สายลมพัดวูบมาพาให้หนาวสะท้าน พุ่มไม้ไหวส่ายไปมาตามแรงลม มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นดาวดวงน้อยส่องแสงระยิบระยับ
ทุกสิ่งรอบตัวเคลื่อนไหว เหลือก็แต่คนสองคนที่นิ่งไป เมื่อพัฒน์เอ่ยปากว่าเขาจะไม่ปล่อยมือ
อย่ามาเนียน หลังจากนิ่งไป พิมนวลก็หาเสียงตัวเองเจอจนได้ รีบทำเสียงเข้ม ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ
ก็เพราะโตแล้วน่ะสิ ถึงไม่ปล่อย พัฒน์รีบพูดทันที ทำเอาคนข้างๆ อึ้งไปอีก มองหน้าเขาก่อนจะว่า พูดบ้าๆ พัฒน์ฟังแล้วหัวเราะ อือ ก็ใช่ดิ เรามันบ้า ว่าแล้วก็ปล่อยมือแต่โดยดี ปล่อยก็ได้ แค่แกล้งเล่น ทำเป็นโวยวายไปได้ พิมนวลฟังแล้วค้อนให้ ขยับถอยออกห่าง ก่อนจะลุกขึ้นยืน พัฒน์ก็ลุกขึ้นตาม
ทั้งสองคนมองไปที่ต้นสะเดาที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันมามองกันเอง แล้วหันไปมองต้นสะเดาอีกครั้ง คล้ายว่ามีอะไรบางอย่างดึงดูดเขาทั้งสองคน
ทั้งสองจึงสาวเท้าเข้าไปที่ต้นสะเดานั้น เท้าสัมผัสพื้นดินรอบๆ โคนต้นที่ไม่เรียบด้วยเพราะเป็นดินที่ชายสองคนที่จากไปเพิ่งจะขุดและกลบมาใหม่ๆ
พิมนวลตรงเข้าไปชิดต้นสะเดา เอื้อมมือไปลูบลำต้นเบาๆ พลางส่ายหน้า มืดแบบนี้คงจะมองไม่เห็น ส่วนพัฒน์นั้นเหยียบดินไปรอบๆ ต้น ก่อนจะว่า ดูแล้วสองคนนั้นไม่ได้ตั้งใจมาทำพิธีขอหวยนะ
พูดแล้วหันมามองคนที่ยืนชิดต้นสะเดา เห็นเงียบไปก็ว่า อ้าว ลืมเอาปากออกมาจากพุ่มไม้หรอครับ คุณพิมนวล ประโยคหลังล้อเลียน และได้ผล เมื่อเจ้าตัวโต้ตอบทันที เอามา แต่เอาไว้พูดดีๆ กับคนดีๆ
พัฒน์ฟังแล้วหัวเราะหึหึ ใช่ซี้ เราทำอะไรไม่เคยดีสักที ปลายเสียงสูงโดยอัตโนมัติ พูดไปแล้วก็นึกแปลกใจ ไม่เคยพูดหรือรู้สึกอะไรแบบนี้มานานแล้ว ทำไมต้องมารู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยวะ คิดแล้วไม่เข้าใจตัวเอง ส่ายหัวแล้วเดินไปสำรวจอีกด้านของต้นสะเดา
พิมนวลมองตาม เห็นกริยานั้นแล้วรู้สึกแปลกๆ บ้าจริง มาทำเป็นงอน คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามไป นี่ อย่าไปไหนไกล เดี๋ยวมองไม่เห็น มืดไปหมดแล้วเนี่ย
พัฒน์หันมามองทันที เห็นหญิงสาวเดินตามมาก็อดยิ้มไม่ได้ ปากก็ว่า นั่นไง
นั่นไงอะไร พูดเรื่องจริง พิมนวลแกล้งว่า ยิ่งไม่มีไฟฉายมาด้วย ขากลับไม่เห็นทางแน่
ใช้ใจนำทางได้ป่ะล่ะ อยู่ดีๆ พัฒน์ก็โพล่งขึ้นมา ทำเอาพิมนวลชะงัก หันมามองหน้า ก่อนจะยิ้มขำ พัฒน์ก็หัวเราะ
เสียงหัวเราะของคนสองคนทำให้บรรยากาศใต้ต้นสะเดาดีขึ้นมาทันที
จากคุณ |
:
ชมเช้า
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ธ.ค. 55 20:23:14
|
|
|
|