Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Half Twins บทที่ ๖ ภูตวารี vote ติดต่อทีมงาน

GTW: ถึงไม่กล้าดูหนังผีค่ะ กลัวผีแหยะๆ ^^'
ที่มาที่ไปของทวยะ จะค่อยๆ เฉลยไปเรื่อยๆ นะคะ

chenjiayi: ไทวะยังกลัวผีอยู่ค่ะ คือ กลัวแบบอยากรู้ เหมือนคนชอบลองของ อะไรทำนองนี้

ตอนเก่าจ้า
อารัมภบท และ บทที่ ๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12879288/W12879288.html
บทที่ ๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12911942/W12911942.html
บทที่ ๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12978217/W12978217.html
บทที่ ๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13009856/W13009856.html
บทที่ ๕ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13040155/W13040155.html

และแฟนเพจ ^^
http://www.facebook.com/treepunt

มาต่อกันดีกว่า

###


บทที่ ๖ ภูตวารี

ในกลางดึกคืนหนึ่งของเดือนกรฎาคม อยู่ๆ ทวยะ รูมเมทของผมก็สะดุ้งพรวด ลุกขึ้นนั่งบนเตียง

“เป็นอะไรวะ” ผมงัวเงียถาม ขณะยันตัวลุกขึ้นบ้าง

“เอ่อ...ไม่มีอะไร” นั่นเป็นคำตอบจากเพื่อนผม แล้วเขาก็ล้มตัวลง หันหลังนอนตะแคง

แม้จะได้รับคำตอบเช่นนั้น แต่ผมก็รู้ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ คนอย่างทวยะคงไม่สะดุ้งขึ้นมากลางดึกโดยไม่มีสาเหตุอย่างแน่นอน

“นี่...ถ้านายกลัวว่าฉันจะช็อคตายเพราะเรื่อง ‘ไม่มีอะไร’ ของนายล่ะก็” ผมบอก “ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรจะทำให้ฉันช็อคได้เท่ากับเรื่องของนายแล้วล่ะ...ฝาแฝดในร่างเดียว”

นั่นเป็นคำนิยามสำหรับทวยะ รูมเมทที่แสนประหลาดของผม และเพราะทั้งคู่มีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมจึงเรียกคนหนึ่งว่า  ‘ทวยะดี’ และเรียกอีกคนว่า ‘ทวยะร้าย’

ทวยะดีนั้นดีสมชื่อ คือแสนดี และมีน้ำใจ หากก็มีข้อเสียอย่างหนึ่ง คือพูดน้อยมาก ซึ่งในภายหลัง เมื่อสนิทกับเขามากขึ้น ผมก็ทราบว่า เขาไม่ใช่คนเงียบโดยนิสัย หากแต่จะเงียบเฉพาะเวลาที่ต้องการปกปิดอะไรบางอย่างไว้ต่างหาก

ส่วนทวยะร้ายนั้น มีบุคลิกตรงกันข้าม ชนิดแสงกับเงา ดำกับขาว นอกจากจะแล้งน้ำใจแล้ว เขายังชอบหาเรื่องแกล้งผมด้วยวิธีประหลาดต่างๆ ตามแต่จะคิดได้ในเวลานั้น ซึ่งก็มักจะสร้างความเดือดร้อนให้ผมไปเสียทุกครั้ง

ผมเคยถามเขามากกว่าครั้งหนึ่งว่า ทำไมพวกเขาจึงมาอยู่ในร่างเดียวกัน แต่คำตอบที่ได้จากทวยะดี ก็คือความเงียบ ส่วนทวยะร้าย...เขาเสหันไปคว้าปิศาจตัวจ้อย หน้าตาเหมือนผึ้งขนาดเท่าฝ่ามือจากกลางอากาศมาใส่คอเสื้อผม เจ้าผึ้งยักษ์ก็ต่อยหลังคอผมเข้า จากนั้นทวยะดีจึงช่วยเอาเหล็กไนออกให้

“นายอยากรู้จริงๆ หรือ ไทวะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นิ่งๆ แบบทวยะดี แต่ผมรู้ว่าคำถามแบบนั้นจะไม่หลุดจากปากเขาแน่นอน ถ้าเวลานั้นเขาไม่ใช่ทวยะร้าย...

ผมเริ่มรู้สึกหวาดๆ แต่ยังรับคำออกไป

เพื่อนผมลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง หันมองมาทางผม ดวงตาของเขาดูวาวขึ้นในความมืด ราวกับสัตว์นักล่าในยามราตรี

“ฉันได้ยินเสียง...” เขาบอกเสียงเบาจนแทบจะเป็นกระซิบ “ภูต...วา...รี”

เสียงต่ำเย็นยะเยือกของเขาทำให้ผมรู้สึกสันหลังเย็นวาบ จนต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ได้ยินแต่เสียงหัวเราะกวนประสาทของทวยะดังท่ามกลางความเงียบแห่งราตรี

---

หากแต่ความกลัวไม่เคยเอาชนะความสงสัยของผมได้เลยสักครั้ง ผมอยากรู้ว่า ภูตวารีที่เขาพูดถึงจะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น แม้ยังรู้สึกสยอง แต่ในวันต่อมา ซึ่งเป็นวันเสาร์ ผมก็คอยจับตาสังเกตเขา...

