Joan of Arc
โจน ออฟ อาร์ค วีรสตรีเหล็ก หัวใจทมิฬ
Official website
more info. from IMDB
แนว : ดราม่า / สงคราม
ความยาว : 160 นาที
กำหนดฉาย : 25 กุมภาพันธ์ 2543

"เมื่อครั้งข้าอายุ 13 ข้าได้ยินพระสุรเสียงสำเนียงจากพระผู้เป็นเจ้า ครั้งแรกนั้นข้าประหวั่นใจ"

ในศตวรรษที่ 14 ผู้มีเวทมนตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ทำนายอนาคตของสาวน้อยไร้เดียงสาจากป่าลอร์แรน ผู้ซึ่งภายหลังกอบกู้มาตุภูมิฝรั่งเศสได้ ด้วยปาฏิหาริย์แห่งแรงบันดาลใจ

"พระสุรเสียงกู่ก้องบอกข้าว่า จงละทิ้งถิ่นเกิด และมุ่งหน้าสู่แผ่นดินใหญ่ เพื่อนำเหล่าทหารฝ่าวงล้อมออกจากเมืองออร์เลอองส์ให้จงได้"

และแล้ว ณ หมู่บ้านเกษตรกรรมอันแสนแร้นแค้นแห่งหนึ่งชื่อ ดงเรมี่ คำพยากรณ์นี้ได้ปรากฎเป็นรูปธรรมคำจริง

"ข้าตอบเสียงเพรียกจากเบื้องบนว่า ข้าเป็นเพียงเด็กสาวยากไร้ผู้จักประสาไม่กับอาชาไนย และการสงคราม ทว่าพระผู้เป็นเจ้าบัญชาข้าให้เดินทางไป ข้าไม่อาจปฏิเสธได้"

เพียงในไม่ช้าสรรพสำเนียงเบาๆ ที่กู่ร้องในหัวใจน้อยๆ ของเด็กสาวสามัญชน กลับจักสามารถสะกดใจเหนือเกล้าเจ้าแผ่นดิน, นำกองทัพทหารชายชาตรีออกสู้ศึกสงคราม และพิชิตใจเหล่าสหายร่วมชาติ

"ข้าไม่ประหวั่นเกรงทหารฝ่ายศัตรู ข้ามีพระผู้เป็นเจ้ายืนหยัดอยู่เคียงข้าง พระองค์จะทรงชี้ทางสว่างนำทางข้าไป ไม่มีสิ่งใดจะขวางทางข้าได้"

เป็นเวลานานกว่า 5 ศตวรรษ ที่เธอเปรียบดั่งแผ่นศิลาว่างเปล่า ที่ผู้คนนับพันต่างจารึกความเชื่อหยั่งลึก, ความหวัง และความกลัวของตนลงไป

ทุกสรรพสิ่งที่ข้ากระทำ ล้วนเป็นไปตามคำบัญชาจากสรวงสวรรค์
เธอถูกขนานนามว่าเป็น พระผู้ช่วยให้รอด, นักบุญ, วีรสตรี
ข้าคือผู้ นำสาส์นจากพระผู้เป็นเจ้า
นางหมอผีนอกรีต, โสเภณีชั้นต่ำ, แม่มดผู้มีมนต์ดำ
จงอย่าให้ความกลัวแปดเปื้อนใจเจ้า เพราะข้าถือกำเนิดมาเพื่อชำระภารกิจอันใหญ่หลวงนี้


เธอคือ…. แม่มด, หญิงสาวบริสุทธิ์, ผู้เสียสละ นั่นคือสมญานามที่เธอได้รับ ซึ่งแล้วแต่ว่าใครประสงค์จะเรียกเธอว่าอะไร ทว่าไม่มีใครสามารถโต้แย้งความเป็นมาของ โจน ออฟ อาร์ค ที่สร้างชีวิตอันเรืองรอง และผุดผ่องเกินกว่าจะเป็นเพียงลูกสาวชาวนาบ้านนอก ที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้… และไม่มีวันได้อยู่ชื่นชมกับความสำเร็จ ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ที่เธอมีต่อชาติ และไม่มีวัน… แม้แต่จะฉลองอายุครบ 20 ปีของตนเองได้…….. ตลอดกาล…

