Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 30 vote ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13063557/W13063557.html

บทที่ 30

แม่นางแพรกรีดร้องโหยหวนสะท้านใจซาตานพี่ชายยิ่ง แม่นางกณิการ์ช่างใจเกรียมนัก ร่างอรชรพลิ้วปราดเปรียวราวกับไม่เคยบาดเจ็บพุ่งปรี่ไปคว้าดวงวิญญาณแหว่งวิ่นแล้วโยนเข้าไปกลางลานบูชา กลิ่นขลังและไอแห่งมนตราศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมทำร้ายทันที

ซาตานวจาคำรามพลางกระทืบเท้าอย่างเดือดดาล โถงบูชาเจ้าฟ้าพลันสั่นสะเทือน หรือต้องบอกว่าทั่วโถงในเขตคามสั่นครืนรุนแรง คนข้างนอกต่างรับรู้ด้วยใจตระหนก แต่ก็จนใจว่าไม่มีใครกล้าฝ่าบัญชาเข้มของแม่นางเจ้าฟ้าทะลวงประตูบานหนาเข้ามาร่วมชมสาเหตุ

แม่นางกณิการ์ตั้งมั่นแล้วว่าต้องสยบซาตานอมตะให้สำเร็จ เพราะลมหายใจคล้ายเคลื่อนไหลติดขัดเต็มทีแล้ว

แม่นางแพรคือเหยื่อล่อชั้นเลิศให้ซาตานพี่ชายพุ่งตามเข้าไปหมายช่วยเหลือ มันทำได้อยู่แล้ว เพราะมนตราชุบชีวิตผนึกเป็นเนื้อเดียวกับกายศพ มนตร์ขลังศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน มันก็ต้านทานได้

จังหวะที่มันร้องคำรามเดือดดาลพร้อมกับโยนดวงวิญญาณนางผีผู้น้องกลับออกมา ปากใหญ่ก็อ้ากว้างมากพอที่จะให้แม่นางกณิการ์พุ่งทะยานเข้าไปจู่โจมพร้อมแท่งเชิงเทียนเหล็กกล้า เป้าหมายคือทะลุคอหอยซาตานสารเลว

สายลมร้อนหวีดหวิวรัดพันตัวชั่วขณะ ซาตานวจาเพิ่งจะสัมผัสไอที่กรุ่นผิดปกติ มันยังไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ ร่างอ้อนแอ้นของแม่นางศัตรูก็ทะยานมาถึงตัวพร้อมกับอาวุธสยบ

เสียงฉึกอุบัติหนักหน่วงพร้อมกับเลือดสีดำก็กระฉูดและสาดเป็นแพผืนโถมใส่ใบหน้าแม่นางเจ้าฟ้า กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงบีบคั้นให้แม่นางต้องกระอักเลือดปนอาเจียน แต่สองมือก็ไม่ยอมปล่อยอาวุธสยบซาตาน ซ้ำยังเกร็งกำลังกดอัดมันให้ลึกเข้าไป

"แม่นาง"

องครักษ์ศมะหมดความอดกลั้นกับการรอคอยอีกแล้ว เพราะเสียงคำรามโหยหวนครั้งสุดท้ายของซาตานวจามันสยดสยองสะบั้นความเข้มแข็งจนขาดกระจุย

พระครูลาพุชก็เช่นกัน ท่านตระหนักว่าแม่นางผู้เกรียงไกรทำได้อีกแล้ว ช่างองอาจและหาญกล้าน่าสยบแทบเท้ายิ่ง

"โยนดาบเจ้ามาท่านศมะ" แม่นางบัญชากร้าว ใบหน้าเปรอะเลือดสีดำช่างดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง

"อย่า ท่านศมะ"

พระครูรีบตะปบแขนหน่อเนื้อแต่ก็ไม่ทันอยู่ดี องครักษ์ผู้รักมั่นและภักดีเหวี่ยงดาบตามบัญชาว่องไวแบบคำต่อคำทีเดียว เห็นถนัดตาว่ามือเปื้อนเลือดดำข้างหนึ่งยังดันปลายแท่นเชิงเทียนบังคับให้ซาตานชั่วขยับร่างกายไม่ได้ แขนขากางถ่างแข็งทื่อ

