ความเดิมจากตอนที่แล้ว ....  (ทริปนี้มีทั้งหมด 4 ตอนครับ นำเสมอไปแล้ว 2 ตอน เหลือสัปดาห์หน้าตอนสุดท้าย Odaiba)

[CR] Welcome back to Tokyo !! : ตอนที่ 1 บินสุดคุ้มกับ แอร์เอเชียเอ๊กซ์ สู่ ฮาเนดะ เข้าเมืองสะดวก พักผ่อนสบายใจกลางกรุง
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10738093/E10738093.html

[CR] Welcome back to Tokyo !! : ตอนที่ 2 รวมมิตรไฮไลท์ โตเกียว เที่ยวเองได้ พามุดใต้ดิน พาชม พาชิมตามจุดสำคัญทั่วกรุง
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10767323/E10767323.html

---------------------------------------------------------------------------

สวัสดีครับ
ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ได้แวะเข้ามาอ่าน และมาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในกระทู้ตอนที่ 1 และ 2 ครับ เรื่องบางอย่างที่ผมไม่รู้ก็ได้รู้ในกระทู้นั้นด้วยเช่นกันครับ สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ 3 หลังจากพาไปเที่ยวในเมืองแล้ว จะพาไปเที่ยวนอกเมืองกันบ้างครับ

แน่นอนครับว่า กระทู้นี้เขียนมาสำหรับกลุ่มนักเที่ยวแบบ Beginner ที่วางแผนเล็งๆ จะไปญี่ปุ่น หรือต้องการท่องเที่ยวด้วยตนเองเป็นครั้งแรก แต่จะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เคยไปแล้วมากกว่า 2 ครั้งเพราะท่านอาจจะต้องการข้อมูลที่ Advance ขั้นเทพขึ้นยิ่งกว่าเดิม คงต้องมองหากระทู้อื่นๆ แล้วหล่ะครับ เพราะอย่างที่ท่านที่เคยไปญี่ปุ่นมาแล้วจะทราบดีกว่า
Japan : Endless Discovery ของจริง ไปเที่ยวกี่ทีก็ไม่เบื่อ และมีที่ที่ยังน่าคนหาอยู่อีกมากมายครับ (กระทู้นี้แค่เบื้องต้น น้ำจิ้มเท่านั้นเอง)

สำหรับกระทู้นี้ จุดประสงค์สำคัญก็คือ...
จะพาไปเที่ยวนอกเมืองแบบ One-day Trip ซึ่งจริงๆ แล้วบางท่านอาจจะเลือกไปพักค้างอ้างแรมด้วยก็ได้ แต่สำหรับท่านที่ขี้เกียจขนของ อยากนอนที่พักที่เดิมก็สามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวแบบไปเช้า เย็นกลับก็ยังพอไหวครับ ก็มีหลากอารมณ์เลย

ไม่ว่าจะเป็นแนว ศิลปวัฒนธรรม ชมวัดวาอารามที่สวยงามมากมาย ที่เมืองมรดกโลกอย่าง นิกโก้ หรือแนวธรรมชาติ ไปชมภูเขาไฟฟูจิ นั่งกระเช้าชิมไข่ดำที่หุบเขาโอวาคุดานิ ล่องเรือโจรสลัดบนทะเลสาบฮาชิ (หลายๆ ท่านคงจะจำละครเรื่อง เมียหลวง ที่ ดร.อนิรุทธิ์+ดร.วิกานดา+เจ๊ไฝ เอ้ย อรอินทร์ ไปสวีทกันก็ที่นี่หล่ะครับ) เที่ยวเสร็จแวะเปลื้องผ้าเข้าออนเซ็น สบายเนื้อสบายตัวที่ฮาโกเน่ หรือ จะไปไหว้พระใหญ่ Diabutsu เมืองคามาคุระ แล้วต่อด้วยเมืองโยโกฮาม่า ชิมราเมน ที่ Ramen Museum ก็ได้เช่นกันครับ .....

กระทู้นี้จะพาไปเที่ยวทั้งหมดนี้หล่ะครับ แต่อาจจะลงรายละเอียดที่ฮาโกเน่เยอะหน่อย เพราะทริปนี้จริงๆ เราเลือกไปฮาโกเน่อย่างเดียวครับ แต่ไหนๆ พูดถึงเที่ยวนอกเมืองแล้ว ผมก็เลยขอพูดถึง นิกโก้ และ คามาคุระด้วยเลยก็แล้วกัน จะได้ครบสูตรทีเดียวไปเลยครับ

ไปโตเกียวแล้ว ... จะไปเที่ยวไหนนอกเมืองได้บ้าง ในวันเดียว ??

1. โตเกียวดิสนีย์แลนด์ / ดิสนีย์ซี
อันนี้เหมาะสำหรับคนทีเบื่อฮ่องกงดิสนีย์แลนด์แล้ว อยากจะไปหาอะไรใหม่ๆ บ้าง หรืออยากไปเที่ยวแนวสวนสนุกญี่ปุนมากับครอบครัว ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์ได้ดีพอสมควรครับ แต่กระทู้นี้ผมไม่ได้ไปนะครับ เพราะเมื่อต้นปีเพิ่งจะไป Hong Kong Disneyland มา แต่เห็นว่าทีญี่ปุ่นใหญ่กว่ากันเยอะครับ ปัจจุบันเปิดให้บริการเป็นปกติแล้วนะครับ

วิธีการเดินทางไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์
หากเริ่มต้นที่สถานีโตเกียว เดินทางกับ JR Musashino Line ขึ้นที่ชานชลาที่ 2 หรือ JR Keiyo Line ขึ้นที่ชานชลาที่ 3 ราคา 210 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 13-16 นาทีลงที่สถานี Maihama แล้วเดินไปสถานี Resort Gateway ต่อรถไฟสาย Disney Resort Line แค่ 1 สถานีลง Tokyo Disneyland Station หรือถ้าไป Disney Sea ก็นั่งต่อไปประมาณ 9 นาทีลงที่สถานี Tokyo Disney Sea ราคา 250 เยนเท่ากันครับ)

2. เมืองใหม่ Odaiba
เมืองใหม่ที่ถมทะเลขึ้นมา มีห้างและที่ให้เดินเล่นเยอะ นอกจากที่นี่จะมีเทพีเสรีภาพญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังโดนใจคนรักสัตว์ เพราะมีห้างที่สามารถพาน้องหมามาเดินเล่นได้ มีร้าน Pet Shop หลายร้านอาทิเช่น Pet City, ชม Cat Cafe นั่งทานของว่างจิบกาแฟเล่นกันเจ้าแมวเหมียว หรือสำหรับแก๊งค์โต๊ะรัชดา แฟนคลับโตโยต้า ที่นี่ก็มี Toyota Universal Design Showcase ชมรถโตโยต้าญี่ปุ่น เทคโนโลยีไฮบริด และสามารถทดลองขับรถโตโยต้าได้ด้วย (แต่ต้องมีใบขับขี่ International Licence นะครับ) ซึงทั้งหมดนี้จะเขียนในตอนสุดท้ายตอนหน้าตอนจบ เพราะมีเรื่องเล่าเยอะมากครับ ......

ปล. ชอบพี่อู๊ด Prius สีนี้จริงๆ เลย

ตามมาเที่ยวต่อค่ะ ^^

3. เมืองมรดกโลก นิกโก้ Nikko

**แนะนำว่าถ้าไปเที่ยวควรมีหนังสือท่องเที่ยวที่บอกเล่าเรื่องของสถานที่นั้นๆ ไปด้วยจะดีมากๆ ครับ ตอนที่ผมไปผมใช้คู่มือของพี่อดิศักดิ์ (ใครๆ ก็ไปเที่ยว) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็เขียนได้ดีมากทีเดียวครับ

ที่นี่ก็อย่างที่เคยเล่าในตอนที่ 2 ตอนที่ไปวัด Meji Jingu ที่ Harajuku ครับ ว่าถ้าใครที่ชอบสไตล์เที่ยววัดญี่ปุ่น แนวศิลปวัฒนธรรม (ถ้ายกตัวอย่างต้องอารมณ์อย่าง อาจารย์หนุ่ม (NMkrung) ที่ทำลายสถิติชมวัดไป 52 วัดในทริปเดียว) แต่ถ้าแนวคนรุ่นใหม่ เฉยๆ ก็แล้วแต่ครับ ลองไปชิมลางทีวัด Meji Jingu ก่อน ถ้าไม่ชอบเดินไกลๆ หรือเที่ยวแนวๆ นี้ก็อาจจะเลื่ยงไปก่อนก็ได้ครับ ....

## วิธีการเดินทางสู่เมือง Nikko ##
ต้องบอกก่อนครับว่า เมืองนิกโก้ จะมีสถานีรถไฟอยู่ 2 แห่ง
คือ Tobu Nikko และ JR Nikko แน่นอนครับว่า
เมืองนี้มีรถไฟให้เลือกอยู่ 2 เจ้านั่นก็คือ JR หรือ Tobu เลือกเอาเอง

1. กรณีมีบัตร Japan Rail Pass หรือ JR East Pass
สามารถนั่งชินกังเซ็น (เลือกได้ทั้ง เหยี่ยวเขียว Hayabusa, Hayate, Komachi, Yamabiko ฯลฯ) ขึ้นจากสถานี Tokyo, Ueno, Omiya ก็ได้ ไปลงที่สถานี JR Utsunomiya (คิดว่าจอดทุกขบวนครับ) แล้วต่อรถไฟธรรมดา JR Nikko Line ไปสุดสายที่สถานี JR Nikko ก็จะทำให้ย่นระยะเวลาไปได้พอสมควรครับ

แต่ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้ามี Japan Rail Pass เปิดใช้ในวันไปนิกโก้ก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ เพราะว่านั่งชินกังเซ็นก็ลงได้แค่ Utsunomiya เท่านั้นเอง ไม่ได้ไปถึงปลายทาง (อีกทั้ง ค่าตั๋วชินกังเซ็นลง Utsunomiya ต่อไปลง JR Nikko ก็ประมาณ 4,920 เยน/เที่ยว แต่ถ้าคิดว่าจะไปต่อที่อื่นในวันเดียวกัน ก็อาจจะคุ้มก็ไดครับ)

2. บัตร World Heritage Pass จากบริษัทรถไฟ Tobu
ส่วนตัวผมคิดว่าบัตรนี้คุ้มค่ากว่า แต่ก็เดินทางกับรถไฟหวานเย็น
นั่งไปหลับไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ จากกรุงโตเกียวถึงนิกโก้ครับ
ด้วยค่าบัตรเพียง 3,600 เยน รวมตั๋วรถไฟไป-กลับนิกโก้, รถ shuttle bus ในนิกโก้ และ ค่าเข้าชมวัด 2 แห่ง
แต่ไม่รวมรถบัสที่จะไปชมทะเลสาบ หรือน้ำตกที่อยู่สูงขึ้นไปอีกครับ ....