เมื่อครั้งอายุเพียง 17 เธอได้ส่งสาส์นชวนฉงนถึงมกุฎราชกุมารแห่งฝรั่งเศส และคล้อยหลังเพียง 2 เดือน เธอนำทัพฝรั่งเศสบดขยี้ทหารอังกฤษจนอัปราชัยที่เมือง ออร์เลอองส์ และพอย่างอายุ 18 เธอถูกจับเป็นเชลย และขายทอดไปสู่เงื้อมมือของศัตรูคู่อาฆาต ก่อนจะถูกตราหน้าว่าเป็นแม่มดสามานย์ และท้ายสุดเธอถูกจับตรึงเสา เผาร่างจนเหลือเพียงธุลีดินด้วยวัยเพียง 19 ปี


ตำนานประวัติศาสตร์ที่โลกไม่อาจลืมเปิดฉากขึ้นในปี 1429 เมื่อเด็กสาววัยเยาว์จากชนบทอันห่างไกลในฝรั่งเศส ยืนขึ้นประกาศต่อฟ้าว่า จะเอาชนะกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปฐพี และปลดปล่อยมาตุภูมิให้เป็นไทจักจงได้ เมื่อเสียงเพรียกแผ่วเบาในหัวใจของสาวน้อยบ้านนอกผู้นี้ กลับก้องกังวาน อำนาจของมันสั่นสะท้าน แม้ผู้ครองแผ่นดินยังไม่อาจเมินเฉย รวมถึงปลุกปลอบขวัญกำลังใจ ให้กองทัพทหารฮึกเหิมพร้อมพลีกายถวายแผ่นดิน และปลูกสำนึกของเพื่อนร่วมชาติให้กระสันไปด้วยความเชื่อมั่น

น่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อกองทัพอังกฤษยอมถอนทัพ และชัยชนะที่ไม่คาดฝันครั้งนี้นี่เอง ที่นำพระเจ้าชาร์ลส์ขึ้นเสวยสุขในราชบัลลังก์

ครั้นพระเจ้าชาร์ลส์ ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แล้ว พระองค์ทรงสุขสมเปรมปรีไปกับสิ่งที่ตนเฝ้าปรารถนามานาน แต่โจนหาไม่พบความอิ่มเอมใจเช่นนั้นไม่ เธอยังรู้สึกมีพันธะ และมุ่งมั่นสู้รบต่อไป จนกว่าเสียงเพรียกแผ่วเบาจะกล่าวสิ่งอื่นแก่เธอ

โจนได้เคลื่อนทัพไปยังเมือง กงปิแอร์น โดยไม่ฟังคำทัดทานจากทุกคน และแล้วที่นี่เธอก็พลาดท่าถูกจับเป็นเชลย โดยพวกเบอร์กันเดี้ยนส์ ซึ่งเป็นกลุ่มทหารที่พวกอังกฤษจ้างมารบ หลังจากถูกขายทอดไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู

โจนถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกศาสนา และแม่มดมนต์ดำ อีกทั้งในยามวิกฤติเช่นนี้ไม่มีใครจะช่วยชีวิตเธอได้ การพิจารณาคดีเพื่อพิสูจน์ว่าโจนเป็นแม่มดได้เริ่มขึ้น เธอถูกตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงนิมิตต่างๆ ที่เธอเคยทำนาย และความศรัทธาต่อศาสนจักรนิกายแคธอลิค

เมื่อใกล้สิ้นสุดการพิจารณาคดี โจนถูกยื่นคำขาดให้เลิกแสดงพฤติกรรมในอดีต อีกทั้งต้องสาบานว่าจะไม่จับอาวุธ หรือสวมชุดนักรบเฉกเช่นชายชาตรีอีก หาไม่เช่นนั้นแล้วเธอจะถูกเผาทั้งเป็น เธอตกลงทำตามคำขอ และถูกจำขังตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุด เธอปฏิเสธจะยอมรับคำตัดสิน ของศาลสูงสุดแห่งราชอาณาจักรอังกฤษ จากการตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้เธอถูกตราหน้าว่าเป็น 'พวกมารศาสนากลับชาติมาเกิด' และสมควรได้รับโทษทัณฑ์สถานเดียว คือ ความตายให้สาสมกับความชั่วช้า ไร้ความละอายต่อบาป

และแล้ว ..ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1431 เธอถูกจับตรึงเสาเผาทั้งเป็น ณ กลางตลาดในเมืองรูแอง

