำงาน โต๊ะกินข้าว และโต๊ะรับแขกอย่างเช่นเวลานี้

“หน้าตาน่าเอ็นดูก็มีส่วนอยู่นะคุณ แต่ก็ไม่เท่ากับเรื่องกล้วยไม้ เด็กคนนี้รู้อะไร ดีๆ เยอะ ข้อมูลแน่นใช้ได้ ผมถึงได้คุยเพลิน”เจ้าตัวว่า ยกแก้วน้ำเย็นที่ภรรยาส่งให้มาดื่มอึกใหญ่ ก่อนหันไปทางดนุนัยทที่นั่งอยู่ด้วยกัน “เห็นว่าเมื่อสามอาทิตย์ก่อนก่อนรถไปชนเข้ากับรถพ่วง บุญรักษาแท้ๆ ที่รอดปลอดภัยมาได้ทั้งพี่ทั้งน้อง”

ดนุนัยพนักหน้ารับ “ครับ เล่นเอาใจหายใจคว่ำกันไปทั่ว ว่าที่เจ้าสาวของนายแม็คก็เกือบกลายเป็นหม่ายขันหมาก แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

“แล้วเรื่องความจำเสื่อมล่ะ”

“ฉันกำลังถามตารักอยู่นี่ ก็พอดีคุณเข้ามา”ผู้เป็นภรรยาบอก แล้วจึงกลับไปคุยเรื่องที่ยังค้างไว้ “ว่ายังไงรัก น้องเขาจำอะไรได้บ้างรึยัง”

“ยังเลยครับพี่เกษ ยังไม่มีเค้าว่าจะจำได้เรื่องสักเรื่อง”

“ตายจริง”

คนฟังหลุดอุทาน ยกมือขึ้นทาบอกอย่างใจหาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหญิงสาวที่ยังคงเพลิดเพลินอยู่กับกล้วยไม้อย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าของอรพลินปราศจากการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์เฉกเช่นสาวยุดใหม่ตามสมัยนิยม แต่กระนั้นใบหน้าหวานได้รูปก็ยังมีแรงดึงดูดชวนให้มองไม่รู้เบื่อ ทั้งดวงตากลมโต ขนตางอนยาว กับพวงแก้มขาวเนียล ยิ่งเมื่อยามริมฝีปากอิ่มสีชิมูแย้มรอยยิ้มด้วยแล้ว เกษรามั่นใจเลยว่าหากใครได้เห็นเข้าล่ะก็

“ลูกสาวบ้านนี้สวยน่ารักจริงๆ”

นั่นไงเล่า

เกษราถอนหายใจ ยิ้มขำๆ ให้กับสามีที่เพิ่งเอ่ยชมลูกสาวคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของตัวเอง

“รัก พี่ขอจองโมเป็นว่าที่ลูกสะใภ้จะได้ไหม รับรอง ถ้าลูกชายที่มันเห็นเข้าล่ะก็ คงได้เกิดอาการรักแรกพบแน่ๆ”

ดนุนัยหัวเราะ “ถ้าคิดจะจีบ ลูกชายพี่คงต้องฝ่าด่านอรหันต์หลายด่านเลย แล้วถ้าใจไม่กล้าพอ ผมขอแนะนำว่า อย่าเริ่มเลยจะดีกว่าครับ”

คราวนี้เป็นชนินกรบ้างที่ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ เช่นเดียวกับภรรยาที่กลั้นขำจนตัวสั่น

“ด่านอรหันต์ที่ว่าน่ะ รวมถึงเราด้วยใช่ไหมล่ะ”

ดนุนัยส่งเพียงแค่รอยยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น

                              .......................................................

“ขออนุญาตทวนรายการอาหารนะคะ มัสมั่นเนื้อ กระดูกหมูผัดเปรี้ยวหวาน ผัดวุ่นเส้นไข่เค็ม ข้าวเปล่าสองจาน เครื่องดื่มน้ำเปล่านะคะ”

เสียงบริกรหญิงเอ่ยทวนรายการอาหาร ในขณะที่ดนุนัยพยักหน้ารับว่าไม่มีอะไรขาดตกพกพร่อง ส่วนอรพลินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกำลังมองสำรวจไปรอบๆ ร้าน ที่ก่อสร้างด้วยไม้โทนสีน้ำตาลแดง เข้ากับบรรยากาศแถว
บางกอกน้อย ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา

“ที่นี่อาหารอร่อย กินแล้วจะติดใจ”

อรพลินเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจ “พี่รักไม่เคยพาโมมาที่นี่เหรอค่ะ”

