Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ปฐพีนี้...อาลัย ตอนที่ 7 vote ติดต่อทีมงาน

http://www. http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12851016.html

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12889091/W12889091.html

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12912869/W12912869.html

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12959620/W12959620.html

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13019142/W13019142.html

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13058336/W13058336.html

 

 

          “อุ่นเรือนเข้าใจค่ะ... พี่รำไพบอกว่าพี่กล้าจะมีเรือนแต่ติดที่อุ่นเรือน”

          สำหรับอุ่นเรือนตอนนี้ไม่อยากแม้กระทั่งจะทนอยู่สู้หน้าคร้ามนั้นแม้อีกสักอึดใจ น้ำตากำลังจะร่วงหล่นมาเต็มที่

          “แม่หญิงสไบนั้นงามนักหนานะคะ อุ่นเรือนก็ว่างามเหมาะสมกับพี่กล้าเหลือเกิน ดีเหมือนกัน...เรือนคุณย่าจะได้มีคนมาดูแลเสียที นี่ถ้าอุ่นเรือนทราบมาก่อน ว่า...พี่กล้าอยากให้อุ่นเรือนออกเรือนกับ...หลวงเทศาหรือกับใครเพื่อที่พี่กล้าจะได้หมดภาระที่เคยสัญญากับคุณย่าแล้วล่ะก็ จะไม่รอให้ถึงวันนี้! เอาเถอะ...นับแต่นี้ อุ่นเรือนจะทำตามที่พี่กล้าประสงค์ทุกอย่าง!”

          คงอีกไม่นาน บ้านคุณย่านั้นจะมีคนมาดูแลแทนไม่ต้องพึ่งอุ่นเรือน เถอะ...ถึงตอนนั้นเมื่อไร ...จะไปตามทาง!

 

ตอนที่ 7

 

         หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อุ่นเรือนหลบเลี่ยงที่จะพบหลวงภักดีอย่างจริงจัง มีบ้างที่เห็นเรือไวไวมาจากหัวคุ้ง หญิงสาวก็ลี้หลีกโดยการหลบไปทางอื่นเสีย หากทราบว่าจะหลวงเทศาแวะมาทางผู้ใหญ่ อุ่นเรือนก็หาทางไปที่อื่นเช่นกัน ที่พบกันตรงๆ ไม่บ่อยครั้งนัก สนทนาด้วยอย่างคนรู้จักกัน

          หลวงเทศาคงพอทราบว่าอุ่นเรือนไม่ปรารถนามีไมตรีพิเศษนอกเหนือไปจากคนรู้จัก ถึงแม้จะเห็นจะจริงอย่างที่คนอื่นว่าเรื่องเป็นคนดี อีกทั้งสุภาพ แต่นั่นไม่ได้ทำให้อุ่นเรือนหวั่นไหวเอียงอายเมื่อพบกัน ส่วนเรื่องที่เรือนคุณย่าก็เป็นห่วง แต่ทำใจแล้วว่าไม่นานจะมีคนดูแลอยู่แล้ว อีกอย่างตอนนี้เจ้าของบ้านมาอยู่แล้วพอเบาใจได้

 

 **************

            ที่เรือนยาของคุณหญิงมาลัย ดูเงียบเหงานักเพราะไม่มีคนมานั่งคอยจัดยาให้คนที่มาขอ ชายหนุ่มร่างสูงยืนกอดอกทอดตามองไปข้างหน้าสีหน้ากลัดกลุ้ม

          หลวงภักดีนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายวันแล้ว นึกหาเรื่องให้บ่าวไปชวนคนตัวเล็กมาก็ไม่ยอมมา ทำเพิกเฉยเสียราวกับไม่ห่วงบ้านทางนี้เสียอย่างนั้น... 

          แจ้งอยู่แก่ใจทีเดียวว่าการกระทำของเจ้าตัวหมายความว่าเช่นไร?  และเขาเองไม่มีข้อแก้ตัวเสียด้วยเพราะเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการอย่างที่ถูกกล่าวหาจริงๆ หลวงเทศาเพื่อนสนิทก็ถือโอกาสไปบ้านเจ้าคุณธรรมการแล้ว บางครั้งก็ต้องไปด้วยอย่างจนปัญญาที่จะปฏิเสธเพราะถูกขอร้องพึ่งพาเป็นพ่อสื่อไปเสียแล้ว ไปให้ถูกแม่คนน่าเอ็นดูของคุณย่าเมินมองเสียให้เจ็บใจเล่น

          ความรู้สึกนี้ เขาสัมผัสได้ชัดเจนไปถึงหัวใจทีเดียว

          รู้ใจกันดีอยู่ตั้งแต่คราวที่เป็นพ่อมอญน้อยหนีออกจากบ้าน เขาเองก็ร้อนใจเกรงว่าอุ่นเรือนจะคิดการแบบนั้นอีก แต่ไปหากี่ครั้ง...ถ้าไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย เจ้าตัวก็ไม่อยู่เสียตลอด เลยไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน

          นึกๆ ดู ถ้าเป็นอย่างเมื่อก่อน หลวงภักดีคงต้องใช้วิธี ‘สั่ง’จะได้รู้เรื่องกัน แต่ก็ประจักษ์ว่าไม่ใช่เด็กที่เพิ่งขึ้นสาว หาก... เป็นสาวเต็มตัว ผิดทางไปจะเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อย่างนั้นเมื่อวันงานแต่งแม่หญิงพวงแข พวกเพื่อนหนุ่มๆ คงไม่มองตามตาปรอย ทุกอย่างอยู่ในสายตาหมด

          หรือ..บางที ช่วงที่เขาไม่อยู่ แม่คนโปรดของคุณย่า อาจมีคนในใจอยู่แล้ว เฮ้อ...แล้วจะถามใครเล่า? แม่เจ้าประคุณชอบเก็บงำอะไรในใจอยู่คนเดียว อีกอย่างขืนใครรู้เรื่องก็เกรงจะเอิกเกริก ชายหนุ่มผุดลุกผุดนั่งมาหลายเวลา หากไม่เพราะมีลูกน้องคนสนิทเข้ามาหาคงต้องเป็นอย่างนี้ทั้งวัน    
          “ท่านเจ้าพระยาสั่งให้กระผมเอาใบบอกจากหัวเมืองมาให้คุณหลวงขอรับ”  
          ใบบอกจากเจ้าพระยาไกรเดชที่ส่งมาให้ ทำให้เลือดในกายเย็นเยียบ! ต้องหยุดเรื่องที่คิดและกังวล เพราะเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดได้ปรากฏแน่ชัด ถึงเวลาแล้ว...

 

**************** 

          ทันทีที่ก้าวขึ้นจากเรือ หลวงภักดีกวาดตามองไปโดยรอบ เมื่อครู่ตอนที่เรือพ้นหัวคุ้งเห็นสไบสีเปลือกมังคุดปลิวไหวอยู่ไวไว พอมาถึงกลับมองไม่เห็นเสียนี่  วันก่อนบอกว่าไหว้พระกับเพื่อนสาวๆ อีกทีก็เข้าวังไปกับแม่หญิงรำไพ แล้ววันนี้จะหนีอย่างไร?

