Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ครั้งหนึ่งที่ศิริราช - ตอนที่ 12 “แล้ววันนี้ก็มาถึง” vote ติดต่อทีมงาน

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“บทนำ” - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=27-12-2012&group=1&gblog=1
ตอนที่ 1   “พาภรรยามาศิริราชเดี๋ยวนี้” - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=27-12-2012&group=1&gblog=2
ตอนที่ 2   “ค่ำคืนที่แสนยาวนาน” - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=28-12-2012&group=1&gblog=3
ตอนที่ 3   “ถ้ามาช้าไปหนึ่งวัน” - http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tee-chaisiri&date=29-12-2012&group=1&gblog=4
ตอนที่ 4   “สามวันกลับบ้านได้จริงหรือ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12868805/W12868805.html
ตอนที่ 5   “ความเครียดที่มองไม่เห็น” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12890910/W12890910.html
ตอนที่ 6   “ความกดดันนี่มันหนักจริงๆ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12903209/W12903209.html
ตอนที่ 7   “Stand by Me” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12917721/W12917721.html
ตอนที่ 8   “นับหนึ่งกันใหม่” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12948984/W12948984.html
ตอนที่ 9   “เป้าหมายข้างหน้ายังคงชัดเจน” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13015139/W13015139.html
ตอนที่ 10 “ย้ายห้องอีกรอบ” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13055442/W13055442.html
ตอนที่ 11 “อีกนิดเดียวเอง” - http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13076800/W13076800.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนที่ 12 “แล้ววันนี้ก็มาถึง”

อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ...........................

ณ โรงพยาบาลตอนเช้าวันหนึ่งเวลาประมาณหกโมง ผมยังคงหลับอยู่ที่โซฟาในโรงพยาบาล มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับผมที่จะมานอนอยู่ที่นี่อยู่เป็นเพื่อนหน่องแบบนี้ตั้งแต่หน่องได้ย้ายมาอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยบนชั้นที่ 14 นี้  และปกติแล้วทุกๆเช้าเวลาประมาณ 7 โมงเช้า จะมีทางคุณหมอและพยาบาลเข้ามาในห้องเพื่อมาตรวจร่างกายหน่อง  ซึ่งผมกับหน่องก็จะถูกปลุกให้ตื่นในเวลานั้นเป็นประจำ  แต่ว่าวันนี้มันไม่เหมือนกัน เพียงแค่ 6 โมงเช้า  ผมก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงที่ตกใจและดังมากของหน่อง

“พี่ตี้ๆๆๆๆ!!!!!!!” หน่องตะโกนเรียกผมให้ตื่นขึ้นมา

“มีอะไรหน่อง” ผมถามหน่องด้วยความตกใจและงัวเงีย

“น้ำ มีน้ำเลอะเต็มเตียงไปหมดเลย เปียกไปหมดเลยพี่ ” หน่องบอกด้วยความตื่นเต้น

ผมเดินเข้าไปดูที่เตียงหน่อง

“โห นี่มันอะไรเนี่ย”  ผมถามด้วยความงงๆ

“ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็เป็นอย่างนี้แล้ว” หน่องตอบ

“น้ำเดินแน่ๆเลย” ผมรีบบอกหน่อง แต่ยังงงๆ ทำอะไรไม่ถูกว่าจะเอายังไงดี

“กดเรียกพยาบาลให้หน่องหน่อย”  หน่องแนะ

ผมก็รีบกดปุ่มเรียกพยาบาลทันที เสียงจากทางนั้นถามกลับมาว่าคนไข้ต้องการอะไร

“น้ำเต็มเตียงคนไข้เลยครับ สงสัยว่าน้ำเดิน”  ผมรีบตอบเสียงปลายสาย

ทันใดนั้นก็มีพยาบาลสองสามคนรีบมาที่ห้องทันที

“น้ำเดินค่ะ  วันนี้เตรียมตัวไปคลอดนะคะ” พยาบาลรีบตอบ

จากนั้นพยาบาลรีบติดต่อกับทางห้องคลอดพิเศษเพื่อส่งคุณแม่ไปคลอดที่นั่นทันที ส่วนผมกับหน่องมองหน้ากัน หน่องยิ้มแฉ่งเลย เพราะตามที่คุณหมอบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าลูกครบกำหนด 37 สัปดาห์เมื่อไร ก็จะถือได้ว่าลูกคลอดแบบปกติ ไม่ถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด และวันนี้พึ่งจะครบ 37 สัปดาห์พอดิบพอดีเลย