มันคงอยากร่ายมนตร์ดำตอบโต้ แต่ตอนนี้ปากของมันอ้าค้างเพราะถูกขวางไว้ด้วยอาวุธชั่ว จึงได้แต่กลอกตาเดือดดาล น้ำตาเลือดสีดำก็ไหลทะลักพรูแล้วพรูเล่า แม่นางแพรก็บาดเจ็บสาหัสได้แต่กรีดร้องโหยหวน เสียงระงมแหลมยืดยานไปทั่วโถงทึบ

"แม่นาง ทำไม่ได้จริงๆ ได้โปรดฟังเราพระครู ยิ่งฆ่ามัน ก็จะยิ่งเพิ่มพูนชีวิตอมตะให้แก่มัน" พระครูรีบร้องห้ามเสียงร้อนรน แม่นางตั้งท่าตวัดดาบหมายบั่นคอศัตรูแล้ว

"เราไม่เชื่อ"

แม่นางตะเบ็งเสียงกร้าวห้วนดั่งนักรบชายห้าวหาญ เกร็งพลังเฮือกสุดท้ายเปลี่ยนจากบั่นคอมาเป็นเสียบยอดอก ขณะอัดปลายแหลมของดาบก็ร่ายมนตราขนนกสลายความแข็งแกร่งของเป้าหมาย

ซาตานวจากระตุกเฮือกพร้อมกับเลือดเหม็นเน่าก็สาดกระจายพุ่งเป็นน้ำพุออกจากรูอก ดาบใหญ่ทะลุแผ่นหลังไปอวดปลายแหลมคมกริบ เลือดดำยังหยดติ๋งๆ

"แม่นาง ได้โปรดฟังเราพระครู อย่าฆ่ามัน แม่นาง อย่าฆ่ามัน โอ.. ฟังเราเถอะแม่นาง ฟังเราเถอะ"

"ท่านพ่อ" หน่อเนื้อใจหายวาบเมื่อบิดาทรุดลงคุกเข่าหนักแน่น ท่านชราเกินกว่าจะรังแกสังขารเช่นนั้น

"พระครู"

แม่นางดึงดาบออกพร้อมกับปล่อยให้ร่างโดนสาดด้วยเลือดเหม็นเน่าอีกหนึ่งแพใหญ่ ร่างอ้อนแอ้นพลันทะยานพลิ้วห่างลานบูชา

"ลากมันขึ้นไปบนแท่นเจ้าข้า ลากมันขึ้นไป"

องครักษ์ศมะเห็นว่าแม่นางอ่อนล้ายิ่ง จึงตัดสินใจจัดการเอง ร่างกำยำโผลอยพุ่งฝ่ามวลละอองของฝุ่นและกลิ่นซากสางคละคลุ้ง ตะปบร่างซาตานเพลี่ยงพล้ำพาละลิ่วขึ้นไปบนแท่นสูง กดบังคับให้คุกเข่ายอมสยบ

"ท่านศมะ พันธนาการมันไว้" พระครูสั่งอีก

"ด้วยอะไรเล่า" หน่อเนื้อถามพลางหันรีหันขวาง

"อะไรก็ได้"

"เราเอง"

แม่นางกณิการ์พลันพลิ้วไปกระชากโซ่เหล็กกล้าหนาหนักที่รายล้อมลานชั้นใน แล้วเหวี่ยงมันขึ้นไปให้องครักษ์คู่ใจตะปบฉับแล้วตวัดพันรัดรอบกายศัตรู

เส้นเดียวคงไม่แน่นหนาพอ แม่นางผู้เกรียงไกรจึงกระชากหมดสี่เส้น ซ้ำยังโผไปช่วยพันธนาการด้วยมือตน พลางร่ายมนตราสยบธาตุบังคับให้ร่างทื่อแข็ง หากแต่ดวงตาอาฆาตพยาบาทยังกลอกจ้องวงหน้าห้าวหาญของแม่นางน่าชัง ก่นด่าหยาบช้าผ่านจิตอันแข็งกล้าว่า