ทวยะแต่งตัวออกจากห้องแต่เช้า ผมถามเขา แต่ไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้นจึงถือวิสาสะขอตามไป โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ชวน อย่างไรก็ดี ทวยะไม่ได้ไล่ผมกลับ และไม่ได้แสดงทีท่าว่าไม่อยากให้ผมไปด้วย ผมจึงไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับ

ระหว่างที่เราลงมาถึงใต้หอพักก็พบกับพี่พฤกษ์ รุ่นพี่ที่แสนจะใจดี และพักอยู่ในหอเช่นเดียวกัน

“ว่าไง จะไปไหนกันหรือ” พี่พฤกษ์ทักด้วยเสียงร่าเริง แต่มันเป็นคำถามที่ผมตอบไม่ได้ ยังดีที่ทวยะยอมบอกออกมา

“ไปธุระข้างนอกนิดหน่อยครับ”

“อืม...อย่างนั้นก็เดินทางระวังหน่อยล่ะ”

ทวยะรับคำ ขณะเดียวกันครูปานลักษมิ์ก็เดินเข้ามาเรียกพี่พฤกษ์ไปคุยด้วย ท่าทางเหมือนมีเรื่องเร่งด่วน พี่พฤกษ์เอง พอฟังแล้วก็หน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

“ครับๆ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” ได้ยินพี่พฤกษ์ตอบรับ แล้วเขาก็รีบผละมาด้วยท่าทางร้อนรน

“มีอะไรหรือครับพี่” ผมถามขึ้นในขณะที่พี่พฤกษ์เดินรี่จนแทบจะวิ่งผ่านพวกเราไป

“พ่อป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ ไปก่อนนะ” เขาตะโกนบอกกลับมา พร้อมกับวิ่งเลี้ยวหายไปตามทางโค้งหน้าอาคารเรียนหลังที่สาม

ผมเองก็พอจะรู้จักพ่อของพี่พฤกษ์อยู่บ้าง เคยพบกันครั้งหนึ่ง ท่านเป็นคนใจดี ผมยังเคยคิดอยู่บ่อยๆ ว่าพี่พฤกษ์ท่าจะถอดแบบความใจดีมาจากพ่อ และถ้าผมจำไม่ผิด ท่านมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างใหญ่โต ฐานะทางบ้านของพี่พฤกษ์จึงจัดว่าดีทีเดียว

ทวยะยืนนิ่งมองตามหลังพี่พฤกษ์พักหนึ่ง แล้วจึงก้าวต่อ เราเดินออกจากประตูโรงเรียน ไปยังสถานีรถไฟ แล้วจับรถไฟเที่ยวเก้าโมงสิบห้า ออกนอกเขตกรุงเทพฯ ไปไกลทีเดียว

เมื่อลงจากรถไฟ ทวยะก็พาผมเดินเท้าต่อไปอีกราวสามสิบนาที จึงพบกับบริเวณที่กำลังมีงานก่อสร้างขยายถนน...

พื้นที่ก่อสร้างที่ไหนๆ ก็เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ร้อนจนตับแทบจะแลบออกทางปาก แต่เวลานั้นคงไม่ใช่เวลาทำงาน ผมไม่เห็นคนงานเลยแม้สักคนเดียว ทวยะกับผมจึงแอบเดินเลาะริมทางเข้าไปในเขตก่อสร้าง

บริเวณนั้นเป็นพื้นทรายที่ได้รับการอัดและเกลี่ยเพื่อปรับพื้นที่ นอกจากนี้ละแวกนั้นก็เป็นละแวกบ้านคนมีเงิน ดังนั้นตลอดริมถนนที่กำลังสร้างจึงเป็นแนวกำแพงยาวเหยียด ถัดจากแนวกำแพงยาวเหยียดก็ยังเป็นแนวกำแพงยาวเหยียดอีก

ทวยะมาหยุดอยู่ที่หน้าริมกำแพงบ้านหลังหนึ่ง สังเกตว่าตรงนั้นมีปลายท่อซึ่งยังมีน้ำไหลเอื่อยๆ ต่อออกมาจากหลังกำแพง แรงน้ำทำให้พื้นทรายตรงจุดนั้นกลายเป็นแอ่งขนาดจิ๋ว

ได้ยินทวยะพึมพำเบาๆ เพียงคนเดียว จากนั้นก็หมุนตัวกลับ จนแทบชนผมเข้า

“ไปกันเถอะ” เขาบอก แล้วเดินผ่านผมไป

แค่นี้น่ะหรือ ที่เราอุตส่าห์มากันแต่เช้า มากันตั้งไกล เพื่อมาดูพื้นที่ก่อสร้างนี่นะหรือ... ผมคิดอยู่ในใจ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็หันหลังเดินตามเขาโดยไม่พูดอะไร

“ถามจริงเถอะ นายมาทำอะไรแถวนี้” ในที่สุด ความอดทนของผมก็หมดลง เมื่อเราเดินกลับมายังสถานีรถไฟ

“ธุระ” เขาตอบสั้นๆ แต่ไม่ได้ให้ความชัดเจนกับผมเลย

“ธุระบ้าอะไรในเขตก่อสร้างวะ” ผมถามต่อ เริ่มใส่อารมณ์ ทว่าเพื่อนผมกลับเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง ไม่ยอมเปิดปาก

“ทวยะ...” ผมลากเสียง รู้ว่าเขากำลังจะเลี่ยงไม่ตอบคำถามผมอีกเช่นเคย ซึ่งเขาก็คงจะรู้เช่นกันว่าเลี่ยงอย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้ จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกออกมา

“ตรงนั้นเคยเป็นลำคลองมาก่อน เป็นคลองทั้งสายเลยก่อนที่จะมีถนน พอมีการตัดถนนเข้ามา มันก็ทำให้คลองแคบลง จนในที่สุดคลองก็ถูกถมจนหมด...”

