ตอนที่...7...ก่อนเข้าสู่สงคราม
เท่าที่ทราบ ผู้กองที่เข้าร่วมในการนี้ เพราะรุ่นพี่ที่โรงเรียนนายทหาร ท่านหนึ่ง เป็นผู้ชักชวน จะเพราะอะไรนั้นก็ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่กระบวนการนั้น เห็นว่าเขาถูกทบสอบหลายครั้ง กว่าจะได้เข้าร่วม ซึ่งผู้กองเรียกว่า 'องค์กรเงา' ฟังชื่อมันดูลึกลับ เหมือนพวกก่อการร้าย แต่ความจริงชื่ออะไรนั้น ไม่สำคัญเท่า สิ่งที่องค์กรแห่งนี้ จะทำให้กับประชาชนส่วนใหญ่ อุดมการณ์ของผู้ที่เข้าร่วมนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าขาดสิ่งนี้ การที่ปฏิบัติอะไร ย่อมขาดกำลัง ในการขับเคลื่อน แต่แค่อุดมการณ์อย่างเดียวนั้น ไม่สามารถเป็นแรงผลักดันได้ทั้งหมด ทุกอย่าง ต้องมีผลตอบแทนที่คุ้ม ซึ่งแต่ละคน มีการตอบแทนที่แตกต่างกัน ผมไม่รู้ว่าใคร ที่อยู่ในองค์กรเงา เช่นกันกับคนอื่นๆ ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นใคร ทุกคนต้องปกปิด ตัวตนไว้ นอกจากในวงการทหารแล้ว ผู้กองบอกว่า ในวงการอื่นๆ ก็มีคนของ องค์กรเงาปะปนอยู่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคือใครเช่นกัน ตอนนี้ที่ทราบ คือรุ่นพี่คนนั้น ตัวผู้กอง และผมซึ่งถือว่าเป็นคนใหม่ที่สุดในขณะนี้...
ในการเข้าร่วมองค์กรเงา ผมจะได้รับเงินสดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว มันเป็นจำนวนเงินที่ผมได้รับมากที่สุดในชีวิต และผมไม่เคยจินตนาการว่า ผมจะมีโอกาส ได้ถือเงินจำนวนนี้ และจับจ่ายมัน "แกต้องหัดใช้ชีวิต ที่หรูหรา เงินนี้ทางองค์กรให้มา ต้องใช้ และใช้ให้หมด เรียนรู้ชีวิต จากการใช้เงิน นี่คืออำนาจเบืี้องต้น ที่ทุกคนปราถนา ต้องหัดคุ้นเคยกับมัน แต่อย่าหลงไหลกับมัน ใช้มันให้เกิดประโยชน์ เพราะอะไรรู้มั๊ย.." ผู้กองจ้องตา "มันเป็นการทดสอบ เพราะองค์กรจะทดสอบแก จนกว่าจะพร้อมสำหรับภาระกิจทีี่ใหญ่ขึ้น หรือภาระกิจเล็กๆ ที่ทางนั้นจะดูความสามารถแก โดยที่แกไม่รู้ตัว ระวังตัวไว้ อย่าไว้ใจใครมากเกินไป แต่อย่าระวังจนทำอะไรไม่ได้.."