“พี่ตี้ดูลูกเราสิ  พอครบ 37 สัปดาห์ปุ๊บ ลูกก็จะออกมาเลย” หน่องพูดยิ้มๆ

“เอาน่า มันอั้นมาตั้งนานแล้ว พอรู้ว่าพร้อมคลอด มันก็จะออกมาเลย” ผมตอบแบบกวนๆ

“แต่ลูกน่าจะรออีก 5 วันเนอะ”  หน่องพูดอย่างมีนัย ซึ่งจริงๆ ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ คือ อีก 5 วันก็จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของผมพอดี เคยคุยกันไว้ว่า ถ้าเผื่อลูกคลอดวันเดียวกับวันเกิดพ่อก็น่าจะดีเหมือนกัน

“โธ่ แค่เดือนเดียวกันก็เท่ห์แล้วละหน่อง”  ผมยิ้มด้วยความดีใจ

“แล้วหน่องเจ็บท้องไหม” ผมถาม

“อึม......ก็ไม่นะ เฉยๆ” หน่องตอบ

การสนทนาของเราก็หยุดเพียงแค่นั้น เพราะทางพยาบาลได้เตรียมรถเข็นเพื่อพาหน่องไปที่ห้องคลอดพิเศษเพื่อคลอดตามวิธีธรรมชาติ ซึ่งหน่องตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่า หน่องต้องการที่จะเบ่งลูกคนนี้ออกมาด้วยตัวหน่องเอง

พยาบาลค่อยๆพยุงหน่องขยับออกจากเตียงปกติไปที่เตียงแบบเข็นได้ที่ได้จัดเตรียมไว้แล้ว และค่อยๆเข็นรถออกไปจากห้องโดยมีผมเดินตามไปอย่างติดๆ แต่พอเดินออกมาจากห้องปุ๊บ ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมควรเอากล้องติดไปด้วยดีกว่าเพื่อที่จะถ่ายเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้ไว้ด้วย

“ลืมหยิบกล้อง เดี๋ยวไปหยิบกล้องมาก่อนนะ ”ผมบอกแล้วก็รีบเดินกลับไปที่ห้อง หยิบกล้องและรีบวิ่งออกมาเพื่อไปหาหน่อง ซึ่งจากที่ผมประเมินแล้วน่าจะอยู่แถวๆลิฟท์  ผมใช้เวลาไม่น่าเกิน 10-15 วินาทีในการไปหยิบกล้องแล้วกลับมาที่หน้าลิฟท์ แต่เมื่อผมกลับมา ผมกลับไม่เจอหน่องแล้ว ซึ่งทำเอาผมงงไปอยู่นิดนึง เพราะมันเร็วมาก ทีแรกยังเข้าใจว่าต้องเดินเรื่องเอกสารอะไรก่อนย้ายหรือเปล่า ผมเลยมองเข้าไปที่บริเวณที่เจ้าหน้าที่พยาบาลทำงานกันอยู่ แต่ก็ไม่เห็นหน่องหรือพยาบาลที่พาหน่องออกไปเลย

มองไปที่ลิฟท์เห็นมีลิฟท์ตัวนึงทำงานและกำลังลงไปหยุดที่ชั้น 8 ผมเลยพอจะเดาได้ว่า ทางศิริราชคงเปิดลิฟท์รอหน่องไว้อยู่แล้ว พอหน่องมาถึงหน้าลิฟท์ก็คงลงไปได้เลยไม่ต้องรอ ดังนั้นไม่คิดอะไรมากครับ ผมก็กดลิฟท์ตามลงไปทันที พอไปถึงหน้าห้องคลอดพิเศษก็พบว่าหน่องได้เข้าไปข้างในเรียบร้อยแล้ว ทางพยาบาลที่ห้องคลอดพิเศษเห็นผมก็รีบมาทักทันที