“อ๋อ...” ผมพยักหน้า “แล้วยังไงต่อ”

“คลองถูกถม ชีวิตในคลองก็ไม่มีที่ไป” เขาพูดเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงของเขาทำให้ผมรู้สึกสลดไปกับชะตากรรมของพวกมัน

“แล้วนาย...จะช่วยมันยังไงล่ะ”

“ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

ช่วยไม่ได้ แล้วจะมาทำไม... ผมนึกสงสัยอยู่ในใจ

เราขึ้นรถไฟกลับมาถึงสถานีใกล้โรงเรียนในเวลาเกือบบ่ายโมง ผมคาดว่าทวยะคงจะกลับเข้าโรงเรียน หรือแวะหาอะไรกินแถวตลาดริมสถานีเสียก่อน เพราะตอนนั้นผมเองก็เริ่มหิวตงิดๆ ทว่าเพื่อนผมกลับเดินออกมายังถนนใหญ่ ในบริเวณคิวรถตู้

“ทวยะ...นายจะไปไหนต่อน่ะ”

“โรงพยาบาล”

อันที่จริง โรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียงนั้นมีอยู่หลายแห่ง แต่ที่ทวยะเลือกไป เป็นโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเขตมหาวิทยาลัย

ผมไม่ชอบโรงพยาบาลเท่าใดนัก ไม่ว่าจะต้องไปหาหมอเอง หรือไปเยี่ยมผู้อื่น สาเหตุก็เนื่องจาก ที่โรงพยาบาล ผมมักจะเห็นวิญญาณล่องลอยกันให้ว่อนไปหมด

เมื่อเรามายืนอยู่หน้าประตูอาคารผู้ป่วยนอก ประตูอัตโนมัติก็เลื่อนเปิดออก ปล่อยให้อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศพุ่งมาปะทะหน้า

เป็นดังคาด วิญญาณทั้งหญิง ชาย เด็ก คนแก่ ลอยทะลุผนังเข้าห้องโน้นออกห้องนี้กันให้วุ่นวายไปหมด บ้างลอยตามผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นญาติพี่น้องของพวกเขา

วิญญาณพวกนี้อาจยังไม่ถึงเวลาที่ยมทูตจะมารับไปกระมัง...

“นายรู้นามสกุลของพี่พฤกษ์ใช่ไหม” เพื่อนผมถาม เรียกสติผมให้กลับมาจดจ่ออยู่กับคนเป็นอีกครั้ง

ผมพยักหน้า พอเดาจุดประสงค์ที่เขามายังโรงพยาบาลได้บ้าง และคิดว่าคงต้องอาศัยนามสกุลนี้เพื่อถามหาห้องพักของพ่อพี่พฤกษ์จากฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ทว่าทวยะกลับเดินดุ่มๆ ผ่านทางเชื่อมเข้าสู่อาคารผู้ป่วยใน แล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดอาคารไปทีละขั้นๆ แทนที่จะใช้ลิฟท์

เขามาหยุดอยู่ที่ชั้นสิบของอาคารโดยมีอาการหายใจหอบอย่างชัดเจน ทว่าไม่ยอมแสดงออกมาทางสีหน้า ส่วนผมตามเขามาด้วยสภาพหอบแฮกเลยทีเดียว

เพื่อนผมหยุดเพียงครู่หนึ่งแล้วก็ก้าวต่อ เดินตรงไปยังห้องหมายเลขหนึ่งศูนย์ศูนย์ห้า ที่หน้าห้องนั้นมีป้ายชื่อผู้ป่วยติดอยู่ ชื่อของผู้ป่วยนั้นไม่คุ้น แต่ผมจำนามสกุลได้ มันเป็นนามสกุลของพี่พฤกษ์นั่นเอง

หากแต่ทวยะรู้ได้อย่างไรว่าพ่อของพี่พฤกษ์อยู่โรงพยาบาลนี้ และพักอยู่ห้องนี้

...หรือเป็นเพราะความสามารถพิเศษ สื่อจิตวิญญาณที่เขามี

เพื่อนผมเอื้อมมือเคาะประตูเบาๆ สองครั้ง คอยอยู่ครู่หนึ่ง ประตูจึงเปิดออก...คนที่มาเปิดประตูไม่ใช่ใครอื่น พี่พฤษ์นั่นเอง

“มากันได้ยังไงน่ะ เข้ามาก่อนสิ” พี่พฤกษ์เชื้อเชิญ น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก “แล้วนี่รู้ได้ยังไงว่าพ่อพี่อยู่ห้องนี้”

“ไทวะจำนามสกุลของพี่ได้น่ะครับ” เพื่อนผมตอบออกไป ถึงมันจะเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยตรงประเด็นนัก แต่ก็ทำให้คนฟังเข้าใจไปอย่างที่เขาต้องการได้ ซึ่งความจริง เขาไม่ได้โกหก เพียงแต่เราไม่ได้ถามจากฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของโรงพยาบาลเท่านั้นเอง

เราเดินตามพี่พฤกษ์เข้าไปในห้อง จึงพบว่า นอกจากแม่ของพี่พฤกษ์แล้ว พี่พัทธ์ รูมเมทของพี่พฤกษ์ก็มาเยี่ยมด้วย

ความจริงพี่พัทธ์เป็นคนขี้เล่น เห็นอะไรก็เป็นเรื่องเล่นไปเสียหมด เพียงแต่ในเวลานั้น เป็นเวลาที่ต้องสงบเสงี่ยมเข้าไว้ จึงเพียงแค่ทักทายกันเล็กน้อย

พ่อของพี่พฤกษ์นอนอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีสายท่อระโยงระยางเต็มไปหมด ที่สำคัญ แม้จะมีเครื่องช่วยหายใจ แต่เขาก็ยังดูเหมือนหายใจอย่างยากลำบาก สังเกตได้จากท่าทางที่พยายามอ้าปากกลืนอากาศลงปอดอยู่ตลอดเวลา

แม่ของพี่พฤกษ์เฝ้าดูอาการหัวหน้าครอบครัวอยู่ข้างๆ พอเห็นทวยะกับผมเข้ามาก็รับไหว้พวกเรา แล้วจึงผละจากข้างเตียง เพื่อไปเปิดตู้เย็น นำน้ำผลไม้กล่องมาให้

