Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 36 vote ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13121607/W13121607.html

บทที่ 36

ในคัมภีร์ไสยเวทย์โบราณจารึก 'อาคมสมิงจันทรา' ไว้เพียงสองบรรทัด หมอผาเคยอ่านและท่องได้ เขาไม่นึกเลยว่าในวันข้างหน้าต้องใช้มนตร์บทนี้สยบความอหังการของซาตานร้ายและคลี่คลายวิกฤติมรณะของฤดีดิษถ์

เขาน่าจะเก่งและเชี่ยวชาญตั้งแต่ตอนนั้น นั่งสมาธิ ถอดกายหยาบ เห็นนิมิตในอนาคต เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น วันร้ายๆ อย่างวันนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น

"โอ๊ย ไอ้ชายมากอาคม โอ๊ย แม่นางแพร โอ๊ย จัดการมันให้พี่ เจ็บปวด ข้าเจ็บปวด กลัว ข้ากลัว"

ทั่วโถงที่คลุ้งไปด้วยฝุ่นละอองสกปรก เส้นรากหยากไย่ปัดเป๋ตามแรงกระโชกของสายลมมนตราลี้ลับที่นับแต่กาลไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ร่ายออกเสียง

หมอผาต้องตระหนกหรืออาจช็อกไปเลยก็ได้ ถ้ารู้ภายหลังว่าตนคือผู้บุกเบิก ฤทธิ์อลังการงานสร้างที่ทำให้แม้แต่ซาตานอมตะยังร้องเอะอะได้ แล้วมีหรือที่แม่นางแพรจะกล้าหาญไปกว่าพี่ชาย

"ชื่อเราคืออชินี เลือดหยดแรกเมื่อเราลืมตาเป็นของสมิงจันทรา เจ้าขุนเขาอันเวิ้งว้างกลางสายหมอก ผู้ใดร้องเรียกในกาลหน้าซึ่งไร้สิ้นตัวตน เราจะเรืองอำนาจสยบสิ้นทุกสมิงแลภูต พายุอาคมปรากฏ กระโชกมาแต่สายฝนเลือดเหลืองอร่าม มันผู้ต่อต้านจะพินาศ"

ซาตานวจาหงายหลังล้มตึงกุมขมับทึ้งผมแข็งหยาบทุรนทุราย เสียงคำรามของเจ้าขุนเขาแห่งกาลอันไกลโพ้นก้องระงมจนโถงสั่น

พระครูลาพุชสะท้านในจิต พลันรีบทิ้งทุ่งรัตนชาติ พลิ้วร่างมาหยุดลอยกระวนกระวายเบื้องหน้าประตูวิหารวัง

ท่านศมะปราดตามมาด้วยมาดองอาจ หรี่ตาลึกเจือตระหนก นับแต่จำความได้ตราบดับสูญนานหลายภพหลายชาติ ยังไม่เคยได้ยินเสียงคำรามฮึกเหิมที่แฝงรังสีลี้ลับอำมหิตจนน่าขนลุกเช่นนั้นเลย

"นั่นคือเสียงอะไรเจ้าข้า แล้วฝนผืนนั้นทำไมสีประหลาดยิ่ง" ท่านถามฉงน ตาทื่อเพ่งยอดวิหารวังที่สั่นกึกๆ ในม่านฝนเลือดเหลืองอร่าม "วิหารวังกำลังจะถล่มหรือเจ้าข้า เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ท่านพ่อ ท่านพ่อเจ้าข้า"

"เราก็ไม่รู้เจ้าเอ๋ย เราก็ไม่รู้" พระครูครางยาว ตื่นตาเจือแตกตื่นกับปรากฏการณ์ประหลาด "ยังมีชะตาอันดำมืดอีกมากมายนักที่ซ่อนปริศนา และเราไม่อาจรู้ทั้งหมด แม่นางแห่งเราเล่า แม่นางยังอยู่ข้างใน เราจะทำยังไงกันดีท่านศมะ"

"ลูกจะเข้าไป"

"ท่านศมะ"