          “ไปล่ แม่หญิงอุ่นเรือนอยู่หรือไม่?”            

          เขาถามบ่าวที่ลงมาต้อนรับที่หน้าเรือน

          “อยู่เจ้าค่ะ เห็นเดินอยู่แถวนี้เมื่อครู่”

          นั่นสิจำได้ว่าตาไม่น่าฝาด แต่ที่ปลิวหายไปคงเพราะเห็นเรือมากระมัง? รู้อย่างนี้มาทางถนนเสียคงได้รู้กัน หลีกลี้อยู่อย่างนี้  เป็นความกังวลที่แม้กระทั่งตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

          ชายหนุ่มจำใจเดินขึ้นเรือนไปกราบเจ้าคุณธรรมการ โชคดีที่คุณหญิงสร้อยศรีไปเยี่ยมเรือนแม่หญิงรำไพ

          “ข่าวมาแน่ชัดแล้วขอรับคุณลุง พม่าบุกมาสองทาง นำโดยแม่ทัพ 2 คน เนเมียวสีหบดี มาทางเหนือกับมังมหานรธาซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกมาทางมะริด ทวาย กระผมเพิ่งไปอาสาไปรบกับทัพพระยาพิพัฒน์โกษาสกัดที่ข้างหน้าก่อน เพราะจะให้นิ่งรอดูทัพข้าศึกมาถึงกรุงไม่ได้ขอรับ”

          “พ่อกล้าเกรงว่าหัวเมืองจะต้านไม่อยู่รึ?”

          ผู้สูงวัยกว่ามีสีหน้าวิตกไม่แพ้กันเมื่อทราบข่าวที่หลานชายมาบอก

          “กระผมเองยังไม่แน่ใจเรื่องแผนการศึก มาคราวนี้ เห็นทีจะไม่ใช้แบบเดิม คงกะการณ์มาอย่างดีไม่ล่าถอยไปง่ายเหมือนคราวที่แล้ว”        

          “นี่พ่อกล้าจะออกไปรบอีกแล้ว? ลุงเป็นห่วงเสียจริง”

          “ขอรับ...ออกจากบ้านท่านเจ้าพระยา ไปหาครูดาบแล้วก็เลยมาขอความกรุณาคุณลุงคุณป้าเหมือนที่ผ่านๆมาขอรับ คนที่บ้านยังไม่ทราบ เห็นทีกลับไปบอกคราวนี้นี่ก็จะไม่บอกมากให้แตกตื่น”

          ท่านเจ้าคุณรับคำ  ให้บ่าวไปตามตัวแม่หญิงอุ่นเรือน

          “ตอนนี้มีแต่อุ่นเรือนเท่านั้น ที่คุ้นเคยกับบ้านของเจ้าที่สุดแล้ว ส่วนรำไพอยู่บ้าน ไปวัง ปรนนิบัติสามี แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว ให้แม่อุ่นเรือนไปดูแลเถอะ บ่าวทางนั้นมันก็เชื่อฟังดีทุกอย่าง ว่าแต่พ่อกล้า หลวงเทศานะ...”

          ท่านผู้ใหญ่เอ่ยชื่อเพื่อนของเขาออกมา ฝ่ายนั้นเข้ามาทางผู้ใหญ่ เขาเองยังให้การรับรองเพื่อนว่าไม่มีด่างพร้อย

          “ท่าทางรายนี้จะจริงจังอีกแล้ว ลุงล่ะเบื่อมัน ใครมาขอก็ไม่เอา จนคนเขาลือกันไปหมดแล้ว ว่าหลานลุงมันตั้งใจจะเป็นสาวเทื้อ  เจ้าว่าน้องมันจะว่าอย่างไร? เพราะเจ้าเองก็มารับรองให้อยู่”

          หลวงภักดีไม่ทราบจะเอ่ยอย่างไร? ในเมื่อจะเจอะเจอหน้าอุ่นเรือนยังไม่ยอม   ท่านผู้ใหญ่คงดูไม่ออก เพราะเจ้าตัวทำได้แนบเนียนนัก ไม่ทราบว่าเรียนรู้มาจากใคร?      
          “เรื่องนี้กระผม...ว่าสุดแต่ใจเจ้าตัวเถอะขอรับ อีกอย่างคุณย่าท่านสั่งเอาไว้หนักแน่นให้ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่”

          ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้าซ่อนสายตาเสีย ต้องระมัดระวังไปหมด ขนาดยังไม่ทันพูดอะไรแค่รับรองว่าหลวงเทศาเป็นคนดีเท่านั้น ยังถูกเกลียด ถูกโกรธเสียใหญ่โต จะหาโอกาสจับมานั่งคุยกันเหมือนคราวก่อนก็หาไม่ได้เอาเสียเลย

          บ่าวที่ให้ลงไปตามอุ่นเรือนกลับมาบอกว่าหาไม่เจอ ไม่ทราบไปอยู่ที่ไหน

          “ถ้าอย่างนั้น กระผมจะขอลาคุณลุงไปก่อนขอรับ อาจจะลองเดินหาเองสักครู่”

          ชายหนุ่มลาผู้สูงวัยแล้วลงมาข้างล่าง บ่าวไพร่แต่ละคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป ดูเหมือนว่าอุ่นเรือนคงเริ่มสะสมเสบียงอาหารแล้ว ร่างสูงเพรียวเดินไปตามทางสวนหลังบ้านที่หญิงสาวชอบไปนั่งร้อยมาลัย ขันน้ำ เข็มถูกวางอยู่บนแคร่เหมือนรีบร้อน ถ้าเป็นเวลาอื่นคงเห็นขัน หากยามนี้ร้อนใจเหลือแสน

          โกรธอะไรนักหนานะ! ยังไม่ทันฟังความเลยมาขับไล่ไสส่งกันเสียแล้ว นี่เลยได้ไปจริงๆ

          หลวงภักดีเดินวนอยู่หลายเที่ยวจนท้อใจ กลับมายืนมองมาลัยที่ร้อยเสร็จแล้วอยู่พวงหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ เจ้าของทิ้งเอาไว้เพราะไม่อยากเจอะเจอ ชายหนุ่มหยิบขึ้นมา เอาล่ะ...หยิบฉวยอย่างนี้ไม่ใช่สมบัติผู้ดีก็จริง แต่จะทำอย่างไรได้ เจ้าของหายไปเสียแล้ว ต้องกลับไปสั่งความคนทางบ้านอีก 

          หลวงภักดีตัดใจเดินหันหลังกลับไปลงเรือ ในเมื่อมีหน้าที่ใหญ่หลวงรออยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป หากไม่ตายเสียก่อนคงได้กลับมาเจอกันอีก บ่าวหญิงชายที่เดินผ่านเห็นชัดว่าหลวงภักดีเดินหน้าเคร่งกลับไป

          เรือลับไปจนเลยคุ้งน้ำแล้ว อุ่นเรือนถึงค่อยขยับกายออกมาจากพุ่มเข็มขาว อดใจหายไม่ได้ รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า? ในเมื่อเห็นว่าเป็นภาระ ทางที่ดีอย่าเจอให้กังวลเลยดีกว่า