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ” ทวยะปฏิเสธอย่างสุภาพ “ผมมาครู่เดียวก็จะกลับแล้ว”

แม่พี่พฤกษ์พยักหน้ารับแล้วกลับมานั่งลงเฝ้าอาการสามีด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ทราบคุณอาเป็นอะไรหรือครับ” ทวยะถาม แม่พี่พฤกษ์ส่ายหน้าช้าๆ ถอนหายใจแล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบา

“ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ คุณหมอก็ยังบอกไม่ได้ เมื่อคืนตอนจะเข้านอน ก็เห็นดีๆ อยู่ สักพักก็ทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก โบกไม้โบกมือเหมือนคนจมน้ำ แล้วก็ล้มลงไป พอพามาที่โรงพยาบาลก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะจ๊ะ” แม่เล่าเรื่องราวเหมือนอยากจะระบายความอัดอั้น และขอความช่วยเหลือไปพร้อมกัน

“ตอนแรกก็คิดว่าพ่อน่าจะโหมงานหนัก” พี่พฤกษ์ช่วยขยายความ “เพราะช่วงนี้มีงานสร้างทาง เป็นโปรเจคใหญ่ พ่อต้องขับรถไปๆ มาๆ อยู่บ่อยๆ”

ทวยะเพียงแต่พยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร เขาก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงคนไข้ มองใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปบอกกับแม่พี่พฤกษ์

“ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีธุระนิดหน่อย”

เราไหว้ลาแม่ แม่ก็อวยพรให้เราเดินทางดีๆ พี่พฤกษ์เดินมาส่งเราที่นอกห้อง และทำท่าจะลงไปส่งเราถึงหน้าโรงพยาบาล

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่กลับไปดูและคุณอาต่อเถอะ” ทวยะบอก

ทว่าเมื่อรุ่นพี่ของเรากลับเข้าห้องไปแล้ว ทวยะก็หันเดินไปอีกทางหนึ่ง ตรงไปยังประตูเหล็กบานใหญ่ ซึ่งเหนือบานประตูมีอักษรสีแดงบนกล่องสีขาวสว่างเห็นได้ชัด อักษรนั้นเขียนว่า ‘ทางหนีไฟ’

ทวยะออกแรงดันบานประตูเหล็กให้เปิดออก ด้านหลังประตูเหล็กเป็นบันไดทอดยาวตั้งแต่ชั้นบนสุดจนถึงชั้นล่างสุดของอาคาร เมื่อชะโงกมองจากชั้นที่เราอยู่ ภาพบันไดวกวนชวนให้หัวหมุนได้ไม่น้อย

บันไดนี้ยังอยู่ในตัวอาคาร นอกจากประตูเหล็กที่เชื่อมเข้าสู่อาคารในแต่ละชั้นแล้ว รอบด้านล้วนเป็นผนังทึบ มีเพียงช่องหน้าต่างบานเล็กๆ สำหรับระบายอากาศ

“นายมาทำอะไรตรงนี้” ผมถามขึ้น โดยไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบ

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น ทวยะไม่ได้ตอบ แต่ทรุดตัวนั่งลงที่บันไดขั้นแรก แล้วเริ่มพึมพำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แผ่วเบา

“พวกคุณเห็นผมแล้ว ผมก็รู้ว่าพวกคุณอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ออกมาคุยกันหน่อยล่ะ”

ผมเริ่มรู้แล้วว่าต้องมีเหตุการณ์ประหลาดๆ เกิดขึ้นอีกแน่ ดังนั้นจึงเอื้อมมือจับลูกบิดประตู เตรียมตัวเผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมจะได้วิ่งหนีทัน...

เป็นดังคาด รอบๆ บริเวณเริ่มปรากฏหยดน้ำลอยอยู่กลางอากาศ เริ่มจากหยดเล็กๆ แล้วแต่ละหยดก็รวมตัวกันเป็นหยดน้ำขนาดใหญ่ขึ้นๆ จนน่ากลัว และก่อนที่หยดน้ำทั้งหมดจะรวมกันเป็นหยดเดียว ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว

“ถ้าท่านจะขอชีวิตของชายผู้นั้นล่ะก็...” เสียงนั้นเหมือนเสียงคนหลายร้อยคนพูดขึ้นพร้อมกัน ทั้งหญิงชาย ทั้งเด็กทั้งคนแก่... “พวกข้าคงให้ท่านไม่ได้”

ความคิดที่จะวิ่งหนีในตอนแรกยังคงอยู่ มือของผมก็จับลูกบิดแน่น แต่เท้าทั้งสองข้างกลับถูกตอกตรึงอยู่กับที่

เห็นทวยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ไม่ใช่ยิ้มเยาะ แต่ยิ้มอย่างอ่อนโยน...

“ถ้าเขาตายแล้ว...พวกคุณจะได้ลำคลองคืนมาไหม”

หยดน้ำขนาดมหึมาที่น่าจะเติมเต็มแท้งค์น้ำขนาดหลายร้อยลิตร บางทีอาจถึงพัน มันไม่มีรูปร่างแน่นอน ได้แต่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ เมื่อได้ยินคำของทวยะ มันก็นิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงประหลาดดังขึ้นอีก

“เราฆ่าเขา เพื่อช่วยเหลือคลองสายอื่นๆ”

“ไม่มีเขา ก็ยังมีคนอื่นๆ อีก” ทวยะตอบกลับไป

“แล้วท่านจะให้พวกข้าทำอย่างไร พวกมนุษย์จึงได้รู้สำนึก”

“มีวิธีอื่นอีกมากมาย...ใครทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”

หยดน้ำนั้นนิ่งไปอีก  แล้วเคลื่อนวนเป็นวงอยู่เหนือศีรษะเพื่อนของผม... คงต้องยอมรับว่าในตอนนั้นผมกลัวจริงๆ กลัวว่ามันจะทำอะไรทวยะ จินตนาการของผมมีร้อยแปด ทว่ามันไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ผมหวั่น เพียงแค่เคลื่อนวนไปมาพักหนึ่ง ก็ยอมหยุด

“ได้...ข้าจะสนองตอบพวกมันด้วยกฏแห่งกรรม พวกมันต้องรับรู้ พวกมันต้องสำนึกเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเอง!”