ร้องห้ามไม่ทันหรอก ท่านศมะรุ่มร้อนห่วงใยแม่นางเจ้าฟ้ายอดดวงใจออกเพียงนั้น ร่างในชุดเทาพุ่งทะยานรวดเร็วยิ่งกว่าลูกดอกอาบยาพิษขององครักษ์นักรบแห่งคามธุมาธารเสียอีก

แต่ก็ไปไม่ถึงหรอก บังเกิดลำแสงขาวจ้าระเบิดพรวดออกมาจากช่องประตู ร่างปราดเปรียวปลิวละลิ่วผ่านเส้นผมบิดาพระครูไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ใหญ่บนยอดภูสูง

อานุภาพอาคมสมิงจันทราหนักหน่วงถึงเพียงนี้ มิน่าเล่า เหล่าผู้มากอาคมในหมู่บ้านนักล่าแห่งกาลเก่าจึงไม่มีใครอาจหาญแตะต้อง

หมอผากลายเป็นอัศวินไปแล้วกระมัง เขาปรากฏตัวแทรกออกมาจากลำแสงปริศนาพร้อมกับร่างโชกเลือดของฤดีดิษถ์ แม้ตัวจะบาดเจ็บแต่เรี่ยวแรงที่อุ้มสาวหัวดื้อก็ดูว่ายังเหลือเยอะอยู่

มนตราขนนกช่วยคลายพันธนาการจากกิ่งไม้ ท่านศมะรีบลอยปราดมาหยุดห่างชายมากอาคม พระครูชราขยับมาสำรวจวงหน้าแม่นางเปรอะเลือด ท่านเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าและยอดวิหารวังที่ย้อนคืนสู่ภาวะปกติแวบ แล้วถามขึ้น

"เกิดเหตุอาเพศอันใดหรือเจ้า"

"เรื่องมันมั่วนิดหน่อย เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟัง ขอกลับเข้าร่างก่อน เราต้องรีบพาคุณฤดีดิษถ์ไปหาหมอ"

"แม่นางบาดเจ็บสาหัสใช่ไหม" ท่านศมะถามร้อนรน

"ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เธอ เอ้อ ไม่รู้สิ อย่าเพิ่งถามเลย ตอนนี้สมองผมมันเหมือนโจ๊กเละๆ "

พระครูสบตาปรามความว้าวุ่นของหน่อเนื้อ ท่านหลีกทางให้ชายมากอาคมเดินกลับไปที่ร่างตน เขาวางร่างแม่นางเจ้าฟ้าลงตรงหน้า ใช้เวลาไม่ถึงอึดใจ ร่างนั่งนิ่งหลับตาสนิทก็ขยับ

"ผมบาดเจ็บ" เขาบอกเหนื่อยๆ "ไม่ใช่เธอที่ต้องรีบหาหมอ ผมก็เหมือนกัน คืนนี้ รอให้เธอหลับสนิท เราไปเจอกันที่บ้านลุงโภชน์ได้หรือเปล่าครับ ผมมีบางอย่างอยากถามและอยากปรึกษาด้วย"

ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว สองพ่อลูกผู้ภักดีเฝ้ารอแม่นางเจ้าฟ้าย้อนคืนมานานหลายภพก็เพื่อร่วมภารกิจกำจัดซาตานอมตะ ในเมื่อกาลนี้มีผู้รอบรู้ด้านไสยเวทย์มาเป็นผู้ช่วยอีกคนก็ย่อมน่ายินดี

อะไรก็ได้ขอให้บอกมาเถอะ ไม่มีคำว่าตั้งแง่และขัดขวาง ภารกิจเอาเถิดเจ้าล่อกับดวงชะตา มันคาราคาซังยืดเยื้อนานเกินไปแล้ว หากลุล่วงเสียแต่ในภพนี้ ก็จะยิ่งน่ายินดีอีก




หมอน้อยถูกเชิญตัวมาอย่างเร่งด่วน เขาหัวเราะเครียดในลำคอ ยังไม่ค่อยเข้าใจคำบอกเล่าลวกๆ ของลุงโภชน์นัก เพราะอาการบาดเจ็บของคนไข้ก็ดูว่าสาหัสอยู่

