Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
<< บัลลังก์ลูกไม้ ::..[48]>> vote ติดต่อทีมงาน

-สี่สิบแปด-


หลังบานประตูที่เสด็จออก ความมืดโรยล้อมยิ่งกว่าในห้องขัง แขกผู้ถูกลักองค์มาต้องประทับนิ่งอยู่อึดใจ เป็นอึดใจอันเริ่มจากความตระหนก หวาดสะพรั่นในปริศนากลางความมืดนั้น

ทรงวิงวอนร้องขอความช่วยเหลือนับแต่องค์สุริยะเทพผู้เบิกบาน เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณ เจ้าชายทีเบอร์เทียซ เอลินอร์ พระมารดา กระทั่งใครก็ได้ที่อาจบังเอิญผ่านมาพบเข้าตรงนี้ และตอนนี้...

หากแล้วก็ค่อยสงบพระอารมณ์...สงบเพื่อเรียกรวมพระสติ อย่างที่หากเป็นวาระสามัญ อาจต้องทรงประหลาดพระทัยในความสามารถนี้ เนื่องทุกที...ค่าที่ทรงเจริญพระชันษามาด้วยการถูกตามพระทัย ความพยายามพระทัยเย็น กับ...ข่มพระอารมณ์ด้วยพระสติ...จึงแทบไม่มีทางเคยเกิด

แต่นั่นล่ะ...วาระนี้กลับเกิด...

แค่ไม่กี่อึดใจที่ทรงพยายามนิ่งแทบทั้งลมหายพระทัย กลืนวรกายเป็นส่วนหนึ่งในความมืดให้มากที่สุด รายล้อมเบื้องพักตร์...จากดำสนิท เริ่มกลายเป็นเป็นเงา แล้วจึงปรากฏเค้ารางพอตะคุ่ม

น่าจะเป็นห้องเก็บของ...

ห้องอันมีลักษณะเป็นโถงกว้าง แคบลงด้วยแต่ละอย่างที่ถูกสุมพะเนินไว้ไม่เป็นระเบียบ กองใหญ่กองเล็กระกะเต็ม เมื่อทรงลองยื่นนิ้วพระหัตถ์แตะกองสูงเท่าพระอุระเบื้องพักตร์ ผัสสะบอกให้รู้...พวกภาชนะจักสาน คงยังไม่ได้บรรจุกระไร เพราะแค่แตะแผ่วๆ น้ำหนักเบายิ่งเบาส่งให้มันขยับ ผู้แตะแทบพระทัยหยุดค้าง เกรงไปอีกว่าเสียงไม่พึงประสงค์จะเกิด หรือหากพระชาตาร้ายยิ่งไปกว่า...ถ้าทั้งกองนี่หล่นร่วง...

แต่ไม่! ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สายพระเนตรที่กวาดไปทั่วอย่างระแวงระวัง พบว่าไม่น่ามีใครอยู่ในห้องด้วยซ้ำ

ลางที... ‘ห้องขังจำเป็น’ เบื้องปฤษฎางค์ อาจจะคือห้องสำหรับเวรยามพักผ่อน

แปลก...หะนี้...ลักคนมาคุมขัง ไฉนกลับไม่มีใครเฝ้าอยู่?

พระดำริสะดุด ครั้นพระบาทที่เริ่มสาว เตะเอาของที่วางต่ำ...น่าจะไม่ได้ซ้อนกัน เพราะทอดพระเนตรไม่เห็น...คือที่จริงไม่ทรงเห็นใดๆ เลย ในเมื่อเบื้องล่างมืดกว่าข้างบน ซึ่งยังพอเห็นเค้าโครงรางๆ

อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณยังให้พยายามทรงก้มพิศ...ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ จนต้องย่อวรกายหมายคลำแทน

เครื่องจักสานอีกนั่นล่ะ ทว่าอันนี้มีของบรรจุเต็ม...เป็นเมล็ดเล็ก รี ความแห้งทำให้หัวท้ายคมพอจะขีดพระฉวีเจ็บ

จึงทรงสรุปได้...ใครก็ตามที่บริหารของคงคลัง ไม่ได้จัดระเบียบใดๆ เลยซักนิด ทุกอย่างคงเขละๆ รวมกัน ครั้นจะใช้ค่อยเสียเวลาค้น ลากดึงออกมา

ถอนพระทัย...สงสัยต้องค่อยๆ คลาน...