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงนะคะ” พยาบาลยิ้มแสดงความยินดีกับผม

“ขอบคุณครับ”  ผมยิ้มตอบ

“ขอถามหน่อยซิครับว่า ผมเข้าไปให้กำลังใจหน่องได้ไหม”  ผมถาม

พยาบาลส่ายหน้าและบอกผมว่า “คงไม่ได้นะคะ คุณพ่อต้องรออยู่ข้างนอกค่ะ จนกว่าคุณแม่จะคลอดเสร็จ แต่ไม่ต้องห่วงนะ จะรีบบอกทันทีถ้าคุณแม่คลอดแล้ว”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบ

ผมก็เลยได้แต่ยืนไปยืนมาอยู่ที่หน้าห้องคลอดพิเศษ (อีกแล้ว) แต่คราวนี้มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ต้องรอด้วยความกระวนกระวายใจอีกต่อไป แต่มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบหน้าลูก คนที่เรารอคอย  คนที่เราได้ร่วมกันต่อสู้ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ตื่นเต้นที่กำลังจะมีชีวิตใหม่ ที่บ้านจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน   มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

ระหว่างที่รออยู่นั้น ผมก็โทรศัพท์ไปบอกทั้งคุณแม่ผมและครอบครัวหน่องเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายรับทราบว่า วันนี้หน่องคลอดแน่นอน เวลาที่รอคอยมาอย่างยาวนานกำลังจะสิ้นสุด  ในความรู้สึกของผมขณะนั้นคิดอย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นยังไงต่อไป ขอให้ภรรยาและลูกของผมที่จะเกิดขึ้นมาปลอดภัย

สักพักพยาบาลก็ออกมาถามข้อมูลเพิ่มเติมกับผม ซึ่งจะเป็นข้อมูลของลูกที่จะเกิดมาโดยเฉพาะเรื่องชื่อลูก ที่ผมต้องตั้งชื่อไว้ให้ทั้งชายและหญิง

“ผมเขียนแค่ชื่อลูกชายใช่ไหมครับ เพราะ อัลตร้าซาวด์ไปแล้วว่าเป็นลูกชาย”  ผมถาม

“เขียนไว้ทั้งชายและหญิงดีกว่าค่ะ.............. แล้วคุณพ่อตั้งชื่อลูกไว้หรือยังคะ”  พยาบาลถามกลับ

“แค่คุยๆกันไว้กับแฟนครับ แต่ตั้งไว้สำหรับชื่อลูกชาย ไม่มีชื่อลูกผู้หญิง”  ผมตอบ

“ยังไงก็ตั้งไว้ก่อนดีกว่าค่ะ”  พยาบาลแนะนำ เหมือนอย่างกับเป็นไปได้ที่จะผิดพลาดจากอัลตร้าซาวด์อย่างงั้นแหละ

ซึ่งผมก็งงๆกับคำตอบนิดหน่อย เพราะผมรู้สึกว่าก็มันเป็นผู้ชายอยู่แล้ว ทำไมต้องตั้งเผื่อ แถมให้เขียนตอนนี้เลย ........... มันนึกไม่ออกครับ!!!!!!

