Death Note: The Last Name
Official website
more info. from IMDB
แนว : ผจญภัย / ลี้ลับ / สยองขวัญ / อาชญากรรม
ความยาว : 141 นาที
กำหนดฉาย : 30 พฤศจิกายน 2549

ความเดิมจาก Death Note (สมุดโน้ตกระชากวิญญาณ) เริ่มต้นที่ ยางามิ ไลท์ (ทัตซึยะ ฟูจิวาระ) นักเรียนอัจฉริยะของญี่ปุ่น ที่เก็บสมุดบันทึกของยมทูตได้ (Death Note) มันมีอำนาจฆ่าใครก็ได้ เพียงแค่เขียนชื่อลงไป ไลท์ใช้สมุดฆ่าอาชญากร จนกลายเป็นที่กล่าวขวัญในชื่อของ คดี คิระ (อาชญากรลึกลับ ที่ตำรวจญี่ปุ่นไม่สามารถตามหาร่องรอยได้) ทำให้ FBI ต้องส่งนักสืบมือฉมังที่มีชื่อว่า L (เคนอิชิ มัตสึยามะ) มาตามสืบคดีคิระโดยเฉพาะ เหตุการณ์ได้พลิกให้ไลท์ร่วมทีมสืบสวนกับแอล และไลท์คือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง เกมตามล่าสมุดมรณะสุดระทึกของสองสุดยอดอัจฉริยะกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!!!

ใน Death Note 2: The Last Name (อวสานสมุดมรณะ) แอลต้องการกระชากหน้ากากคิระ แต่ปมปริศนายากขึ้นเมื่อ “คิระคนที่ 2” ปรากฎตัวขึ้น และผู้ต้องสงสัยคือดาราวัยรุ่นชื่อดัง มิสะ มิสะ (เอริกะ โทดะ) ที่หลงรักไลท์ ยังไม่ทันที่ความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อน ของไลท์และมิสะมิสะจะคลี่คลาย เหตุการณ์ฆาตกรรมลึกลับ กลับผุดขึ้นด้วยฝีมือของ “คิระคนที่ 3” ไม่มีใครล่วงรู้ถึงการมาของคิระคนที่ 3 เขาหรือเธอนั้นมาเพื่อ “ทำลาย” หรือ “รักษา” โลกใบนี้กันแน่!!!


การออกฉายของภาพยนตร์เรื่อง Death Note (สมุดโน้ตกระชากวิญญาณ) เป็นความสำเร็จในระดับที่เรียกว่าเป็นปรากฎการณ์ ซึ่งแพร่ขยายไปทั่วทั้งเอเชียอย่างรวดเร็ว โดยในประเทศญี่ปุ่น สัปดาห์ที่ภาพยนตร์เปิดตัว Death Note ได้ล้มแชมป์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ The Davinci Code ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ ทำให้สื่อและผู้ชมภาพยนตร์ต่างประหลาดใจไปตามๆ กัน ส่วนในฮ่องกง เปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Death Note เมื่อเดือนสิงหาคม 2006 ตั๋วขายดีขนาดเบียด Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest ยอดจำหน่ายตั๋วต่อโรงของ Death Note มากกว่า Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest ทิ้งให้ จอห์นนี่ เด็ปป์ อยู่ข้างหลัง ในที่สุด Death Note ก็ขึ้นอันดับ 1 ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ เป็นครั้งแรกของประเภทภาพยนตร์ญี่ปุ่นไลฟ์แอ็คชั่นในฮ่องกง นับตั้งแต่ปี 2000.. Death Note เปิดตัวเดือนกันยายนในไต้หวัน ที่อันดับ 1 ตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ ภาพยนตร์ยังคงสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมในประเทศไทย, เกาหลีใต้ และประเทศเอเชียอื่นๆ ขณะที่ตัวภาพยนตร์กำลังเพลิดเพลิน กับความสำเร็จในตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ มากกว่า 10 บริษัทก็ติดต่อเข้ามา เพื่อนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด!!!