          อีกอย่างเขาเห็นจะหัวเราะเยาะเพราะอุ่นเรือนหน้าไม่ค่อยแช่มชื่นเท่าไร กว่าจะหลับตา กว่าจะคลายสะอื้นแต่ละวันนั้นทรมานเหลือเกิน ที่เมื่อครู่บ่าวให้มาตามยังให้ปดไปว่าหาไม่เจอ  แต่ใจไม่สบาย

          หญิงสาวเก็บดอกมะลิที่วางทิ้งเอาไว้ตอนหลบซ่อน เห็นมาลัยที่เพิ่งร้อยเสร็จหายไปพอแวะถามบ่าวถึงทราบว่าหลวงภักดีฉวยเอาไปเสียแล้ว ร่างบางๆ นึกได้ว่าที่บ้านโน้นไม่มีคนคอยใส่ใจพระเจ้าที่อยู่บนเรือน เอาเถอะถ้าไม่มีใครทำให้จริงๆ แล้วจะร้อยส่งไปให้ หรือไม่จะสั่งบ่าวให้ทำให้ประจำ จนกว่า...แม่สไบจะไปอยู่เรือน

          “อุ่นเรือนเจ้าหายไปไหน? รู้ไหมว่าพี่กล้ามา ลุงให้บ่าวไปตาม มันว่าหาเจ้าไม่เจอ”

          คุณลุงท่านเรียกมาก่อนทันทีที่เห็นหน้า

          “ค่ะ เมื่อครู่บ่าวมาบอกแล้ว อุ่นเรือนไปร้อยมาลัยข้างหลังบ้าน คนไปตามคงไม่เห็น”

          ร่างบางๆ ก้มหน้าเสีย ไม่ได้ปดสักนิด

          “พี่กล้าของเจ้าเขาอาสาไปทัพเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ต้องไป เห็นว่าเป็นห่วงบ้านเมืองอยากไปช่วยทางโน้น ถ้าว่างเจ้าไปดูบ้านให้พี่เขาด้วย”

          น้ำเสียงของเจ้าคุณธรรมการเต็มไปด้วยความวิตกกังวล 

          อุ่นเรือนมือไม้อ่อนแทบปล่อยของในมือหลุดตกพื้น

          “แล้วพี่กล้าจะมาอีกไหมคะ?”
          “เห็นจะไม่ เขาว่าจะไปคืนนี้ เร่งด่วน”

          เจ้าคุณลุงตอบอย่างเป็นกังวล ไม่ได้ทันนึกว่าหลานสาวนั่งหน้าซีดอยู่บนพื้น 
          อุ่นเรือนเห็นว่าท่านผู้ใหญ่ไม่มีอะไรสั่งอีกจึงค่อยแอบกลับเข้าห้อง จู่ๆ น้ำตาก็ไหลพรูขึ้นมาอีก

          ทุกทีเพราะน้อยใจ แต่คราวนี้เพราะเป็นห่วง โธ่!...พี่กล้า  เขาว่ากันว่าพวกพม่าโหดร้ายนัก ผ่านที่ตรงไหนทำลายไม่เหลือสิ้น ข่าวการศึกมาถึงเมืองหลวงทีไรก็มีแต่ความสูญเสีย อย่างที่พี่กล้าเคยบอก ทหารส่วนน้อยเท่านั้นที่หาญกล้า และกว่าครึ่งที่กรุงศรีอยุธยาสูญเสียไปแล้วอีก... ไหนว่ายังมาไม่ถึงอย่างไรเล่า? แล้วพี่กล้าไปปัจจุบันทันด่วนอย่างนี้ แม่หญิงสไบจะรู้สึกเช่นไร? แล้วที่ทางบ้านโน้น

          คิดคิดแล้วอุ่นเรือนก็หันมาโทษตัวเอง ไม่น่าใช่ความขุ่นข้องส่วนตัวมาทำให้เสียการ อย่างน้อยก็น่าจะอยู่รอพบหน้า...เผื่อว่าพี่กล้ามีสิ่งใดสั่ง ได้แต่นั่งโทษตัวเองเป็นบ้าอยู่คนเดียว

 

          รุ่งขึ้นอุ่นเรือนไม่รีรอ ไหว้วานบ่าวให้ไปส่งบ้านคุณหญิงมาลัย ในเมื่อเจ้าของไม่อยู่อย่างนี้ ไม่มีคนดูแล บ้านจะเป็นเช่นไร?

          ตอนแรกก็คิดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่าเขาอาจไปไหว้วานให้คนอื่นมาช่วยดูแลบ้าน หากเมื่อนึกถึงคุณย่าแล้ว... อุ่นเรือนก็อยากไปกราบไว้ท่านให้ช่วยปกปักรักษาชายหนุ่มให้พ้นภัย ทันทีที่ไปถึงบ้านคุณหญิงมาลัย เหล่าบ่าวต่างดีอกดีใจทำงานกันตามหน้าที่กระปรี้กระเปร่า สิ่งใดไม่เรียบร้อยตามสมควร อุ่นเรือนก็สั่งการ เมื่อเห็นว่าดีแล้วจึงได้นั่งรับลมใต้ต้นไม้ให้ลมพัด บ่าวหญิงถือกุญแจมาส่งให้

          “แม่หญิงเจ้าคะ คุณหลวงท่านสั่งให้เรียนแม่หญิง เรื่องกุญแจหีบตำราเจ้าค่ะ ท่านว่ามันคลอนๆ จะให้คนมาซ่อมก็ให้แม่หญิงตัดสิน”      

          “เอ๊ะ! ปกติฉันก็เห็นมันแข็งแรงดีนี่”

          หญิงสาวนึกฉงนปกติหลวงภักดีไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้าวของในเรือนยา ถือว่ายกเป็นกรรมสิทธิ์ของหญิงสาว ครั้งล่าสุดรอยกุญแจยังดีอยู่ ไม่มีความจำเป็นต้องซ่อมแซม

          “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ท่านให้เรียนถ้าแม่หญิงมา ท่านเก็บเอาไว้ที่ห้องคุณหญิงใหญ่เจ้าค่ะ”

 

          หญิงสาวขึ้นเรือนไปที่ห้องคุณย่า หีบเก่าโบราณสำหรับเก็บตำราถูกย้ายมาไว้ที่บ้านเพราะส่วนตัวของอุ่นเรือนยังถือว่าหลวงภักดียังเป็นเจ้าของอยู่ถึงได้ฝากกุญแจไว้ เมื่อเปิดหีบดูความเรียบร้อย เห็นว่าแข็งแรงดีไม่เห็นเป็นตามที่บ่าวแจ้ง ที่ใจกลางหีบมีกล่องไม้สลักลวดลายดอกลำดวนวางไว้บนตำราใบลานทั้งปวง แปลกตาเพราะเดิมไม่เคยเห็น สลักที่ใช้เป็นสลักเงินไม่มีช่องสำหรับลูกกุญแจคาดว่าคนจัดทำคงไม่ได้มีเจตนาใส่ของหวงห้ามไว้

          อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาเปิดดู หนังสือพับเรียบร้อยนอนนิ่งอยู่ เมื่อคลี่อ่านดูถึงทราบว่าเป็นหมายจากใครถึงใคร เคยเห็นลายมือของหลวงภักดีชัดเจนมาตลอด   ลายเส้นใหญ่ ตวัดงดงาม เป็นระเบียบดุจตั้งใจเขียนอย่างดี ยังจะชื่อของอุ่นเรือนที่ปรากฏอยู่บนจดหมาย

          หญิงสาวอ่านแล้วน้ำตาคลอ เพราะไม่ยอมพบหน้าแท้เทียว พี่กล้าถึงต้องใช้จดหมายใส่กล่องมิดชิดเช่นนี้ เนื้อความในจดหมายหาใช่เพลงยาวเกี้ยวพาราสี  หากเป็นจดหมายของพี่ที่มีให้กับน้อง เจ้าของจดหมายเอ่ยถึงความอัดอั้นเมื่อทราบใจว่าอุ่นเรือนคอยหลบเลี่ยง

          “เรื่องของหลวงเทศา พี่แจ้งให้แล้วว่าอย่าได้ใช้บารมีผู้ใหญ่ไปบังคับเจ้า ส่วนที่ยังแคลงใจ พี่ไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นภาระใดๆ ทั้งสิ้น ไปทัพครั้งนี้จะเป็นตายร้ายดีเช่นไรก็สุดรู้ หากพี่ไม่ได้กลับมาก็ขอให้เจ้าตระหนักถึงใจพี่ เชื่อว่าเจ้ายังมีน้ำใจมาดูแลบ่าวไพร่ให้ ถึงได้เสี่ยงดวงฝากกุญแจไว้กับบ่าว หวังเพียงแค่ให้เจ้าอย่ากังขา...”

          อุ่นเรือนน้ำตาตก เก็บจดหมายนั้นคืนไว้มุมสุดของกล่อง ตั้งใจทะนุถนอมของทุกอย่างเพื่อรอให้เจ้าของกลับมา จะบอกว่าถึงจะโกรธจะเคืองกันอย่างไรก็ยังเป็นห่วงอยู่เสมอ ถ้าหากพี่กล้าได้กลับมาจริงก็จะกราบงามๆ ขออภัยและจะไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลงอีก

 

**************

          ไม่ว่าข่าวการศึกจากหัวเมืองทางไหน มีแต่คนไทยแตกพ่าย หลวงเทศามาลาไปส่งปืนใหญ่ให้หมู่บ้านบางระจันอันเป็นความหวังที่จะกู้หน้าให้กับคนไทย ไม่นานบ้านบางระจันก็แตกพ่าย หลวงเทศาจึงไปเข้าร่วมกับคนไทยบางกลุ่มไม่กลับเข้าพระนครอีก
         

          เรื่องหลวงเทศานั้น เจ้าตัวรู้แจ้งว่าอุ่นเรือนไม่ได้มีใจให้ เพราะวันที่ไปนั้นเพื่อนคนดีของหลวงภักดียังเอ่ยถึงเรื่องนี้ อุ่นเรือนเองยังมาส่งถึงเรือ อย่างน้อยเขาเป็นคนหนึ่งที่ขึ้นว่าทหารกล้า

          “พี่พอรู้อยู่ว่าคนเราฝืนใจไม่ได้ ตอนแรกคิดจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอผูกมัดเจ้า แต่พี่กล้าของเจ้าเขาขอไว้ว่าอย่าใช้วิธีนี้ แต่จนใจจริงๆ หาทางเอาชนะใจเจ้าไม่ได้”

          “ฉันต้องขอโทษหลวงเทศาด้วยค่ะ อาจเป็นเพราะบุญฉันมันไม่ถึง”

          “อย่าพูดอย่างนั้นเลย คงเป็นเพราะไม่ใช่บุพเพ อีกอย่าง ตอนนี้...เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า ต้องไปทำหน้าที่”

          เหมือนพี่กล้านั่นล่ะ อุ่นเรือนถึงได้อวยชัยขอให้ปลอดภัยกลับมา รวมถึงทุกๆคนที่รู้จัก ถึงแม้จะกราบพระขอให้ทุกคนที่รู้จักปลอดภัยอย่างไรก็ตาม ข่าวบ้านบางระจันแตกพ่ายก็มีใบบอกมา หลวงเทศาจึงไปเข้าร่วมกับคนไทยกลุ่มอื่น ไม่กลับเข้ากรุงอีกเลย

 

          ข่าวของหลวงเทศาและคนอื่นๆยังมีอยู่บ้าง ข่าวของบางคนนำพาความสูญเสียมาให้ครอบครัว หากข่าวของหลวงภักดีไม่มีมาถึงคนที่เฝ้ารอแม้แต่น้อย จนเวลาผ่านไปพร้อมทั้งข่าวการศึกที่มาหนาหูขึ้นทุกวัน ทหารจากบ้านเจ้าคุณเสนาบดีก็ได้มาแจ้งข่าวเพราะเป็นที่รู้กันว่าหลวงภักดีชิดเชื้อกับบ้านนี้ หลวงภักดีหายสาบสูญไปหลังการรบครั้งล่าสุด ทำให้บ้านทั้งบ้านอยู่ในอาการเศร้าโศก เจ้าคุณธรรมการนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกอุ่นเรือนที่พยายามเก็บกลั้นความอาดูร

          “อุ่นเรือนเอ้ย! เจ้าไปดูบ่าวบ้านพี่กล้าหน่อยเถอะ อย่าให้พวกมันแตกตื่นกันนัก ส่วนลุงจะไปบ้านท่านเจ้าคุณเสนาบดี ไปปรึกษาท่าน เรื่องราวมันเป็นเช่นไรกันแน่”

          “คุณพี่คะ พ่อกล้าจะเป็นอย่างไรบ้าง? โถ...พ่อคุณ แล้วนี่คุณย่าท่านจะว่าอย่างไรลูกหลานสืบสกุลขาดไปแล้ว?”

          คุณหญิงสร้อยศรีซับน้ำตา ท่านรักชายหนุ่มเหมือนลูกหลานแท้ๆ จะมาขวางเอาเล็กน้อยก็ตรงที่ช่วงหลังเขาเอาใจใส่        อุ่นเรือนเกินหน้าลูกสาวของท่าน หากนั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย ความเมตตามีอยู่มาก

          “แม่ศรี! ทหารแค่มาบอกว่าหายไปเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตาย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้”

          ท่านเจ้าคุณปรามเสียงหนักปกปิดความกังวล  ตามธรรมเนียมแล้วนายทหารที่สิ้นชีพในที่รบ คนที่เหลือต้องนำของใช้ส่วนตัวหรือดาบประจำกายส่งกลับมาให้ครอบครัว หากการสู้รบกับพม่าในสนามรบ ทหารกล้าตายกันเกือบทั้งหมด ร่างที่ไม่มีลมหายใจต้องทอดทับกันครั้งแล้วครั้งเล่า จะหากันเจอได้อย่างไร?