ผมเลยมานั่งคิดจริงๆว่า ล่าสุดที่คุยเรื่องชื่อกัน ก็เมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง เราทั้งคู่รู้สึกว่า ลูกของเราที่กำลังจะเกิดขึ้นมานี้ มันแน่มาก มันกล้าหาญมากที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคและก็ไม่ยอมออกมาจากท้องคุณ:-)่ายๆ ไม่ว่าคุณแม่จะมีอาการมดลูกหดตัวถี่แค่ไหนก็ตาม เราเลยตกลงว่าเราจะตั้งชื่อลูกว่า “กัตส์” ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “Guts” ซึ่งแปลว่าความกล้านั่นเอง แถมเราเคยคุยกับขำๆว่า หน้าหน่องดูไปก็คล้ายๆ “อาราเร่” นะ  อาราเร่แล้วก็ต้องมี“กัตส์จัง” ด้วยถึงจะครบทีม ด้วยความฮาตอนที่ตั้งในตอนนั้น มันเลยกลายเป็นชื่อเดียวที่มีอยู่ในหัวตอนนี้ ผมจึงเขียนลงไปเลยว่า ชื่อลูกชายชื่อ ”กัตส์” ส่วนชื่อลูกผู้หญิงผมยังคงนึกไม่ออกครับ แต่เวลานั้นผมไม่เห็นว่ามันเป็นสาระ

“ในเมื่อน่าจะเป็นลูกชายแน่ๆ ก็ตั้งไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวยังไงก็ค่อยมาเปลี่ยน”  ผมคิดในใจ

เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็เขียนลงไปตรงชื่อลูกผู้หญิงว่า ”กัตส์หญิง” ซึ่งพอยื่นไปให้พยาบาล พยาบาลตั้งทวนคำถามผมทันทีว่าจะตั้งชื่อลูกแบบนี้จริงๆหรือ ซึ่งผมก็ตอบด้วยความมั่นใจเลยว่า “ครับ ยังไงก็เป็นลูกชายอยู่แล้วนี่ครับ”  พยาบาลก็เกาหัวเล็กน้อย งงๆกับความมั่นใจของผมนิดหน่อย แล้วก็ยอมรับกับสิ่งที่ผมตัดสินใจ

ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่า ชื่อที่ผมตั้งไปนี่จะเป็นชื่อที่จะไปออกในใบสูติบัตรเลย ...... ครับ! พอลูกคลอดเมื่อไร ทางโรงพยาบาลจะดำเนินเรื่องและออกสูติบัตรให้โดยทันที ไม่ถึงชั่วโมงเด็กคนนั้นจะถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการลงในสูติบัตรเรียบร้อยแล้ว  นั่นหมายความว่า ชื่อนี้จะเป็นชื่อที่ติดตัวเด็กคนนี้ไปตลอดกาล แม้คุณจะมายื่นเรื่องเปลี่ยนทีหลัง ยังไงชื่อในสูติบัตรก็เป็นชื่อเดิมเสมอ อนาคตถ้าลูกจะต้องทำธุรกรรมใดๆ เวลายื่นเอกสารก็ต้องยื่นทั้งชื่อตามสูติบัตรและชื่อที่เปลี่ยนใหม่เสมอ .................. ลองคิดดูซิครับว่า ถ้าลูกผมเกิดมาเป็นผู้หญิง ชื่อตามสูติบัตรก็จะปรากฏชื่อว่า “กัตส์หญิง” แม้ว่าเราจะเปลี่ยนชื่อได้ในอนาคตแต่ชื่อ “กัตส์หญิง” จะติดตัวลูกไปจนวันตาย ดังนั้นคำแนะนำของผมเลยครับว่า เราควรคิดไว้ก่อนว่าลูกควรจะชื่ออะไร อย่ามาคิดอะไรกะทันหันเหมือนผม ในเวลานั้นมันนึกอะไรไม่ค่อยออกหรอกครับ

กลับเข้ามาเรื่องเดิมดีกว่า ......... ขณะที่ผมได้แต่รออยู่ด้านนอก หน่องเองก็ถูกนำตัวเข้าไปในห้องเพื่อรอเวลาที่ปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ โดยปกติจะรอให้ปากมดลูกเปิดประมาณ 10 เซนติเมตร ถึงจะเริ่มต้นการคลอดได้ คุณหมอผู้ทำคลอดมาแล้วและโดยปกติจะมีการให้ยาเพื่อช่วยเร่งให้ปากมดลูกเปิดเร็วขึ้น แต่ในกรณีของหน่องคุณหมอบอกเลยว่า “คนๆนี้ร่างกาย Sensitive มากให้ยาเร่งคลอดแบบอ่อนๆก็พอ”