ครั้นเคลื่อนวรกายเข้าใกล้ ‘ของแห้ง’ ที่ถูกใครก็ตามเตรียมไว้ ทรงกระสาถึงกลิ่นละมุนๆ บางประการ น่าจะหอม...หอมแบบที่ทรงนิยามเอาเองว่ากลิ่น ‘บริสุทธิ์’ แต่ก็มิใช่โดยสิ้นเชิง อาจเพราะห้องอับ ไม่น่าจะได้รับการทำความสะอาดเมื่อเร็วๆ นี้ กับทั้งลักษณะสิ่งที่ถูกเก็บไว้ ในห้องจึงอาบไปด้วยฝุ่น ผสานกลิ่นฉุนร่วมด้วย

เมื่อนั้น ต้องทรงใช้หัตถ์ต่างพระเนตร กับระลึกไว้ในคำบอก ‘ผ่านโถงใหญ่สู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อถึงประตู...’ แสดงว่าต้องหาทางดำเนินไปในทิศเบื้องพักตร์ ต้องพยายามไม่ปัดเป๋ไปตามการหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวาง

ความมั่นพระทัยอันค่อยหลั่งคืน เป็นปฏิภาคผกผันกับความระวังองค์ ขณะทรงหมาย...ไปถึงประตูให้เร็วที่สุด พระหัตถ์ที่ลากคลำก็เผลอแตะเข้าสิ่งหนึ่ง

แรกสุด...ลักษณะเป็นกลุ่มขน ยาว หนา ค่อนข้างกระด้าง ต่อเมื่อลากตามต่อไป สุดปลายกลุ่มขนคือ...

ภายใต้คงเป็นลูกกลม ใหญ่ ความแข็งทำให้สิ่งเรียบ ลื่น ค่อนข้างหยุ่น อันหุ้มไว้ สามารถรักษารูปร่างอยู่ได้...

มันคือ...ผมและหน้าผากคน!

ความตระหนกพระทัยชักพระหัตถ์คืน หากการลากผ่านส่วนหน้าผาก กลับคล้ายลากผ่านผิวหน้าโคลน

เปียกลื่น เสมือนเมือก!

ความขยาดแขยงแล่นเข้าจับพระทัย คำตอบกระจ่างแจ้ง

เลือด!

นี่เล่า! คนเฝ้า ‘เหยื่อ’ ที่เมื่อครู่ยังทรงคิดหา ลางที...ผู้ช่วยชีวิตนั่นล่ะ...คงฟาดเอาจนเจ้าตัวฟุบร่วงอยู่ตรงนี้!

และ...ไม่เร็วไปกว่าพระหัตถ์จะผ่านมาได้ แค่ปลายดรรชนีเพิ่งละจากผิวเปื้อนเลือด เจ้าของผิวที่แต่แรกไม่ทันทรงนึกว่า...เป็น...หรือตาย... กลับกระตุกมือสาก หนา คว้าฝ่าพระหัตถ์องค์เองไว้!

ที่ไม่ทรงกรีดสุรเสียง ไม่ใช่เพราะมีพระสติกันได้ จริงแท้คือตกพระทัยเกินกว่าจะเปล่งสุรเสียง เท่าที่เล็ดลอดออกไป คือลมดัง ‘เฮือก!’ จากพระโอษฐ์อ้ากว้าง

ยังเป็นโชคดี ความลื่นของเลือดที่เปื้อนอยู่ ทำให้ผู้คว้าหัตถ์ไม่อาจทำได้สมใจ

และ...ไม่ใช่พระสติอีกเช่นกัน สัญชาตญาณต่างหากลากวรกายกรูดถอย จนชนเช้ากับเครื่องจักสานเปล่าๆ ที่สุมสูงใหญ่

มันร่วงลงใส่ทั้งพระองค์และเจ้าของมือ!