"แม่นางเลว แม่นางชั่วช้าน่าชัง ข้าจะตามพยาบาทเจ้า จะล้างผลาญคามดารกะของเจ้า ชีวิตอมตะของข้าจะดำรงอยู่ แต่คามดารกะอันเป็นที่รักของเจ้าต้องล่มสลาย เสื่อมความรุ่งเรือง"

"มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของเราแม่นางกณิการ์"

"มันจะเกิดขึ้น เจ้าจงรอดูไปเถอะ"

"สารเลว"

"ข้าจะโปรยปรายเมฆหมอกและลมฝนสีดำปกคลุมคามอันยิ่งใหญ่ของเจ้าไว้ ทุกแห่งหนจะค่อยๆ วิบัติอับปาง ผู้คนดับสูญและอพยพหนีความกันดาร"

"หุบปากของเจ้า ซาตานสันดานหยาบ"

"จงรอดูไปเถอะแม่นางน่าชัง คามแห่งเจ้าจะว่างร้าง เหลือเพียงแร้งกากับซากศพ ทั่วแผ่นพื้นตลอดไปจนทั่วทุ่งเกษตรจะแตกระแหงเกลื่อนล้นไปด้วยเศษอันแห้งผากของมวลพฤกษา ข้าจะบันดาล ข้าจะบันดาล"

แม่นางเจ้าฟ้ายิ่งฟังยิ่งเดือดดาล ตาเรียวทรงอำนาจถลึงดุร้ายและแดงก่ำด้วยไฟอำมหิต พระครูลาพุชใจหายเมื่อเห็นแม่นางลุแก่โทสะ ปราดขึ้นหมุนคว้างแล้วเหยียดขาเท้าชิดกระแทกแท่งเชิงเทียนที่ยังค้างในปากเลื่อนลึกจนทะลุท้ายทอยด้วยพลังกำราบเฉียบขาด

จากนั้น กายอ้อนแอ้นก็ค่อยโผขึ้นเหยียบศีรษะ พุ่งปลายนิ้วกดลงกลางกระหม่อม พริ้มตาแล้วร่ายมนตราพันธนาการภูตพร้อมเพรียงกับอาคมสยบสมิง

เพราะในมวลเลือดดำอันเหม็นเน่าเมื่อครู่ก่อนนั้น แม่นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาปเสือเจือจาง จึงพลันนึกรู้ว่าดวงวิญญาณสมิงชั่วไม่ตนใดก็ตนหนึ่งต้องแทรกปนอยู่ในชีวิตอมตะของซาตานสันดานหยาบเป็นแน่

"แม่นาง"

พระครูผู้รอบรู้ใจคอไม่ดี เกรงว่าแม่นางจะพลั้งมือทำลายซาตาน ท่านศึกษาตำราฟื้นคืนชีวิตมาบ้าง จึงตระหนักว่าการดับสูญจะช่วยเพิ่มพลังอมตะให้ดำรงอยู่อย่างกล้าแกร่งยิ่งกว่า

มันเป็นกลไกลี้ลับในไสยเวทย์ดำ เชื่อว่าใครก็ตามที่ล่วงรู้และศึกษาจนแตกฉานก็ย่อมเข้าใจ ซาตานวจาเองก็ต้องรู้ ไม่อย่างนั้น มีหรือจะเหิมเกริมยโส ไม่เกรงกลัววาสนาและบารมีหน่อเนื้อแห่งเจ้าฟ้าจ่างได้อย่างอหังการเพียงนี้

"เจ้า แม่นางชั่วช้า เจ้าทำอะไรข้า ทำไมตัวข้า ทำไม.. ทำไม.. "

มันตระหนกจนจิตคำรามไม่ออกแล้ว ทั่วร่างปรากฎเกร็ดสีขาวอมแดงผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไอเย็นประหลาดแผ่ซ่านแทรกเกาะกุมเนื้อแข็งพันธนาการไม่ให้ขยับไหว