เนื้อเรื่องดั้งเดิมของ Death Note ถูกตีพิมพ์ต่อเนื่องในนิตยสาร วีคลี่ โชเน็น จัมป์ หลังจากเรื่องราวในนิตยสารจบลง เนื้อเรื่องทั้งหมดถูกรวบรวมเป็น 12 เล่ม และออกขายทั่วประเทศญี่ปุ่น ถูกตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนขายได้อย่างเป็นปรากฎการณ์มากกว่า 21 ล้านฉบับ ปรากฎการณ์ที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้นี้ ส่วนภาพยนตร์ภาค 2 Death Note 2: The Last Name จะเป็นตอนจบของบทสรุปที่เข้มข้นขึ้น และแตกต่างจากต้นฉบับ โดยเฉพาะในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 ภาพยนตร์จะถูกฉายพร้อมกัน 3 ประเทศที่ ญี่ปุ่น - ไต้หวัน - ฮ่องกง

ภาพยนตร์ญี่ปุ่นทวิภาคแนวระทึกขวัญ-แฟนตาซีฟอร์มยักษ์เรื่องดัง Death Note ทั้ง 2 ภาค สร้างจากกระแสความแรงของการ์ตูนญี่ปุ่นสุดฮิต เป็นฝีมือการประพันธ์ของ อ.โอบะ สึงุมิ และภาพลายเส้นโดย อ.โอบาตะ ทาเคชิ ที่มียอดขายอันดับ 1 จากทั่วโลก ทะลุ 21 ล้านฉบับในเวลาอันรวดเร็ว!!! (ลิขสิทธิ์การ์ตูนในประเทศไทยโดย บริษัท เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด) ใช้ทุนสร้าง 2,000 ล้านเยน โดย นิปปอน เทเลวิชั่น เนตเวิร์ค ใช้เทคนิคในการสร้างยมทูตลุค และยมทูตเรม แบบเดียวกับที่สร้างตัวละคร “กอลลั่ม” ในเรื่อง The Lord of the Rings และได้สร้างประวัติศาสตร์ ให้กับวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก!!! ในการเช่ารถไฟใต้ดินทั้งขบวน เพื่อถ่ายทำฉากสำคัญ ให้เหมือนกับในหนังสือการ์ตูนต้นฉบับในภาพยนตร์ Death Note ภาค 1 และได้นำเพลง Dani California เพลงฮิตของวงร็อคชื่อดังระดับโลกอย่าง Red Hot Chili Peppers มาใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์อีกด้วย

Death Note ภาค 1 ทำรายได้ครองแชมป์ Box Office 3 วัน 157 ล้านบาท โค่นแชมป์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่าง The Da Vinci Code สร้างปรากฏการณ์มียอดคนดูถึง 1 ล้านคน ทำรายได้สูงถึง 350 ล้านบาท!!! จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Death Note กลายเป็นสื่อบันเทิงที่โด่งดังระดับโลก!!! โดยสำนักพิมพ์ชื่อดังในญี่ปุ่นตีพิมพ์เรื่อง Death Note ออกมาในรูปแบบนิยาย โดยใช้ชื่อว่า Death Note Original Novel ตอน Another Note หรือ “คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ลอสแองเจลิส” เป็นตอนที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับการ์ตูน ประพันธ์โดย นิชิโอะ อิชิน นักเขียนชื่อดังรางวัล MEPHIS โดยวางแผงไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2549 และติดชาร์ทหนังสือขายดีอันดับ 1 Best Seller และถูกนำมาสร้างในฉบับการ์ตูนทางโทรทัศน์ โดยได้ทีมผู้สร้างอนิเมะ ทีมเดียวกับการ์ตูนเรื่องดังของญี่ปุ่น Mad House มาร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ออกอากาศไปเมื่อเดือนตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา และถูกนำมาสร้างในรูปแบบของเกม Nintendo-DS เกมที่เน้นการขับเคี่ยวในเรื่องการแก้ไขปมปริศนาฆาตกรรม ที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละคร “แอล” และ “ไลท์” โดยจะวางตลาด มกราคม 2550