“อะ...อา...อาา...!!!”

คนผู้แทบเอาชีวิตไม่รอด ถึงอย่างไรก็ยังพยายามรักษาหน้าที่ไว้สุดชีวิต ‘ผู้ชาย’ คนนั้นพยายามร้องเรียกคนเข้ามา ถึงจะไม่ดังไปกว่าอาการครางจากลำคอ หากเฉพาะที่ร้างคนและเสียงอื่นใดเช่นในนี้ เสียงนั้นจึงเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เด่นชัดออกมาได้!

ภาชนะกองสูงที่ล้มลง พลอยอนุญาตให้แสงลำน้อยจากรอยแตกตรงฝาผนังฝั่งตรงข้าม พุ่งจับให้ ‘เหยื่อ’ พอทรงเห็น

ต้นกำเนิดเสียงสวบสาบ หมุนคว่ำหน้าแล้วพยายามลากตัวมุ่งเข้ามา ในวงแสงแคบยิ่งแคบ ทั้งยังเต้นเร่าเพราะคงเกิดจากคบไฟ เจ้าหญิงเอลีโอน่าทอดพระเนตรมือมรณะนั้นเป็นลำดับแรก เลื่อนช้าๆ เข้ามาในลักษณะพร้อมคว้าทุกอึดใจ จากนั้นจึงคือลำแขนยาว เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ก่อนจบลงที่ดวงหน้าเปื้อนเลือดเหนือหน้าผาก หากจุดหยุดสายพระเนตรคือตาดำ คมวาม ทั้งอาฆาต ทั้งกระเหี้ยนกระหือรือ

หนาวจนพระโลมาลุกหวือไปทั่วสรรพางค์! พระวรกายร่นถอยตามจังหวะ

และแล้ว สิ่งที่เรียกพระสติขึ้นมาจริงๆ คืออีกเสียง...

หลังบานประตูที่เพิ่งถูกปิดลง เสียงก๊อกแก๊กเริ่มดัง!

คงได้ยินเสียงล้ม และเสียงร้อง ‘เรียกพวก’ เมื่อครู่ ผู้ช่วยชีวิตจึงอาจพอสำเหนียกได้...ภัยกำลังมา!

เจ้าหญิงเอลีโอน่าพุ่งสายพระเนตรไป ทรงจินตนาการได้ถึงภาพเจ้าตัวในชุดขององค์เอง กำลังพยายามงัดแงะช่องเปิดบางช่องเพื่อหาทางหนี!

เหมือนถูกไฟจี้ วรร่างบางกระถดห่างมือมรณะ เริ่มทรงตั้งพระสติ หันกลับ คลานเปะปะโดยอาศัยจุดแสงเล็กเท่าธุลีบนผนังฝั่งตรงข้ามต่างเข็มทิศ

ความหาญค่อยหวนมา...

หาญ...ใช่เฉพาะการหนีเอาองค์เองรอด หากหาญยิ่งไปกว่า...คือทรงกล้าแหงนรับความจริง...

จากเรื่องที่ถูกเล่า...โมลาสโม่อันเคยสงบสุขอาจมีเชื้อร้าย ทว่าเจ้าของพัดที่กระพือให้เชื้อนั้นลามใหญ่คือใครเล่า!

ต้นไม้จากคนนอก...พืชพันธุ์ประหลาด มีฤทธิ์ร้ายกาจลับเร้น


‘คนบนที่สูง ไม่มีใครไม่เคยถูกคนข้างล่างพยายามโค่น!’

เจ้าหญิงวีเลมิน่า...พระมารดาแห่งองค์เอง!

ทูลกระหม่อมแม่...นี่คงคือเหตุ...ทรงเพาะเชื้อไว้จนไม่อาจกลบฝัง ช่างไม่ต่างจากปัญหาดินเค็มและน้ำเสีย ทูลกระหม่อมแม่น่าจะทรงคิด...การเปิดเขื่อนแค่ข้อเดียว...ปัญหาเรื้อรังทั้งหมดที่ทรงสร้าง จะถูกลบล้างราบสิ้น!

นี่คือ...น้ำ...

