ตอนที่ 3 เมฆาทะมึน
หมู่บ้านของผมอยู่ในจังหวัด กาญจนบุรี ในขณะนั้น ทหารญี่ปุ่น เข้ามาที่หมู่บ้านของเราเป็น จำนวนมาก เพราะมีโครงการจะสร้างสะพานข้ามไปฝั่งพม่า หมู่บ้านอยู่ห่างจากจุดนั้น ประมาณ เกือบสิบกิโลเมตร หมู่บ้านที่เคยสงบสุข ก็เริ่มวุ่นวาย บ้างก็เห็นด้วยที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามา เพราะจะได้พัฒนาหมู่บ้าน อีกพวกไม่เห็นด้วยที่ทางทหารญี่ปุ่นเข้ามา อีกพวก ก็เป็นกลางคือมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ แต่คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เป็นลุงพรต เพราะเขาเป็นคนจัดหาสิ่งของ ให้ทหารญี่ปุ่น ในทุกสินค้า ที่ทางกองทัพต้องการ นี่เป็นผลประโยชน์ที่ได้จาก นายสมเจตน์ชายหนุ่มวัย สามสิบเศษ ที่มาสู่ขอพี่ดวงจันทร์เพื่อไปเป็นภรรยา นายสมเจตน์ หรือหลายคนเรียกเจ้าพ่อเจตน์ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีสองสี ใบหน้าคมสัน น้ำเสียงทุ้ม กังวาล มีข่าวลือว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรส ของคุณหลวงท่านหนึ่ง แต่ด้วยความเป็นคนใจถึง รักพวกพ้อง ทำให้เขาเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง เขาค้าขายสินค้าทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายในคราวเดียว และการที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาในแถบนี้ ทำให้เขามั่งคั่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เช้าวันอาทิตย์ ผมเห็นอาแปะซา ถอนหายใจหลายครั้ง ผมไม่เคยเห็นอาการแบบนี้ อาแปะเหลือบมองผม แล้วพูดขึ้น "อาฮก สงสัยว่าเรา ต้องย้ายบ้าน ในเร็วๆนี้.. ลื้อไปเตรียมตัว ให้พร้อม..." ผมสงสัยอย่างมาก "อาแปะ ทำไมถึงต้องย้ายบ้านล่ะ อยู่ที่นี่ก็ไม่เห็นมีอะไร..." อาแปะส่ายศรีษะ แล้วเดินจากไป... ทิ้งให้ผมตกตะลึง เมื่อคิดว่า ต้องจากที่แห่งนี้ไป....
อาแปะซาไปยืนที่ หน้าสุสานของภรรยา ซึ่งห่างจากบ้านมาประมาณ สองกิโลเมตร ผมแอบตามมาเพื่ออยากรู้เหตุผล ที่อาแปะซาจะย้ายที่อยู่ เพราะเมื่ออยู่คนเดียว อาแปะมักจะมาพูดคุย กับสุสานแห่งนี้บ่อยๆ แต่อาแปะไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ว่าผมยืนอยู่แถวนั้น
ผมเดินกลับมาที่บ้านโดยลำพัง พบนรีนั่งรอผมที่แคร่ใต้ต้นหูกวางหลังบ้าน นรีใบหน้าเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด "พี่จันทร์ถูกพ่อบังคับ ให้แต่งเข้าบ้าน นายสมเจตน์ พี่รู้เรื่องแล้วใช่มั๊ย??.." ผมพยักหน้ารับทราบ "ทำไมพ่อทำอย่างนั้นก็ไม่รู้ รู้ทั้งรู้ว่า นายสมเจตน์ อะไรนั่น เจ้าชู้อย่างอะไรดี อย่างนี้พี่จันทร์ จะมีความสุขได้ยังไง ผมยังคงเงียบ ไม่ออกความคิดเห็น นรีอารมณ์เสีย เพิ่มขึ้น "พี่ฮก พูดอะไรบ้างก็ได้ รีมาหาเพื่อยคุย น่ะค่ะ..." ผมถอนหายใจยาวมาก แล้วพูดขึ้น "พี่ก็ต้องย้ายบ้านเหมือนกัน... น่าจะเร็วๆนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า!!.." นรีเงยหน้ามามองผม นัยตาสะท้อนเงาสั่นระริก "นี่พี่ก็จะหนี น้องรีไปอีกคนหรือ...." ผมหันหน้าไปอีกทาง เพื่อไม่เห็นสายตาที่แสนเศร้าของเธอ นรีลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน
อีกสามวันต่อมา ผมกำลังจะเดินเข้าบ้าน ปรากฎมีคนในตลาดมากมายมุงดูอะไรบางอย่าง เมื่อผมไปถึง ก็เห็นทหารญี่ปุนประมาณญี่ 20 คน เรียงแถวหน้าบ้านผม ผมสังหรณ์ใจว่า มันน่าจะเป็นเรื่องร้าย มากกว่าเรื่องดี แล้วนายทหารญี่ปุ่นซึ่งน่าจะมียศสูงที่สุด ประกาศขึ้น...... "นายทาคาฮิโร่ โมริตะ หรือ นายซา แซ่อึ้ง อดีตนั้นเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น แต่เกิดความขลาดเขลา จึงหลบหนีออกมา แต่เมื่อสำนึกผิด จึงขอชำระความ ด้วยการ เซปปุกุ..ทรัพย์สินแห่งมัน จะต้องตกเป็นของกองทัพ ทั้งหมด ส่วนศพมันนั้น ให้ญาติของมันเท่านั้นถึง นำไปได้..." ล่ามจึงแปลตามให้คนในตลาดทราบ ผมทราบทันที ที่นายทหารประกาศแบบนั้น หมายถึงจะให้ญาติ ออกไปรับผิดด้วย หรือเรียกว่า ขุดรากก็ต้องถอนโคนสิ้น ผมไม่มีทางอื่นใด นอกจาก
"ผมเป็นญาติเพียงคนเดียว ของเขา..." ผมเดินฝ่าฝูงชนเข้าไป ยืนต่อหน้านายทหาร เขามองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วตวาดเป็นภาษาญี่ปุ่น "คุกเข่าลง!!!.." ผมทำเป็นฟังไม่ออก จึงยืนอยู่ตรงนั้น ล่ามจึงกระชาก "คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้..." ผมจึงค่อยๆ คุกเข่าเบื้องหน้า นายทหาร ผมก้มมองดูพื้น ใจนั้นคิดว่า วันนี้โอกาสที่ต้องดับดิ้น มีมากกว่าที่จะอยู่รอด.... นายทหารเดินวนรอบตัวผมหนึ่งรอบ จากนั้น ก็ใช้ คาตะนะ เชยคางผมขึ้นมา พร้อมกับคำรามในลำคอ "แกไม่มีสายเลือดมันสักนิด ...ยังไม่บอกออกมาว่า...แก...เป็น...ใคร..." ผมยังคงแสดงเป็นไม่รู้ภาษา จนนายทหารแน่ใจแล้ว ว่าผมฟังไม่ออก จึงประกาศความต่อไป
"ในธรรมเนียมของกองทัพเรา.. การที่คนทรยศได้ตายไปนั้น ถ้าญาติของมันผู้นั้น อยากนำร่างมันไปประกอบพิธีกรรม มันต้องแลกกับ....อวัยวะ ที่คิดว่าสำคัญ...ให้กับเรา... แล้วเราจะพิจารณาว่า มันสมควรหรือไม่...." ล่ามแปรตามคำพูดของนายทหารทุกคำ นายทหารยิ้มเหี้ยม ผายมือออกด้านข้าง เพื่อขอมีดตันโตะ จากทหารติดตาม จากนั้นก็โยนมาที่ข้าหน้าผม ประกายมีด เย็นเยียบเข้าตาผม จนต้องหลี่ตาลง มือของผมสั่นเทา ค่อยๆ ยื่นไปจับด้ามมีด มากำไว้ในมือ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรไป...เสียงหนึ่งซึ่งผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก็ดังขึ้น "อวัยวะสำคัญ...ใช่หรือไม่???.."
จากคุณ |
:
ภูวีร์ (kasareev)
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ธ.ค. 55 22:07:27
|
|
|
|