ภาพยนตร์บันเทิง

Guest Talk

 

มุมมอง ความคิด ของผู้ชายคุณภาพ 'สุชาติ ชวางกูร'



จากนักร้องมีชื่อสู่การเป็นพระเอกหนังโด่งดัง ในยุคหนึ่งของวงการไม่มีใครไม่รู้จัก "ต้น" สุชาติ ชวางกูร ผู้ชายเสียงหนุ่มโรแมนติกเจ้าของบทเพลงอันโด่งดังและเป็นที่นิยมมากมาย อาทิ "ใจรัก", "ดั่งเม็ดทราย", "เหมันต์ที่ผ่านพ้นไป", "ภวังค์รัก", "ด้วยรัก", "คืนนี้มีเพียงดาว", "เมื่อใจฉันมีเธอ" ฯลฯ ส่วนงานแสดงภาพยนตร์มี "ขอแค่คิดถึง", "ดั่งเม็ดทราย", "พิศวาส" และ "ยิ้ม"

ขณะที่กำลังเป็นนักร้องและพระเอกภาพยนตร์มีชื่อ เขาก็หันหลังให้วงการบันเทิงไปเรียนต่อระดับปริญญาโทและใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา นานกว่า 16 ปี จนสำเร็จปริญญาโทถึง 3 สาขาคือ Master of International Management (MIM), จาก University of Denver, Master of Science in Finance (MS-Finance) จาก University of Colorado และ Master of Science in Economics (MS-Economics) จาก State University of New York

จากนั้นเขาก็กลับเมืองไทย มาเป็นอาจารย์ประจำสอนหนังสือที่เอแบค ปัจจุบันเป็นอนุกรรมมาธิการของวุฒิสภา คณะส่งเสริมประชาชนป้องกันและตรวจสอบการทุจริตภาครัฐ, เป็นอาจารย์พิเศษ และยังมีงานคอนเสิร์ต "วันหวานแห่งความทรงจำ" เพื่อให้แฟนเพลงได้หายคิดถึง รวมไปถึงบทสัมภาษณ์บนเนื้อที่ GUEST TALK ฉบับนี้
ขอย้อนกลับไปช่วงที่พี่ต้นไปเรียนต่อเมืองนอกทั้งที่งานยังมีต่อเนื่อง และพอไปแล้วก็ไปนานจนหลายคนคิดว่าพี่ต้นคงไม่กลับเมืองไทยแล้ว

"มันเกิดจากหลายเหตุผล คือระบบการทำงานในด้านนี้กำลังเปลี่ยน เรื่องของโอกาส ทีมงาน เรารู้สึกความพร้อมความอะไรต่างๆ มันเปลี่ยนไป มันน่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ แต่เรารู้สึกเราทำอะไรได้ไม่เต็มที่ และเรื่องของตัวเราเอง คนเราพอประสบความสำเร็จแล้วเนี่ยเราไม่อยากให้เขายึดติดกับเราด้านเดียว พอพูดถึงสุชาติคนก็จะนึกถึงเพลงหวานเพลงรัก แต่เรายังมีอีกมุมที่เขาไม่เคยเห็น เราอยากสนุกอยากร้องเพลงแรงๆ  พอดีมีโอกาสผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนเราไปเลยไปเรียนต่อ เราไปเรียนด้วยทุนของ คุณกำพล วัชรพล ที่เสียชีวิตไปแล้ว

หลายคนก็นึกว่าเราไปนานขนาดนั้นแล้วคงไม่กลับมา แต่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนไม่เหมือนอยู่เมืองไทยนะ ใครไม่เคยไปอยู่เมืองนอกนานๆ ไม่รู้หรอก ตอนแรกพี่ก็คิดว่าไปแป๊บเดียวไปเรียนปีสองปีกลับแล้ว แต่พอเรียนไปไอ้นั่นเราก็ยังไม่รู้ไอ้นี่เราก็ยังไม่รู้ เราก็ลงเลยเรียนต่อในสิ่งที่อยากรู้"