แต่มันแปลกที่ร่างกายของคนสองคนกลับดูแข็งแรง ดั่งว่ามีภูมิต้านทานประหลาดๆ คอยแบ่งเบาและบำบัดอย่างเงียบๆ

"ไม่ใช่ว่าผมลบหลู่กับเรื่องลี้ลับในบ้านของเรา แต่บางเรื่องผมก็ฝืนใจรับไม่ได้ ในวิหารวังร้างน่ะหรือซ่อนซาตานอมตะ ในยุคนั้นเรียกอย่างนั้น ยุคของเราเรียกอะไรครับ มนุษย์ผีดิบ แวมไพร์ ซอมบี้"

"หมอน้อย"

"เป็นไปได้ไหมว่าในนั้นมีสัตว์ร้ายอย่างเช่น งู ตะขาบ หรืออื่นๆ อย่าลืมสิว่ามันเป็นที่ร้าง คนบ้านเราถูกฝังหัวให้เชื่อว่าที่นั่นเป็นที่สถิตของผู้วิเศษ จึงไม่มีใครกล้าไปป้วนเปี้ยน ยิ่งเข้าไปในนั้นยิ่งไม่มีทาง"

"แล้วบาดแผลพวกนั้น.. "

"ไม่รู้สิครับ เราเรียกมันว่าบาดแผล แต่มันก็เหมือนไม่ใช่ ผมคิดว่ามันเป็นรอยช้ำจากแรงกระแทกหนักๆ ชีพจรเขาสองคนเต้นปกติดี ความดันโลหิตก็ปกติ นอกจากแผลถลอกกับรอยขีดข่วนเล็กๆ แต่เยอะๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าหวาดเสียว"

หมอน้อยเดินกลับมาดูคนนอนหลับสองคน เสียงชาวบ้านข้างนอกเอะอะเข้ามา ลุงโภชน์ส่ายหัวกับถอนใจหงุดหงิด แกอยากจะบ้า มีปัญหาประหลาดประดังเข้ามาพร้อมกัน จนป่านนี้ยังไม่มีใครพบตัวหนุ่มกรุงเทพที่ทะเล่อทะล่าหายเข้าไปในป่าอัญมณีสักคน

แกปลีกตัวกลับมาก่อน เพราะใจกังวลห่วงแม่หนู แต่พอถึงบ้านยังไม่ทันได้ก้าวขาลงจากรถ หมอผาก็มาถึงพร้อมกับสภาพอิดโรย สะบักสะบอม กับเลือดเต็มตัว

"ได้ข่าวอะไรบ้าง" แกออกมาทรุดนั่งหน้าประตูบ้านนั่นแหละ

"ไม่มีใครเจอเขา เดาว่าคงจะเข้าไปลึกมาก อาจทะลุภูข้ามไปอีกฝั่ง ป่าทางโน้นไม่มีใครกล้าไปหรอก"

'อีกฝั่ง' หมายถึงดินแดนร้างนอกคามดารกะและทอดตรงไปบรรจบกับหุบเหวปีศาจ ที่นั่นคือจุดศูนย์รวมของดวงวิญญาณนักโทษประหารที่ทำความผิดร้ายแรงจนไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีฝังศพตามประเพณี

เช่นเดียวกับอดีตเขยวจานั่นเอง ต่างกันก็ตรงที่ดวงชะตาของอดีตเขยมันร้อนแรงแข็งกล้าเพราะก่อกำเนิดมาจากดาวอาสภสีเลือด มันจึงเป็นเพียงหนึ่งดวงวิญญาณที่ได้รับการชุบชีวิตและฟื้นตนกลายเป็นอมตะ




ท่านศมะหยุดยืนเหนือปากเหวที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกขาว สายลมมรณะพัดผ่านไม่เคยหยุดนิ่งเช่นเดียวกับกาลเวลาที่ไม่มีวันจะหยุดนิ่งชั่วนิรันดร์