จากที่ผมทราบมาแม้ว่าจะมีการให้ยาเร่งคลอดก็ตาม กว่าปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ คุณแม่หลายๆคนก็ต้องนอนรอแบบนั้นอยู่หลายๆชั่วโมง ผมเองก็โทรไปหาน้องสาวผมซึ่งมีประสบการณ์การคลอดลูกมาแล้วถึง 3 คน น้องสาวผมบอกว่าในกรณีของเค้า

“ตอนชั้นคลอดก็น้ำเดินเวลานี้เหมือนกัน กว่าหน่องจะคลอดก็คงเย็นๆ”  น้องสาวผมยืนยัน

“โห นานขนาดนั้นเลยเหรอ”  ผมถาม

“บางคนข้ามวันข้ามคืนก็มี ท้องแรกก็ยากหน่อยแต่อันนี้ก็แล้วแต่คนนะ บางคนสามชั่วโมงก็คลอดแล้ว ก็มี”  น้องสาวผมบอก

“อึม ...................”  ผมรับฟังอย่างตั้งใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอก อยู่ในมือหมอแล้ว ยังไงคลอดแล้วโทรมาบอกด้วยนะ”  น้องสาวผมบอก

ถึงตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการรออย่างเดียวจริงๆ ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่นานมากนะ อาจจะเป็นเพราะว่าผมคุ้นเคยมานานแล้วในช่วงหลังๆกับการรอคอยอยู่หน้าห้องคลอดพิเศษแบบนี้ วันนี้ไม่มีใครมารออยู่หน้าห้องเหมือนผมเลย ผมเลยสันนิฐานเอาเองว่าน่าจะมีหน่องคนเดียวที่มาคลอดเวลานี้  เวลาผ่านไปประมาณ 5 ชั่วโมงได้ที่ผมมารออยู่หน้าห้องแบบนี้  จนกระทั่งผมได้ยินเสียงเด็กร้อง เสียงมันดังมากเป็นพิเศษ หรือหูผมตั้งใจฟังเป็นพิเศษก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆผมได้ยินเสียงเด็กร้องจริงๆ ผมรีบลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปเดินมา ลุกลี้ลุกลนอยู่หน้าห้องคลอดพิเศษ พยายามมองหาเหลี่ยมมุมที่จะมองเข้าไปข้างใน ผมอยากเห็นสักนิดก็ยังดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของลูกผมหรือเปล่า

แต่ตอนนี้ผมเห็นพยาบาลรีบวิ่งออกมาหาผมด้วยรอยยิ้มที่ทำเอาผมยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว

“คลอดแล้วนะคะ เป็นเด็กผู้ชาย”  พยาบาลบอก

“ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ”  ผมรีบถาม

“ครบ 32 ค่ะ ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเลย”  พยาบาลบอก

“ขอบคุณครับ”  ผมขอบคุณพยาบาลด้วยความดีใจและความโล่งใจเป็นที่สุด

“ลูกน่ารักมากเลย ยังไงคุณพ่อรออยู่ข้างนอกนี้ก่อนนะคะ”  พยาบาลบอกก่อนจะกลับเข้าไป

ส่วนผมรอต่ออีกสักพักก็มีพยาบาลอีกคนเดินมาหาผมอีก

“ลูกหน้าเหมือนแม่มากเลย เดี๋ยวถ้าพร้อมเมื่อไรจะพาลูกมาพบหน้าพ่อนะคะ”  พยาบาลบอก

“ขอบคุณครับ”  ผมพูดไปยิ้มไป ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานมันหายเป็นปลิดทิ้ง

ก็รู้สึกดีใจนะครับว่าพยาบาลทุกคนตื่นเต้นไปกับผมด้วย คงเพราะเห็นหน่องมาตั้งแต่ครรภ์หกเดือนจนถึงวันที่คลอด  และยิ่งมาบอกแบบนี้ผมยิ่งอยากพบหน้าลูกเข้าไปทุกทีแล้ว ตื่นเต้นมากที่จะเห็นหน้าลูกชายของผม