ยามนี้แลผิวเผินทั่วตัวมันประหนึ่งว่าถูกแช่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง เกร็ดที่เห็นก็ประหนึ่งเกร็ดของน้ำแข็งที่จับตัวผนึกแน่นตามระดับความเย็นที่เย็นแสนเย็น

"จงฟังวาจาศักดิ์สิทธิ์แห่งเราแม่นางกณิการ์ เจ้าฟ้าผู้เกรียงไกรแห่งคามดารกะ"

แม่นางกณิการ์ลอยคว้างหมุนร่างลงหย่อนสู่พื้น ยืนเท้าสะเอวอหังการ วงหน้าสกปรกเชิดสูงองอาจ เสียงอันทรงอำนาจลั่นคำสาปก้องทั่วโถง

"จากกาลนี้ไปสู่กาลหน้านับร้อยนับพันกาลและไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าคือนักโทษชั่วกัปชั่วกัลป์แห่งเรา จะไม่มีใครทั่วหล้าและสามภพปลดคำสาปแห่งเรา เว้นเพียงตัวเราจะปลดเอง และเมื่อกาลนั้นมาถึง ชีวิตอมตะของเจ้าต้องถูกสังเวยและดับสูญตลอดกาล"

"ไม่ ข้าไม่รับบัญชา ข้าคืออมตะ ชีวิตข้าเป็นอมตะ จะไม่มีใครทำลายข้าให้ดับสูญตลอดกาล ไม่ ข้าไม่รับบัญชา แม่นางชั่วช้า ข้าไม่รับบัญชา"

มนตราโยกย้ายธาตุร่ายระงม วัตถุหนักเบาถูกบังคับให้ลอยขึ้นแล้วพุ่งโผเข้าหาลานบูชาชั้นใน

บนแท่นสูงคุกเข่าไว้ด้วยร่างซาตานแข็งทื่ออยู่ในเกราะแก้วสีขาวอมแดงที่แลคล้ายเกร็ดน้ำแข็ง รังสีแห่งคำสาปและมนตราสยบแห่งแม่นางกณิการ์ไหลวนรายล้อมให้เห็นเป็นคลื่นเป็นริ้วดั่งมีชีวิต

"เราเห็นแก่เจ้าที่มีจิตผูกพันต่อพี่ชาย จึงอนุญาตให้ดวงวิญญาณวนเวียนในเขตโถงบูชาเจ้าฟ้า ห้ามเจ้าเล็ดลอดเกินอาณาเขตโถงคามดารกะ หลุดพ้นจากที่เราอนุญาต ดวงวิญญาณของเจ้าก็จะดับสูญได้ทุกเมื่อ"

"ไม่ต้องมาทำใจดี ท่านไม่ใช่แม่นางผู้อารีแม้แต่น้อย"

แม่นางแพรตะเบ็งเสียงเคียดแค้น น้ำตาเลือดสีดำไหลพราก แสนสงสารพี่ชายที่โดนสาปอยู่ในเกราะมนตราอุบาทว์  ยามนี้ได้ยินก็แต่เสียงคำรามครืนๆ ผ่านจิต พี่ชายร่ำร้องว่า 'ไม่ยอม'

"บังอาจ" องครักษ์ศมะตวาดดุร้าย ถลึงตาเอาเรื่อง "ช่างปากกล้าไม่เจียมวาสนา แม่นางเจ้าฟ้ามีใจอารีเช่นนี้สู่ดวงวิญญาณสารเลวเช่นท่านแล้ว แต่ท่านกลับไม่สำนึก ลบหลู่หยาบคายดั่งไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนัก"

"อย่ามาบังอาจสู่เรา" แม่นางแพรหันกลับมาตวาดบ้าง "ท่านมันก็แค่องครักษ์ไร้วาสนาเหมือนกันนี่ ฐานะท่านต่ำต้อยกว่าเราแม่นางแพร ชายาแห่งเจ้าฟ้าจ่าง"

"ท่านโดนปลดแล้ว"

"แต่เราก็เคยเป็น ท่านเล่า ถือศักดิ์และอำนาจอะไรมาตำหนิก่นด่าเรา ท่านต่างหากไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง"