"อย่าเพิ่งท้อแท้ใจไปเจ้า หากว่าภารกิจนี้มันง่ายดายยิ่ง ในโลกแห่งดวงวิญญาณก็คงไม่มีเรา แม่นางเจ้าฟ้าจะไม่ดับสูญอย่างขมขื่น"

"ท่านพ่อเจอดวงชะตาของชายคนนั้นหรือยังเจ้าข้า"

"ก็เหมือนเจ้าไง ลงไปรื้อค้นข้างล่างเป็นนานสองนาน เจ้าเจอหรือเล่า"

"ซุกซนกวนโทสะมากเลยท่านพ่อ ลูกอารมณ์ไม่ดี"

พระครูผู้รอบรู้ก็อารมณ์ไม่ดี ท่านถอนใจพรู อ่อนล้ากับการควานหาภพชาติของชายที่ปรากฏตัวพร้อมกับสายฝนสีเลือด เขาเป็นใครกันหนอ ทำไมไม่มีที่มาที่ไปเล่า

มันเป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะก่อเกิดจากความว่างเปล่า ท่านพยายามมองหาคำตอบที่เริ่มต้นด้วยคำว่า 'เว้นเสียแต่ว่า' แต่ก็ยังไม่เจออะไรเลยอยู่ดี

เหมือนท่านศมะที่ลงไปควานหาใต้หุบเหวอันลี้ลับ เขาร้องไห้เงียบๆ เมื่อไปหยุดนิ่งเบื้องหน้าแท่นหินที่พอกหนาด้วยคราบตะไคร่คล้ำ กาลเก่าย้อนไปหลายร้อยปีโน้น แม่นางกณิการ์เดินทางมาดับสูญบนนี้

พิธีกรรมนั้นโหดร้าย ต้องใช้ไม้ไผ่ปลายแหลมลำใหญ่แทงครั้งเดียวให้ทะลุทรวงอก เลือดจะหลั่งชโลม กายดับสูญถูกเผากลายเป็นเถ้า

ทำไมชะตาของแม่นางช่างอาภัพนัก ไม่ผิดเพี้ยนไปจากมารดาเจ้าฟ้า แม่นางเจ้าพี่ หรือแม้แต่หน่อเนื้อแม่นางมัลลิกา ทั้งสี่คือหญิงสูงศักดิ์มากวาสนา แต่ยามดับสูญกลับต่ำต้อยแนบชิดผืนดิน

อยากเห็นว่าซากเถ้าธุลีของแม่นางเจ้าฟ้าถูกฝังไว้ที่ไหน พิธีกรรมเก็บชะตามันต้องสิ้นสุดลงตรงที่เก็บเถ้าธุลีไว้ในที่ที่ปลอดภัย และต้องรอจนกว่าจะพบร่างใหม่ เจ้าของชะตาทาสผู้มาพร้อมสายฝนสีเลือดในคืนเดือนเพ็ญ

หากแต่รัตติกาลนั้น สีเหลืองอร่ามของเดือนเพ็ญจะแปรเป็นสีรุ้งเจือทองพร่างพราย ร่างใหม่ต้องดับสูญเพื่อรักษาเถ้าธุลี และเมื่อถึงเวลา ร่างนั้นจะย้อนคืนพร้อมกับจิตอันแข็งกล้าของแม่นาง

"เอ๊ะ" จู่ๆ ภวังค์ครุ่นคิดก็โดนสกัดด้วยผงฝุ่นสะกิดใจ

"เจอเนื้อคู่หรือเจ้า" บิดาชราอารมณ์ขันกลั้วหัวเราะ

"ขบขันยิ่งเลยเจ้าข้า น่าหมั่นไส้นัก ลูกกำลังคิด"

"เกี่ยวกับหมอกขาวกลุ่มนั้นน่ะหรือ พ่อเห็นองครักษ์ท่านจ้องเขม็งอยู่นานแล้ว จินตนาการอันใดเล่า"

"ท่านพ่อ" ท่านศมะไม่ร่วมตลกด้วยเลย หน้าเขาเครียดมาก "ในพิธีกรรมเก็บชะตา แม่นางกณิการ์ต้องรอร่างใหม่เจ้าของชะตาทาสใช่ไหมท่าน"