กรณีต้องการเดินทางกับ Tobu
สามารถซื้อตั๋วได้ที่ Tobu Sightseeing Service Center
อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟ Tobu Asakusa
เรียกได้ว่า ถ้าออกมาจากสถานี Tokyo Metro Asakusa
ออก Exit no. 7 หรือ 8 ก็จะเจอเลยครับ

หน้าตา World Heritage Pass จะเป็นแบบนี้ครับ
(สำหรับ Nikko จะใช้ภาพเก่าตอนทริปซากุระปีที่แล้วมาประกอบครับ)

ตามมาอ่านต่อค่ะ

ขอบคุณ คุณหมอยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์ มากนะคะสำหรับข้อมูลดีๆ
ติดตามอ่านมาเสมอค่ะ

ไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยครับ

ปกติจะดูอย่างเดียว ไม่ค่อยได้คอมเม้นท์

วันนี้มาทันถ่ายทอดสดเป็นครั้งแรก ^ ^

เลยเข้ามาทักทายค่ะ เป็นแฟนคลับคุณหมอฯ
ตั้งแต่เป็นบัตรผ่านโน่นแน่ะ

งั้น ไหนๆ พูดถึง Nikko แล้วจะพาไปเที่ยวนิกโก้แบบสังเขปแล้วกันนะครับ เพราะว่าภาพประกอบเป็นของเก่าปีทีแล้ว ไปตอนหน้าหนาวซากุระ อุณหภูมิในโตเกียว 8 องศาเซลเซียส คนละเรื่องกับทริปนี้ ที่แต่งตัวเหมือนอยู่เมืองไทย ร้อนตับแล่บ อิอิ

รายละเอียดของรถไฟบริษัท Tobu และ Pass ต่างๆ
อยู่ในลิ๊งค์นี้ครับ ลองอ่านดูก่อนได้เลย http://www.tobu.co.jp/foreign/

ที่หลักๆ แตกต่างกันก็จะมี ...
-- World Heritage : มีอายุ 2 วัน เหมาะสำหรับคนไปเที่ยววัดวาอาราม เพราะฟรีรถ Shuttle Bus ในนิกโก้ และบัตรเข้าชม 2+1 วัด
-- All Nikko Pass 4,400 เยน : มีอายุ 4 วัน เหมาะสำหรับคนที่อยากไปเที่ยวรอบๆ นิกโก้ ขึ้นไปทางทะเลสาบ ชมน้ำตกทีอยู่ด้านบน อันนี้จะรวมตั๋วรถบัสระยะไกล และรวมค่าเช้าชมวัดด้วย (ตอนแรกคิดว่าไม่รวมวัด)
-- Kinugawa Theme Park Pass : มีอายุ 2 วัน รวมค่าเช้าชม Theme Park ที่อยูบริเวณนั้น (อยู่คนละทางกับ Nikko) ได้แก่ Edo Wonderland, Nikko Edo Village และ Tobu World Square ราคาแตกต่างกันขึ้นอยูกับ Park ที่ให้เข้าได้ครับ และรวมค่าเข้าชม 2+1 วัดด้วย ลองศึกษาข้อมูลดูก่อนนะครับ

สำหรับผู้ถือบัตร World Heritage Pass ของ Tobu
จะต้องเดินทางด้วยรถไฟสายธรรมดา (Section Rapid) เท่านั้น
ไม่สามารถขึ้นรถ Spacia Limited Express ได้ (ขบวน Kinu xxx หรือ Kegon xxx) ต้องซื้อตั๋วใหมต่างหากครับ .....

หน้าตาของรถไฟ Tobu Section Rapid ที่จะนั่งไปนิกโก้เป็นแบบนี้
ต้องนั่งตู้ที่จะไปลงสถานี Tobu Nikko นะครับ
เพราะจะมีการตัดตู้กัน โดยอีกส่วนหนึ่งจะไปสถานี Kinugawa

คือถ้าจะนั่ง ก็ต้องไม่คิดอะไรมากครับ เพราะนั่งหลับ

หลับยาวเลยครับจากสถานี Tobu Asakusa รถจอดเทียบชานชลาหมายเลข 5 ตู้ที่จะไป Nikko คือตู้หมายเลข 5+6 ครับ ส่วน 1,2,3,4 เค้าจะไป Kunugawa-Onsen กัน ปกติจะมีรถออกทุกๆ 1 ชั่วโมงครับ
ตารางรถไฟ Tobu โหลดได้จากทีนี่ครับ
http://www.tobu.co.jp/foreign/pdf/timetables.pdf
(ขบวนที่ Pass ต่างๆ ขึ้นได้จะต้องเป็น Section Rapid หรือ Rapid จะเป็นสีฟ้าเท่านั้นครับ ถ้าเป็นพวก Kinu หรือ Limited Express นั่งไม่ได้ แต่อยากจะบอกว่าไม่ได้เร็วกว่ากันมากแบบมีนัยสำคัญเท่าไหร่ครับ)

เที่ยวเช้าจาก Tobu Asakusa ไป Tobu Nikko
มีรอบ 6.20, 7.10, 8.10, 9.10, 10.50 น. (สายกว่านี้ไปถึงบ่ายแล้ว)
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.10-2.20 ชั่วโมงครับ หลับไปได้เลย

ส่วนเที่ยวขากลับรอบบ่ายจาก Tobu Nikko กลับ Tobu Asakusa
มีรอบ 15.01, 15.59, 16.59 และ 18.08 น. (เที่ยวสุดท้าย)
ใช้เวลาเดินทางกลับนานหน่อย ประมาณ 2.40 ชั่วโมงครับ

ปล. ช่วงหน้าหนาว เบาะมีระบบอุ่นทิพย์ด้วยนะครับ นั่งแล้วอุ่นมากๆๆ

หน้าสถานีรถไฟ Tobu Nikko (สำหรับ JR Nikko จะอยู่ห่างออกไปหน่อยนึงครับ มีความรู้สึกว่า ที Nikko นี่ Tobu จะครอง เหมือนกับ Hakone ที่ Odakyu ครอง)

บริเวณด้านหน้าสถานีก็มีร้านซาลาเปาทอด และร้านของฝากมากมาย
(เดี๋ยวพาชิมตอนขากลับครับ)

สำหรับรถที่เราจะขึ้นกัน เป็นรถ World Heritage Bus ไปเที่ยววัด ....
เริ่มต้นจากวัด Rinnoji ก่อนเลยแล้วกันครับ

ดูแผนที่นิดนึงครับ ... จริงๆ จุดที่ผมพลาดไม่ได้ไป
ที่ไม่น่าจะพลาดเลยก็คือ สะพานสีแดงที่นิกโก้
จะอยู่ตรงป้ายหมายเลข 7 ครับ (มุมล่างขวา)
ส่วนวัด Rinnoji จะอยู่ป้ายเบอร์ 84 เสียดายจริงๆ
(ที่ต้องลงที่เบอร์ 84 เพราะว่าเป็นจุดแลกตั๋ว เอา World Heritage Pass ไปแลกเป็นตั๋วเข้าชมวัดได้ที่นี่ครับ)

และในกลุ่มนั้นสามารถเดินได้ถึงกันหมดเลยครับ

มาดึกก้อปาดดึก

ไปติดต่อจุดแลกตั๋วก่อน ก็จะได้ตั๋วมาหน้าตาแบบนี้ครับ
อันนี้คือจุดที่สามารถเข้าชมได้ฟรี .... (แต่ก็ไม่ฟรีทั้งหมดทีเดียวนะครับ)

นอนดึกจังครับ

จำได้ว่า ข้างในถ่ายรูปไม่ได้นะครับ เรื่องรายละเอียดนี่ผมแทบจำอะไรไม่ได้เลย ประมาณว่าไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ครับ
ถึงได้แนะนำว่าควรหาหนังสือท่องเที่ยวไปประกอบด้วยจะดีมากครับ

ปล. ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ภาพนี้ถ่ายเมื่อซากุระปีที่แล้ว
อากาศหนาวมาก ยิ่งฝนตกยิ่งหนาวที่นิกโก้ .....