ต่อมาอีก 25 ปีให้หลัง สังฆราช กาลิกซ์ตูส ที่ 3 ประกาศว่าแท้จริงแล้ว โจนพ้นมลทินจากความผิดในทุกข้อกล่าวหา และในปี 1920 เธอถูกประกาศให้เป็นนักบุญ, ถูกฝังสนิทแน่นในความทรงจำของเหล่ามวลมนุษยชาติ ในฐานะวีรสตรีผู้หาญกล้า, และกลายเป็นหัวข้อถกเถียง อย่างไม่มีที่สิ้นสุดตราบชั่วนิจนิรันดร์


ใน The Messenger: The Story of Joan Of Arc ภาพยนตร์จากการกำกับโดย ผู้กำกับเลื่องชื่อ ลุค เบสซง (La Femme Nikita, The Professional, The Fifth Element, Taxi) และได้นักแสดงชั้นนำมาร่วมสร้างตำนานลงบนแผ่นฟิล์มมากมาย ได้แก่ มิลล่า โจโววิช (Two Moon Junction, The Fifth Element) รับบทเป็น โจน, นักแสดง 2 รางวัลออสการ์ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน (The Graduate, Midnight Cowboy, Kramer Vs. Kramer, Rain Man, Tootsie) รับบทเป็นจิตใจอันเปี่ยมคุณธรรมของโจน, นักแสดงผู้เฉียดรางวัลออสการ์ถึง 2 ครั้ง จอห์น มัลโควิช (Of Mice And Men, Con-Air) รับบท พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 และนักแสดงสาวรุ่นใหญ่เจ้ารางวัลออสการ์ เฟย์ ดันนาเวย์ (Bonnie and Clyde, Chinatown, The Thomas Crown Afffair, Towering Inferno) รับบท โยลางด์ ดารากง

นอกจากนี้ยังร่วมสร้างความตื่นตาตื่นใจ ด้วยทีมนักแสดงสมทบฝีมือเยี่ยม อาทิ ปาสกาล เกรกอรี่, แว็งซอง กาสแซล (Elizabeth, Jefferson in Paris), เตกี การ์โย (La Femme Nikita, GoldenEye, Addicted to Love), ริชาร์ด ไรดิ้งส์ (Fierce Creatures) และ เดสมอนด์ แฮร์ริงตัน (The Boiler Room)

The Messenger: The Story of Joan of Arc ผลงานสร้างที่ใช้เวลาฟูมฟักถึง 1 ปีเต็ม ถือว่าเป็นงานสร้างสรรค์ที่สวยสดด้วยฉากยิ่งใหญ่ตระการตา และเป็นการนำภาพประวัติศาสตร์มาสร้างใหม่ ได้อย่างสมจริงที่สุดเรื่องหนึ่ง เท่าที่เคยมีการนำประวัติศาสตร์มาแปรรูปลงบนแผ่นฟิล์ม อีกทั้งภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังอัดแน่นไปด้วยภาพความอลังการสะดุดตา อันเป็นผลิตผลชิ้นเอกซึ่งถือกำเนิดจากมันสมอง และฝีมือการกำกับกล้องอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ ลุค เบสซง เท่านั้น

The Messenger: The Story of Joan of Arc เป็นผลงานสร้างร่วมกันระหว่าง โคลัมเบีย พิคเจอส์ และ Gaumont โดยผู้กำกับฝีมือฉมังอย่าง ลุค เบสซง รับหน้าที่บัญชาการหลังเลนส์ จากบทภาพยนตร์โดย แอนดรูว์ เบอร์กิ้น และ เบสซง ทั้งนี้ทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ยังประกอบด้วย ปาทริซ เลอดูวส์ เป็นผู้สร้างภาพยนตร์, ผู้กำกับภาพได้แก่ เตียร์รี่ อาร์โบกาสท์, ผู้ออกแบบฉากได้แก่ อูกส์ ติสซองดิเอร์ และผู้รับหน้าที่ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ คาเตอรีน เลเตอร์รีเอร์ ผู้ที่จะเนรมิตภาพลักษณ์ และบรรยากาศที่อบอวลในสมัยต้นศตวรรษที่ 15 ให้ปรากฏในโลกปัจจุบันอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ลำดับภาพโดย ซิลวี่ ลางดร้า และ อีริค แซร์รา รับหน้าที่ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์