"ใช่ ขั้นตอนนี้เรากำหนดไม่ได้เลยว่าต้องรอนานแค่ไหน เพราะร่างใหม่ต้องมีเจ้าชะตาเป็นทาสแม่นาง"

"และต้องมาพร้อมกับสายฝนสีเลือดด้วย" ท่านศมะกล่าวเสริม น้ำเสียงตื่นเต้นนิดๆ "เมื่อมาแล้ว จันทร์วันเพ็ญจะเปลี่ยนเป็นสีเลือด เสร็จพิธีสีเลือดจะเปลี่ยนเป็นสีรุ้งปนทอง ซึ่งเป็นสีเจ้าชะตาแม่นางเจ้าฟ้า"

พระครูเบิกตากว้าง ท่านจ้องกรอบหน้าขรึมแกมตื่นเต้นของหน่อเนื้อเขม็ง หรือว่าท่านเองที่มองข้ามกาลช่วงนี้ไป ใช่สิ น่าจะเป็นเช่นนั้นเสียแล้ว

ท่านศมะตื่นเต้นและกระตือรือร้นขึ้น เขาสาวเท้าตามบิดาไปหยุดใกล้โขดหินหมิ่นเหม่ชิดปากเหว ดูท่านลอยขึ้นไปยืนสำรวม กุมสมาธิจนสงบ พริ้มตาและเริ่มนับนิ้วคำนวณหาตำแหน่งชะตาในความมืด

"ด้วยบารมีเจ้าฟ้าทั้งสิ้นทั้งปวง โปรดมอบทางสว่างสายนั้นสู่เราด้วยเถิด มันน่าจะเป็นทางสายสุดท้ายของเราแล้ว ไม่อย่างนั้นเราทั้งหลายคงหมดสิ้นสติปัญญา ไม่อาจช่วยกอบกู้ชะตาแม่นางกณิการ์ได้อีก"

ท่านศมะคุกเข่าสำรวมกล่าวอธิษฐาน เพ่งจิตแข็งกล้าลงสู่หุบเหวลึก เขาต้องช่วยบิดาอีกทาง ต้องเร่งหาตำแหน่งเก็บรักษาเถ้าธุลีแม่นาง ร่างทาสต้องถูกฝังอยู่ตรงไหนสักแห่งเบื้องล่างนั้น บางทีปริศนาชะตาว่างเปล่าของชายลายสืออาจคลี่คลายจากตรงนั้นด้วยก็ได้

โอ.. เส้นผมกำลังไหลห่างภูเขาไปแล้วกระมัง ที่เคยนึกไปว่าลายสือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับกาลเก่าอาจกลายเป็นม้ามืดและหมากเด็ด

รออีกสักอึดใจเถอะ ทันทีที่พระครูลาพุชลืมตา ท่านอาจมีคำตอบมาเฉลยข้อกังขาให้กระจ่างแจ้งก็ได้ ทุกคนอาจจะได้ฟังท่านบอกอย่างลิงโลดว่า 'ที่แท้ลายสือก็คือร่างทาส'




แสงสลัวในห้องนอนดึงร่างนอนตะแคงของหญิงสาวขึ้นแล้วขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าเห็นเงาบางอย่างตระหง่านห่างเตียงไปสองสามก้าว

เธอนั่งตัวตรงผลักผ้าห่มไปซุกไว้ข้างหลัง ใจเต้นแรงเมื่อตระหนักว่าเงานั้นกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา ตรงปลายเท้าสว่างด้วยแสงจันทร์ลอดจากหน้าต่าง แล้วเธอก็สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นชัดตาและเต็มร่างใหญ่ยักษ์

"ข้าต้องการยุติความอาฆาต แค้นของข้ากับเจ้ามันยาวนานเกินไป ตราบใดที่ยังมีเจ้า รัศมีแห่งความรุ่งเรืองของซาตานอมตะอย่างข้าจะไม่เปล่งประกาย"