บทบาทในการเป็นอนุกรรมมาธิการฯ
"ก็มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จากการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายรัฐที่มีกับประชาชน ก็มีเรื่องที่เขาร้องเรียนมาและทำสำเร็จไปแล้ว แต่บางเรื่องก็ยังเพราะมันก็ต้องใช้เวลา แต่พี่อยากให้ทุกคนอ่านเรื่องการเมืองบ้าง เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องสกปรกแต่เป็นเรื่องของทุกคนและกระทบกับทุกคน มันไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิดกัน เป็นทัศนคติที่ผิด แต่การเมืองมันอยู่ใกล้ตัวอยู่กับเราตลอดเวลา และกระทบกับอาชีพของเรา เพราะ การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งนั้น และพี่ไม่ได้ด่ารัฐบาลไหนนะ แต่ถ้าการเมืองเห็นคุณค่าของวงการภาพยนตร์ไทยเห็นคุณค่าของดนตรี ป่านนี้เราน่าจะเลยเกาหลีไปแล้วไม่ใช่หรือ

สมัยที่พี่เป็นเด็กๆ ตอนที่ดูหนังจีนก็คิดว่าเพราะคนจีนมีอยู่ทั่วโลกก็ต้องมีคนซื้อมาดูอยู่แล้ว พอเราดูหนังญี่ปุ่นก็คิดว่าเพราะคนญี่ปุ่นเป็นชาติมหาอำนาจในเอเชีย และก่อนที่พี่ไปเรียนที่อเมริกา เกาหลีไม่เคยอยู่ในสายตาเลยนะ แต่ทำไมตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ เพราะภาครัฐเขาส่งเสริม คือไม่ได้เอาเงินไปทุ่มอย่างเดียว แต่ต้องส่งเสริมในการทำบทด้วย ตอนนี้เราพัฒนาทุกด้านดีเรียกว่าไม่น้อยหน้าฮอลีวู้ดเลยนะ ยกเว้นอย่างเดียวที่ยังไม่พัฒนาหรือพัฒนาช้ามากคือเรื่องของบท หรือผู้ผลิตอาจจะมีความคิดว่าถ้าทำอะไรที่แตกต่างไปจากตบตีแย่งผัวแย่งเมียคนอาจจะไม่ดู แต่ถ้าเราลองไม่มีละครแบบนี้ได้ไหม ถ้าภาครัฐเข้ามาสนับสนุน และไม่ได้ช่วยแค่ช่องเดียวนะต้องทำหมดเลยทุกช่อง โดยรัฐต้องมาคุย เช่นเลือกวรรณกรรมดีๆ ที่สร้างสรรค์เอามาทำเป็นละครหมดเลยทุกช่อง เหมือนเป็นการยัดเยียดให้มุมมองของคนดูเปลี่ยนไป"

ชีวิตเกี่ยวข้องกับการเมืองตลอดไม่สนใจจะเล่นการเมืองบ้างหรือ
"เอาเป็นว่าตั้งแต่เกิดมาจำความได้จนถึงปัจจุบันนี้พี่ไม่เห็นมียุคไหนเลยที่นักการเมืองไม่โกงกิน ถามว่าพี่เบื่อไหมพี่เบื่อ แต่พี่จะไปเล่นการเมืองทำไม พี่เป็นศิลปิน แล้วการเมืองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ การเมืองเป็นงานแล้วนักการเมืองเรามองดูว่าคนก่อนที่จะไปเป็นนักการเมืองต้องมีจิตสาธารณะที่สูง ไม่ใช่เข้าไปเพื่อไปหาผลประโยชน์ แล้วคุณก็ต้องมีฐานะที่มั่นคงในระดับหนึ่ง คุณจะได้ไม่ไปคดไปโกงเขา อันนี้ควรไปทำงานการเมือง ถามพี่ว่าสนใจอยากเล่นการเมืองไหม มันก็คิดอยู่นะ แต่เราไม่อยากทำ แต่ถ้ามันเป็นช้อยสุดท้าย ถ้าไม่มีใครทำก็ต้องทำ ก็ไม่แน่หรอกเราจะพูดว่าไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็พูดไม่ได้ เพราะวันข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นไม่รู้แล้ว"