          หรือไม่อย่างนั้นคงมัวแต่หนีกัน ไม่รู้ว่าใครรั้งอยู่หลังเพื่อต้านศึกบ้าง แล้วมาเหมากันว่าพวกที่ไม่ตามมานั้นได้ตายเสียแล้ว!

          ตัวท่านเองไม่ใช่นายทหารที่มีตำแหน่งหน้าที่โดยตรง แต่คนรุ่นเดียวกันนั้นก็มักจับกลุ่มหารือกันด้วยความเป็นห่วงบ้านเมือง รู้อยู่แก่ใจว่าทหารกล้าที่หลงเหลือจากศึกครั้งที่แล้วมีอยู่น้อยนักในคนหมู่มาก หลวงภักดีหลานของท่านนั้นถือว่ามีความกล้าหาญโดดเด่นไม่น้อย ออกศึกครั้งใดมักมีบาดแผลฉกรรจ์เสียทุกครั้ง พอหายก็อาสาไปรบอีกไม่เคยละเว้น คุณหญิงมาลัยท่านถึงได้ภูมิใจนักที่เลือดชาติเชื้อของท่านนั้นองอาจ ท่านเจ้าคุณธรรมการเคยให้คนผูกดวงให้กับชายหนุ่มมาก่อนสมัยเขายังเพิ่งขึ้นหนุ่มดังนั้นถึงอดหวังลึกๆไม่ได้

          “โถพ่อกล้า อุ่นเรือน...เจ้าเตรียมของให้ป้าเถอะไป๊ ป้าจะไปกับเจ้า”

          คุณหญิงสร้อยศรีอดรำพันไม่ได้ แต่ก็ตั้งใจว่าจะไปเป็นขวัญกำลังใจให้บ่าวบ้านโน้นสักครั้ง ถึงไม่ทราบข่าวชัดเจน พวกบ่าวก็โจษจันกัน ขวัญเสีย

 

          อุ่นเรือนเสียอีกที่ต้องอดกลั้นความอาดูรทำเป็นเข้มแข็งไปดูแล ไม่สิ้นหวังว่าเขาจะกลับมา หากเมื่อยามอยู่คนเดียวก็ต้องนั่งร้องไห้ เสียใจอยู่ร่ำไป  หญิงสาวพยายามไม่ให้บ่าวไพร่บ้านคุณหญิงมาลัยระส่ำระสาย ถึงได้มาอยู่บ่อยๆ ทางเจ้าคุณธรรมการท่านไม่ได้ว่าอะไร ออกจะสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ เพราะท่านเห็นว่าอยู่ทางนี้ท่านวางใจ ยามอยู่ที่ไหน หญิงสาวรีบสะสมเสบียงกรังไว้ว่างเว้น

          “แม่หญิงคะ  ข้าวกับของแห้งเต็มยุ้งฉางแล้วเจ้าคะ จะเอาเก็บไว้ทางไหนอีกเจ้าคะ?”

          “ก็ที่วันก่อน ฉันให้นายอ่ำไปสั่งไม้มาส่ง แล้วให้ต่อขึ้นไปอีกนั่นอย่างไรจ้ะ”

          อุ่นเรือนบอกบ่าวสั้นๆ ไม่อธิบายมากความเพราะใช่ว่าจะเข้าใจกันได้ทุกคน แล้วจะแตกตื่นกันไปเสียหมดมากกว่า หากแย่ตรงไม่มีใครมาคอยช่วยปรับทุกข์ ทุกคนต่างมีเรื่องกังวล หญิงสาวแวะเข้าห้องพระกราบพระอธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครองพี่กล้าให้ปลอดภัย แล้วเลยนั่งเล่นอยู่ในนั้น ยังนึกขัน มาลัยที่ร้อยไว้ถูกหยิบฉวยคราวนั้นถูกมาวางไว้หน้าพระอย่างที่คิด

          “แม่หญิง! แม่หญิงเจ้าขา”    

          อุ่นเรือนได้ยินเสียงอื้ออึงมาจากข้างล่าง พร้อมกับบ่าววิ่งขึ้นมาละล่ำละลัก

          “อะไรกัน! พี่ปุ่น เสียงเอะอะตึงตัง”    

          หญิงสาวเดินออกมาจากห้องพระ

          “คุณหลวงมาแล้วเจ้าค่ะแม่หญิง!”    

          คนบอกหน้าตาตื่น บอกว่าการกลับมาครั้งนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

          “ทหารพามาเจ้าค่ะ ... ท่านเจ็บหนักมีแผลหลายแห่งเหลือเกิน”

          ความยินดีตามมาด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวลุกขึ้นไปรับ เห็นร่างสูงใหญ่ถูกประคองขึ้นเรือน เกือบทั้งตัวมีแต่ผ้าพันแผลและมีเลือดซึมออกมาเป็นหย่อม ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาพอดี

          “อุ่นเรือน”หลวงภักดีเสียงแหบ 

          อุ่นเรือนลืมเสียสิ้นว่าเคยหมางเมินต่อกัน มือไม้สั่นพยายามรวบรวมสติ 
          สั่งการให้บ่าวจัดสถานที่รับคนเจ็บ ทหารที่มาด้วยรายงานสั้นๆ

          “คุณหลวงท่านถูกฟันในที่รบขอรับ ท่านเจ้าคุณให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน”

          คนที่ถูกพามาพักนอนอยู่บนตั่งหน้าตาเรียบเฉยไม่บ่งบอกอาการเจ็บปวดอันใดให้คนอื่นทราบ หญิงสาวทำหน้าที่แทนเจ้าบ้านให้บ่าวจัดหาอาหารให้ทหารที่มาส่ง ส่วนตัวเองวิ่งไปเรือนยา หายากินยาทาจัดออกเป็นชุด เรื่องควรไม่ควรที่จะมาพยาบาลกันบนเรือนนั้นรู้แก่ใจ หากจะให้ทิ้งไปยามนี้ก็เห็นทีจะทำไม่ลง ป่านนี้บ่าวคงอยู่กันเต็ม คำครหาไม่น่าเกิด เอาไว้จัดการให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน

 

          เมื่อเดินขึ้นมาบนเรือน คนที่นอนหน้าแห้งอยู่ผงกศีรษะขึ้นมามองนิดหนึ่ง ก่อนที่จะหลับตาต่อด้วยความอ่อนเพลีย

          “อุ่นเรือนรึ? พี่คิดว่าเจ้ากลับไปแล้วเสียอีก”

          “ยังไม่กลับหรอกค่ะ ให้บ่าวทำข้าวต้มไว้ พี่กล้ายังไม่ได้ทานอะไรไม่ใช่หรือคะ? เอาไว้เรียบร้อยทางนี้แล้ว อุ่นเรือนจะไปบอกคุณลุง”

          อุ่นเรือนให้บ่าวแกะผ้าพันแผลที่ทั้งเก่าทั้งสกปรกออกมาเพื่อใส่ยาและพันแผลใหม่ บาดแผลน่ากลัวนัก บางส่วนผุพอง ปัญญาเรื่องหยูกยาได้ใช้เต็มที่ก็คราวนี้

          “พี่กล้าเป็นไข้สูงเลยนะคะ”

          บ่นพลางสาละวนกับการให้บ่าวรีบบดตัวยา

          “พี่ไม่เป็นไรหรอก แผลกายมันก็แค่นี้ เจ็บไม่ถึงใจหรอกอุ่นเรือนเอ๋ย...  อยากออกไปอีกเหลือเกิน”

          หญิงสาวได้แต่รับฟัง เมื่อบ่าวชายยกข้าวต้มมาหลวงภักดีเบือนหน้าหนี เดาใจได้ว่าคิดอย่างไรถึงได้มีท่าทีเจ็บปวดนัก

          “พี่กล้าคะ ทานเสียหน่อยเถอะคะ”

          อุ่นเรือนคอยกำกับเสียจนอ่อนใจ คนป่วยตาขวางใส่ บ่าวจึงไม่กล้า 

          “เอาออกไป ข้าไม่กิน!”