เข้าสู่อีกวัดหนึ่ง (เข้าใจว่าเป็นวัด Toshogu shrine นะครับ)
รู้สึกว่าวัดนี้จะเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยทีเดียว คนเยอะมากๆๆ

แค่บรรยากาศทางเดินเข้าวัด นี่ก็หนาวแล้วครับ

คืนนี้จะรีวิวไป แอบหลับไปอีกรึเปล่าคะ

ทีวัดนี้ จะมีอยู่ประมาณ 2 อย่างที่คนมาดูกันเยอะๆ ครับ

อย่างแรกก็คือ ลิงปิดปากปิดหูไม่รู้ไม่ชี้ (Shinkyusha)
อีกอันหนึ่งก็คือ แมวหลับ (Sleeping Cat)

ในภาพนี้เป็นส่วนลานกลาง ถ้า Sleeping cat ต้องเข้าไปข้างใน (มีค่าตั๋วเพิ่มประมาณ 300 เยน) แต่ถ้าลิงปิดปากปิดหู จะอยู่ทางซ้ายมือของภาพนี้ที่มีคนเยอะๆ นั่นหล่ะครับ

คืนนี้ไม่น่าจะหลับครับ เพราะนอนตุนมาเป็นอย่างดี อิอิ

นี่หล่ะครับ ลิงปิดหู ปิดปาก ปิดตา ไม่รู้ไม่ชี้

อีกอันหนึ่งก็คือ Sleeping Cat แมวหลับ ... ตัวนี้หล่ะครับ

สิ่งหนึ่งทีผมได้เห็นที่นี่ .... ก็คือในภาพนี้ครับ

ลักษณะคล้ายๆ กับการสืบชะตา หรือการทำบุญให้กับต้นไม้
อารมณ์เหมือนกับการนำจีวรพระไปผูกกับต้นไม้ เหมือนบวชให้ต้นไม้
คล้ายคลึงกันครับ (ถ้าผมอธิบายผิดแก้ไขติติงได้นะครับ)

ส่วนตรงนี้ เข้าใจว่าเป็นส่วนสุสานครับ (ตั๋วใบซ้ายสุดทีเขียนว่า Taiyun)

อยากที่บอกตอนต้นครับว่า ...

จริงๆ Nikko เที่ยวได้อีกเยอะพอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นส่วนทะเลสาบด้านบน หรือน้ำตก
แต่ทริปนั้นผมก็ไมได้ไป พอทริปนี้ รู้สึกว่าเวลามีน้อยไป
ก็เลยไม่ได้ไปอีกครับ ก็เลยไม่รู้ว่า สงสัยคงอีกหลายปีกว่าจะได้มาที่นี่อีก

สำหรับรถบัสโดยสารทีเดินทางขึ้นไปยังทะเลสาบ และน้ำตก
จะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ ....
ถ้าเป็นตั๋ว All Nikko Pass สามารถขึ้นได้เลย แต่ถ้าเป็น World Heritage Pass หรือถ้าซื้อตั๋วของ JR มาก็ต้องซื้อตั๋วใหม่ครับ ....

หาอะไรทานกันดีกว่านะครับ ร้านอาหารตรงบริเวณลานหน้าสถานี Tobu Nikko ก็มีหลายร้านเหมือนกัน ....

สังเกตว่าแต่ละร้านก็จะมีการทำอาหารจำลองขึ้นมา
เชิญชวนแขกให้มาอุดหนุน เห็นราคา เห็นหน้าตากันชัดๆ ไปเลยครับ

ครั้งนั้นที่ทาน ผมจำไม่ได้ว่าคืออะไร
ที่แน่ๆ มีสลัดญี่ปุ่น ผักดอง ข้าว และ (คิดว่าเป็นเต้าหู้ม้วนขดครับ)
ที่จำได้ก็คือ รสชาติอร่อยใช้ได้ทีเดียว แผล่บๆ

ตรงหน้าสถานี ก็จะมีร้านขายของที่ระลึก

และ ... ร้านขาย ซาลาเปาทอดครับ
เหมือนเป็นซาลาเปาชุบแป้งทอด ชิ้นละ 180 เยน อร่อย แผล่บๆ

ปล. สังเกตว่าร้านอาหารในญี่ปุ่นชอบเอารูปคนดังมาโชว์ ว่าร้านนี้เคยมีคนนี้มาซื้อแล้วนะ บลาๆๆ

ง้ำๆๆ

เคยมีคนตั้งกระทู้ถามว่า
จาก Nikko จะรวดไป Hakone เลยได้ไหม ??
ส่วนตัวผมคิดว่า ได้ แต่เหนื่อยครับ เหนื่อยจนจะไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่

ถ้ากรณีถือบัตร Japan Rail Pass อยู่
แนะนำว่า นั่ง JR จาก Nikko ไป Utsunomiya
แล้วต่อชินกังเซ็นสายเหนือ จาก Utsunomiya ไปลงโตเกียวครับ
แล้วจากโตเกียว ต่อชินกังเซ็นสายโทไกโด (Hikari, Kodama) ไปลงที่สถานี Odawara ครับ น่าจะเร็วที่สุดแล้ว .... จาก Odawara ก็ซื้อ Hakone Freepass ราคา 3,900 เยนใช้ได้ 2 วันได้เช่นกัน ....

ปล. JR East Pass ไม่สามารถใช้กับชินกังเซ็นสายโทไกโด (Nozomi, Hikari, Kodama) ครับเพราะถือว่าเป็นคนละบริษัทกัน (ให้บริการโดยบริษัท JR Central) ทำให้ JR East Pass ใช้ได้เฉพาะสายเหนือเท่านั้น (Hayabusa, Hayate, Komachi, MAXyamabiko, Yamabiko ฯลฯ เท่านั้น)

ปล. 2 แต่ส่วนตัวผมคิดว่า ขอแบ่งไปคนละวันดีกว่านะครับ เหนื่อย

แวะมาปาดด  คุณหมอเบาๆค่ะ เพิ่งอัพกระทู้เสร็จพอดี อิอิ  ขอหนีไปนอนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอ่านต่อนะคะ ( ｡◕ ◡ ◕｡)ﾉｼ 

กลับจากนิกโก้ ไปต่อที่ ฮาโกเน่ ครับ ....

ไปโตเกียวแล้ว ... จะไปเที่ยวไหนนอกเมืองได้บ้าง ในวันเดียว ??

4. ฮาโกเน่ Hakone
(ผมสารภาพว่าอ่านฮาโกร๋น เหมือนหัวโกร๋นมาตั้งนาน) ชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ชิมไข่ดำ ล่องเรือโจรสลัด แช่ออนเซ็น นี่หล่ะครับ สวรรค์น้อยๆ สำหรับคนที่ตั้งใจจะมาญี่ปุ่น (เป็นครั้งแรก) ได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ถ้าจะลงบ่อออนเซ็น คิดว่าที่นี่ก็โอเคเลยครับ (ถ้าเทียบกับที่อื่นที่อยู่ใกล้เคียงกรุงโตเกียว)

สำหรับท่านที่เคยมาแล้ว แนะนำว่าต่อยอดไปทาง คาวาฯ น่าจะเวิร์กกว่าครับ เพียงแต่ว่าถ้าไปทาง คาวาฯ จะต้องไปค้างคืนด้วย

## วิธีการเดินทางสู่ฮาโกเน่ ##

1. ชินกังเซ็น อันนี้รวดเร็วที่สุด ราคาน่าขนลุกที่สุด ระยะทาง 83.9 กิโลเมตรจากกรุงโตเกียว แม้จะนั่ง Hikari หรือ Kodama ก็ไม่ต่างกัน
เพราะจอดเหมือนกันคือ Tokyo --> Shinagawa --> Shin-Yokohama --> Odawara ใช้เวลาเพียง 35 นาทีก็ถึงแล้วครับ เร็วมาก
แต่ก็หมดเงินไปอย่างน้อย 3,130 เยน (พันบาทนิดๆ) ในพริบตาเดียว ซึ่งเห็นหลายรายที่มี Japan Rail Pass อยากจะนั่งจาก Tokyo มาลง Odawara แล้วจาก Odawara จะนั่งชินกังเซ็นต่อไปเกียวโตหรือโอซาก้าภายในวันเดียวกันเลย ก็สามารถทำได้ครับ (โดยเอาของฝากในล๊อกเกอร์ที่สถานี Odawara ก็ได้)

แต่ถ้าใครอยากจะสัมผัสประสบการณ์ชินกังเซ็นแบบมินิๆ
ในราคาที่ประหยัดหน่อย ก็สามารถนั่งจากสถานี Shin-Yokohama
มาลงที Odawara ก็ได้ครับ ระยะทาง 55.1 กิโลเมตร ชินกังเซ็นควบมาใช้เวลาแค่ 16 นาทีเท่านั้นเอง ในราคา 1,900 เยน

ถ้านั่งอย่างถูกสุดของ JR ก็คือรถไฟสาย JR ShonanShinjuku ราคา 1,450 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20-1.30 ชั่วโมงจากโตเกียวครับ

ปล. ภาพประกอบ ชินกังเซ็นรุ่น N700 อยากหาโอกาสนั่งรถไฟสายใหม่ Kyushu Shinkansen มี Mizuho และ Sakura เห็นว่าใช้ N700 ตัวใหม่วิ่งด้วย (แต่ Mizuho จะเหมือน Nozomi คือเป็นชินกังเซ็นเทพ ที่บัตร Japan Rail Pass ใช้เบ่งขึ้นรถไม่ได้)

เนื่องจากว่า ถ้าจะนั่งชินกังเซ็นไปออนเซ็น (ฮาโกเน่) ก็อาจจะแพงไป
ก็เลยลองหาอะไรทีประหยัดสตางค์มากกว่านี้ ....