ถ้าได้เป็นนักการเมืองอยากเป็นนักการเมืองแบบไหน
"อยากเป็นนักการเมืองที่ตรงไปตรงมาไม่ต้องใช้วาทะกรรม แต่พูดตรงไปตรงมา ใช่ก็ใช่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ความจริงไม่มีสองสามชุดหรอกแต่มีชุดเดียว ความจริงที่ถูกต้องมีชุดเดียว พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกคุณจะบอกทางทิศเหนือไม่ได้ ความจริงที่เป็นความจริงมีชุดเดียว แต่ความคิดเห็นหรือความเชื่อมีหลายชุด"
มุมมองการเมืองบ้านเราตอนนี้ โดยเฉพาะเรื่องเขมรกับไทยที่กำลังมีปัญหาอยู่

"พี่มองว่ามันเป็นความละเลยของรัฐบาลทุกยุคเลย อาจจะด้วยเจตนาละเลยเพราะมันยุ่งเลยไม่ทำเรื่องอะไรที่ยุ่งเป็นการเซฟตัวเอง หรืออาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝงมันก็เลยยุ่ง ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่ภาคประชาชนท้วงติงมานานแล้วแต่ก็โดนเพิกเฉยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประเทศเราชอบยึดคำที่ว่า ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว  ก็เลยไม่เกิดการแก้ไข ปัญหาก็ใหญ่ขึ้นๆ จนแก้ไขอะไรไม่ได้ จริงๆ แก้ได้แต่เหมือนกับว่าปล่อยให้มันเนิ่นนาน ตอนนี้เขมรกับไทยพี่ว่ามีสองวิธี หนึ่งคือยอมไปเลยไม่ต้องไปยุ่งให้เขาไปเลยจบก็ไม่ต้องทะเลาะกัน สองคือก็ต้องสู้

ถ้าถามว่าถ้าเป็นพี่จะเลือกแบบไหน ก็ต้องถามดูว่าเราคำนึงถึงสิ่งที่เราต้องสูญเสียหรือเปล่า เรานึกถึงสิ่งที่อยู่ใต้ดินหรือเปล่า ถ้าที่ตรงนั้นไม่ใช่โฉนดบ้านพี่แต่ใครที่เป็นเจ้าของโฉนดอยู่เขาทำมาหากินมันเป็นประโยชน์กับเราหรือเปล่า เรานึกถึงทรัพยากรที่อยู่ในดินหรือเปล่า ซึ่งทรัพยากรที่อยู่ในดินไม่ได้เป็นเฉพาะของเจ้าของโฉนดหรือเจ้าของพื้นที่ที่อยู่ตรงนั้น มันเป็นของทุกคนที่ในประเทศนี้ หรือพื้นที่ในทะเลที่เราจะสูญเสียไปถ้าเราคิดว่าไม่เป็นไรก็เสียไปสิเพราะเราไม่ได้ทำประมงจะไปเดือดร้อนอะไร แต่คนที่ทำประมงเขาไปออกไปหากินในทะเลจับปลาก็จะน้อยลงแล้วทรัพยากรที่อยู่ใต้ทะเลอีกล่ะเราก็รู้อยู่ว่ามันมีอะไร เราสนใจตรงนั้นมั้ยล่ะ อันสุดท้ายเรื่องของศักดิ์ศรีเราสนใจหรือเปล่าล่ะ  ถ้าไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีก็เอาสิยกให้เขาไปเลย"

โปรเจ็กต์หรือเป้าหมายในชีวิต
"เป้าหมายของพี่หรือ พี่โอเค.แล้วนะพี่ก็มีบ้านอยู่ไม่ต้องเช่าบ้านแล้วอาจจะต้องซ่อมบ้านบ้างตามเวลาของมัน ก็ไม่ได้มีภาระอะไรแล้วก็อยู่สบายๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่พี่อยากทำคือพี่มีโครงการที่ทำกับเพื่อนๆ คือ "กลุ่มสร้างพลเมืองคุณภาพ" เพราะคิดว่าปัญหาของประเทศเราและปัญหาของโลกนี้เกิดขึ้นเพราะคนทั้งนั้นเลย ถ้าคนไม่มีคุณภาพก็จะทำอะไรออกมาแย่ๆ ก็จะเกิดปัญหา ประเทศไทยคิดว่ามีปัญหาเรื่องนี้มากคนไม่มีคุณภาพ จากการที่คนไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง จากการที่เราไปสอนหนังสือ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นแบบนี้ แล้วเราจะแก้ไขยังไงก็ต้องแก้ที่คน ไม่ได้ไปแก้โดยตั้งคณะกรรมการทำโน่นทำนี่ หรือเอางบประมาณไปเพิ่มให้กระทรวงนั้นกระทรวงนี้