สิ้นเสียง...หยดน้ำก็แตกออกเป็นหยดเล็กๆ แล้วแต่ละหยดก็แตกออกไปอีกเรื่อยๆ กลายเป็นหยดน้ำเล็กจนมองไม่เห็น...

ทวยะลุกยืนขึ้นเต็มความสูงแล้ว แต่ผมยังยืนนิ่งอยู่

“มัน...มันคืออะไร” ผมกระซิบถาม รู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นนิดๆ

ทวยะเอียงคอจ้องหน้าผม ขยับเข้ามาใกล้ แล้วยื่นหน้าเข้ามาอีก... สายตาอ่อนโยนเมื่อครู่หายไป สีหน้ากลับกลายเป็นกวนประสาทจนน่าดีด ดวงตาสีดำสนิททั้งคู่ก็ชวนขนลุก ไม่ต้องใช้เวลาในการพิจารณานานเลย ท่าทางแบบนี้ แววตาแบบนี้...ทวยะร้ายแน่ๆ

เขาจ้องผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาไม่ได้กะพริบเลย

“แบร่!”

“ว้าก!” เสียงของเขาทำให้ผมสะดุ้งจนตัวโยน กระโดดไปชนประตูเหล็กจนเสียงดังสนั่น แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ

“ไอ้บ้าเอ้ย! นี่มันโรงพยาบาลนะโว้ย” ผมโวยวายกลับ

“ชู่ว์...” เพื่อนผมยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก ในดวงตาดูเหมือนมีรอยยิ้มอย่างมีชัย “ห้ามส่งเสียงดังในโรงพยาบาลนะ”

เอากับเขาสิ...โยนความผิดมาที่ผมอีก

“แล้วมาทำให้ตกใจทำไมล่ะ” ผมกระซิบ แต่น้ำเสียงกระด้างด้วยความหงุดหงิด

“ก็นายอยากขวัญอ่อนเองนี่” เขาตอบยิ้มๆ แล้วหมุนตัวไปดึงประตูเหล็กเปิดออก

ผมมองเขาตาค้างอยู่เป็นครู่ จนได้ยินเสียงประตูเหล็กส่งเสียงคำรามปิดลง จึงสะดุ้งมองไปรอบๆ แล้วก็พบว่าตัวเองอยู่คนเดียวในสถานที่...น่ากลัว

“เฮ้ย! รอด้วย” ผมกระโดดตะครุบลูกปิดประตู กระชากอย่างแรง แล้วกระวีกระวาดวิ่งตามเขาไป

---

“เย็นนี้ฝนท่าจะตกหนักแฮะ...” ทวยะพูดขึ้นลอยๆ

ผมชะโงกมองท้องฟ้ายามบ่ายที่สว่างกระจ่างใสจนแทบไม่เห็นปุยเมฆลอยล่อง ปล่อยให้แสงแดดส่องลงมาอย่างไม่ปรานี ดีที่พวกเราหลบแดดอยู่ใต้อาคารหอพัก รอบบริเวณก็มีแต่ต้นไม้สีเขียว จึงไม่รู้สึกร้อนกายมากนัก ทว่าจะอย่างไรผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้ ฝนจะตกได้อย่างไรในวันที่ฟ้าสดใสออกปานนี้ หรือเป็นเพราะภาวะโลกร้อน...

“นายรู้ได้ยังไง” ผมถามระหว่างกำลังเปิดกล่องนมเทให้เจ้าหง่าว

“นายไม่เชื่อหรือ” เขาถามกลับ น้ำเสียงที่มีแต่ความเชื่อมั่นนั้นทำให้ผมขยาดจนไม่อยากตอบ เพราะถ้าผมตอบว่าเชื่อ...ผมก็โกหก แต่ถ้าตอบว่าไม่เชื่อ...เขาก็คงหาเรื่องแกล้งผมอีกแน่ๆ

อีกอึดใจหนึ่ง ทวยะร้ายจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากผมไปเป็นเจ้าหง่าวที่กำลังเดินมายังชามนม เขาก้าวไปยืนด้านหลังมัน ก้มตัวลง เอื้อมมือยุดหางมันไว้

เจ้าลูกแมวสีขาวไม่ได้ขัดขืนเดินต่อ ทวยะจึงปล่อยมือนิดหนึ่ง แต่เมื่อมันทำท่าจะก้าว เขาก็จับหางมันไว้อีก คราวนี้มันจึงหันมองคนข้างหลัง ส่งเสียง ‘เมี้ยว’ เบาๆ เหมือนบอกว่า ‘จะทำอะไรหนูน่ะ’

ทวยะปล่อยมือให้มันเดินต่ออีกสองก้าว ก็จับหางมันไว้อีก คราวนี้ถ้าเจ้าหง่าวพูดได้ มันคงจะร้องกรี๊ด แล้วบอก ‘ปล่อยหนูนะ!’ เพราะผมเห็นมันหมุนตัวฟ้อนเล็บใส่มือเขาอย่างว่องไว แต่คนอย่างทวยะน่ะหรือจะปล่อยให้ลูกแมวตัวเล็กๆ ฝากรอยเล็บไว้ได้ง่ายๆ เขาปล่อยมือหลบ แล้วรอจังหวะที่มันพลิกตัวกลับ ฉกหลังคอมันขึ้นมาหิ้วแบบสบายๆ