ผมใช้เงินก้อนนั้น โดยการพา มาเรียหยางไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เพื่อทำความคุ้นเคย ผมซื้อของให้เธอหลายชิ้นแต่ที่เธอดูจะพอใจที่สุด น่าจะเป็นหมวก ที่ใส่เข้าชุด เธอดูพอใจในการเลือกซื้อของชิ้นนี้ให้เธอ ถึงเธอจะพูดภาษาไทยได้ดี แต่สำเนียง ไม่ชัดนัก ส่วนภาษาจีนแต้จิ๋วของเธอ เธอพูดได้คล่องแคล่ว เธอค่อยๆสอน ภาษาจีนสำเนียงฮกเกี้ยน ก็ไม่ยากนัก เพราะภาษาฮกเกี้ยนจะคล้าย กับภาษาแต้จิ๋ว มาเรียแปลกใจ เมื่อผมเลียนแบบสำเนียงฮกเกี้ยนของเธอได้ ในเวลาทีีรวดเร็ว สุดท้ายผมก็เลย คุยกับเธอ เป็นภาษาฮกเกี้ยนตลอด ผมไม่เคยไปเที่ยวลักษณะนี้ มาก่อน ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ มาเรียพาผมไปที่ร้านตัดเสื้อบุรุษ แถวพาหุรัด เพื่อให้ช่างตัดเสื้อ ตัดชุดสูท หลายชุด พร้อมทั้งอธิบายว่าชุดไหนควรไปงานไหน เธอจะคอยสอดแทรก เรื่องทัศนคติในการเข้าสังคม ตอนที่ไปรับประทานอาหารเที่ยง ที่ร้านอาหารจีน อีกอย่างที่เธอเริ่มสอน คือการสังเกตุ ผมจึงเริ่มสังเกตุเธอ หาความต้องการภายในใจ ผมคิดว่าเธอพอใจในตัวผมระดับหนึ่ง เราทั้งคู่มิได้คุย ในแบบศิษย์กับอาจารย์ แต่เหมือนหนุ่มสนทนากับหญิงสาว เราทั้งคู่เทียวจนถึงค่ำ เหมือนเวลา จะไม่พอให้เราทั้งสอง ช่วงค่ำผมพาเธอไปเต้นรำ ที่การ์เด้นฮอล เพื่อดูการรีลาศของหนุ่มสาว มาเรียหยางพาผมไปฝึกเต้น เพียงไม่นาน ผมสามารถจำลักษณะ การเคลื่อนเท้า ได้อย่างแม่นยำ เราสนุกกันจนถึงเกือบเที่ยงคืน ผมไปส่งเธอ ถึงที่พักแถวราชดำริ ผมอ่านตาเธอออก ว่าเธอเหมือนพอใจในตัวผม แต่ผมยังไม่แสดงอาการอะไร นั่นเพราะผม ต้องฝึกอ่านใจ และรู้จักใช้จังหวะ "ราตรีสวัสดิ์ อาจารย์มาเรีย ของผม.." ผมดึงมือเธอมาจูบที่หลังมืออย่างแผ่วเบา พร้อมใช้สายตาที่ทอประกายมอง ตาของเธอ... มาเรียหยาง มองตอบมาด้วยสายตา ที่มีเสน่ห์ แล้วพูดขึ้น "นี่เธอใช้วิชาที่ฉันสอน กับฉันเลยหรือ? ..คุณภาคี" ผมจึงตอบเธอ พร้อมรอยยิ้ม "มิได้ครับ..มีหรือผมจะใช้มันกับคุณ ผมแค่ใช้ความรู้สึก ที่มีต่อคุณ... เท่านั้น.." มาเรียหยางยิ้มอย่างพอใจ เพราะเธอรู้ว่าเขาอ่านใจเธอ ว่าควรพูดอะไร ให้คู่สนทนา รู้สึกดี "ถ้าคุณอยากเข้ามาในห้อง ฉันก็ยินดีน่ะ..." มาเรียพูด เหมือนเปิดโอกาสให้ผม "วันนี้ผมอยากเก็บความรู้สึกดีๆ แล้วไม่อยากให้คุณมาเรีย เห็นว่าวันนี้ ที่ผมทำอะไรให้ เพื่อเรื่องพวกนี้ แต่เป็นความรู้สึกดี ที่มีกับคุณ ผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้ ค่อยเจอกัน.." ผมเดินลงมาจากห้องพักเธอ ผมไม่เห็นเธออมยิ้มและ เดินเข้าห้อง เมื่อขึ้นรถจ้างที่จอดรอผมอยู่ ผมแอบยิ้มกับตัวเอง ที่สามารถระงับความต้องการ ภายใน ได้อย่างเหลือเชื่อ...