          เห็นบ่าวรีรอ ร่างบางๆจึงขยับเข้าไปใกล้ ทอดเสียงอ่อนและเบา

          “ทราบแล้วค่ะว่าพี่กล้าไม่สบายใจ แล้วนี่ พวกบ่าวไพร่ก็ขึ้นมาดูพี่กล้ากันเต็มบ้าน คนเขาเป็นห่วงกันทั้งนั้นนะคะ เมื่อครู่คุยกับทหารแล้วก็ทราบผลรบ แต่ถ้าพี่กล้าไม่กินข้าว ไม่รักษาตัวให้หายไวไว แล้วเมื่อไหร่จะมีแรงออกไปอีกเล่าคะ? คนป่วยนอนแบบอย่างนี้ไม่มีใครเขาให้ออกไปรบหรอกค่ะ”

          ชายหนุ่มมองมาเหมือนค้อน แววตาที่ส่งมาราวเปิดถึงความขมขื่นในใจที่ช่อนเอาไว้ทั้งมวลให้ออกมาให้เห็น

          “พี่เจ็บใจเหลือเกิน  มีแต่วิ่งหนีให้เขาฟันหลังที่เหลืออยู่ก็ด้อยฝีมือถูกฟันตายดุจใบไม้ร่วง ขาดคนกล้า เราก็ยิ่งขลาดเขลา อ่อนแอลงทุกที”

          กายที่เจ็บอยู่สั่นระริกทำท่าจะลุกขึ้นมาฟันดาบอีก เสียแต่ว่าลุกไม่ขึ้น หนำซ้ำแผลที่เพิ่งทำเสร็จก็มีรอยเลือดซึมออกมามากกว่าเดิม หญิงสาวทนเห็นไม่ได้ถึงเตือน

          “พี่กล้าคะ”

          จากอาการตกใจเมื่อครู่มาเป็นขำ เห็นพูดได้ ตั้งท่าจะลุกอย่างนี้แล้วแสดงว่ายังมีกำลังใจ หากแต่ร่างกายและสังขารไม่อำนวย

          “ตอนนี้พวกพม่าบุกถึงไหนก็ไม่รู้ คนที่นี่...ปล่อยให้บางระจันแตกได้อย่างไรกัน? ปืนใหญ่ในเมืองกรุงมีไม่รู้ตั้งกี่กระบอก ทำไมเอาให้ไม่ได้ ต้องเรี่ยไรข้าวของไปหล่อเอาเอง”

          คนพูดรำพึง คิ้วขมวดมุ่นดูท่าครุ่นคิดถึงแต่เรื่องบ้านเมือง 

          อุ่นเรือนไม่ได้กังวลน้อยไปกว่านี้ เมื่อครู่ขนาดทหารเล่าความไม่ละเอียดก็ยังพอจับเค้าได้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะถึงคราวคับขันอย่างไม่มีทางเลี่ยง

          หญิงสาวพยักหน้าให้บ่าวยกชามข้าวเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง  คราวนี้หลวงภักดียอมรับแต่โดยดีแล้วหยุดเมื่อรับประทานไปได้ไม่กี่คำ  อุ่นเรือนเห็นว่าเคี่ยวเข็ญตอนนี้ไม่มีประโยชน์

          “พี่กล้านอนพักเสียก่อนเถอะค่ะ นะคะ อย่าขยับตัวมาก เดี๋ยวแผลจะไม่หาย อุ่นเรือนให้คนเตรียมยาเอาไว้ ผ้าพันแผลก็ให้เปลี่ยนเป็นระยะ”

          “เจ้าจะกลับแล้วล่ะสิ” คนป่วยเสียงอ่อน       
          “ค่ะ  จะรีบไปบอกคุณลุง ท่านห่วงพี่กล้า หลวงพิชัยก็เจ็บอยู่เหมือนกัน”

          “ฮึ!”คนฟังทำเสียงขึ้นจมูก

          “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่สักครู่เถอะ ที่นี่มีแต่บ่าวไพร่ จะบอกเล่าอะไรก็ไม่สะดวกใจ อีกอย่างจะแตกตื่นไปเสียเปล่า เจ้าพวกนี้ อยู่เป็นเพื่อนแม่หญิงทั้งหมดเถอะ”

          ประโยคหลังเขาสั่งคนอื่นๆ

          “พี่กล้าเจ็บมากควรควรพักผ่อนนะคะ เมื่อครู่อาการแย่”

          “พี่นอนก็ได้  แต่อย่าให้พี่หลับเลยนะ จะให้พูดก็ข่มตาไม่ลง ภาพทหารเพื่อนร่วมรบที่ตายราวกับใบไม้ร่วงนี่มันติดตาติดใจ ตายดีกว่าถ้าจะให้หลับ!”

          “อย่าพูดได้ไหมคะ? พวกบ่าวไม่รู้ความจะแตกตื่นเสียขวัญกันไปหมด”

          อุ่นเรือนดุเสียงเบาเกรงว่าบ่าวจะได้ยิน คนพูดถึงได้สงบลงบ้าง

          “นึกว่าเจ้ายังโกรธพี่ไม่หาย”  

          บอกว่าอย่าพูดมากยังจะพูดอีกแล้ว

          “...ไม่โกรธนี่คะ”

          “ไม่โกรธเลย หรือ ไม่โกรธแล้ว?”