"คุณ มะ.. หมาย.. มะ.. หมายถึง ฉะ.. ฉัน"

"ใช่ ถึงเวลาที่เจ้ากับข้าต้องทวงยุคสมัยของกันและกันคืน เจ้าต้องดับสูญ แต่ข้าจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ดูโน่นสิเจ้า"

ฤดีดิษถ์ไม่กล้าขยับตัว เงาดำเข้มใหญ่ตระหง่านเกินกว่าจะอวดเก่ง ในใจมันว่อนไปด้วยคำบอกเล่าของหมอผา

เธอกำลังนึกถึงเขา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาโผล่เข้ามา ช่วยยืนยันหน่อยว่าเธอกำลังคุยกับซาตานวจาในตำนานบ้าๆ บอๆ จนถึงนาทีแห่งความกลัวคุกคาม เธอก็ยังไม่วายลังเลใจที่จะเชื่ออย่างเต็มร้อย เพราะบางทีมันอาจจะเป็นความฝัน เธอกำลังฝันอยู่

"ลายสือ"

ฝันอยู่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจหรอก แต่ตอนนี้เธอผลุงไปเกาะขอบหน้าต่างอย่างแตกตื่นแล้ว แฟนหนุ่มวิ่งสาละวนอยู่ในความมืดรายล้อมด้วยหมอกควันขาวขุ่น เหมือนว่าเขาจะถูกขัง วิถีวิ่งวนเป็นวงก็คล้ายว่าลนลานและขาดสติ แต่ก็ยังพยายามหาทางออกไป

"คุณทำอะไรเขา" ความกลัวจืดชืดไปเลย เมื่อความห่วงใยล้นขึ้น

"มันยังไม่ดับสูญ แต่ข้ากำหนดได้ เราใช้มันเป็นเดิมพันการปิดฉากอาฆาตเราสองเถอะแม่นางชั่วช้า"

"คุณเรียกใคร ฉันชื่อฤดีดิษถ์"

"เจ้าคือแม่นางชั่วช้า ข้าจะรอคืนนี้ ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าจะส่งซากศพไร้ค่านั้นมาเยาะเย้ยเจ้า ดวงวิญญาณของมันจะตกเป็นทาสของข้าชั่วนิรันดร์"

"ไม่ ฉันไม่เชื่อ มันอาจเป็นภาพลวงตา ใช่สิ ภาพลวงตาเหมือนวันนั้น"

ฤดีดิษถ์เพิ่งฟื้นมากกว่าตื่น เธอไม่รู้หรอกว่าวันนั้นที่พูดถึงหมายถึงเมื่อวานนี้ แค่จำได้ว่ามีคนมาปลุก แล้วก็เห็นว่าลายสือที่รักถูกกระชากลากถูไป

เขาเจ็บปวดและร้องเรียกเธอให้รีบไปช่วย เธอจึงรีบตามไป แล้ววูบนั้น เธอค่อยขมวดคิ้วแปลกใจตัวเองว่าทำไมจำเหตุการณ์หลังจากนั้นไม่ได้ เช่นว่าตามแฟนหนุ่มไปยังไง ไปที่ไหน แล้วทำไมตอนนี้เธอยังอยู่ในห้องนอน หรือว่าจะกลับมาแล้ว

"จริงสิ"

เธออุทานเหมือนฉุกใจคิด ผินหน้ากลับไปมองความมืด รู้สึกเจ็บจี๊ดทั่วแก้ม ซาตานวจากำแหงมาก มันตบหน้าเธอเพื่อยืนยันว่านี่คือความจริงไม่ใช่ความฝัน

มันอ่านใจร่างใหม่ออก ตอนนี้ก็โผไปยืนกลางวงล้อมของม่านหมอก มือใหญ่ข้างหนึ่งตะปบศีรษะของลายสืออย่างยั่วยุ ครางเสียงยืดยานและเย็นเยียบท้าทายว่า

"ข้าจะพิสูจน์ว่าชีวิตอมตะของข้าต้องเป็นนิรันดร์ เว้นเสียแต่ว่าแม่นางอชินีจะย้อนคืน และมันจะไม่มีกาลนั้นมาสู่ข้า"