ตัวภาพยนตร์จะไม่จบแบบเดียวกับในการ์ตูนต้นฉบับ อย่าพลาดตอนจบอันเหนือคาดและน่าตกใจ ของภาพยนตร์ชุดสืบสวนเรื่องนี้เด็ดขาด การสำรวจแสดงให้เห็นว่ามากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมภาพยนตร์เรื่อง Death Note เดินออกจากโรงภาพยนตร์พร้อมกับ “ความพึงพอใจอย่างมาก” ความตื่นเต้นของภาค 1 ยังคงมีอยู่ใน Death Note 2: The Last Name พร้อมด้วยเรื่องราวที่จะน่าพอใจยิ่งขึ้น และตอนจบที่เดาไม่ถูกอย่างแน่นอน ได้เห็นการต่อกรอันชาญฉลาด ระหว่างเด็กอัจฉริยะอย่าง ยางามิ ไลท์ (หรือรู้จักในนาม คิระ) และหนุ่มน้อยนักสืบสวนคดีอาชญากรรม แอล... ใครจะเป็นผู้ชนะ? ทุกคำพูดและการกระทำเป็นกับดัก เพื่อจับฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ทุกๆ การกระทำถูกคำนวณไว้แล้ว ทุกรอยยิ้มเป็นการปกปิดพล็อตเอาไว้... ขอให้ตื่นตัวตลอดเวลา อย่ากระพริบตา

ความลึกลับฝังลึกยิ่งขึ้น เมื่อ Death Note อีกเล่มถูกนำมาสู่โลกมนุษย์ แล้วยมทูตอีกตนนามว่า เร็ม ก็ได้ปรากฎตัวขึ้น เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของยมทูต จีลัส ที่ตกหลุมรักมนุษย์ บวกกับ คิระคนที่ 2 และ คิระคนที่ 3 ช่วยกันทำให้ความลึกลับซับซ้อนขึ้น ...รวมถึงกลลวงในกฎของ Death Note ที่ก่อให้เกิดความซับซ้อน ที่แม้แต่อัจฉริยะทั้งสองยังสับสน

ขณะที่เรื่องราวดำเนินไป ตัวละครใหม่ๆ ถูกทำให้เพิ่มขึ้นในมหากาพย์ Death Note ทัตสึยะ ฟูจิวาระ รับบท ยางามิ ไลท์ หรือ คิระ ผู้พิพากษาความถูกต้อง, เคนอิชิ มัตสึยามะ รับบท แอล นักสืบอัจฉริยะ, เอริกะ โทดะ ปรากฎตัวอีกครั้ง ในบท อามาเนะ มิสะ ครั้งนี้ตัวละครของเธอซับซ้อนมากขึ้น ยังมีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามาอีกคือ นานะ คาตาเสะ รับบทโดย คิโยมิ ทาคาดะ

สำหรับเสียงของยมทูต 2 ตน ใช้นักแสดงที่มีทักษะมาให้เสียงอย่าง ดาราซูเปอร์สตาร์ ชิโดะ นากามูระ เป็นผู้พากย์เสียง ยมทูตลุค, นักร้อง/นักเต้น ชินโนสุเกะ อิเคฮาตะ เป็นผู้พากย์เสียง ยมทูตเร็ม

อีกครั้งที่วง Red Hot Chilli Peppers อนุญาตให้ใช้เพลง Snow ของพวกเขา ถูกนำเพลงมาใช้ประกอบในภาพยนตร์ เรื่อง Death Note 2: The Last Name สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Death Note พวกเขายินดีให้ใช้เพลง Dani California ของพวกเขา หลังจากได้ดูภาพยนตร์ ทางวงยินยอมให้ใช้เพลงของพวกเขาในภาคต่อทันที