ผมรออยู่หน้าห้องต่อจนเกือบๆชั่วโมงได้ คุณแม่ของผมก็มาถึงที่ศิริราชแล้ว ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เราสองคนนั่งรอกันที่หน้าห้องอีกสักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งมีพยาบาลเดินออกมาบอกให้ผมเดินไปที่หน้าห้องกระจกที่อยู่ข้างๆห้องคลอดพิเศษ ตรงบริเวณที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้สำหรับให้เยี่ยมเด็กแรกคลอดกัน..หัวใจของผมเต้นแรงจนผมรู้สึก................ แล้วพยาบาลก็ค่อยๆเข็นรถที่มีเด็กชายตัวน้อยคนนึงออกมา มันเป็นครั้งแรกที่พ่อและลูกได้พบหน้ากันครับ เป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกจริงๆ ลูกลืมตาตลอดเวลาเลยและหันหน้ามองทางด้านที่ตัวผมเองยืนอยู่  เหมือนกับลูกจะรับรู้ว่าผู้เป็นพ่อของเค้ายืนอยู่ตรงนั้น  ณ เวลานั้นผมยิ้มแย้มแบบดีใจสุดๆ  ผมได้เป็นพ่อเต็มตัวแล้วครับ

“ได้เจอกันซะทีนะ ไอ้ลูกชาย”  ผมพูดไปมองหน้าลูกไป ซึ่งลูกก็ยังคงหันหน้ามาทางผมแบบไม่กระพริบตาเลย

แม้ผมได้พบลูกอยู่ 5 นาที แต่ก็เป็นห้านาทีแรกที่น่าจดจำมากที่สุดสำหรับผมเลย และดูเหมือนผมจะเป็นฝ่ายพูดๆๆๆกับลูกอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม แต่แค่ได้เห็นลูกมองมาที่ผม ถึงไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา  ผมก็แอบจินตนาการไปเอง ว่าลูกมีแอบส่งยิ้มทักทายพ่อกลับมา  .................แค่นั้นก็พอแล้วครับ ความรู้สึกอิ่มใจมันเกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

ทางพยาบาลบอกกับผมเพิ่มเติมว่า ต้องให้คุณแม่พักผ่อนในห้องคลอดพิเศษนี้ไปก่อน แล้วค่อยย้ายกลับขึ้นไปพักบนห้องพักปกติชั้น 14 เช่นเดิม ดังนั้นผมก็เลยนั่งรอต่อไปครับ แต่รอได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณหมอที่ทำคลอดหน่องก็มาเรียกผมไปดูลูกอีกครั้ง สงสัยว่าคุณหมอคงไม่ทราบว่าทางพยาบาลภูมิใจนำเสนอลูกชายผมไปแล้วหนึ่งรอบ ผมก็เลยมีโอกาสได้ทักทายลูกผมอีกครั้ง ดีจัง    คุณหมอบอกผมด้วยว่าลูกพึ่งคลอดออกมาต้องมีการให้การฉายแสงให้ความร้อนลูกสักพักก่อน เพราะเด็กพึ่งคลอดออกมายังปรับตัวกับอุณหภูมิภายนอกไม่ได้ ผมถึงได้เข้าใจว่าทำไมทั้งแม่และลูกยังไม่ออกมาสักที คุณแม่พึ่งผ่านการคลอดธรรมชาติมาสดๆร้อนๆ ต้องมีการพักผ่อนสักนิดก่อน ส่วนคุณลูกก็ต้องมีเวลาให้น้องเค้าปรับตัวก่อนเช่นกัน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า คงต้องรอทั้งแม่และทั้งลูกเลย

ระหว่างที่รออีกเช่นกันพยาบาลก็มาอธิบายผมคร่าวๆเกี่ยวกับอาการของคุณแม่ว่า หลังจากคลอด คุณแม่จะรู้สึกอ่อนเพลียและเจ็บระบม  และจะมีเรื่องของน้ำคาวปลา ซึ่งเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากแผลที่เกิดจากการหลุดลอกตัวของรก ซึ่งจะค่อยๆออกมา โดยใช้เวลา 2 – 6 สัปดาห์ถึงจะหยุด และยังมีอาการเจ็บแผลที่ฝีเย็บด้วย จะเจ็บมากช่วง 1 -2 วันแรก