"ไม่จำเป็นต้องทุ่มเถียงกันอีกแล้ว" แม่นางกณิการ์ตัดบท "ท่านศมะ จงเร่งดึงแผ่นยันต์ทองเหลืองจากบานประตูมาให้เรา"

"เจ้าข้า"

แม่นางแพรเบิกตาโพลง ศีรษะของนางยังวางอยู่คนละทิศกับตัวแหว่งวิ่น ยามเห็นองครักษ์ปากกล้าพุ่งปราดไปดึงแผ่นยันต์หนักหน่วงลงจากบานประตูหนา จิตก็ส่ายรวนปนร้อนรุ่ม

ลำพังคำสาปกับโซ่ตรวนก็เหลือกำลังจะดิ้นรนแล้ว แม่นางกณิการ์ยังเหี้ยมเกรียมคิดซ้ำเติมด้วยแผ่นยันต์ที่ลงอาคมศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ

พระครูลาพุชก็คล้ายนึกรู้ว่าแม่นางเจ้าฟ้าต้องปิดฉากเช่นนี้ จึงปลีกตัวไปสั่งองครักษ์นักรบให้นำโซ่เส้นเขื่องมาเตรียมไว้พรักพร้อม แล้วชั่วอึดใจต่อมา

ซาตานวจาก็สิ้นพยศภายใต้วงล้อมของมนตราศักดิ์สิทธิ์ แม้มันไม่เต็มใจ แต่หนึ่งแผ่นยันต์โลหะ หนึ่งโซ่ตรวนคำสาป มีหรือที่มันจะต่อกรเอาชัยได้อีก

"ปิดประตู นับแต่กาลนี้สืบไป พิธีบูชาเจ้าฟ้าจะถูกยกเลิก โถงบูชาเจ้าฟ้าจะถูกปิดตาย บัญชาแห่งเราถือเป็นเด็ดขาด ห้ามทุกคนเข้าออกที่นี่ ใครไม่ฟังบัญชาแห่งเราแม่นางกณิการ์ จะได้รับโทษตายสถานเดียว"

ทุกคนในที่นั้นล้วนร้องรับ 'เจ้าข้า' พร้อมเพรียง องครักษ์นักรบช่วยกันปิดประตู เพื่อให้แม่นางเจ้าฟ้าร่ายอาคมกล้า

หากในภายหน้ามีใครบังอาจฝ่าบัญชามาแตะต้องบานประตูหมายลักลอบเข้าออกตามแต่ใจ มือเท้าจะเน่าเปื่อยเป็นหลักฐานให้แม่นางบัญชาโทษตายตามที่ลั่นวาจา

นับแต่กาลนั้นสืบไป คามดารกะก็ย้อนกลับสู่ความสงบ ความรุ่งเรืองยังแผ่ปกไปทั่วคามอันยิ่งใหญ่ หากแต่ปริศนาแห่งดาวอาสภก็ยังคงล่องลอยเคียงขนานกันไป

ดั่งว่ามันต้องการท้าทายความรอบรู้ของพระครูลาพุชที่ชราลง ขณะเดียวกัน แรงอาฆาตพยาบาทของซาตานวจาก็แก่กล้าและเป็นจริงหลังจากนั้น

ฤดูกาลแปรเปลี่ยนสับสน พายุหนักหน่วงถาโถม ทุ่งเกษตรเริ่มร้างความชอุ่ม มันแห้งแล้งลงจนไม่อาจทำการเพาะปลูกได้ หมู่นกหดหายร่วงลงมาตายเกลื่อน แต่แร้งกากลับบินว่อนเพื่อรอโฉบซากศพทั้งสัตว์และคน

นี่คือความหายนะที่ส่อเค้าล่มสลายของคามดารกะ พระครูลาพุชคร่ำเคร่งหาหนทางแก้ไข

แต่ด้วยแรงพยาบาทแกร่งกล้าของซาตานวจา มีหรือที่ท่านจะคลี่คลายออมชอมได้ หลังจากที่เคี่ยวกรำตนเบื้องหน้ากระดานทำนายชะตาชีวิตนานร่วมปี พระครูผู้รอบรู้ก็พลันพบกับคำตอบที่แสนสะท้านใจ