ทีนี้เจ้าหง่าวก็หมดฤทธิ์ ไม่ว่ามันจะพยายามคว้า พยายามข่วนเท่าไรก็ไม่ถึง ได้แต่ดิ้นปัดๆ ด้วยความโมโห

“ปล่อยมันเถอะน่า...” ผมบอกเสียงเอือม

“ไม่ มันจะข่วนฉัน!” เขาเขย่าตัวลูกแมวน้อยในมืออย่างหมั่นไส้ ผมเห็นแล้วสงสารเจ้าหง่าวจับใจ จึงนิ่วหน้า ปรับเสียงดังขึ้นเล็กน้อย

“ก็นายแกล้งมันก่อนนี่หว่า”

พูดไปแล้วก็ให้นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาทันควัน เขาจะต้องหาเรื่องแกล้งผมแน่ เตรียมใจได้เลย...

ทว่าเขาไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น ตรงกันข้าม กลับปล่อยเจ้าหง่าวลงมาข้างชามนมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังลูบหลังมันอย่างนุ่มนวลระหว่างที่มันกำลังเลียนมในชาม

นี่เป็นสัญญาณดี...เป็นสัญญาณว่าทวยะร้ายไปแล้ว ดังนั้นผมจึงกล้าถามคำถามที่ตัวเองสงสัย

“นายแน่ใจหรือว่าฝนจะตก”

“ไม่ใช่แค่ตก” เขาบอกเสียงเรียบ “แต่ตกหนักมากด้วย”

“ตกหนักมาก” ผมทวนคำด้วยความฉงน

เขาเงยหน้ามองผมแล้วยิ้มที่มุมปาก

“ภูตวารีน่ะ ไม่ใช่ภูตเล็กภูตน้อยที่คอยแต่จะแกล้งมนุษย์หรอกนะ พวกเขามีพลังอำนาจ ขนาดพลิกฟ้าคว่ำดินเลยทีเดียว เพียงแต่เราอยู่กับพวกเขามานาน ใช้ประโยชน์จากพวกเขาก็มาก ทำให้บางครั้ง มนุษย์เราก็มองข้ามพวกเขาไป”

---

ไม่ผิดจากที่ทวยะพูดไว้เลย พอตกเย็นเท่านั้น เมฆดำก็ก่อตัวรวมกันแน่น ปิดท้องฟ้าจนมืดสลัวไปทั่วบริเวณ แล้วฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว

ฝนยิ่งตกก็ยิ่งหนัก...

มันตกอยู่ตลอดคืน จนรุ่งเช้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด วันต่อมา แม้เป็นวันอาทิตย์ ก็กลับเป็นวันที่น่าเบื่อเหลือทน ผมได้แต่นั่งอยู่ที่ระเบียง มองหยาดน้ำที่สาดลงมาจากฟ้า โดยมีทวยะนอนอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ในห้อง

กว่าฝนจะซาก็บ่ายคล้อย ทวยะจึงเริ่มขยับตัว เขาลุกจากเตียงแล้วเดินออกจากห้อง ซึ่งแน่นอนผมต้องตามเขาไปด้วย

ในตอนแรกผมเดาว่าทวยะน่าจะไปเยี่ยมอาการพ่อของพี่พฤกษ์ เพราะหลังจากเขา ‘เจรจา’ กับภูตวารีแล้ว ก็น่าจะติดตามผลบ้าง แต่ผมคิดผิด ทวยะนำผมไปที่เขตก่อสร้างอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ เมื่อเราลงจากรถไฟ แล้วเดินตามถนนเฉอะแฉะไปได้ราวสิบนาที ก็เจอกับน้ำนองท่วมถนน...

เราเดินลัดเลาะหลบแอ่งน้อยๆ ที่นองด้วยน้ำฝน ไปตามทางเท้าซึ่งสูงกว่าพื้นถนนเล็กน้อย ทว่าไปได้ไม่เท่าใดนัก ทางเท้าก็ถูกน้ำท่วมจนมิด ชาวบ้านแถบนั้นต้องเอาอิฐ หิน หรือวัสดุอื่นๆ มาวางให้สูงขึ้น แล้วเอาไม้กระดานแคบๆ มาพาดเพื่อเป็นทางเดินชั่วคราว ส่วนบ้านหลังโตๆ ที่มีรั้วยาวล้อมรอบบริเวณบ้านอันกว้างขวางนั้น แม้จะไม่ถูกน้ำท่วมเพราะถมพื้นที่ขึ้นมาเสียสูง แต่ถ้าจะออกจากบ้าน ก็คงต้องพายเรือกัน

เดินมาอีกพักใหญ่ เพื่อนของผมก็ตรงเข้าไปหาชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังยืนหันหลังมองออกไปยังถนนที่บัดนี้ดูเหมือนลำคลองมากกว่า

“กำลังชื่นชมผลงานตัวเองอยู่หรือ” เขาถามออกไป

ชายผู้นั้นหันกลับมายิ้มเล็กน้อย พร้อมกับทำเสียงขึ้นจมูก “นี่เป็นแค่ผลงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น” เขาบอก น้ำเสียงแสดงความภาคภูมิใจในตนเอง

“ผมรู้...พวกคุณทำได้มากกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า” แม้ความหมายในคำพูดจะน่าขนลุก แต่ทวยะกลับตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

ผมพิจารณาดูคู่สนทนาของทวยะ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำ แม้การแต่งตัวจะธรรมดา แต่ก็ดูภูมิฐาน ทว่าเมื่อมองเรื่อยลงมาที่รองเท้าหนังขัดเงาของเขา ผมก็ต้องชะงักจนแทบหยุดหายใจ...