แต่เราต้องแก้ที่คนโดยการตั้งกลุ่มสร้างพลเมืองคุณภาพขึ้นมา เพื่อให้คนที่เกษียรแล้วมาอยู่ เป็นลักษณะเหมือนบ้านพักคนชราบางแค แต่โมเดลต่างกัน โมเดลของเราคนที่จะมาอยู่หรือมาทำกิจกรรมกับเราจะต้องมีจิตสาธารณะ มีภาวะทางจิตมั่นคง โดยทางเราจะมีการคัดเลือกคนที่จะมาอยู่ด้วยกัน เพราะถ้ามุมมองความคิดต่างกันมากจะจูนกันไม่ค่อยติด จะอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข เราถึงต้องเลือกคนที่แบคกราวน์และความคิดคล้ายๆ กัน โดยเราจะมีที่อยู่มีที่ทำกินให้เขา แต่อันนี้เป็นโปรเจคใหญ่มาก อย่างน้อยต้องใช้เวลาเป็นสิบปี และเราจะหาเงินจากที่ไหนมาทำ ก็เลยเป็นที่มาของคอนเสิร์ต "วันหวานแห่งความทรงจำ" เพื่อเอาเงินไปตั้งเป็นกองทุนและตั้งเป็นมูลนิธิ "สร้างพลเมืองคุณภาพ" ขึ้นมา

สำหรับรูปแบบคอนเสิร์ตเราไม่มีแขกรับเชิญพี่ร้องคนเดียวทั้งหมดกว่า 40 เพลง ส่วนบรรยากาศก็จะเป็นแบบย้อนยุคจัดที่โรงหนังสกาล่า เพราะสกาล่าเคยเป็นความทรงจำของคนกรุงเทพ และเราจะมีกิจกรรมด้วย มีเพลินวานและมีไปรษณีย์ไทยมาร่วมกับเราด้วย ถ้าอยากเห็นอะไรที่แบบย้อนยุคหรือถ่ายรูปกับงานก็สามารถทำเป็นแสตมป์ได้เลย คอนเสิร์ตนี้จะมีขึ้นวันที่ 18-20 มีนาคมนี้ทั้งหมด 5 รอบ วันศุกร์รอบ 19.00 น. เสาร์และอาทิตย์มี 2 รอบคือ รอบ 13.00 น. และ 19.00 น.บัตรราคา 2,500, 2,000 และ 1,500 บาท จองบัตรได้แล้ววันนี้ที่ Thaiticket Major หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-2623456 หรือ www.thaiticketmajor.com ก็ฝากคอนเสิร์ตอันนี้ด้วย ถ้าคิดว่าอยากมาเป็นกำลังใจกันรีบมาจองบัตรเลย เพราะปีหน้าไม่รู้จะมีโอกาสได้จัดหรือเปล่า เพราะคนเราไม่แน่ไง ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ปีหน้าเราอาจจะร้องเพลงไม่ไหวก็ได้"

บั้นปลายชีวิตของ สุชาติ ชวางกูร
"อยากเป็นนายกฯ (หัวเราะ) จริงๆ นะเราอยากทำให้ประเทศนี้ดีกว่านี้ พี่ว่ามีคนหลายคนอยากเป็นนายกฯ ก็ดีถ้าคิดว่ามาเป็นนายกฯ เพื่อทำอะไรให้มันดี และบ้านเมืองที่ดีต้องมาจากประชาชนที่ใช้สติปัญญาและเข้าใจไม่ใช่หวังเล่นพวก  แต่ต้องแฟร์ๆ ยุติธรรม มีคุณธรรม มีน้ำใจ และเป็นคนเอาใจเขามาใส่ใจเราจริงๆ"



:: อ่านต่อในฉบับ ::

:: กลับไปหน้าหลัก ::