หากจะมีสักหนทางสักสายหนึ่งที่พอจะคานกระแสอาฆาตของซาตานอมตะไม่ให้แผ่อำนาจทำร้ายทั้งคามดารกะและลุกลามไปยังคามใกล้เคียงได้ มันก็คงมีแต่หนทางสายนี้

แล้วพระครูชราจำใจต้องรายงานความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้ประชาชนและองครักษ์ศมะต้องรับฟังไปอย่างวังเวงในความสิ้นสูญ ใช่แล้ว หนทางสายนั้นก็คือ 'แม่นางกณิการ์ต้องเสียสละ'




ฤดีดิษถ์กะพริบตาเนิบเนือย เธอมองตรงไปยังฝาบ้าน สับสนในใจว่าควรเชื่อเรื่องราวพิลึกพิลั่นที่หมอผาเล่าให้ฟังอย่างยาวนานดีไหม

มันตลกเกินไปหากจะบอกว่าเธอคือแม่นางกณิการ์กลับชาติมาเกิดอีกครั้งโดยที่ดวงวิญญาณของแม่นางก็ตามมาซ่อนอยู่ในร่างใหม่อย่างเหนียวแน่น เพื่ออะไรเล่า รอเวลาที่จะแยกตัวออกมาแผลงอำนาจและบารมีอย่างนั้นหรือ มันน่าเชื่อหรือเปล่าละนี่

"เหลวไหลสิ้นดี" ลายสือโพล่งขึ้น เขาส่ายหน้าตำหนิหมอผาอย่างเปิดเผย "ดิษถ์กำลังบาดเจ็บ แต่คุณอากลับเล่าเรื่องบ้าบอส่งเดช อย่าพยายามยัดเยียดความงมงายที่ตัวเองเชื่อหัวปักหัวปำมาล้างสมองของเราเลย มันไม่สำเร็จหรอก"

"ผมไม่ได้บอกอย่างนั้น แต่ที่เล่าให้ฟัง.. "

"คุณอาจะบอกว่าที่เล่าให้ฟังเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรทำ แล้วดิษถ์ก็คงเบื่อๆ กับสภาพบาดเจ็บของตัวเองหรือ"

โชติชลรำคาญเสียงกระด้างของหนุ่มลายสือเสียจัง เขาฟังไปนวดเฟ้นร่างกายไป แต่ก็ใช้แววตาขุ่นแกมขวางทอดไปตรึงหน้าหล่อของคนพูดแบบคำต่อคำด้วย

"ผมเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้มันทำใจให้เชื่อยาก" เขาช่วยคุณญาติห่างๆ เจรจา "ผมฟังเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะต้องแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ เหมือนโกรธที่อากำลังล้างสมองให้ปฏิวัติรัฐบาลอย่างนั้นเลยนี่"

"หุบปากไปเลย"

"เอ้า พูดแบบนี้ก็สวยสิ" หนุ่มหล่อมาดจอมยุทธ์หยุดนวดปุบปับ "พระเจ้าสร้างปากมาให้พูดนะครับ ไม่ใช่ให้หุบ เอ้อ อันที่จริง ฝ่ายที่ต้องหุบนี่ น่าจะเป็นคุณไม่ใช่หรือ"

"คุณโจ้"

"เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งมาทุ่มเถียงแตกหักกันเลย"

ลุงโภชน์ซึ่งร่วมฟังตำนานที่มีบรรพบุรุษของตนโลดแล่นอยู่ด้วยรีบโบกมือปรามให้ต่างฝ่ายต่างลดทิฐิแข็งกร้าวลง

"เราให้แม่หนูเป็นคนไตร่ตรองแล้วตัดสินใจเองดีไหมว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อ"

"แล้วคุณลุงเชื่อไหมครับ" โชติชลถามขึ้น

"เฮ้อ" พอโดนย้อนถาม แกก็ถอนหายใจ "ถ้าเป็นเรื่องที่พ่อหมอคนนี้เล่ามา ก็สองจิตสองใจล่ะ แต่ถ้าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่เราที่นี่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย เราก็เชื่อของเราอย่างนี้ ส่วนคนนอกจะว่าเรางมงาย เราก็จะไม่ไปต่อล้อต่อเถียงด้วยหรอก"