เขายืนอยู่เหนือน้ำ!

ผมแน่ใจว่าตัวเองเห็นไม่ผิด ไม่มีอะไรรองรับใต้พื้นรองเท้าของเขาอย่างแน่นอน แต่เท้าของเขาไม่จมลงไปในน้ำ มันไม่ติดพื้นน้ำเลยด้วยซ้ำ...

“ดูเหมือนข้าจะทำให้เพื่อนของเจ้าตกใจ” เขาบอก น้ำเสียงเจือหัวเราะ ซึ่งทำให้สติของผมกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง ทว่าทวยะดูเหมือนจะไม่สนใจผมเท่าใดนัก

“ผมว่า คุณคงต้องแก้ไขเรื่องการพูดเสียก่อนที่จะไปคุยกับคนพวกนั้น รูปลักษณ์ภายนอกของคุณดีแล้ว ถ้าคนพวกนั้นไม่ช่างจับผิดแบบเพื่อนผม ทีนี้ก็เหลือแต่การพูด”

“ต้องใช้ ‘ผม’ แทน ‘ข้า’ หรือ”

ทวยะพยักหน้า “และใช้ ‘คุณ’ แทน ‘เจ้า’“

ชายคนนั้นรับคำแล้วออกเดินไปพร้อมกับทวยะ ตรงไปยังกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง...

ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีทั้งชายกลางคนและชายหนุ่ม ทั้งหมดสวมหมวกนิรภัยแบบวิศวกร สีฟ้าบ้าง สีเหลืองบ้าง กำลังย่ำลุยน้ำที่ท่วมสูงเกือบถึงเข่า พลางกางแผนที่และถกกันอย่างเคร่งเครียด ผมเดาว่าพวกเขาอาจจะเป็นพวกผู้รับเหมาก่อสร้างหรือผู้รับผิดชอบโครงการนี้

ทวยะกับชายลึกลับไม่ได้เดินลุยน้ำ พวกเขาลัดเลาะไปตามทางเดินชั่วคราวที่มีคนทำไว้ ผมสังเกตว่าเท้าของชายลึกลับยังคงไม่ติดพื้น จนกระทั่งพวกเขาไปหยุดยืนดักหน้ากลุ่มชายดังกล่าว ซึ่งแน่นอน ผมต้องเดินตามไปด้วย จึงทำให้ผมได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน

พวกเขากำลังเป็นห่วงงานก่อสร้างที่ต้องล่าช้าออกไปเพราะน้ำท่วม โดยไม่รู้ว่าน้ำจะท่วมไปจนถึงเมื่อใดจึงจะลด เนื่องจากคลองในบริเวณนั้นถูกถมไปหมดแล้ว ทางระบายน้ำแห่งเดียวก็คือท่อระบายน้ำของเทศบาล ซึ่งมักจะอุดตันเพราะขยะจากความมักง่ายของคนแถบนั้นเอง อีกทั้งยังมีเรื่องของหัวหน้ากลุ่มผู้รับเหมา ซึ่งอยู่ๆ ก็เกิดป่วยกะทันหัน ผมมารู้ในภายหลังว่า หัวหน้าผู้รับเหมานั้นคือพ่อของพี่พฤกษ์เอง

“ผมมีวิธีทำให้น้ำหมดไปภายในคืนเดียว...” ชายลึกลับเอ่ยขึ้น เรียกความสนใจจากคนกลุ่มนั้น “ผมสามารถช่วยคุณได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”

เขาหยุดและมองไปที่ชายกลุ่มนั้น ซึ่งพวกเขาก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ

“วิธีอะไร” ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น

ชายลึกลับกลอกตาไปมา “ผมบอกคุณไม่ได้ มันเป็นความลับ”

“ความลับ...” ชายหนุ่มคนเดิมทวนคำอย่างไม่เชื่อถือ “คุณต้องการป่วนอะไรมิทราบ เราไม่ว่างมาเสียเวลากับเรื่องโกหกของเด็กๆ หรอกนะ” ว่าแล้วก็พาลมองมายังผมกับทวยะที่ยืนอยู่ข้างๆ

“คุณไม่คิดจะลองหน่อยหรือครับ ถึงยังไงพวกคุณก็ยังไม่รู้จะทำอะไรให้มันดีกว่าการรอไม่ใช่หรือ” ทวยะช่วยพูดแก้ไขสถานการณ์

ชายกลางคนอีกคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพยักหน้า หันไปทางชายลึกลับ “แล้วข้อแลกเปลี่ยนของคุณคืออะไร”

“ผมหวังว่าคลองจะไม่ถูกถมเพื่อสร้างถนนแบบนี้อีก” ชายลึกลับบอก

ชายกลุ่มนั้นพากันย่นคิ้ว มองหน้ากัน แล้วส่ายหน้า

“คุณเป็นพวกนักอนุรักษ์หรือ” ชายกลางคนถามขึ้นอีก

“นักอนุรักษ์” ชายลึกลับทวนคำอย่างสงสัย ทำให้ทวยะต้องชิงตอบไป

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ”

ชายหนุ่มคนเมื่อครู่ส่ายหน้าไม่เห็นด้วยทันที “พวกนักอนุรักษ์น่ะ ดีแต่ขัดขวางความเจริญ ถ้าไม่ขยายถนนแล้วจะให้ทำยังไง แถวนี้น่ะ รถติดขึ้นทุกวัน”

ทวยะยิ้มที่มุมปาก “ผมคิดแล้วว่าคุณต้องพูดแบบนี้ แต่พี่คนนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่สร้าง มันมีวิธีอื่นที่ทำให้ไม่ต้องถมคลอง... อย่างเช่น สร้างถนนคร่อมคลองไป” เขาบอกแล้วหันมองที่ชายลึกลับเป็นสัญญาณ