การเรียนการสอนดำเนินไป อย่างไม่เร่งรีบ มาเรียหยาง เอาหนังสือรักโรแมนติกของ นักประพันธ์ต่างประเทศมาให้ผมมาอ่าน แล้วตีความ ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจ ที่มาเรีย ให้ผมอ่านเป็นการฝึก หรืออยากให้ผมเข้าใจเรื่องรักมากขึ้น เมื่ออ่านหนังสือจบ เพราะเป็นหนังสือสั้นๆ "เป็นเรื่องของความรู้สึกผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีความต้องการ ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ.." ผมอธิบายตามแบบของผม แต่ดูผมไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ แนวนี้เท่าไหร่ แล้วมาเรียก็ เอ่ยขึ้น "อะไรก็ตามที่คุณไม่ชอบ คุณจะไม่รู้สึกกับมัน แต่ถ้าคุณชอบสิ่งใด ต่อให้ยากแค่ไหน คุณก็จะไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ" ผมสงสัย "มาเรีย คุณอยากให้ผมชอบอะไรแบบนี้... แล้วมันจะช่วยอะไรผมได้ ถ้าผมชอบมัน จริงๆ" มาเรียหยางยิ้ม "สำคัญมาก ถ้าคุณไม่พยายามรัก ในสิ่งที่คุณฝึก คุณก็ไม่มีวัน เข้าถึงแก่นของความรู้ทั้งหมด ที่ฉันจะถ่ายทอด...ต่อจากนี้ไม่ว่าฉันจะสั่งให้คุณทำอะไร คุณต้องทำมัน ด้วยความรัก จนกว่าฉันจะพอใจ..." ผมจึงตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ด้วยความรัก ที่มาเรียหยางกำหนดมา......
ผมเรียนรู้เรื่องการดำเนินชีวิต ของคนในสังคมต่างๆ ผ่านหนังสือหลายๆเล่ม และการเข้าไปตามไนท์คลับ คลุกคลีกับนักร้อง นักดนตรี ผมได้ความรู้จากตรงนี้ และต้องสนุกกับมันอย่างเต็มที่ ส่วนผู้กองได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ทางสายทหาร ก็วางเส้นสายไว้มากมาย ถึงบ้านเมืองจะสับสน แต่ก็มีแนวทางที่ดีขึ้น สงคราม ที่แผ่ขยายไปทั่วโลก หรือสงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มหยุด เยอรมันถูกฝ่ายพันธมิตรตีโต้ จนพื้นที่ของเยอรมันน้อยลง รวมทั้งกองทัพญี่ปุ่นที่เคยเกรียงไกร ก็เริ่มแสดงความอ่อนแอให้เห็น ในประเทศไทยก็มีการจัดตั้ง กลุ่มเสรีไทย เพื่อต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น เรียกว่าญี่ปุ่นถูกโดดเดี่ยว ที่ผมเก็บเกี่ยวจากเหล่าพ่อค้าต่างๆ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน พวกเขาไม่เคยหวาดกลัวสงคราม แต่ที่เขาหวาดกลัว คือไม่มีการค้าขาย ซึ่งเป็นใครก็ได้ แผนการของผมนั้นก็เรียบง่าย คือต้องหาแหล่งทุน เพื่อขยายอาณาเขต ผมจะเป็นผู้ประสานงานด้านข้อมูล และการเงิน เพื่อเข้าองค์กร จะเรียกว่า ผมเป็นฝ่ายคลังก็ได้