"นั่นสิ คนนอกก็ดีแต่พูดกับพูด เห็นก็ไม่เห็นกับเขาสักที เอะอะก็รวบรัดตัดความว่าคนอื่นเขายัดเยียด"

"คุณโจ้" ลายสือเคืองจัง ทำไมหนุ่มหล่อคู่ปรับต้องหาเรื่องแขวะด้วยก็ไม่ทราบ

"เอาล่ะ หนุ่มๆ พอเถอะ" ลุงโภชน์ต้องรีบปรามยกสอง ก่อนจะหันไปถามอาการของแม่หนูที่ยังเงียบกริบ "เอ้อ แม่หนูล่ะ ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง ถ้ารู้สึกผิดปกติยังไงก็รีบบอกนะ ลุงจะให้เด็กไปตามหมอ.. "

"ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูไม่เป็นอะไรมาก เอ้อ จะมีใครว่าอะไรไหมถ้าหนูอยากจะขออยู่ตามลำพังสักครู่"

"ผมอยู่ด้วยดีกว่า" ลายสือรีบบอก"

"ไม่เป็นไรค่ะ ดิษถ์อยากอยู่คนเดียวมากกว่า"

โชติชลหัวเราะคิกออกมา เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อแฟนหนุ่มของสาวที่ตนแอบพึงใจเหลียวมาสาดตาขุ่น ทำไมหรือ อยากเอาเรื่องใช่ไหม เขาหัวเราะมันผิดกฎหมายตรงไหนไม่ทราบ ก็คนมันขำ

ผู้หญิงเขาก็บอกออกชัดว่าอยากอยู่ตามลำพัง ยังมีหน้าไปเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อนอีก หน้าตาก็ดี ทำไมไม่ค่อยฉลาด ฤดีดิษถ์ก็เหมือนกัน รักเข้าไปได้ยังไง หนุ่มหล่อสมองอ่อนๆ แบบนั้น

ฤดีดิษถ์ไม่อยากรับรู้การคะคานทางใจเงียบๆ ของสองหนุ่มหรอก เธอถอนใจยาวแล้วหลับตาทันทีที่ทุกคนกลับออกไปแล้ว ตอนนี้ทั่วห้องพักก็มีเพียงเธอนั่งชันเข่ากับใจที่สับสนว้าวุ่น และยังไม่มีคำตอบที่น่าพอใจเลยว่าควรเชื่อเรื่องตำนานทั้งหมดนั้นไหม

แม้บางเหตุการณ์ในนั้นจะพ้องกับภาพที่เคยฝันเห็น อย่างเช่นว่าการตายของแม่นางจงอร ณ ยามเที่ยง องครักษ์นักรบและประชาชนต่างก็มารวมตัวน้อมแม่นางกลับสู่สวรรค์

เธอยังได้เจอกับองครักษ์หุ่นกำยำสง่างามคนนั้น ซึ่งเท่าที่ฟังหมอผาเล่า เขาเป็นคนสำคัญพอดูในยุคนั้นทีเดียว

แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับหัวใจที่มักจะเกิดปฏิกิริยาทุกครั้งที่ได้ยินชื่อเขาใช่ไหม ทำไมมันต้องเต้นรัวดั่งลิงโลด สักพักก็ไหวสั่นดั่งตื้นตัน ตามด้วยเจ็บแปลบๆ ดั่งว่าโดนเข็มแห่งความปีติทิ่มแทง

เขาชื่อศมะใช่ไหม ในยุคนั้นทุกคนเรียกเขาว่าองครักษ์ศมะ พอเวลาผ่านไปสักพัก ทุกคนก็เรียกเขาอย่างยกย่องตามตำแหน่งและศักดิ์ที่สูงขึ้น จากองครักษ์ศมะ ก็เปลี่ยนเป็น 'ท่านศมะ'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 10:10:45




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com