“ใช่...เอ่อ...ครับ” ชายลึกลับพูด

ชายหนุ่มคนเดิมในกลุ่มนั้นไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กอดอกเบือนหน้าไปทางอื่น

“ความคิดนี้น่าสนใจ อาจจะใช้งบเยอะหน่อย แต่น้ำก็ไม่ท่วม” ชายกลางคนบอก “เอาเป็นว่าผมจะเอาเข้าที่ประชุม บางทีเราอาจจต้องตั้งทีมขึ้นมาศึกษา ถึงเวลานั้นผมคงต้องเชิญคุณเข้าร่วมทีมด้วย อ้อ! ลืมบอกไป ผมเป็นตัวแทนเทศบาลที่รับผิดชอบโครงการนี้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายื่นมือออกเพื่อขอจับมือแสดงไมตรีตามธรรมเนียมตะวันตก ทว่าชายลึกลับกลับมองมือเขา สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความฉงน

“เอาน่า...พี่ จับมือกับเขาหน่อย จะร่วมมือกันอยู่แล้วนี่” ทวยะพูดเหมือนหยอกไปแบบนั้น แต่ความจริงเพื่อบอกใบ้ให้กับชายลึกลับ

เราพูดคุยกับชายกลางคนอีกไม่กี่คำก็ขอตัวจากมา โดยมีผมเดินตามหลังมาติดๆ

“พวกเขาให้ข้าเข้าร่วม หรือพวกเขาต้องการให้ข้าทำอะไร” ชายลึกลับเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

“คุณไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ ยังไงพวกเขาก็ติดต่อคุณไม่ได้อยู่แล้ว”

“ติดต่อไม่ได้... แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะทำอย่างที่พูดไว้จริง”

ทวยะยิ้มเล็กน้อย “กฏแห่งกรรมมีไว้สนองตอบผู้กระทำ ถ้าพวกเขาถมคลองอีก ทางระบายน้ำก็ยิ่งลดลง น้ำก็ยิ่งท่วมง่ายขึ้น”

“แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่าคนพวกนั้นจะรักษาสัจจะหรือไม่”

“จิตใจมนุษย์ยากเกินหยั่ง ผมเองก็บอกไม่ได้ ผมรู้แต่ว่า ภูตวารี มีสัจจะแน่นอน”

ชายลึกลับหันมายิ้มให้ทวยะ “คืนนี้พวกข้าจะทำตามพี่พูดไว้แน่นอน” เสียงของเขาในช่วงท้าย กลายเป็นเสียงประสานของคนมากมาย จากนั้นรูปร่างของเขาก็บิดเบี้ยวไป ทำเอาผมต้องผงะถอยไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว เพียงครู่เดียว ร่างของเขาก็แตกออกเป็นหยดน้ำเล็กๆ มากมาย จากหยดน้ำเล็กๆ ก็แตกออกเป็นหยดน้ำที่เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมองไม่เห็น...

เมื่อเขาไปแล้ว ผมจึงก้าวมายืนข้างทวยะ เอื้อมมือเกาะแขนเขา เรียกความมั่นใจ

“ภูตวารี หน้าตาเป็นแบบนี้เองน่ะหรือ” ผมถามเสียงสั่น

“ร่างจำแลงน่ะ พวกเขาไม่มีรูปร่างแน่นอนหรอก”

“แล้ว...เขาจะทำยังไงให้น้ำหายไปในคืนเดียวล่ะ”

“พวกเขาทำให้น้ำมาอยู่ที่นี่ในวันเดียวได้ การทำให้มันหายไปก็ไม่น่ายากไม่ใช่หรือ” เขาว่าแล้วเดินนำผมไปยังสถานีรถไฟเพื่อกลับไปยังโรงเรียน

---

ระหว่างที่เรากำลังเดินกลับเข้าหอพักในตอนค่ำ ก็บังเอิญพบกับพี่พฤกษ์และพี่พัทธ์ที่หน้าหอ ท่าทางพี่พฤกษ์ดูสดชื่นขึ้นแล้ว พวกเราจึงเข้าไปทักทาย

“พี่พฤกษ์ครับ คุณพ่อพี่เป็นยังไงบ้างครับ” ผมถาม

“หายแล้ว ออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ” เขาบอก แล้วก็นิ่วหน้าด้วยความฉงน “แปลกมาก... พอพวกนายกลับไปสักพัก พ่อพี่ก็หาย หมอจับตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ปอด ก็ปกติดีทุกอย่าง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ทวยะยิ้มเล็กน้อย “นั่นน่ะสิครับ น่าแปลก”

“เอาน่า พ่อนายหายก็ดีแล้ว” พี่พัทธ์บอก พลางยกแขนขึ้นกอดคอเพื่อน “นายก็พักผ่อนได้แล้ว วันหยุดทั้งที ไม่ได้พักเลยนี่หว่า”

ผมเห็นพวกเขาแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ พี่พฤกษ์กับพี่พัทธ์สนิทกันดี อาจเพราะพวกเขาเป็นรูมเมทกันมานาน อยู่ด้วยกันมาเป็นปีแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ในอนาคต ผมกับทวยะจะเป็นอย่างไร

พวกเราพากันขึ้นอาคาร แยกย้ายกลับห้องของตัวเอง ทว่าจนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่อาจลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้เลย ทุกครั้งที่ผมไขก๊อกน้ำ มองสายฝน หรือทำอะไรที่เกี่ยวกับน้ำ ผมก็จะนึกถึงใบหน้าของชายลึกลับคนนั้นขึ้นมาเสมอ...

###

จากคุณ : ตรีพันธ์
เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 22:32:36




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com