แล้วผมเดินทางไปสิงคโปร์ โดยเรือโดยสาร เพื่อใช้ชีวิตที่นั่น กับมาเรียหยาง เธอเป็นชาวสิงคโปร์ เชื้อสายจีน ใบหน้างดงาม อายุยี่สิบเจ็ดปี รูปร่างสมส่วน จบการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยที่นั่น ทำงานในบริษัทขนส่ง และแต่งงาน แต่ใช้ชีวิตคู่ได้ไม่นาน ก็เลิกรากันไป เธอมีลูกชายที่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งสามีเธอก็ไม่รับผิดชอบในการเลี้ยงดู มาเรียจึงมาทำงานเป็นล่ามที่สถานฑูต ที่กรุงเทพ พร้อมเปิดโรงเรียนสอน ภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างๆ แถวราชดำริ ในช่วงเย็น เพื่อจะได้เก็บเงินให้มากๆ มาเรียพูดได้ หลายภาษา เธอสอนผมทุกอย่าง รวมทั้ง...เรื่องบนเตียง ในขณะที่ ผมอายุ ๒๓ ปี เธออายุ ๒๗ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า เธอเป็นคนแรกสำหรับผม.... วันนั้นหลังจากที่ ผมคุ้นเคยกับเธอ ราวกับว่าเราเป็นคู่รักกัน ผมไปส่งเธอ ที่ห้องพักตามปกติ หลังจากผมพาเธอไปทานอาหารเย็น "จะไม่เข้ามาจริงๆหรือ?.." นี่เป็นครั้งที่สอง ที่เธอเอ่ยชวนผม "คุณอยากให้ผมเข้าไปจริงๆหรือ มาเรีย.." มาเรียหยางยิ้มอย่างลี้ลับ พร้อมกับพูดขึ้น "คุณลองอ่านใจฉันดู ว่าฉันมีความคิดยังไงกับคุณ..." ผมเขยิบตัวเข้าใกล้มองนัยตา ที่ทอประกาย "คุณเห็นผมเป็นลูกศิษย์ ที่จะถ่ายทอดทุกสิ่งอย่าง ให้ผมสมบูรณ์แบบ ตามที่คุณปราถนา ให้ผมเป็นอะไร ที่คุณอยากให้เป็น มาเรียผมอยากให้คุณสอนผม ทุกสิ่ง ที่คุณต้องการ..." แล้วผมก็เข้าห้องของเธอ จนรุ่งเช้า เธอบอกกับผมว่า "คุณจะไปอยู่กับฉัน ที่อพาร์ทเม้นท์ที่นั่นก็ได้น่ะ.." ผมมองเธอ "คุณต้องการอย่างนั้น ผมก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเงื่อนไขที่คุณบอก คือผมจะไม่ปฏิเสธความต้องการของคุณ" มาเรียยิ้มหวาน "นี่ไม่ใช่ความต้องการของอาจารย์หรือศิษย์ แต่เป็นความต้องการ ของผู้หญิงคนหนึ่ง..." ผมมองเธอในขณะที่ซุกที่หน้าอกของผม "มาเรีย.. ที่อยู่ต่อหน้าคุณตอนนี้ ไม่ใช่ลูกศิษย์ของคุณ แต่เป็นใครก็ตาม ที่คุณอยากให้เขาเป็น...." เธอขึ้นมามองตาผม ด้วยสายตาที่รู้ได้ว่าเธอต้องการอะไร.... ความจริงมาเรียเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มาก มีอารมณ์ขัน และนักปรัชญาในตัว การใช้คำพูดคมคาย เธอบอกกับผมว่า ผมเหมือนแท้งค์น้ำ ขนาดใหญ่ ที่ใส่อะไรก็ไม่เต็ม มันอาจจะฟังดูดี แต่ถ้าคิดจริงๆ เธออาจจะเตือนผมอยู่ก็ได้ เพราะผมไม่เคยที่จะหยุด เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ทำให้ขาดความเป็นธรรมชาติของคนปกติ ผมสนิทกับลูกชายวัย ๗ ปี ของเธอ สงสัยว่า เพราะตอนเด็ก ผมขาดช่วงวัยนั้นไป ทำให้ผมเล่นสนุก กับเด็กได้เป็นอย่างดี ผมอยู่กับมาเรีย จนเสมือนเป็น สามีภรรยา ที่อพาร์ทเม้นท์ของเธอ......