          คนเจ็บถามจี้ใจดำ คาดคั้น ถ้าไม่ตอบให้หายข้องใจคงได้ถูกคนเจ็บคาดคั้นอยู่ไม่เลิก

          “ก็...ทั้งสองอย่างนั่นแหละคะ”

          อุ่นเรือนอ้อมแอ้ม ไม่โกรธ แต่ร้องไห้ตลอด ถ้าหากไม่ได้รับจดหมายนั่นก็อาจ... ช่างเถอะไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีก เพราะยังหาเหตุแห่งความรู้สึกนั้นไม่ได้ กลับมาเป็นอย่างเดิมนี้ดีแล้ว 

          “พี่ดีใจที่ได้พูดคุยกับเจ้าอย่างนี้อีก เรื่องที่เจ้าว่าพี่จะผูกสมัครรักใคร่แม่หญิงสไบนั่นแล้วเห็นเจ้าเป็นภาระนั้นไม่จริงแม้แต่น้อย เจ้าก็อย่าเพ้อไปเชื่อแล้วมานั่งน้อยใจไม่เข้าเรื่อง ยังไม่ถึงเวลาหรอก การศึกยังไม่สงบ พี่ไม่ให้ใครมาทุกข์ด้วยแน่ เพราะพี่อาจจะตายวันตายพรุ่ง เจ้าน่าจะรู้”

          ชายหนุ่มเหมือนเพ้อ แต่ดูอีกทียังเห็นมีสติดีอยู่

          “ก่อนไปพี่บอกหลวงเทศาว่าอย่าใช้ผู้ใหญ่ไปบังคับเจ้า เขาไม่ได้บังคับเจ้าใช่ไหม?”

          “ค่ะ ก่อนไปทัพยังมาล่ำลา ข่าวส่งมาเรื่อยๆ มีแต่พี่กล้า ใบบอกว่าหายไป ทุกคนเป็นห่วงมากเลยนะคะ นี่ภาวนาทุกวัน”

          อาการเจ็บแปลบทางกายค่อยคลายลงไม่รู้ตัว เมื่อเห็นตาคนพูดรื่นใสจะร้องไห้ให้ได้ เห็นว่าห่วงจริง

          “พี่ไปหลายที่อุ่นเรือนเอ๋ย แพ้จากที่นั่น ไปที่โน่นต่อ ได้ข่าวเรื่องบางระจันต้านพม่าได้ พวกพี่ชุ่มชื่นหัวใจเตรียมจะไปช่วยกัน แต่ไม่ทันไรข่าวบางระจันแตก ก็ไปทางอื่น มันก็แค้นสุดทน ทำไมหนอคนเรามันทำกันได้ถึงเพียงนี้? เจ้ารู้ไหม? ไอ้เจ้ามอญที่มาเพิ่มพระบรมโพธิสมภารนั่น มันได้ชื่อว่าสุกี้พระนายกอง มันอาศัยผืนแผ่นดินของเราอยู่ กินข้าวบ้านเรา กลับไปสมัครเป็นนายกองตีบางระจันยับเยิน  ผีบ้านผีเมืองต้องสาปแช่งมัน ไม่ให้มันตายดีหรอก ขุนพันนะ...เขาสิ้นเสียที่รบแล้ว พี่ขาดเพื่อนรู้ใจไปอีกคน ยังคนอื่นที่ไม่รู้ชะตากรรมอีก”

          “โถ...”

          หญิงสาวพลอยเศร้าโศก หลายคนไม่รู้จักตัวก็รู้จักชื่อ หรือไม่ก็ครอบครัวที่ต่างห่วงใยคนที่รักกันทั้งนั้น บางทีเจอหน้ากัน คนเหล่านั้นมีแต่ทุกข์โศก ปรับทุกข์ไปตามประสา

          สักพัก คนเจ็บถึงได้พล่อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา 

          อุ่นเรือนถึงได้สั่งความกับบ่าวที่คัดออกมาให้เป็นคนคอยดูแลแล้วกลับไปรายงานท่านเจ้าคุณลุง

          “ตอนนี้ทหารว่าพม่าจะมาล้อมกรุงแน่แล้วหรือคะคุณลุง?”

          หญิงสาวเห็นสีหน้าท่านไม่ใคร่ดีนักร่องรอยกังวลปรากฏอยู่อย่างเห็นได้ชัด สงครามจริงๆนั้นเป็นอย่างไรไม่เคยสัมผัสเพราะคราวก่อนนั้นอยู่นอกกรุงและไม่อยู่ในเส้นทางเดินทัพของพม่า ดังนั้นความน่ากลัวจึงอยู่แค่ฟังเขาเล่ากันเท่านั้น

          “เห็นทีว่าแน่แล้วนะอุ่นเรือน เจ้าคอยสำรวจเสบียงกรังของบ้านเรา เพราะเราไม่รู้ว่าคราวนี้จะยืดเยื้อไปถึงเมื่อไหร่ กษัตริย์ของพม่าเป็นคนหนุ่มและแข็งแรง ดูท่าคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆเหมือนคราวก่อน”

          “เราแย่แน่ๆ เลยนะคะคุณพี่ระเบิดเอย ลูกปืนเอยคงต้องมาลงกันในกรุงเหมือนเมื่อคราวก่อน โอ้ย! อิฉันกลัวเหลือเกิน”

          คุณหญิงสร้อยศรีหน้าซีด ยังคงหวาดกลัวจากศึกครั้งที่แล้วไม่หาย

          “บ้านนี้อยู่ไกล คงไม่โดนหรอก ถ้ามันแค่ยิงแล้วไปก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้า...มันบุกเข้ามาได้ถึงข้างใน ...”

          ท่านเจ้าคุณละเอาไว้ ไม่อยากบอกให้วิตกกังวลเกินกว่าเหตุว่า ตลอดรายทางที่พม่าบุกเข้ามานั้นข่าวแจ้งมาถึงวัตถุประสงค์เพื่อตีเอาเมืองให้ย่อยยับและปล้นสะดมหาใช่เพื่อเรียกร้องสิ่งใดไม่ 

          “แต่ยังดีนะคะคุณพี่ที่เรายังมีสิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองอยู่นะคะ ดูอย่างคราวที่แล้วจู่ๆ ปืนก็แตกเข้าใส่พระเจ้าอลองพญาจนเลิกทัพกลับไป”

          เจ้าคุณไม่อยากค้าน คนอีกหลายคนยังคงเชื่อมั่นในพระสยามเทวาธิราชเจ้า ท่านอีกนั่นแหละที่อดค้านในใจไม่ได้ว่า หากคนกรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในความประมาทไม่พึ่งพาตัวเองแล้วไซ้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากแห่งหนใดก็ยากจะเปล่งอานุภาพให้สัมฤทธิ์ผล  

          คุณหญิงสร้อยศรีวิตกอยู่เพียงชั่วครู่ก็นึกถึงลูกเขยที่กำลังนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านอีกหลังโดยมีแม่หญิงรำไพคอยเฝ้าดูแล

          “อุ่นเรือนแน่ะ เจ้าไปบ้านคุณย่า เอายามาให้พี่เขยเจ้าแล้วหรือยัง?”