ดวงหทัยพระธิดากวัดแกว่ง แล้วกับ...ไฟ...?

ใช่! ถึงเพียงนี้แล้ว ฤาจะเป็นไปมิได้...ค่ายที่ถูกเผายับ ย่อมด้วยฝีหัตถ์พระชนนี!

เข็มพิษทิ่มตำพระกมลจนแปลบปลาบ

แต่แปลก...เจ็บครั้งนี้กลับมิเท่าคราวแรกๆ

อัสสุชลมิได้เอ่อออกมาด้วยซ้ำ!

ลางที...จะทรงเจ็บจนชา ถูกพระมารดา...ทำร้ายพระทัย...จนชิน กระทั่งน้ำพระเนตรก็ถูกขับจนแห้งเหือดไม่มีจะไหล

ความรู้สึกที่รื้นลามแทนที่ในหทัย กลับคือโทสะ

โทสะที่หาใช่...โกรธ...เพื่อองค์เอง

คำและภาพลวงแห่งพระมารดา ปลูกฝังเจ้าหญิงเอลีโอน่าดีเกินไป ขัตติยะมานะ กับทั้งหน้าที่แห่งความเป็น ‘เจ้า’ ที่ทรงแบกทูนไว้...บัดนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าความรู้สึกแค่ปัจเจก

กับลูกเอง...ไม่เท่าไหร่...

แต่...ไม่ว่าทูลกระหม่อมแม่จะทรงทราบ...จะทรงยอม ‘รับรู้’ หรือไม่...พิษร้ายที่ทรงหยอดเหยาะไว้เพื่อเป้าหมายเดียว ขณะนี้ซึมแผ่ ทำร้าย ทำลายคนอะแลมเบิร์กนับไม่ถ้วน!

นี่ล่ะที่...ยอมไม่ได้!

ภาพของผู้ช่วยชีวิตยังตรึงติดในกมล ยังวาทะชวนระคาย...ละอาย...นั่นอีก...

ผู้หญิงคนนั้น...ลูกสาวของผู้ปกครองระดับ ‘เล็ก’ เพียงเท่านั้น ยอมเสี่ยงตาย ยอมใจกว้าง ทั้งละซึ่งทระนงอันเป็นเกียรติยศสำคัญ เพื่อแลก และขอรับความช่วยเหลือจาก ‘คนนอก’

‘คนนอก’ ผู้มิใช่อยู่ชายคาแห่งอาณาจักรเดียวกันด้วยซ้ำ!

‘เพราะเราคือโมลาสโม่! โมลาสโม่ที่มีค่าด้อยกว่าอะแลมเบิร์ก! และที่น่าหัวร่อคือ...พวกเจ้าแผ่นดินอะแลมเบิร์กกลับเห็นว่าคนของพวกเขา มีค่าน้อยกว่าชาวต่างชาติเช่นกัน! เจ้า... ‘คนต่างชาติ’ จึงคือความหวังเดียวของพวกเรา จงไป! ไป้!’

หากแม้นผู้ปกครองมิได้ ‘ทำ’ เพื่อคนของเขา...

คน...ที่ออกแรง ‘แบก’ เขาสูงขึ้น

ผู้ปกครองนั้น...ฤาสมควรมีอำนาจเหนือคนทั้งปวงอีกต่อไป!


การเสียสละของเธอคนนั้นต้องไม่เสียเปล่า เอลีโอน่าผู้เขลาดับชีพไปแล้วจากโลกนี้

ต่อไป จะทรงทำทุกอย่าง รั้งลมหายพระทัยเพื่อชาวอะแลมเบิร์ก!

ในที่สุด พระหัตถ์แตะฝาผนัง ค่อยคลำพบมือจับของบานประตู...

ไม่ได้ลงสลัก แค่ดึงเบาๆ ก็แง้มง่าย...