จนเวลาผ่านไป ๕ ปี มันกลายเป็นความผูกพันธ์ ที่เธอจะไม่บอกว่า นั้นคือรัก... แต่มันเป็นหน้าที่ของเราทั้งสอง จนกระทั่ง วันที่ผมอยู่บ้านของเธอ เป็นวันสุดท้าย มันเป็นบ้าน ที่ผมซื้อให้ เพราะผมได้เงิน จากองค์กรเงา มาทำธุรกิจ และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนทำให้ผม กลายเป็นที่รู้จักในแวดวงนักธุรกิจ ชาวสิงคโปร์ ที่มีชื่อว่า 'วิลเลี่ยมหวัง' ในคืนนั้น หลังจาก ที่ผมนอนในบ้านหลังใหม่ของเธอ ซึ่งผมเป็นคนตกแต่งมันเอง และดูว่า เธอชอบมันมาก เรานอนด้วยกัน อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันเหมือนกับว่า จะไม่มีวันเหล่านั้นอีกแล้ว "วิลค่ะ! คุณจะกลับพรุ่งนี้ แล้วคุณจะมาหาฉัน อีกหรือเปล่า..." เธอถามผมขณะทีอยู่บนเตียง "ก็ไม่รู้เหมือนกัน ... เพราะผมก็คาดการณ์อะไรไม่ได้...." เธอเกยคางขึ้นมา "ความจริงคุณ ไม่ต้องกลับก็ได้น่ะ ที่นี่เราก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอ! คุณมีธุรกิจ มีชื่อเสียง บริษัทไหนๆ ก็ต้องการร่วมงานกับคุณ เรียกได้ว่า คุณมีฐาน ที่นี่แล้ว..." ผมมองเธอ "ใช่..ผมมีความสุขมาก ที่อยู่นี่ แต่ผมต้องกลับไป มีอะไรที่ผม ต้องทำ และผมไม่อยากผิดสัญญา.." เธอนิ่งไปสักพัก "อยากให้ฉันรอคุณมั๊ย?...." สายตาเธอเรียบเฉย ถามเหมือนไม่มีอะไร ผมตอบเธอทันที "ไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร มันอยู่ที่คุณเองที่จะตัดสินใจ... ในวันหนึ่งผมจะเป็นแค่...ตัวเลือก ของคุณ...." ผมพูดเหมือนจะดี "แสดงว่า คุณไม่ต้องการให้ฉันรอ... ก็ขอบคุณน่ะ.. ที่พูดตรงๆ.... ฉันรักคุณน่ะวิล.." พูดจบมาเรียก็ซุกหน้าลงที่อกผม ผมรู้สึกเหมือน มีน้ำอุ่นๆ ที่อกของผม แล้วเธอก็บอกรักผมจนได้ แน่นอนเราอยู่ด้วยกันถึง ๔ ปีกว่า จะไม่ให้เปลี่ยน เป็นรักได้อย่างไร... ความจริงผมก็ผูกพันธ์กับเธอเช่นกัน ใจหนึ่งผมก็ไม่อยากกลับไปที่เมืองไทย เพราะที่สิงคโปร์ ผมมีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ผมมีเงิน ที่ได้มาจาก การทำธุรกิจ จนเข้าขั้นมหาเศรษฐี แต่ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะผลร้ายอาจตามมา อย่างคาดไม่ถึง รวมทั้งผมไม่อยากผิดสัจจะที่ให้ไว้ กับผู้กองอดุลย์ ดังนั้นผมต้องทิ้งชีวิตที่สุขสงบคือ ทำงานเช้าถึงเย็น กลับบ้านในยามค่ำ อยู่กับมาเรียหยาง กับลูกของเธอ แม้เธอจะอายุมากกว่าผม แต่เธอปรนนิบัติผมเป็นอย่างดี เธอไม่เคยขาดตกบกพร่อง งานบ้าน