ที่แนะนำก็คือ ...ช้อยส์ 2 ครับ

2. ไป Hakone กับ Hakone Free Pass
โดยบริษัทรถไฟ Odakyu ตั้งต้นที่สถานี Shinjuku ครับ
แน่นอนครับ ที่ฮาโกเน่ Odakyu เป็นใหญ่ เพราะรถไฟสายที่วิ่งจากสถานี Odawara ไป Hakone-Yumoto และในนั้นก็ของ Odakyu หมด อีกทั้งที่คุ้มเพราะบัตร Hakone Free Pass รวมการเดินทางทั้งหมดในย่าน Hakone ไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถบัส รถไฟ กระเช้า หรือเรือโจรสลัด ครับ จ่ายทีเดียวคุ้ม บัตรมีอายุ 1-2 วัน ก็เหมาะทั้งแบบไปค้างคืน 1 คืนหรือจะไปเช้า-เย็นกลับก็ได้ครับ

สำหรับบริษัท Odakyu จะมีรถไฟวิ่งไป Hakone-Yumoto อยู่ 2 แบบ
1. Romance Car แบบไฮโซ (ถ้าเทียบกับบริษัท Tobu ก็จะเหมือนกับ Spacia Limited Express) ข้อดีของ Romance Car ก็คือได้นอนสบายๆ หน่อยครับ และนั่งยิ่งยาวถึงสถานี Hakone-Yumoto ได้เลยไม่ต้องแวะเปลี่ยนขบวนรถที่สถานี Odawara
2. รถไฟแบบธรรมดา นั่งหันหน้าชนกัน สาย Express, Semi-Express, Local (ดูดีๆ นะครับ เพราะถ้า Local คือจอดทุกสถานี ถ้า Express ก็คือจอดน้อยหน่อย) นั่งจาก Shinjuku สุดสายที่ Odawara ซึ่งเราต้องเปลี่ยนขบวนรถเป็นสาย Local จาก Odawara เข้า Hakone-Yumoto อีกครั้งหนึ่งครับ

ถามว่าอะไรเร็วกว่ากัน จริงๆ Romance Car เร็วกว่านิดเดียวแค่ประมาณไม่เกิน 20 นาทีครับ มีดีตรงที่นั่งสบายกว่าก็เท่านั้นเอง

สำหรับการซื้อตั๋ว Hakone Free Pass สามารถซื้อได้ที่ Shinjuku ที่สถานีของ Odakyu ด้านล่างของห้าง Odakyu (เป็นทั้งห้าง+รถไฟฟ้า)
ในราคา 5,000 เยน

หรือจะซื้อที่ Odawara ก็ได้ครับราคา 3,900 เยน
(เห็นเคยมีคนถามว่าที Gotemba มีขายไหม เห็นว่าน่าจะมีบูธของ Odakyu อยู่ครับ)

วันที่ผมไปซื้อตั๋ว เจอพนักงานคนไทยด้วยครับ
เห็นว่ามาเรียนที่นี่แล้วทำ Part-time และมีคนไทยอยู่ที่นี่ 3 คนครับ
พอเค้าได้ยินเราพูดเป็นภาษาไทย ก็เลยพูดไทยใส่กัน ใจดีจริงๆ ครับ

อยากจะบอกว่าทริปนี้ รู้สึกแฮปปี้ที่ได้เจอคนไทยที่นี่ครับ
ตรงกันข้ามกับทริปซากุระปีที่แล้ว ที่เจอคนไทยบางกลุ่ม ค่อนข้างหยิ่งมาก ไม่รู้ว่าการมาญี่ปุ่นนี่ แล้วเจอคนชาติเดียวกันทำไมจะต้องทำท่ารังเกียจกันถึงขนาดนั้น .....

ตั๋วหน้าตาเป็นอย่างนี้ครับ (อันนี้ใช้ภาพของเก่าเมื่อปีที่แล้วมาประกอบ)

ถ้าเริ่มต้นที่ Shinjuku เวลากลับมาถึง Shinjuku ตั๋วจะถูกดูดเข้าไปในเครื่องไม่คืนให้ครับ ....

หน้าตารถไฟแบบธรรมดา ก็เป็นแบบนี้หล่ะครับ ....

ถ้าขึ้นก่อนก็มีโอกาสนั่งก่อน เป็นแบบเก้าอี้ดนตรี
เพราะนั่งกันไกลพอสมควร เป็นชั่วโมงกว่าๆ หน่ะครับ ....

ก่อนขึ้นสังเกตป้ายด้วยนะครับว่าเป็นสาย Express
เพราะผมเคยนั่ง Semi-Express มาแล้ว โห..หลับแล้วหลับอีก

แต่พอเดินทางไปได้พักหนึ่ง คนก็แทบไม่มีนะครับ

หลับแล้วหลับอีก เป็นสายที่นั่งแล้วเมื่อไหร่จะถึงซะทีๆๆๆ

ผ่านไปหลายเพลา ว่าจะถึงสถานี Odawara หลับแล้วหลับอีก

พอถึงที่นี่ก็เปลี่ยนขบวนไป Hakone-Yumoto ครับ ....

ถึงแว๊วว Hakone-Yumoto

เราสามารถเลือกได้ครับว่าจะวนซ้าย หรือวนขวา

ถ้าวนซ้ายแปลว่า
เราจะขึ้นรถไฟสีแดง Hakone Tozan Train ไต่เขาไปสถานี Gora
แล้วก็ต่อรถราง และรถกระเช้า แวะหุบเขาไข่ดำ โอวาคุดานิ
ก่อนมานั่งเรือโจรสลัดครับ ส่วนถ้าวนขวาก็กลับกัน

จริงๆ ทริปนี้ผมพลาดตรงนี้ ผมดันเลือกนั่งรถไฟก่อน
ทั้งๆ ที่มาถึงซะบ่าย 2 โมงกว่าแล้ว เรือเที่ยวสุดท้ายหมด 17.00 น. อาจจะต้องเร่งทำเวลามากจนอาจจะเที่ยวไม่สนุก ซึ่งถ้าใครคิดวากลัวเที่ยวไม่ทัน ให้เร่งเก็บเรือก่อน แล้วค่อยกลับมาทาง Gora รถไฟสีแดง Tozan Train วิ่งถึงกลางคืนครับ

แอ่นแอ๊น รถไฟสีแดง Tozan Train ไต่เขา อันนี้ก็ของ Odakyu เค้า

ดูแผนที่ประกอบกันนะครับ

เราจะนั่งรถไฟ Tozan Train สายสีแดงมาที่สถานี Gora
ระดับความสูง 553 เหนือระดับน้ำทะเล (อากาศเย็นสบายดี)

แล้วนั่ง Cable Car ต่อด้วย Hakone Ropeway (กระเช้า)
แวะที่หุบเขาโอวาคูดานิ ก่อนที่จะนั่งต่อไปลงเรือโจรสลัดครับ

พอถึงสถานี Gora ก็ต่อรถรางขึ้นมาข้างบนนั่นเอง ....

ทริปนี้คนไม่เยอะครับ ตรงกันข้ามกับช่วงซากุระปีที่แล้ว
ที่คนเยอะมากๆ เจอคนไทยพอสมควรทีเดียว
(ทริปนี้อย่างที่บอกครับ เจอคนไทยที่ Asakusa และพนักงานของ Odakyu เท่านั้นเอง)

ตามไปเที่ยวด้วยคับ

จาก Cable Car มาต่อด้วย Hakone Ropeway (กระเช้า)

กระเช้านี่คนไม่เยอะเลยครับ ... เป็นกระเช้าที่ใหญ่พอสมควร
จุดคนได้เป็นสิบกว่าคน ดูมั่นคงกว่านองปิง ฮ่องกงครับ

กระเช้าก็จะวิ่งข้ามหุบเขาโอวาคุดานิ ซึ่งมีแต่ควัน และดูแห้งแล้งมาก (จากความร้อนใต้พิภพ) แล้วก็จะจอดให้เราแวะไปชิมไข่ดำกัน ....

ตามเข้ามาชมตอนที่3ต่อครับ

ถึงแล้วเจ้า หุบเขาไข่ดำ (ผมเรียกงี้ละกันนะ) Owakudani

เพราะว่าของทีทุกคนต้องชิม นั่นก็คือไข่ดำ
จริงๆ ไข่ที่ต้ม ก็เป็นไข่สีปกตินีหล่ะครับ
แต่พอลงไปต้มที่นี่แล้วเป็นสีดำ
พอเป็นไข่ดำปุ๊บราคาแพงขึ้นมาทันที
6 ฟอง 500 เยน ตกฟองละ 30 กว่าบาท ... เฮือก
กลับมาบ้านนั่งต้มไข่กินได้เป็น 10 ฟองเลยนะนั่น ....

นอกจากที่นี่จะมีไข่ดำแล้ว ยังมี ซาลาเปาดำด้วยนะครับ

เรียกได้ว่า ของดำที่นี่ขายดีหมด

เดินขึ้นไปข้างบนชมบ่อน้ำพุร้อน ที่เค้าต้มไข่กัน ....

ควันขโมงเลยทีเดียว

ชาวญี่ปุ่นเอาน้องหมามาเที่ยวที่นี่ด้วย

โฉมหน้าของเจ้าไข่ดำ ใสถุงแพคเรียบร้อย 6 ฟอง 500 เยน .....

พอแกะเปลือกออกมา ขาวจั๊วะ เหมือนต้มไข่กินเองที่บ้าน ....

ในซองมีเกลือให้ด้วยนะครับ แต่ถ้าจิ้มกับน้ำปลานี่ท่าจะอร่อยเหาะ

หลังจากชิมไข่ดำเรียบร้อย ก็มาขึ้นกระเช้าต่อ ....

ถ้าอากาศดีๆ จะเห็นภูเขาไฟฟูจิแบบในภาพนี้ด้วยครับ
แต่วันทีเราไป จริงๆ ก็เหมือนอากาศจะดี แต่มองไม่เห็นฟูจิซังแฮะ ....

และแล้วก็มีเรื่องเศร้าเกิดขึ้น ....

สงสัยเราจะชิมไข่ดำกันนานไปหน่อย มัวแต่หัวเราะคิกๆคักๆ กัน
จนลืมดูเวลา ...

ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เรือโจรสลัดเที่ยวสุดท้าย
ออกเวลา 17.00 น. นี่หว่า สงสัยจะไม่ทันแน่ๆ เลยก็ลุ้น ....