"ลายสือ หยุดนะ อย่าทำร้ายเขา ลายสือ ลายสือ"

ลายสือไม่ได้ถูกทำร้าย ซาตานวจาร่ายมนตราลวงเร่งเร้าให้เหยื่อรีบตัดสินใจต่างหาก มีเวลาเพียงวันนี้จนถึงค่ำ ชีวิตของแฟนหนุ่มไม่ใช่เดิมพัน แต่ก็อนิจจา ฤดีดิษถ์จะไปรู้ได้ยังไง เธอจึงต้องเชื่อไว้ก่อน เพราะภาพที่เห็นอย่างสะท้านทรวงนั้น เขาเจ็บปวดและอันตรายมาก

เงาดำเข้มนั้นบีบคอเขาแล้วยกชูกลางอากาศปล่อยให้เขาดิ้นพล่านๆ บนนั้นมันสูงกว่ายอดไม้เสียอีก เธอกลัวมาก กลัวว่าถ้าร่วงลงมาเมื่อไหร่ เขาก็อาจจะ 'ตายทันที'

"เกิดอะไรขึ้น" หมอผาผลักประตูเข้ามาเลย เขาพรวดมายืนข้างสาวแผดเสียง มองลึกเข้าไปในความมืดอย่างสำรวจ

"เงานั่นคืออะไร มันทำร้ายลายสือได้ มันจับตัวเขาไว้ มันต้องการอะไรจากฉัน คุณอา มันจะฆ่าเขา"

"ใจเย็นครับ คุณฤดีดิษถ์ใจเย็นลง เชื่อผม หยุดครับ หยุด"

ทุกคนตามเข้ามาสมทบ และเห็นว่าสาวครีเอทีฟพลุ่งพล่าน เธอปัดมือของหมอมากวิชาที่พยายามรวบตัว มีบางอย่างนอกหน้าต่างดึงความสนใจ เธอหมั่นหันมองด้วยกิริยารุ่มร้อนและหวาดกลัว

"ไม่นะ ไม่"

เธอแผดเสียงแหลมก้อง สลัดแขนและผลักหมอผา รีบโผไปเกาะหน้าต่าง ยื่นมือออกไปห้ามร้อนรน

"อย่าทำอย่างนั้น อย่าทำ เขาต้องคอหักแน่ ได้ ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร แต่ฉันจะไป ฉันจะไป เราจะหยุดทุกอย่างที่คุณว่า ฉันไม่รู้ว่าอะไร แต่ฉันจะไป ฉันจะหยุด ฉันจะหยุดคุณให้ได้ ปล่อยเขาลง ฉันบอกว่าปล่อยเขาลง"

น่ากลัวจังเลย ซาตานวจามาคุกคามที่นี่ แต่เขาซึ่งมากวิชากว่าใครในที่นี้กลับไม่รู้สึกสักนิด หมอผาคนเก่งลอบกลืนน้ำลายพรั่นพรึง เขาต่อสู้กับซาตานร้ายตนนี้ไม่ได้หรอก

การเผชิญหน้าเพื่อยุติแรงอาฆาตข้ามภพมันไม่ค่อยยุติธรรมกับอีกฝ่าย และผลลัพธ์ที่ไม่ต้องเดาก็ไม่มีทางผิดเพี้ยน เขากับฤดีดิษถ์ต้องตายพร้อมกันแน่ๆ จากนั้น ดวงวิญญาณก็คงไม่แคล้วถูกกดขี่ไว้เป็นทาส

แต่มันไม่ดีใช่ไหม สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เกิดมาต้องมีสัญชาตญาณดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดติดตัวมาด้วย เขาก็เหมือนกัน ต่อให้รู้ว่าผลลัพธ์มันมืด แต่ในความมืดก็ไม่เคยมีคำว่ามืดสนิท และจุดเล็กๆ ที่ก่อแสงได้ในนั้นนั่นแหละที่มันจะคอยบอกเขาว่า 'ต้องไม่สิ้นหวัง'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 55 09:59:31




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com