แสงไฟภายนอกไม่สว่างนัก หากยังทำให้พระทรรศนะชั้นปฐมมัวพร่า

ทางเดินหน้าห้องที่จริงไม่ถึงกับแคบ ความ ‘ดูแคบ’ เกิดจากลักษณะทอดยาวไประหว่างผนังปิดทึบตลอด บานประตูเรียงห่างกันเป็นระยะ สังเกตจากคบไฟที่ปักอยู่ในช่องข้างแต่ละบานเพื่อให้ความสว่าง

ในเสียงเปลวปะทุเหนือคบ ไม่จำเป็นต้องเงี่ยพระกรรณก็ทรงสามารถสดับคำตวาด อันตามมาด้วยเสียงดัง ‘ผลัวะ!’ และการร้องไห้อย่างกลัวลานของเด็กได้ดี

การชี้นำบ่งยังทิศเบื้องซ้าย ทว่าต้นกำเนิดเสียงห่างไปทางขวา...แค่ไม่ไกล...เพียงยื่นพักตร์ชะเง้อก็ทรงสังเกตได้ว่าประตูเปิดแง้มๆ อยู่

...คนเข้าไปคงผลักปิดไม่สนิท...

ความใคร่รู้มีมากกว่าความกลัว ทรงให้เหตุผลแก่องค์เองว่า ไหนๆ ก็มาถึงนี่ การได้รู้เบื้องลึกที่แท้ ย่อมเป็นเรื่องดี

ใช่...นานเท่าไหร่ที่ถูกปิดบังพระเนตรพระกรรณไว้ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในพระชนนี...

ดำริได้ดังนั้น เจ้าหญิงเอลีโอน่าทรงฝ่าฝืนคำเตือน จรดปลายบาทสู่ช่องเปิดเล็กๆ จ่อพระนัยนาประทับส่อง

ข้างในห้องเป็นโถงกว้างอย่างที่เพิ่งทรงจากมา ทว่าในห้องนี้มีข้าวของน้อยกว่า ส่วนมากได้แก่เศษไม้เกลื่อนกลาดอันเป็นวัสดุสำหรับจักสาน กองรกบนพื้น ร่างของหญิงสาวและเด็กที่ ‘ถูกนำตัวมาขังไว้’ นั่งกระจายคล้ายเศษเครื่องมือชิ้นหนึ่งเช่นกัน...เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้งานหนักจนชำรุด พิกลพิการทางจิตวิญญาณอย่างสัมผัสได้ชัดโดยความอึดอัด เศร้าหมอง หมดอาลัย อันเลื่อนไหลอยู่ในบรรยากาศอับๆ ทั้งอัดแอ

“บอกให้ทำงาน...ทำต่อไป!”

ที่กลางห้อง ผู้ชายวัยฉกรรจ์ ร่างใหญ่ ยืนกร่าง จิ้มนิ้วกระแทกใส่หน้าผากจนร่างน้อยนั้นหงายหลัง

“ไม่อยากเจ็บตัวเหมือนเพื่อนของแก ก็อย่าทำเป็นสำออย!”

“แต่เด็กมันหิว ตั้งแต่เมื่อสายก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีก!”

เสียงหนึ่งแหลมจากอีกมุมห้อง เป็นเสียงของหญิงสาวดูผอมโซแม้มองจากระยะไกล เจ้าตัวอยู่ในอาภรณ์เก่าโทรมเหมือนไม่ได้รับการทำความสะอาดมานาน เช่นเดียวกับ ‘ผู้ถูกคุม’ อื่นๆ ภายในห้อง ต่างจากชุดที่องค์เองถูกเปลี่ยนมาทรงอยู่ ไม่ใหม่ แต่ก็ไม่ถึงกับดูสกปรก

“ใครให้แกออกความเห็น!” ผู้คุมชายอีกรายในรัศมีไม่ไกล ตรงเข้าไปฟาดด้วยหลังมือหนึ่งที กำลังจะซ้ำก็ถูกผู้คุมรายแรก ซึ่งดูจะมีอำนาจเหนือกว่า ร้องห้าม

“อย่า!” คนค้านก้าวเข้าหาหญิงสาวโชคร้ายคล้ายย่างสามขุม

“อย่าให้ช้ำนัก...มันเป็นของข้า!”