มาดูกันนะครับว่าจะทันไหม กระเช้าใกล้จะถึงแล้ว เห็นเรือจอดอยู่ 2 ลำ

กระเช้ามาถึงที่นี่ 17.00 น. พอดีเป๊ะ รีบวิ่งออกจากกระเช้า
ลงไปชั้นล่าง ปรากฎว่า ประตูปิดไปแล้ว เรือถอยออกจากท่าไปโดยไม่มีเรา

สร้างความเซ็งเป็ดให้กับเราทั้งคู่เป็นอย่างยิ่ง
แต่ไม่เป็นไร รถบัสยังมี ไม่ได้ขึ้นเรือโจรสลัด แฮ่ๆๆๆๆ
(อย่างว่าหล่ะครับ เรามาถึงฮาโกเน่ก็บ่าย 2 กว่าแล้ว ทำใจมานิดนึงละครับ และผมตัดสินใจผิด น่าจะเลือกวนขวา อย่างน้อยก็จะได้ทันนั่งเรือโจรสลัด) เราก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปอีกเลย จนกระทั่งกลับมาถึง Shinjuku

แอ่นแอ๊น แต่เนื่องจากผมมีโอกาสไปเมื่อปีที่แล้ว ภาพทั้งหมดจะเป็นของปีที่แล้วครับ วันนั้นหมอกลงหนามากๆ แทบไม่เห็นอะไรเลยทีเดียว

หมอกหนา อากาศเย็น .... ไม่เห็นอะไรเลย

ใครใคร่ชมวิวชม ใครใคร่นั่ง ก็นั่ง มีห้องนั่งพักผ่อนแบบนี้
เหมือนกับเรือเฟอรี่ทั่วๆ ไปครับ ....

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที
ก็จะเดินทางมาถึงท่าเรือ Motohakone อีกฝั่งหนึ่ง ....

สามารถต่อรถสาย 1 หรือ 2 กลับสถานี Hakone-Yumoto ได้ครับ

รถเมล์ใน Hakone ถ้ามีบัตร Hakone Free Pass ก็แค่แสดงบัตรให้คนขับรถดูก็เท่านั้นเอง นั่งฟรีครับ

แตถ้าต้องจ่าย บนรถจะมีป้ายบอกว่า เราขึ้นจากป้ายหมายเลขอะไร แล้วถ้าลงตรงนี้จะต้องจ่ายกี่เยน ก็ว่ากันไปครับ

และแล้วเราก็กลับมาถึงสถานี Hakone-Yumoto

ฝั่งตรงข้ามสถานี จะมี Tourist Information Center ตั้งอยู่ครับ

ตรงป้ายสีน้ำตาลคูหาขวาสุด ไปปรึกษาเค้าได้เลยครับ

"พี่ๆ ผมจะไปลงบ่อออนเซ็นที่ไหนดี ??"

ปล. เพราะตอนแรกผมเข้าใจมาโดยตลอดว่า ถ้าจะเข้าออนเซ็นต้องพักค้างคืนในเรียวกังทีมีออนเซ็น แต่ความเป็นจริงแล้ว มีออนเซ็นที่เค้าเปิดให้บริการเฉพาะช่วงกลางวันจนถึงหัวคำก็มีอยู่หลายแห่งเลยครับ ....

พี่เค้าก็เขียนแนะนำให้ครับ พร้อมราคาด้วย ตามแผนที่นี่เลย
เดินไปจากสถานีก็ได้ครับ มีอยู่หลายเจ้า

แต่ว่า แต่ละเจ้าก็จะต่างกัน เช่นบางเจ้าต้องเตรียมผ้าเช็ดตัวไปเอง
บางเจ้ามีให้ใช้ก็แล้วแต่ครับ ....

ดังนั้น ถ้าไปฮาโกเน่ และคิดว่าจะลงบ่อออนเซ็นแน่ๆ

สิ่งทีควรจะเตรียมก็คือ ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ และ ผืนเล็ก
ผืนเล็กนี่ไว้สำหรับติดตัวเข้าไปในบ่อนะครับ (จะเอาไว้บังๆ ปิดๆ ก็แล้วแต่) ส่วนผืนใหญ่ไว้เช็ดตัวครับ (ถ้าบางที่เค้ามีให้ก็ไม่เป็นไร ใช้ของเขาก็ได้)

พอมาทางตอนเหนือของสถานี ก็มีอีกหลายเจ้าครับ ตามภาพประกอบ

แผนที่อันสุดท้ายครับ ... อยู่เหนือสุดเลย
อาจจะต้องใช้เวลาเดินจากที่นี่ประมาณ 15 นาที
(จริงๆ มีรถเมล์ผ่านด้วย แต่ผมจำไม่ได้ว่าสายอะไร)

ผมก็ถามต่อว่า คุณ จนท. แนะนำที่ไหนดี ....
คุณจนท. บอกว่า ที่ Tenzan ก็ดีนะ บรรยากาศดี มีคนชมเยอะ

โอเช งั้นผมไป Tenzan ละกันครับ .....

และแล้ว เราก็เดินไป Tenzan ดีกว่า (ผมว่าไกลพอสมควรครับ เดินประมาณ 15 นาทีได้อยู่)

แต่อยากจะบอกว่า การได้ลงบ่อน้ำร้อนนี่ หายเมื่อยเลยนะครับ
ถามว่า ทริปที่แล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นกับการลงบ่อออนเซ็นไหม
ผมตอบว่าไม่เลยครับ เพราะก่อนหน้านั้น ผมไปค้างคืนที่โอซาก้า
ใช้ห้องอาบน้ำรวมมาเป็นสัปดาห์ ดังนั้น เรื่องความเขินอายนี่มลายหายสิ้น แต่สิ่งที่ผมคิดว่าโอเคมากๆ ก็คือ การลงบ่อน้ำร้อน แช่ให้หายเมื่อย
นั่นหล่ะครับ ที่ทำให้มีแรงเที่ยวไหว ขึ้นมาจากบ่อแล้วสบายตัวดีจัง ...

ปล. สำหรับท่านอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนผมก็ได้นะครับ

เดินไปเรื่อยๆ บรรยากาศดีมาก ก็เพลินดีครับ

เดินมาเรื่อยๆ ถึงแล้วครับ Tenzan .....
รถจอดเต็มเลย
สังเกตได้ว่า ผู้มาใช้บริการส่วนใหญ่ เป็นคนในท้องถิ่นครับ

แต่ก็มีชาวต่างชาติ เป็นฝรั่งอยู่บ้างเหมือนกัน

ปล. ผมคิดว่าไมน่าจะมีคนไทยเลยครับ
ส่วนหนึ่งคิดว่า คนไทยส่วนใหญ๋มักจะเลือกที่พักแบบลงบ่อออนเซ็นได้
และน่าจะนิยมผลัดกันมาลงบ่อ หรือลงบ่อไม่พร้อมกันตอนดึกๆ มากกว่า

มีป้ายรถเมล์ข้างหน้าด้วยนะครับ ขากลับก็จะได้สบายหน่อย
ไม่ต้องเดินกลับแล้ว

ก่อนเข้าใช้บริการ ต้องซื้อตั๋วกับตู้อัตโนมัติก่อนครับ ...

วิธีการก็ไม่ยาก ก็แค่เลือกว่าจะเอาแพคเกจไหน แล้วกดปุ่ม
ใส่ตังค์เรียบร้อย ได้ตั๋วออกมา

สำหรับผู้ถือบัตร Hakone Free Pass
ลดค่าบริการออนเซ็นเหลือ 1,100 เยนครับ

สำหรับที่นี่ ก็จะมีส่วนต้อนรับ และพื้นที่นั่งเล่นให้ผ่อนคลายอิริยาบท
(ใช้ร่วมกันหมด แต่งตัวตามสบายครับ) และมีส่วนร้านอาหารด้วย สำหรับใครที่แช่เสร็จแล้วก็มาทานอาหารต่อได้

หลังจากนั้นก็จะเป็นส่วนออนเซ็น ที่แยกเป็นฝั่งชาย และหญิงออกจากกัน ประตูทางเข้าอยู่คนละทางเลยครับ

สำหรับใครที่ต้องการออนเซ็นกันส่วนตัว ก็มีเรือนแยกออกไปเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้ว่าคิดราคาเท่าไหร่

พอเข้ามาในส่วนออนเซ็น
จะแยกเป็นทั้งหมด 3 ส่วน ขออนุญาตอธิบายละเอียดนะครับ
เพราะไม่มีภาพประกอบ ....

ทางเข้าจะมีประตู 2 ชั้น เปิดชั้นแรก ประตูปิดเอง เข้าไปอีกประตูเปิดและปิดเอง เนืองจากข้างในเป็นส่วนที่ทุกคนจะไม่ได้ใส่อะไรเลยครับ

ส่วนแรกคือส่วนล๊อกเกอร์ครับ ประกอบไปด้วยล๊อกเกอร์ และพวกอ่างล้างล้างมือ ไดร์เป่าผม มองออกไปเห็นผู้คนแช่น้ำอยู่
ถอดผ้ากันที่นี่หล่ะครับ ต่างคนต่างถอด ถอดจนไม่เหลืออะไร
เก็บข้าวของทุกสิ่งอย่างไว้ในล๊อกเกอร์
(สำหรับท่านที่ไม่เคย อาจจะรู้สึกแปลกๆ แต่เป็นเรื่องปกติของที่นี่
ก็คือ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นเองครับ)

หลังจากออกจากส่วนล๊อกเกอร์ สิ่งที่ติดตัวมาก็จะมีแค่
ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่เราเตรียมมาเอง กับ กุญแจล๊อกเกอร์แบบคล้องข้อมือได้ นอกนั้นไม่เหลือครับ ....