หรืองานธุรกิจ ที่ช่วยผมได้อย่างมาก มาเรียเคยบอกกับผมว่า เธอพยายามที่จะมีลูกกับผม เพื่อจะให้ผมอยู่ที่นี่ แต่เนื่องจาก ร่างกายเธอกลับไม่พร้อม เพราะมีปัญหาภายใน หลังจากที่คลอดบุตรคนแรก เพื่อแสดงความขอบคุณเธอ ในฐานะอะไรก็แล้วแต่ ผมยกหุ้นในบริษัท ขนส่งทางทะเลซึ่งให้เธอทั้งหมด เงินปันผลในแต่ละปี เป็นเงินมหาศาล รวมทั้งบ้านหลังนี้ อยู่ในย่านธุรกิจ พร้อมทรัพย์สมบัติของผม ส่วนหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้ว เธอไม่ต้องการอะไรจากผม มากไปกว่าการ ที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เงินส่วนใหญ่ของผมนั้น ได้นำมารวมกับเงิน ที่ทางองค์กรเงา ที่ส่งมาให้ เพื่อเข้าซืี้อกิจการแห่งหนึ่ง ที่ประเทศไทย.....
ผ่านมา ๗ ปี ที่ผมออกจากหมู่บ้านที่กาญจนบุรี เข้ากรุงเทพ ไปรบที่อีสาน มาสิงคโปร์ และวันนี้ผมต้องเข้ากรุงเทพอีกครั้ง แผนได้เตรียมไว้แล้ว รอแค่กลับไปลงมือทำ
ผมถึงกรุงเทพตอนบ่ายในปลายปี พ.ศ.๒๔๙๒ ด้วยชุดสูทสีเทา สวมหมวกเข้ากับชุด มีคนมารับซึ่งน่าจะเป็นคนของผู้กอง ไม่ใช่สิ ตอนนี้เขาขึ้น.. พ.ท.เพื่อความคุ้นเคย ผมจะต้องเรียกดุลย์ หรือนายให้ติดปาก ระหว่างที่อยู่สิงคโปร์ อดุลย์ได้ให้ผม เช็คข้อมูล เพื่อเทคโอเวอร์บริษัทการเงินแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังจะล้ม โดยผมเป็นผู้ดำเนินเรื่อง บริษัทแห่งนี้ผมได้รับแนะนำ จากเพื่อนๆ ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ จากทรัพย์สินและ ฐานลูกค้ายังพอที่จะทำอะไรได้ ความจริงผมไม่มี ความรู้ทางด้านนี้มาก แต่เพราะมาเรีย พาผมไปพบกับ นักลงทุนท่านหนึ่ง หลังจากดูเอกสารแล้ว เขาแนะนำให้ทำการได้ทันที รวมทั้งผมเห็นอีกอย่างก็คือ คู่แข่งคือ เจริญบูรพาของนายสมเจตน์ เพราะถ้าไม่มีอนาคต เขาไม่ยอมเสียเวลา กับเรื่องนี้แน่ ยกแรกถือว่าผมชนะ เป็นเพราะสมเจตน์ปล่อยข่าวว่า บริษัทแห่งนี้ มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และอีกอย่าง ใครจะกล้าปะทะกับเขาโดยตรง เขา...ชะล่าใจเกินไป จึงทำให้ผมมีโอกาส ได้ฐานการเงินมาไว้ในครอบครอง ตอนนี้ผมแน่ใจอีกอย่าง คนที่อยู่เบื้องหลังผมกับอดุลย์ เขามีทุกอย่างจริงๆ เรื่องนี้ทำให้แวดวงธุรกิจ ในประเทศไทย ได้รู้จักชายหนุ่มนักธุรกิจที่ชื่อว่า .......นายภาคี อิสระชน
จากคุณ |
:
ภูวีร์ (kasareev)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันสิ้นปี 55 20:08:35
|
|
|
|