“ไม่เคยจ๊ะ”ดนุนัยตอบ มองหญิงสาวที่เอียงคอน้อยๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับเนือยๆ แล้วหันกลับไปให้ความสนใจบรรยากาศริมแม่น้ำต่อ

โดยปกติดนุนัยไม่เคยพาอรพลินเข้าร้านอาหารไทย เพราะสไตล์การกินของเธอจะไปทางอิตาเลี่ยนหรือไม่ก็ฝรั่งเศสมากกว่า แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อมได้สามอาทิตย์ หญิงสาวกลับกลายเป็นคนละคน อะไรที่เคยเป็นที่โปรดปรานได้หายไปจากชีวิต และถูกแทนที่ด้วยสารพัดอย่างที่เมื่อก่อนอรพลินไม่เคยคิดจะแตะต้องเลยด้วยซ้ำ รวมทั้งรายการอาหารทั้งสามอย่างที่เพิ่งจะสั่งไป โดยที่หนึ่งในนั้นมีส่วนประกอบของกะทิอยู่ด้วย

“กะทิทั้งมันทั้งข้นคลั่กขนาดนี้ โมไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ากินเข้าไปหมดนั่น แคลลอรี่จะพุ่งปรี๊ดขนาดไหน”

อรพลินเคยพูดแบบนี้เสมอ พลางจ้องมองอาหารที่ให้พลังงานสูงด้วยสีหน้าพรั่นพรึงราวกับเพิ่งได้เห็นมนุษย์ต่างดาวขับยานอวกสศลงมาจากอยู่กลางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิพร้อมด้วยอาวุธครบมือ

อย่าว่าแต่อดิศรที่แอบกุมขมับเพราะไม่รู้ว่าจะพลิกตำราแพทย์เล่มไหนรักษาน้องสาวคนเล็กอย่างไรเลย ขนาดเขาเองก็ยังไม่ค่อยจะคุ้นชินกับบุคลิกใหม่ของอรพลิน ถึงแม้ลึกๆ ในใจจะอดชื่นชมไม่ได้ว่าน้องสาวต่างสายเลือดดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นเยอะ ไม่จู้จี้งี่เง่าเรื่องมาก แบบที่สาวๆ ร้อยละแปดสิบเปอร์เซนชอบทำกัน

“รัก รักขา!!”

ดนุนัยสะดุ้ง หลุดจากห้วงความคิด เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อเขา แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงสองวินาที เจ้าของเสียงแสบแก้วหูก็ปราดเข้ามานั่งชิดอยู่ข้างๆ คว้าท่อนแขนขวาของเขาไปกอด

“ไม่เจอตั้งเกือบเดือน ตาล่ะคิดถึ้งคิดถึง ขอโทษนะคะที่ได้ได้ติดต่อไปเลย ช่วงนี้ตายุ่งมาก เรื่องงานเกี่ยวกับนิตยสารน่ะค่ะ ตอนนี้ขาดลูกน้องฝีมือดีไปตั้งสองคน นี่ขนาดออกมาทานข้าวนะคะยังต้องนัดสัมภาษณ์งานไปในตัวด้วยเลยจะได้ไม่สียเวลา แล้วรักมาที่นี่ได้ไงล่ะค่ะ”

อรพลินนั่งมองแขกผู้มาเยือนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตาค้าง ไม่ใช่เพราะว่าหุ่นสวยที่เข้ากับเสื้อผ้าหรูหราดูดี หรือใบหน้าคมที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางค์ หากแต่เป็นเสียงหวีดร้องแหลมสูงที่ทำให้เธอรีบหันกลับมามองเช่นเดียวกับคนแทบทั้งร้าน แต่สาวเจ้าก็หาได้สนใจ มิหน้ำซ้ำยังเอ่ยประโยคยืดยาวเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว จนอรพลินอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าหญิงสาวคนนี้มีช่องทางหายใจทางอื่น นอกเหนือไปจากปากและจมูกหรือเปล่า

ดนุนัยยิ้ม “เพิ่งกลับมาจากนครปฐมน่ะครับ พาหนูโมไปเลือกซื้อกล้วยไม้ของพรรคพวกมา”

แล้วดวงตาที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยอายไรเนอร์และมาสคาร่าก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อหันมาเจออรพลินซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะอาหาร ราวกับเพิ่งสังเกตว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือไปจากดนุนัยและตัวเธอ

“อุ้ยตายจริง นี่น่ะเหรอค่ะน้องโมที่รักเคยเล่าให้ตาฟังบ่อยๆ หน้าตาน่าเอ็นดู”หญิงสาวรีบฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาระยิบระยับ “พี่ชื่อศรุตานะจ๊ะ เป็น --”

“ -- เพื่อนพี่เอง”ดนุนัยชิงตอบเสียก่อน ทำเอาศรุตาส่งค้อนให้วงใหญ่

“ถ้าวันไหนรักเกิดอยากเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเราขึ้นมานะคะ ตาจะแกล้งงอนซะให้เข็ดเลย”ศรุตาต่อว่าน้ำเสียงกระเง้ากระงอด หากแต่นับน์ตากลับวิบวับเชิญชวน ก่อนจะกลับมายิ้มกว้างอวดฟันขาวสวยให้อรพลินอีก “พี่เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ว่าถูกรถพ่วงปาดหน้าจนเกิดอุบัติเหตุ แล้วนี่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ หายดีแล้วใช่ไหม”

“ก็...ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”อรพลินว่า พยายามฝืนยิ้มตอบ แต่ดูเหมือนกล้ามเนื้อบนใบหน้าเธอจะกลายเป็นอัมพาตไปเสียอย่างนั้น

“ดีจริงที่รอดมาได้ แถมยังไม่เป็นอะไรอีก บุญรักษานะคะน้องโม หมดทุกข์หมดโศก”

ศรุตาฉวยเอามือของอรพลินไปแล้วตบหลังมือเบาๆ สีหนเท่าทางถอดอาทร ราวกับอีกฝ่ายเห็นเธอเป็นทหารผ่านศึกนอนอยู่บนเตียง เพิ่งรอดพ้นจากกับดักระเบิดมาได้อย่างฉิวเฉียด ซึ่งทำให้อรพลินรู้สึกสับสนกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้นทุกที

“พูดถึงเรื่องนี้ตาก็ได้แต่ปลงนะคะรัก ชีวิตคนเรานี่ไม่แน่นอนจริงๆ ดูอย่างลูกน้องตาสิค่ะ จู่ๆ ก็ม่องแท่งไปซะอย่างนั้น เป็นทั้งคอลัมนิส ช่างภาพ ฝีมือดีมาก ตาล่ะเสียด๊ายเสียดายค่ะรัก ตอนนี้งานเลยยุ่งไปหมด”ศรุตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าปรับเปลี่ยนเป็นอารมณ์ยุ่งยากใจได้อย่างรวดเร็ว “แต่ก็อดสงสารไม่ได้นะคะ เพราะเท่าที่ตารู้ว่า เขากำลังจะแต่งงาน”

“แต่งงาน!”ดนุนัยอุทานเสียงผ่ะแผ่ว พลางนึกถึงอดิรุจที่โชคดีรอดมาได้ราวกับปฎิหารย์ รวมไปถึงรสรินที่ไม่ต้องเปลี่ยนจากงานแต่งไปจัดเป็นงานศพคนรักแทน รวมถึงอรพลินที่นั่งอยู่กับเขาตอนนี้ด้วย

“พอรู้เรื่องนะ ตานี่ใจหายแวบเลย”ศุรตาลากเสียงยาว มือซ้ายทาบอยู่กับอก “บอกตามตรงนะคะ แค่คิดว่ารักจะเป็นอะไรไประหว่างที่เรากำลังเตรียมงานแต่ง ตาคงขาดใจตายตามรักไปแน่ๆ เลย”พูดจบก็สบหน้าลงกับไหล่กว้างของชายหนุ่ม ที่ค่อยๆ เอนตัวไปแนบกับเสาไม้สี่เหลี่ยมทางด้านขวาของร้าน ราวกับเกิดรักใครเสาต้นนี้มากกว่าลำตัวทางด้านซ้ายที่ยังคงถูกเกาะยึดไว้แน่น

“ไอ้รักมันเจ้าชู้ เปลี่ยนสาวควงไปเรื่องล่ะ”

ประโยคที่อดิรุจเคยบอกไว้ดังก้องอยู่ในสมองของอรพลิน มองอากัปกิริยาของคนทั้งสองซึ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายหญิงทั้งรักทั้งหลงเดินหน้าเข้าหา ในขณะที่ฝ่ายชายทำท่าอยากจะโดดหนีลงแม่น้ำเจ้าพระยาให้รู้แล้วรู้รอด

คุณศรุตาคงเป็นหนึ่งในบรรดานางในฮาเร็มของพี่รัก -- อรพลินสรุปในใจ

“อืมมม น้องโมขา มีอะไรหรือเปล่าค่ะ จ้องพี่ตาแป๋วเชียว”ศุรตาถาม เมื่อสังเหตุเห็นว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจับจ้องอยู่