--------------------------------------------------------------------------
หลังจากที่ทั้งตัวมีแต่ผ้าเช็ดตัวผืนจิ๋ว กับ กุญแจล๊อกเกอร์
เดินเข้ามาทางขวาจะมีส่วนให้นั่งอาบน้ำ มีฝักบัวคนละชุด
ต้องอาบน้ำสระผมให้สะอาดเรียบร้อย ก่อนที่จะลงบ่อออนเซ็นครับ

--------------------------------------------------------------------------
ส่วนที่สามคือบ่อออนเซ็น ของที่นี่ขนาดค่อนข้างใหญ๋ครับ มีหลายบ่อ หลายโซน ตกแต่งด้วยหินเหมือนอยู่ในธรรมชาติ รั้วสูงมาก แต่คนที่อยู่ในนั้นก็หลายสิบชีวิต (น่าจะเกือบๆ ครึ่งร้อย) บ่อแต่ละบ่ออุณหภูมิไม่เท่ากันครับ บางบ่อค่อนข้างร้อนจัด บางบ่อก็ร้อนธรรมดาๆ และมีบ่อน้ำเย็นด้วย หลายๆ คนจึงเลือกที่จะแช่น้ำร้อนน้ำเย็น สลับกันไป

บ่อขนาดเล็กพอแช่แค่ 2-3 คนก็มี แต่ละคนก็แยกไปจับจองบ่อ
ส่วนบ่อรวมก็แช่กันเป็นหลายสิบคน

สำหรับผ้าเช็ดตัวผืนน้อย ห้ามเอาลงน้ำเด็ดขาดครับ ส่วนใหญเค้าก็จะเอาโปะไว้บนศีรษะ หรือไม่ก็เอาวางไว้ขอบบ่อครับ .....
บางทีรู้สึกร้อนเกิน ขึ้นมาจากบ่อมานั่งผึ่งบ้าง แล้วค่อยลงไปใหม่

แห่ะๆๆ เรียบร้อย ประสบการณ์ออนเซ็น

ได้เวลากลับ Shinjuku แล้วครับ
กลับไปเริ่มต้นที่สถานี Hakone-Yumoto
พาชมรถ Romance Car ของ Odakyu ซักกะหน่อยนึง .....

บรรยากาศภายในรถ ที่นั่งก็น่าจะนับสบายดีครับ
เพียงแต่ว่า ถ้าถือบัตร Hakone Free Pass จะนั่งไม่ได้
ถ้าจะนั่งก็ต้องเสียค่าอัพเกรดประมาณ 800 กว่าเยนครับ
ได้นั่งยิงยาวจาก Hakone-Yumoto ถึง Shinjuku เลย

กลับมาถึง Shinjuku แล้ว พาไปหาอะไรทานมื้อค่ำหน่อยแล้วกันครับ

พอดีว่าคุณเธอเห็นร้านอาหารฝรั่งแนวสปาเก็ตตี้แซลมอน
ก็เลยอยากลองดูว่าเป็นอย่างไร

ก็เลยได้ลองที่ห้าง Odakyu ชั้น 7 เหนือสถานี Shinjuku นั่นเอง
ร้านนี้ครับ ..... คนเยอะใช้ได้ทีเดียว

ร้านนี้ก็เป็นอาหารฝรั่งนะครับ
อย่างจานนี้ จะคล้ายๆ กับสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า แต่เป็นทะเลครับ
ใส่ทั้งกุ้งและหอยเชลล์

อร่อยครับ

ส่วนสปาเก๊ตตี้จานนี้ .... โรยไข่ปลาด้วย รสชาติกลมกล่อมใช้ได้ครับ

สลัดผัก+ทะเล+ขนมปังฝรั่งเศส รสชาติใช้ได้ครับ
ผักกรอบมาก และของทะเลสดๆ หวานจริงอะไรจริง

ปิดท้ายด้วยของหวาน ด้านซ้ายเหมือนเป็นเยลลี่ใส่ผลไม้ ....
สรุปอร่อยประทับใจครับ ค่าเสียหายรวมประมาณ 3,000 เยนได้ครับ
(เป็นโปรโมชั่นของร้าน ที่นิยมให้สั่งหลายๆ อย่างรวมๆ กันจะได้ส่วนลด เช่น จานหลัก+เครื่องเคียง+ของหวาน+เครื่องดื่ม สั่งพร้อมกันถูกกว่าสั่งแยก เป็นต้น)

ไปโตเกียวแล้ว ... จะไปเที่ยวไหนนอกเมืองได้บ้าง ในวันเดียว ??

5. ไหว้พระใหญ่เมืองคามาคุระ + เที่ยวเมืองโยโกฮาม่า
เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่น่าสนใจ หลายๆ คนสามารถต่อยอดจาก Hakone มาที่นี่ได้ ในกรณีที่เลือกค้างคืนที่ฮาโกเน่ ครับ
เพราะจากสถานนี Odawara มายังสถานี Ofuna ซึ่งเป็นต้นทางในการเข้าสู่เมืองคามาคุระ ก็นั่งรถไฟแค่ประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง

ซึ่งโปรแกรมเที่ยวคามาคุระ สามารถเพิ่มโยโกฮาม่าช่วงเย็นได้
และสำหรับใครที่คิดอยากจะเที่ยวเป็นวันสุดท้ายก่อนบินกลับตอนดึก
ก็สามารถนำโปรแกรมนี้ใส่ในวันสุดท้ายได้เช่นกัน
เพราะว่า จากสถานี Yokohama ตรงไปสนามบินฮาเนดะ ก็ใช้เวลาแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเองครับ (กับรถไฟ Keikyu)

## วิธีการเดินทางสู่คามาคุระ ##
มี 2 เจ้าแข่งกันครับ ก็คือ JR และ Odakyu
สำหรับ Odakyu ต้นทางจะเริ่มที่ Shinjuku ราคาไป-กลับ 1,430 เยน แต่เส้นทางที่รถวิ่งอาจจะค่อนข้างอ้อมกว่า JR ครับ
บัตรนี้ใช้ชื่อว่า Enoshima-Kamakura Free Pass, นั่งขบวน Enoden ได้แต่นั่ง Shonan Monorail ไม่ได้

ส่วน JR มีบัตรชื่อ Kamakura Enoshima Pass ซึ่งเริ่มต้นที่สถานี JR Ofuna สามารถใช้บัตรนี้นั่ง Shonan Monorail, ขบวน Enoden ไม่จำกัดจำนวนเทียวใน 1 วัน ราคา 680 เยน แต่ไม่รวมค่ารถไฟจากโตเกียวไป Ofuna (ปัจจุบัน JR ยกเลิก Kamakura Free Kippu ที่เริ่มต้นจากโยโกฮาม่า ตอนนี้ไม่มีอีกแล้วครับ)

สรุปการเดินทางที่แนะนำ เนื่องจากตอนไปฮาโกเน่ ก็นั่ง Odakyu แล้ว ตอนไปนิกโก้ ก็นั่ง Tobu ดังนั้นไปคามาคุระ อุดหนุน JR แล้วกันครับ

ดังนั้น เราก็ต้องเดินทางจากโตเกียวไปยังสถานี Ofuna ก่อน ....
ถ้าแบบประหยัด เดินทางจาก Shibuya ไป Yokohama
แล้วต่อรถของ JR ลงที่ Ofuna ก็ได้เช่นกัน

คืดอยากจะบอกว่า ตอนนี้ 6 โมงเช้าแล้วครับ
ขออนุญาตติดค้างทริปคามาคุระ กับ โยโกฮาม่าไว้ก่อน
แล้วจะเอามาเสริมเพิ่มต่อในกระทู้นี้หล่ะครับ

สำหรับเส้นทางสายคามาคุระ ที่ผมชอบคงจะเป็นรถไฟ Enoden Train หล่ะครับ เป็นรถไฟที่โบราณ แต่คลาสสิก และเป็นทางรถไฟเลียบทะเลด้วย สวยงามครับ ... อิ่มตา อิ่มบุญจริงๆ แล้วเดี๋ยวไปอิ่มท้องที่ Ramen Museum อย่างไรเดี๋ยวมาต่อช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ครับ

ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ

ละเอียดมากๆเก็บข้อมูลไว้ก่อน.....มีโอกาสเมื่อไรไปแน่นอน

ยอดเยี่ยมครับ เนื้อหาแน่นเช่นเคย

ขอบคุณครั้งที่ 3 สำหรับรีวิวค่ะ ละเอียดมากเหมาะสำหรับbeginerจริงๆ
รีวิวทั้งคืนเลย ไม่ได้นอนใช่ไหมคะ
รักษาสุขภาพด้วยค่ะ

ตามเที่ยวญี่ปุ่นต่อด้วยนะครับ

ไปได้ยังไงในวันเดียวเนี่ย....
ผมอยู่โยโกฮาม่าทั้งวันยังรู้สึกน้อยไปเลย

เข้ามาลงชื่อไว้ก่อนนะคะ

เดี๋ยวว่าง ๆ ค่อยเข้ามาอ่านค่ะ

ขอบคุณนะคะ

รายละเอียดเยอะมากๆคะ เผลอๆจะเยอะกว่าพวกไกด์บุ๊คอีกนะเนี่ย ขอบคุณหมอยุ่งมากๆเลยคะสำหรับไกด์บุ๊คดีๆแบบนี้

ยอดเยี่ยมจิงๆครับคุณหมอ ขอลงชื่อไว้ก่อนนะครับ

มาให้ใจแปะไว้ก่อน เดี๋ยวจะตามมาอ่านอีกทีนะคะ ^__^

ไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยคน

แวะมาเยี่ยมค่ะ  ข้อมูลพร้อมจริง  ^^

มาทัน Kamakura พอดีเลยไปเที่ยวด้วยคนค่าาา

ขอบคุณสำหรับรีวิว ยอดเยี่ยม กิ๊ฟหมดแล้วโหวตให้แทนนะค่ะ
คุณหมอยุ่งไม่หลับไม่นอนเลยเหรอค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

ขอบคุณหมอยุ่งมากๆนะคะ ได้ข้อมูลเยอะแยะเลยค่ะ

รีวิวคุณหมอยุ่งฯ นี่รายละเอียดเยอะดีจริงๆ  
ไว้เป็นข้อมูลนำทางในเบื้องต้นได้เสมอ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะครับ

ขอเก็บข้อมูลเหมือนเดิม ตามหมอยุ่งไปเที่ยวมาหลายทริปแล้ว ขอบคุณมากๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ เเละภาพสวยๆ

ขอนอกเรื่องถาม จขกท ว่า ซิม ทูน ทอล์ค ซื้อที่มาเลย์
ใช้ในสิงคโปร์ได้ไหมคะ ขอบคุณค่ะ

เข้ามาชมญี่ปุ่นต่อค่ะ

ยิ่งดูรีวิวยิ่งอยากไป

เป็นรีวิวที่เยี่ยมเช่นเคยครับ เสียดายที่ผมไปเที่ยวญี่ปุ่นน้อยไปนิดก่อนมีลูก ตอนนี้มีลูกเล็กแล้ว อีกนานละครับกว่าจะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบเต็มๆอีก

คิดถึงที่สุด....