“คุณพ่อต้องช่วยคุณแม่ดูแลลูกด้วยนะค่ะ คุณแม่เองยังต้องเหนื่อยอีกเยอะ รวมถึงการเริ่มให้นมแม่ด้วย”  พยาบาลอธิบายให้ผมฟังถึงภาระหน้าที่ที่คุณพ่อควรจะมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกน้อยที่พึ่งเกิดมาด้วย ยิ่งฟังแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกว่าการจะเป็นแม่คนเนี่ย จะต้องผ่านเรื่องราวยากลำบากมากมายจริงๆ

เวลาผ่านไปถึงประมาณ 4 โมงเย็นได้ หน่องนอนอยู่บนเตียงที่ค่อยๆถูกเข็นออกมาจากห้องคลอดพิเศษ สภาพของหน่องอยู่ในสภาพที่อ่อนเพลียเอามากๆ ผมรีบเดินเข้าไปหาหน่องที่นอนอยู่บนเตียงนั้น

“พี่ตี้”  หน่องพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจแม้จะดูอ่อนล้าขนาดไหนก็ตาม

หน่องยื่นมือมาหาผม ผมก็รีบกุมมือหน่องโดยทันที

“พี่ตี้เจอลูกหรือยัง”  หน่องถาม

“เจอแล้ว น่ารักมาก”  ผมพูดไปยิ้มไปอย่างตื่นเต้นไม่หาย

“หน่องเห็นลูกตอนคลอดออกมาแป๊บเดียวเอง และยังไม่ได้เจอลูกอีกเลย”  หน่องตัดพ้อให้ฟัง

ทันใดนั้นพยาบาลก็อุ้มลูกออกมาพอดี

“น้องกัตส์มาแล้วค่ะ”  พยาบาลพูดอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเอาลูกมาวางที่เตียงเดียวกับที่หน่องนอนอยู่

จังหวะที่พยาบาลค่อยๆวางลูกลงข้างๆ หน่อง ผมสังเกตถึงสายตาที่หน่องมองมาที่ลูก วินาทีนั้นหน่องคงไม่รู้ตัวหรอกว่าเป็นสายตาที่บ่งบอกถึง แม่คนนี้รอคอยการมาของลูกอย่างใจจดใจจ่อขนาดไหน นัยน์ตาของหน่องเริ่มมีน้ำตาออกมาคลอเบ้า มันเป็นน้ำตาแห่งความปลี้มปิติ  ถ้าหน่องทำได้ หน่องคงอยากโอบกอดลูกไว้ในอ้อมแขน แต่เนื่องจากมือขวาของหน่องยังคงให้น้ำเกลืออยู่ หน่องจึงค่อยๆ  ใช้มือซ้ายบรรจงเอื้อมมาสัมผัสลูกอย่างแผ่วเบา ทะนุถนอม  

“สวัสดีคับลูก นี่หม่ามี๊เอง”  หน่องทักทายลูกคำแรก ด้วยความรักที่มีต่อลูกคนนี้อย่างเต็มเปี่ยม .......... มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่าทางใจของเราสามคนเป็นอย่างยิ่ง  ผมยังคงไม่เคยลืมความรู้สึกในวันนั้นเลยจริงๆ

พยาบาลได้พาหน่องและลูกกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยที่ชั้น 14 ห้องเดิม สิ่งแรกที่พยาบาลทำคือการสอนให้เรารู้วิธีการอุ้มลูกที่ถูกต้อง โดยเฉพาะบริเวณหัวที่มีน้ำหนักมากกับก้านคอที่เบาอาจทำให้กระดูกเคลื่อนได้ง่ายๆ ถ้าเราไม่รู้วิธีอุ้มที่ถูกต้อง ซึ่งท่าทางของคุณแม่มือใหม่ก็เงอะๆงะๆไปบ้างส่วนผมได้แต่ยืนยิ้มด้วยความปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก

“จะลองอุ้มไหมค่ะ”  พยาบาลหันมาถามผม

ผมหน้าตื่นเล็กน้อยเพราะโดยปกติเวลาไปเยี่ยมลูกใครๆก็ตาม ผมไม่เคยไปลองอุ้มเลย กลัวจะไปทำอันตรายลูกคนอื่นซะมากกว่า

“พี่ตี้ลองอุ้มดูซิ ลูกน่ารักมากเลย”  หน่องพูดไปขณะที่อุ้มลูกอย่างทะนุถนอม

“คุณพ่อจะได้ช่วยเลี้ยงได้ไงคะ”  พยาบาลเสริม

“คุณพ่อ“ ผมทวนคำพูดที่พยาบาลพึ่งจะพูดออกมาอยู่ในใจ

มันเป็นคำที่กำลังเปลี่ยนสถานะของตัวผมเองไปตลอดกาล จากคนที่เป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ จากคนที่เป็นสามีของภรรยาที่อยู่ข้างๆผม ตอนนี้ผมได้เข้าสู่สถานะของ”คุณพ่อ”ที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องลูกน้อยที่เกิดขึ้นมานี้ไปตลอดกาล

ผมค่อยๆอุ้มลูกไว้โดยมีพยาบาลค่อยๆ สอนคุณพ่อมือใหม่อย่างผมให้อุ้มลูกอย่างถูกวิธี ก็อย่างว่าคนไม่เคยอุ้มลูกจริงๆ เก้ๆกังๆมากๆ เล่นเอาผมหน้าเครียดเลย แต่ก็เต็มใจครับ

“นี่มันยากกว่าเวลาทำงานเป็นไหนๆ” ผมพูดแซวตัวเองแก้เขินขณะที่ค่อยๆอุ้มลูกขึ้นมาอย่างช้าๆ

ตอนจับลูกขึ้นมาอุ้ม ลูกตัวนิดเดียวเอง เราพยุงเค้าด้วยมือของเราเอง ผิวที่ผมได้สัมผัสมันนุ่มมากๆ น้องเค้าบอบบางมากๆ เรียกได้ว่าจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ชีวิตอยู่ในมือเรา ขณะที่ผมกำลังอุ้มลูกผมอยู่นี่เอง จู่ๆผมเกิดแว๊บหวนไประลึกถึงพี่คนหนึ่งขึ้นมากะทันหัน พี่คนนี้เป็นพี่ที่ผมทำงานด้วยสมัยช่วงชีวิตการทำงานแรกๆของผม ตอนนั้นเค้าพึ่งได้ลูกคนที่ห้า อายุของพี่คนนั้นก็พอสมควรแล้ว แต่ยังมีลูกอีก

ผมถามพี่เค้าในเวลานั้นว่า "พี่ดาว พี่ไม่เหนื่อยหรือครับมีลูกตั้ง 5 คน"

พี่ดาวยิ้มอย่างมีความสุขและบอกผมว่า "ตี้! ลูกคือชีวิตนะ ..... มันคือชีวิตจริงๆ"

ในครั้งแรกที่ผมได้ยินคำตอบนี้จากพี่ดาว ผมแค่รู้สึกว่าคำตอบของแกโคตรเท่ห์เลย ผมเองไม่ได้คิดอะไรที่ลึกซึ้งมากไปกว่านั้น จนกระทั่งเวลานี้ในนาทีที่ผมได้อุ้มลูกของผมเองแบบนี้............เกือบ 20 ปี กับคำพูดวันนั้น ผมพึ่งจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้เอง

ลูกคือชีวิตจริงๆครับ ไม่มีคำอธิบายอะไรที่ดีกว่านี้อีกแล้ว  ผมเข้าใจในสิ่งที่พี่พูดแล้วครับพี่ดาว

แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 55 23:32:15

แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 55 23:30:59

จากคุณ : คุณพ่อน้องวิลล์
เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 55 23:11:31




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com