          หญิงสาวรับคำ พร้อมกับบอกว่าให้บ่าวเอาไปให้แล้ว

          คุณหญิงยังไม่ลืมที่จะถามไถ่เรื่องหลวงภักดี จะให้มาอยู่ที่บ้านก็ยังเกรงอยู่เพราะหลานสาวข้างสามียังอยู่ในเรือน ถ้าเกิดคำครหาจะเสียชื่อไปเปล่าๆ

          “แล้วพ่อกล้าเล่า บาดแผลเป็นอย่างไร? ”              

          “ถ้าพี่กล้าได้พักผ่อนสักหลายวันก็คงค่อยยังชั่วขึ้นค่ะ”

          อุ่นเรือนไม่อยากเอ่ยถึงอาการที่หนักกว่าหลวงพิชัยที่นอนโอดครวญอยู่ไม่ขาดปาก คอยแต่จะให้ไปดูแล หญิงสาวมักหาทางเลี่ยงเสมอจนถูกพี่สาวต่อว่าอยู่เนืองๆ ก็เจ็บไม่มากเท่าไหร่เลยกลับทำอย่างกับว่าเจ็บเจียนตาย ไม่เหมือนพี่กล้าดูเถอะแผลออกเต็มตัว หากถ้ามีแรงลุกได้เมื่อไหร่ก็คงวิ่งโร่อาสาออกทัพอีก เพราะตัวคนเดียวด้วยกระมังไม่มีใครคอยห่วงอีก 

          “พรุ่งนี้เจ้าเตรียมข้าวของให้ป้า ป้าจะไปเยี่ยมพ่อกล้าสักหน่อย”

          ตอนนี้คุณหญิงสร้อยศรีให้หลานสาวเป็นคนสนิท ดีตรงที่ใช้สอยง่าย เพราะลูกสาวต้องไปปรนนิบัติสามี อีกทั้งผู้อ่อนวัยกว่าเอาใจใส่เป็นอย่างดี อาการขวางหูขวางตานั้นค่อยจางลงตามกาลเวลา ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าชาติตระกูลต่างกัน ไม่ถึงขั้นสามารถทำใจยกย่องชื่นชูเป็นลูกหลานได้เต็มปากเต็มคำ

 

**************

          วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน ทั้งคุณหญิงสร้อยศรีและแม่หญิงรำไพ พากันไปเฝ้าสมเด็จในวังกันทั้งคู่ ท่านเจ้าคุณก็เข้าวังเพื่อปรึกษาข้อราชการตามหน้าที่ อุ่นเรือนเดินดูความเรียบร้อยภายในบ้าน อีกทั้งสั่งบ่าวไพร่ให้จัดหาอาหารมาตากแห้งเตรียมพร้อม คุณยายและคุณย่ามักเอ่ยถึงสงครามที่เคยเกิดขึ้นอุ่นเรือนจึงพอจะมองภาพออกว่าควรต้องเตรียมการเช่นไร   เห็นบ่าวจากบ้านพี่สาววิ่งเข้ามาหาท่าทางแปลกๆ

          “แม่หญิงเจ้าคะ เรียนเชิญที่เรือนเล็กหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”

          “มีอะไรหรือ?”

          บ่าวคนนี้มาจากบ้านหลวงพิชัยหูตาลอกแลกไม่ถูกใจ หากก็จนใจที่จะไปวิจารณ์บ่าวของคนอื่น และเรือนเล็กนั่นก็มีหลวงพิชัยนอนพักฟื้นอยู่ผู้เดียว

          “หลวงพิชัยเจ้าค่ะ ...ท่านเจ็บแผล”

          “อ้าว! แล้วยาที่ให้ไปกินเล่า บรรเทาอาการปวดได้ดีนัก”

          เมื่อวันก่อนยังเห็นลุกนั่งได้สบาย ขนาดพี่กล้าเจ็บมากกว่ายังลุกได้ตั้งแต่สองวันแรก นี่ก็บ่นอยู่ตลอดว่าท่านเจ้าคุณเสนาบดีผู้เป็นนายยังไม่ยอมให้ประจำการ

          “ให้รับประทานแล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านยังบ่นว่าปวดอยู่ไม่หาย สั่งให้แม่หญิงขึ้นไปดูหน่อยเถอะเจ้าค่ะ บ่าวไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีแล้ว?”

          หญิงสาวถอนหายใจ พี่สาวสั่งความเอาไว้เหมือนกันว่าเจ้าตัวเปรยมาว่าเจ็บแผลแต่เช้า สั่งบ่าวให้นำไปที่เรือนคนเจ็บ

 

          บนเรือนเงียบเชียบไม่มีใครอยู่ข้างบนตามธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติ แม้กระทั่งบ่าวที่นำมาก็คลานออกไปห่างๆ

          “ไหนเล่านายของเจ้า?”

          “อยู่ข้างในเจ้าค่ะ”

          คนบอกใช้สายตามองเข้าไปในห้อง อุ่นเรือนไม่ยอมขยับกาย พลันได้ยินเสียงครวญครางจากข้างในห้อง

          “โอ้ย! เจ็บเหลือเกิน เมื่อไหร่จะมาเสียที? ทรมานจะตายอยู่แล้ว!”

          “มาแล้วเจ้าค่ะ!”       

          แม่ตัวดี อ้าปากบอกออกไป อุ่นเรือนอยากจะดุนัก

          “ไปเชิญคุณหลวงออกมาเถอะ”

          หญิงสาวบอกบ่าว ไม่อยากเข้าไปหากพี่สาวหรือคุณป้าไม่อยู่ อีกฝ่ายหายเข้าไปชั่วครู่ หลวงพิชัยค่อยขยับร่างออกมาท่าทางป้อแป้เต็มที

          “เจ้าจะทรมานพี่ไปถึงไหนกันแม่อุ่นเรือน? คนเจ็บจะแย่ยังจะให้ออกมาอีก”

          “ก็เห็นเจ็บไม่เท่าไหร่นี่คะ”

          อุ่นเรือนเห็นเช่นนั้นจริงๆ

          “ไม่เท่าไหร่อะไรกัน? นี่ แผลไม่ใช่น้อย”

          คนป่วยออกมาทอดตัวลงบนฟูกที่ปูรอเอาไว้อยู่แต่แรก อุ่นเรือนคุกเข่าไปดู กับพี่กล้าไม่เห็นลำบากใจเท่านี้ 

          หากคนที่ทำท่าเจ็บเมื่อครู่กลับขยับกายเข้ามาหาไม่ทันระมัดระวัง อุ่นเรือนถึงได้ชะงักขยับกายออก เหลียวมองหาบ่าวที่เมื่อครู่ยังอยู่ด้วยกัน

          “เอ๊ะ! บ่าวหายไปไหนแล้วคะ?”

          หญิงสาวรู้สึกไม่ชอบมาพากันตั้งแต่แรกถอยตัวออกห่าง

          “มันก็ไปทำงานของมันต่อ มา...เจ้ามาดูแผลพี่ดีกว่า”

          ไม่พูดเปล่า มือไม้ก็ปัดป่ายเกะกะมาถึงตัว! 

 

**********

 

ขอขอบคุณ : คุณminafiba, คุณ*\viki/*, คุณคุณย่ายังสาว หัวใจยังใส, คุณPsycho man และทุกท่านที่แวะเข้ามาค่ะ

*\viki/*: ของฝากของหลวงกล้าเป็นพวกผ้าทอชิ้นงามๆ ค่ะ

คุณ Psycho man: พ่อกล้านั้นไม่ปกติแน่เจ้าค่ะ แต่เรื่องยังคง Feel Good ตามสไตล์ รับรองได้

แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 55 00:33:24

จากคุณ : รุ้งปลายฟ้า
เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 00:21:55




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com