“เอ่อ...”อรพลินเกริ่น “คุณศรุตา --”

“ไม่เอาค่ะ ไม่เอา อย่าเรียกคุณ เรียกพี่ตา นะคะ”

“ค่ะ พี่ตา”อรพลินยอมเรียกตามอย่างว่าง่าย เพราะตอนนี้เธอเริ่มปวดหัวมากขึ้นทุกที “เอ่อ คือว่า โมกับพี่ตา เรา...เคยเจอกันมาก่อนไหมค่ะ”

“อืม...”ศุรตายกมือขึ้นเสยเส้นผมยาวสีน้ำตาลที่ดัดเป็นลอนใหญ่ ใบหน้าเรียวยาวครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนตอบอย่างมั่นใจ “ไม่เคยค่ะ พี่ตาเจอกับน้องโมครั้งนี้เป็นครั้งแรก -- อุ้ย คนที่พี่นัดสัมภาษณ์งานมาแล้วพี่ต้องขอตัวไปทำงานต่อก่อนะคะน้องโม ไปก่อนะคะรักขา แล้วตาจะโทรไปหานะ”

ดนุนัยเลือกที่จะยิ้มแทนการตอบรับหรือปฎิเสธสาวเจ้าที่ส่งสายตาวับวาวทิ้งท้ายไว้ให้ ก่อนเดินจากไป

“เป็นอะไรไปค่ะหนูโม”เขาถามทันทีที่หันมาเห็นอรพลิน ซึ่งกำลังใช้มือซ้ายขนวดขมับเบาๆ ดวงตาที่เคยกลมโตหรี่ลงจนแทบจะปิด

“ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”หญิงสาวตอบ ออกแรงกดกดขมับตัวเองอีกเล็กน้อย “มันเหมือนกับมีภาพอะไรแวบๆ เข้ามาในหัว”

“ปวดหัวเหรอค่ะ งั้นกลับบ้านก่อนดีกว่า”

“ได้ไงล่ะ กับข้าวเต็มโต๊ะ ยังไม่ได้กินเลยสักคำ”อรพลินท้วง ห้ามชายหนุ่มที่กำลังจะเรียกพนักงานมาเช็คบิล

“เอาใส่ถุงกลับไปกินบ้านก็ได้”

“อย่าเลยค่ะ ทานร้อนๆ อร่อยกว่า แล้วโมก็หิวมากด้วย ขข โมไม่เป็นอะไรแล้ว ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ”เธอรีบเสริม ยิ้มประจบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงร้อยอกร้อนใจอยู่เช่นเดิม อีกอย่างเธอก็ไม่ได้โกหก เพราะอาการปวดศรีษะเมื่อครู่เริ่มดีขึ้นแล้วจริงๆ

ดนุนัยจึงได้แต่ถอนหายใจ ยอมอ่อนตามทั้งที่ยังอดห่วงไม่ได้

ระหว่างทางขับรถกลับ ดนุนัยกำชับนักหนาว่าหากถึงบ้านเมื่อไรให้อรพลินขึ้นไปนอนพักผ่อน เนื่องด้วยเป็นกังวลเกี่ยวกับอาการปวดหัวของน้องสาว ส่วนกล้วยไม้ที่ซื้อมาเต็มหลังกระบะรถจะให้พวกคนสวนขนลงไปไว้ที่เรือนกล้วยไม้ข้างรั้วบ้าน ซึ่งหญิงสาวก็รับฟังแต่โดยดี ไม่มีขัดขืน แต่ทันทีที่รถจอดสนิท อรพลินก็วิ่งลงไปเปิดท้ายรถ เรียกคนสวนให้มาช่วยกันขนของ แล้วตรงดิ่งไปยังเรือนกล้วยไม้ ดนุนัยที่ตั้งท่าจะดุ พอสังเกตเห็นใบหน้าหวานที่กำลังแย้มรอยยิ้มกว้างกับท่าทางกระตือรือร้นอย่างมีความสุข ก็ได้แต่ถอนหายจนหมดปอดอย่างเบื่อหน่ายตัวเอง จนอยากจะหันไปโขลกศรีษะกับเสาปูนต้นใหญ่ให้รู้แล้วรู้รอด

วันนี้มันวันบ้าอะไร เขาถึงได้ใจอ่อนให้กับรอยยิ้มนั้นทุกที

                                     ................................................

จากคุณ : Fercianut
เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 20:34:36




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com