จบประโยคด้วยเสียงหัวเราะหื่นกระหาย เจ้าของเสียงใช้มือหยาบบีบแก้มสตรีดังกล่าวแหงนเข้าใกล้ คนถูกบีบร้องโวย มือปัดป่าย มีเด็กสองคนโถมมาช่วยแต่ไม่เป็นผล

“เฮ่ย! ไม่ใช่เรื่อง!” คนคุมอีกคนชี้หน้าสั่ง ปล่อยให้ ‘เพื่อน’ สนุกกับเหยื่อในมือได้สบาย

“ปล่อยข้านะ! ไอ้ระยาม!”

ในที่สุด ก่อนใบหน้าเกลื่อนเคราหนา จะใช้ลิ้นชุ่มแดงบดขยี้ริมฝีปากที่ถูกบีบห่อ หญิงสาวทำอะไรบางอย่าง...จิก กัด หรือใดๆ ที่ทำให้คนเหนือหัวร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

มันใช้มืออีกข้างยันศีรษะเจ้าหล่อนลงไปกองกับพื้น สะบัดมือข้างที่ใช้บีบแต่แรกเร่าๆ

“อีแป้งเน่า!”

ไม่สบถเปล่า มันเหยียดมือคว้าได้ผ้าโพกศีรษะ เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวถลาหนี ผ้าจึงลอยติดมือ เหลือแต่ผมดำหลุดลุ่ยหล่นสยาย

กว่าผู้ลอบสังเกตการณ์จะทันสำหนียกว่าเจ้าของร่างนั้น กำลังมุ่งตรงมายังทางออกเดียวซึ่งทรงประทับอยู่ เจ้าตัวก็ถูกกระชากเส้นผมจนหน้าหงาย ทว่าแทนการดิ้นทุราย เล็บยาวสะบัดกรีดเข้าเกือบตรงลูกตาผู้จับกุม!

อีกครั้งที่มันร้องลั่น ตามด้วยประกาศย้ำแห่งความเป็นลูกผู้ชาย

“ไอ้พวกเวนตะไล! ช่วยกันจับมันซีวะ!”

เท่านั้นผู้ชายตัวหนาใหญ่สามคนก็มะรุมมะตุ้มที่หญิงเดียว ผู้ถูกคุมรายอื่นๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากขดตัวถอยหนี ผู้ใหญ่รายที่สติดีหน่อย คว้าเด็กใกล้ๆ ตัวมากอดไว้ ปิดตาไม่ให้เห็น กระนั้นบางรายที่ยังเล็กนักก็ถึงกับร้องไห้จ้า

ไม่มีเวลาให้พวกเศษสวะหันไปตวาดด้วยความหนวกหูขัดใจ ผู้คุมสามรายยึดได้ทั้งแขนและขาของสาวเจ้า ที่คงดิ้นพราดในท่าคลานคว่ำ พยายามแหงนหน้า สายตาจ้องตรงมามั่นหมาย

เจ้าหญิงเอลีโอน่าต้องทรงปิดริมโอษฐ์กันสุรเสียงตกพระทัย ครั้นผู้ชายคนหนึ่งจัดการโดยยกเท้าสวมบูตหนา กระทืบลงบนสะโพกกลมกลึงนั้น

“โอ๊ย...!”

“ถ่างขามัน!”

ผู้มีอำนาจสูงสุดในกลุ่มเพิ่งหายเจ็บมือ ออกคำสั่งก้าวเข้าหา มีไม้กระบองกลมยาวเท่าช่วงศอกติดมาด้วย

และแล้ว ที่ทรงจินตนาการว่า...ฟาด...ยังนับเป็นการประเมินความต่ำทรามน้อยเกินไป!

“ไอ้พวกสา-ระ-เลว! ไอ้ระยาม! ไอ้...!!!”

คำสุดท้ายหายไปในเสียงลมหายใจดังเฮือก! ตามมาด้วยการกรีดแหลมอย่างเจ็บปวด และทรมานถึงขีดสุด

ความรู้สึกปลาบลึกถึงแก่นกลางวรกาย บอกให้ทรงตระหนักว่าไม่ใช่สุบินร้ายในคืนหนึ่ง...คืนที่คงไม่เคยเกิดขึ้น หรือต่อให้นับแต่นี้ ผิว่ามีเรื่องร้ายแรงใด ชีวิตบนถนนแห่งเกียรติยศและศักติ...ถนนที่ถึงจะมีเศษหนามปนมา ทว่ากลีบกุหลาบโรยทาง ย่อมยังคงนุ่มหนามิแผกพรมอยู่เสมอ

อนิจจา ที่เคยดำริว่า ทวยเทวาช่างโหดร้าย สร้างให้องค์เองต้องเป็นองค์เอง ต้องแบกรับราชภาระหนักหนา อยู่ท่ามกลางการลวงหลอก หาความรักแท้ฤาจริงพระทัยได้ยากกระทั่งในพระมารดา ที่จริง...หากจะเทียบ...มันก็เป็นแค่ฝันร้าย...เปรียบได้แค่ฝัน...

เบื้องพระพักตร์ นี่ต่างหาก...ชีวิตจริง!

คนแต่ละคนหาทางรอด เอาเปรียบกันมิใช่แค่สมอง...แต่กำลัง!

ที่น่าเจ็บใจคือ...คน...อ่อนแอกว่าก็จริง...แต่ด้วยจำนวนน่าจะสามารถขัดขวางได้ หากกลับไม่มีใครกล้า

ใคร...ที่หมายกระทั่งผู้เคยหาญและผยองยิ่งเยี่ยงองค์เอง!

วินาทีนั้น อัสสุชลที่ทรงคิดว่าแห้งสิ้นกลับเอ่อออก หัตถ์ข้างที่ทรงใช้ยึดบานประตู ถึงกับกระตุกกลายเป็นผลักกว้างอีกนิด

“หยู๊ดดด...!!!” เสียงกรีดคงสะท้านก้อง บางช่วงขัดหายตามจังหวะกระแทกกระทั้น ดวงตาของเหยื่อโปนถลน น้ำตากลบแทบกลายเป็นสายเลือด

อย่างไรก็ดี ความมุ่งมาดแต่ต้นที่พุ่งตรงมา กลับเปลี่ยนเป็นวี่แววอาฆาตมาดร้าย ครั้นได้เห็นผู้ประทับอยู่หว่างบานเปิด

“พวกแกมันชัวช้า! แกอีกคน! อีคนทรยศ! แน่จริงก็เข้ามาช่วยพวกมันฉีกร่างข้าเสียเลยสิ อีคนทรยศ ไอ้พวกเด-น-นรก!”

ชั่งน้ำหนักไม่ได้ระหว่างความกังขาและตระหนกกลัว เจ้าหญิงเอลีโอน่ารีบหับบานประตู เข้าข้างองค์เองว่าพวกเดนมนุษย์ที่หันตามมา จะเห็นแค่ชายผ้า และไม่ทันสังเกตว่าผู้ด้อมมองเป็นใคร...

ไม่มีเวลามากพอให้ทรงตอบได้...ก็แล้วทำไม...ถ้ามันเห็นเป็น ‘ผู้ช่วยชีวิต’ องค์เองจึงจะปลอดภัย?

กำลังจะทรงเลี้ยวฝั่งซ้าย เสียงข้างหลังกลับดังขึ้น

“โอวี!”

ต่อเมื่อยังทรงสาวพระบาทยาวถี่ เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก

“โอวีจะไปไหน?! ท่านเจราดเรียกหาให้ตามตัวนังคนต่างชาตินั่นไปพบ!”

ประโยคนั้น...คำตอบของการณ์ทั้งหมด!

ผู้ช่วยชีวิต...โอวี...คนของเจราด?! มันยังไงแน่?!

คำตอบมาถึงง่ายกว่าใครคาด วินาทีที่ตัดสินพระทัย...หยุดไม่ได้! วิ่ง! วรร่างปะทะเข้ากับผู้โผล่จากช่องแยกออกมายืนจังก้า

“จับตัวมันไว้ นังคนต่างชาติหนีออกมา มันปลอมตัวเป็นข้า!”

. . . . . . . . .

 
 

จากคุณ : งี่เง่าบอย
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 09:26:42




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com