มาลงชื่อครับ

รีวิวได้เยี่ยม ข้อมูลเพียบเลย
เราไป hagone ทีไรฝนตก ทู้กที ไม่ค่อยได้ภาพสวยๆมาซักที

ขอร่วมแชร์ทางเลือกในเส้นทาง kamakura อีกนิดหน่อย  เป็นทางเลือกแบบชาวบ้านๆประหยัดหน่อยค่ะ แต่อาจไม่เหมาะสมกับมือใหม่ญี่ปุ่นเท่าไหร่ และก็จะไม่ได้รับส่วนลดเข้า ชมสถานทีท่องเที่ยวเหมือนซื้อ pass

ถ้าจะไป tokyo >> kamakura >> yokohama

เริ่มจาก shinagawa station >> kamakura  station นั่ง  Yokosuka Line = 690
ที่เที่ยวใน kamakura ไม่ได้หาไกลกันมากเดินถึงกันได้ ส่วนมาก ก็จะนั่งแค่  kamakura < > hase  เที่ยวละ 190
ขากลับ kamakura >> yokohama   Yokosuka Line = 330
ใน yokohama นั่งรถบัส 100 เยน เที่ยวก็ได้
ขากลับ ก็ yokohama >>> shinagawa  Tokaido Line = 280   (สายนี้นั่งไปชอปปิ้งประจำ)

อันเรื่องมาจาก เพื่อนๆที่มาเที่ยวก็จะถามหาแต่ pass ไว้ก่อนเลยว่าซื้อที่ไหนอะไรยัง (บางpass เรายังไม่รู้เลยว่ามีด้วย)  ซึ่งก็ง่ายดีแต่ถ้าเรารู้ว่าจะไปที่ไหนยังไงบ้าง ก็จะ ไม่ต้องจ่ายมากโดยไม่จำเป็น

รูปเปิดสวยมาก ๆ ค่ะ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลส่วนต่างๆมากครับ

รีวิวส่วนต่างๆได้เยี่ยมมากเลยครับ

ข้อมูลอย่างเพียบและละเอียด กระทู้มีประโยชน์มากถึงมากที่สุด

ขอบคุณคุณหมอยุ่งฯ มากมายค่ะ หลายแห่งอยู่ในลิสต์เราเลยค่ะ

ขอบคุณน้องหมอที่ปลีกเวลามาทำรีวิวแบบละเอียดๆให้เพื่อนๆที่สนใจ ได้ลอกการบ้านกันสบายๆด้วยจ้า

ขอบคุณมากครับที่พาไปเที่ยว

มาเก็บข้อมูลด้วยคนค่ะ ^^

ขอบคุณสำหรับรีวิวคะ ขอเก็บไปเที่ยวบ้างนะคะ

ขอบคุณรีวิวและข้อมูลการเดินทางเจ๋งๆแบบนี้ และขออนุญาตแจมนะครับคุณหมอ พอดีผมได้ไปเที่ยว Hakone กับทัวร์มาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา  

ป้ายใกล้ๆร้านค้าทางขึ้นไปดูการต้มไข่ดำครับ

เจ้าแมวเหมียวแถวๆร้านขายไข่ดำ 6 ฟองครับ

ลงมาจาก Owakudani ทางทัวร์พาไปนั่งเรือล่องทะเลสาบครับ ตอนที่ถ่ายรูปเวลาประมาณ 11 โมงเช้า หมอกลงนิดๆ ฝนโปรยหน่อยๆ อากาศเย็นสบายเลยครับ

จริงๆอยากจะเขียนรีวิวเหมือนกันครับ แต่เนื่องจากไปกับทัวร์คงไม่ได้รีวิวอะไรนอกจากห้องพักที่ถ่ายเก็บไว้ทุกที่ และครั้งนี้ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกกับแฟน เค้าเห็นผมถ่ายโน่นถ่ายนี่ ผมกะจะเอาไว้มารีวิว ก็จะโดนบ่นว่าถ่ายรูปที่ไม่ใช่คนไปทำไม มีใครโดนแบบผมบ้างไหมน้อ 555

ขอบคุณ สำหรับ Review ข้อมูลและภาพ .......

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับหมอยุ่ง พี่ก็ยังไม่เคยไปฮาโกเน่นะครับ มาดูรีวิวนี่ก็ได้ไอเดียในการเดินทางเยอะเลยครับ

ขอช่วยเพิ่มเติมส่วนของนิกโก้นิดนึงนะครับ...การมาเที่ยวนิกโก้นอกจากจะชมโซนมรดกโลกที่เป็นศาลเจ้าและวัดเเล้ว เราสามารถนั่งรถบัสประจำทางเลยขึ้นเขาไปยังโซนทะเลสาบได้ด้วยครับ ไฮไลท์อยู่ที่ทะเลสาบชูเซ็นจิ Chuzenji ซึ่งส่วนนี้ถือว่างดงามไม่เบาเลย ถ้าไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะงามมากทีเดียวครับ

ถ้าจำไม่ผิดจะมี Bus Pass ราคา 2,000 เยน สำหรับนั่งรถขึ้นไปถึงที่ทะเลสาบชูเซ็นจิได้ครับ และรวมไปถึงโซนมรดกโลกทั้งหมดด้วยครับ

อีกจุดนึงที่สวยมากๆใกล้กับทะเลสาบชูเซ็นจิ นั่นก็คือ "น้ำตกเคงอน" (Kegon) ครับ นี่คือสิ่งมหัศจรรย์อย่างนึงของนิกโก้เลยครับ เพราะน้ำจากทะเลสาบชูเซ็นจิจะไหลตกจากหน้าผาสูงเกือบร้อยเมตร กลายเป็นน้ำตกที่สง่างามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลยครับ ถ้าใครขึ้นมาถึงชูเซ็นจิแล้วก็มักจะเดินเลยลงมาชมน้ำตกเคงอนด้วยครับ ทิวทัศน์น่าประทับใจมากๆครับ

ตามอ่านต่อค่ะ
เห็นแล้วอยากอยากไปญี่ปุ่นอย่างแรงเลย

อยากไปญี่ปุ่นในทันทีเลยอ่ะค่ะ

เข้ามาแอบสอดแนมคะ กิ๊ฟไม่มีแล้วคะ แต่หวีเหนียดยังมีนะคะ


ช่วงนี้กระทู้ดีๆ เยอะ ตามอ่านไม่กันกันเลยคะ



ขอบคุณนะคะที่พาเที่ยว

ดูไปดูมาลงเอยที่สปาเกตตีน่าทานมากเลยครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ

เคยไปนิกโก้ แล้วกินซาลาเปาทอด โรยเกลือ อร่อยดีค่ะ เค็มๆมันๆ 555

พี่หมอค่ะ รูปต้นไม้ข้อความที่ 20 เพื่อนชาวที่ญี่ปุ่นที่พาไปเค้าบอกว่าเอาไว้กันหิมะเกาะต้นไม้

อันนี้น้องก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะค่ะ

ถ้าผิดก็ต้องขออภัยด้วย แฮะๆๆๆ

แวะมาชมครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ

 ขอบคุณมากค่ะคุณหมอยุ่ง

ขอบคุณครับ คิดถึงออนเซ็นที่ญี่ปุ่นที่สุด จะได้กลับไปอีกไหมหนอ...

ขอบคุณมากค่ะที่พาเที่ยวญี่ปุ่น ได้เกร้ดความรู้มากมาย เป็นคลังข้อมูลสำหรับการวางแผนเที่ยวครั้งแรกค่ะ

ดันมาค้างเติ่งที่ Kamakura ซะงั้นอ่ะ
จุดไคลแม็กซ์ที่ผมอยากอ่านพอดีเลย =='

ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ที่มารีวิวท่องเที่ยวให้ดูกันครับ

กลับมาต่อเร็วๆนะครับ

ขอบคุณรีวิวสวยๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวมากๆ ครับ
ละเอียดมากเลยครับ

แต่ผมขอเพิ่มเติมจากความเห็นที่ 1 นิดนึงนะครับ
โตเกียว ดิสนีย์แลนด์นั้น ผมว่าไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อต่อรถสายดีสนีย์รีสอร์ทหรอกครับ
เพราะจากสถานี JR Maihama กับทางเข้าโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ อยู่ไม่ไกลครับ
ผมคิดว่าเดินลงออกจากสถานีแล้วเดินไปทางขวาแป็ปเดียวก็ถึงทางเข้าแล้วครับ
ส่วนโตเกียว ดิสนีย์ ซีนั้นผมไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยไปครับ

รอชมตอนที่ 4  Odaiba เป็นพิเศษเลยครับ
เพราะมีแผนไปปลาย พ.ย. นี้
คุณหมอยุ่ง พอจะแนะนำแหล่งใบไม้แดงที่โตเกียวบ้างไหมครับ

Thank you for good review

ตามไปเที่ยวด้วยคนค่า ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับรีวิวดีๆ เห็นรูปแล้วก็อยากแพ็คกระเป๋าเร็วๆ

ไม่น่าเข้ามาดูเลย ตั้งใจจะไม่เข้ากระทู้ญี่ปุ่น หลังกลับจากไปเที่ยวญี่ปุ่นมา

เพราะมันอยากไปอีก ยิ่งเห็นยิ่งอยากไปกว่าตอนไม่เคยไปอีก T^T

คิดถึงประเทศนี้จัง อยากกลับไปเที่ยวอีก

ขอบคุณมากจ๊ะ สำหรับข้อมูลที่ดี

ขอเก็บไว้ก่อนครับ เดี๋ยวก๊อปแน่ๆ

ขอบคุณสำหรับรีวิวพาเที่ยวญี่ปุ่นค่ะ

วิธีการเดินทางละเอียดดีจังค่ะ ขอเก็บไว้เป็นข้อมูลนะคะ

ขออภัยที่หายไปหลายวันเลยทีเดียวครับ แห่ะๆๆ
ขอมาต่อ คามาคุระ และ โยโกฮาม่า ในวันเดียวให้จบครับ

ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านด้วยนะครับ
-- ขอบคุณลุงหนุ่มฯ ที่เอารูป+ข้อมูลเรื่องนิกโก้มาแปะเพิ่มครับ
-- คุณ thanachad --> แห่ะๆ เห็นว่าแค่สถานีเดียวน่าจะเดินได้อยู่จริงๆ ด้วยหล่ะครับ แต่ถ้า Disney Sea คงต้องนั่งรถไฟแน่ๆ เพราะน่าจะไกลกันพอสมควร
-- คุณ Seventh Ave --> รู้สึกว่าไม้ๆ ข้างล่างไว้กันหิมะเกาะต้นไม้จริงๆ ครับ แต่ที่ผูกไว้ข้างบน และมีกระดาษที่คล้ายๆ กับสายฟ้า เป็นอันที่ผมหมายถึงเรื่องการทำบุญต้นไม้เป็นความเชื่อครับ
-- คุณ blazing --> ต้องขอบคุณสำหรับข้อมูลด้วยนะครับ
บางทีผมก็เห็นว่า Pass บางอย่างราคาแพงกว่าจองแยกอีก แต่ถ้าคำนวนดูแล้วว่าซื้อ Pass คุ้มกว่าคิดว่า Pass ก็โอเคอยู่นะครับ อย่าง Hakone Free Pass ถ้าซื้อแยกผมคิดว่าแพงกว่าเห็นๆ เลยทีเดียว

---------------------------------------------------------------------------

## การเดินทางสู่คามาคุระ ##
ผมขอเรียกสถานีรถไฟ JR Ofuna ว่าเป็นประตูสู่คามาคุระแล้วกันครับ

การเดินทางสู่ JR Ofuna ด้วยรถไฟ JR สามารถเริ่มต้นได้หลายแห่งครับ โดยจากโตเกียว และจากสถานีในเส้นทาง JR Yamanote Line ฝั่งตะวันออกอาทิเช่น Ueno, Akihabara, Tokyo, Shimbashi, Shinagawa ฯลฯ สามารถขึ้นรถไฟสาย Kenhin-Tohoku ที่วิ่งจาก Omiya ผ่าน Yokohama มาสุดสายที่ Ofuna ได้เช่นกันครับ

กรณีที่เริ่มต้นจากฝั่งตะวันตกอาทิเช่น Shibuya ส่วนตัวผมคิดว่านั่งรถไฟของ Tokyu มาลงที Yokohama ก่อนแล้วค่อยต่อไป Ofuna ก็ยังได้ครับ (หรือถ้าอยากนั่ง JR ก็นั่งสาย ShonanShinjuku มาลงที่ Ofuna ได้เช่นกัน)

กรณีเที่ยว Hakone เสร็จแล้วจะต่อด้วยคามาคุระในวันต่อไปก็ได้
(วันเดียวไมได้นะครับ ไม่ไหวแน่นอน ชะโงกเกิน) สามารถตั้งต้นจากสถานี Odawara มาลงที่ Ofuna ได้โดยใช้เวลาประมาณครึงชั่วโมงครับ

---------------------------------------------------------------------------
กระทู้นี้ผมขออนุญาตตั้งต้นที่ Shibuya และนั่ง Tokyu ไป Yokohama ครับ

อย่างที่เคยเล่าในตอนที่ 2 ครับว่า
สถานี JR Shibuya ให้ความสำคัญกับเจ้าน้องหมาฮาชิมาก
ไม่ใช่แค่การตั้งอนุสาวรีย์เจ้าฮาชิ
ยังตั้งชื่อทางเข้าออกสถานีเป็นชื่อเจ้าฮาชิด้วย ตามภาพครับ

ซื้อตั๋วรถไฟ Tokyu สาย Toyoko Line จาก Shibuya ไปลง Yokohama ราคา 260 เยนครับ ....

แล้วก็ไปรอรถที่ชานชลา แน่นอนเราต้องขึ้นสาย Express
เพราะถ้าขึ้น Local พี่ท่านจอดทุกสถานีจริงๆ (ราคาเท่ากันครับ)

แป๊บเดียว ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี เราก็มาถึง Yokohama ครับ
แผนผังสถานี จะเห็นว่าตัวสถานี Yokohama ของ Tokyu
จะอยู่ติดกับ JR Yokohama เลยทีเดียว

ตอนที่ผมไปเมื่อปีที่แล้วยังมี Kamakura Free Kippu ที่เริ่มต้นจาก Yokohama อยู่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับ มีเริ่มต้นที่ Ofuna เท่านั้น
ดังนั้น ถ้าใครจะไปจาก Yokohama ก็ต้องซื้อตั๋ว JR จาก Yokohama ไปลงที่ Ofuna เอาเองครับ

ผ่านไปอีกแว๊บเดียว เราก็มาถึงสถานี JR Ofuna ครับ

อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าเมืองคามาคุระ
และ Enoshima ครับ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าที่วิ่งเข้าเมืองคามาคุระ
หรือรถไฟ Monorail แบบรางอยู่ข้างบน (รถห้อยลงมา) วิงตรงไปยัง Enoshima ซึ่งตัวสถานีก็จะอยู่ติดกันกับ JR Ofuna เลยครับ

เนื่องจาก ofuna เป็นสถานีใหญ่
จึงมีร้านอาหาร และร้านค้ามากมายครับ ...
ใครที่คิดอยากจะฝากท้องไว้ที่สถานีนี้ก็ย่อมได้เช่นกัน

น่ากินมากมาย ....

คุณหมอครับ...ไปนิคโก้ ได้กินยูบะ (แผ่นเต้าหู้) หรือเปล่าครับ อันนี้เป็นของขึ้นชื่อของเมืองนิคโก้เลยครับ

มาขอเพิ่มเติมคุณหมอวิธีไปคามาคุระจากชิบุยะนะครับ หลักๆ ไปได้สองแบบครับ
แบบแรกคือตามที่คุณหมอว่ามาเลยครับ
Shibuya (Tokyo Toyoko) >> Yokohama (JR Yokosuka)>> Kamakura
อันนี้จะถูกหน่อยแค่ 590 เยนแต่ว่าต้องไปเปลี่ยนสายก่อนรอบนึง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 5 นาที ถ้าขึ้นขึ้นรถไฟแบบด่วนพิเศษครับ　
อาจนานกว่านี้เป็น 15-20 นาทีถ้านั่ง local ครับ แล้วก็ตอนที่ต้องรอ เปลี่ยนสายรถไฟก็ใช้เวลาเหมือนกัน

ของสาย Tokyu Toyoko 東急東横　รถไฟจะแบ่งเป็น
各駅停車(各停) local ＜急行 express ＜通勤特急(通特) commutor limited express ＜特急 limited express
แนะนำว่าให้ขึ้น limited express จะเร็วกว่าครับ ราคาเท่ากันเหมือนเดิมครับ (ที่อยู่ในวงเล็บจะโชว์บนขบวนรถไฟครับ)

ส่วนแบบที่สองคือนั่งยาวจาก Shibuya >> Kamakura เลย
อันนี้ให้ขึ้นสาย JR Shonan-shinjuku (JR湘南新宿ライン・逗子行)　
แต่ตอนขึ้นต้องดูนิดนึงมันจะบอกว่าไป Zushi 逗子 ซึ่งเส้นนี้สายมันจะทับซ้อนกับ Yokosuka Line ครับ
ถ้าเราขึ้นไปทาง Odawara (JR湘南新宿ライン・小田原行)　ซึ่งสายนี้จะไปทับซ้อนกับ Tokaido Line
อันนี้ให้เปลี่ยนที่สถานี Ofuna 大船 เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย Yokosuka 横須賀
(หรือจะเปลี่ยนที่ Yokohama 横浜, Totsuka 戸塚 ก็ได้ครับ)
อันนี้จะแพงกว่านิดหน่อยคือ 890 เยน แต่จะใช้เวลาน้อยกว่าครับ ประมาณ 50 นาที

คห.135 เห็นราคาแล้วแอบกรี๊ดด ถูกมากมายเลยค่ะ

แห่ะๆ ไม่จบซักที ..... ไม่จบเราไม่นอน อิอิ

ถึงคุณเฉาก๊วยครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ
รู้สึกว่าสาย ShonanShinjuku น่าจะเร็วกว่า แต่แพงกว่าครับ
ด้วยความแอบงก ก็เลยยอมนั่ง 2 เจ้าแทน แฮ่ๆๆๆ

ส่วนแผ่นเต้าหู้ไม่ได้ทานครับ (น่าเสียดาย ไว้แก้มือทีหลังละกัน)

---------------------------------------------------------------------------
เผอิญว่าเมื่อวานตั้งใจจะโพสต์ให้จบแล้วครับ แต่ฝนตกหนัก ไฟดับ
สมาธิดับตามไฟไปด้วย วันนี้ก็เลยต้องตั้งใจโพสต์ให้เสร็จ ....

สำหรับรถไฟ Monorail รางอยู่บนหัว ไม่ค่อยเห็นมีที่ไหนใช้กันนะครับ ผมก็ทราบว่าที่ญี่ปุ่นมี ก็เลยอยากลองดู หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ ....
นั่งจากสถานี Ofuna ไปสิ้นสุดสายที่สถานี Enoshima ได้เลย

ใช้เวลาเดินทาง 14 นาทีครับ อยากจะบอกว่าเวลารถวิ่งก็เหมือนรถจะส่ายๆ อยู่เหมือนกัน เพราะรางอยู่ข้างบนรถก็จะวิ่งห้อยลงมา แต่ก็เหมือนกับได้ชมวิวเขียวๆ ข้างทางพอสมคร ....

พอถึงปลายทางลงมาเดินผ่านซอย ไปไม่ไกล ก็จะถึงสะพานข้ามไปเกาะ Enoshima แล้ว ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แวะมาเดินเล่นปลดปล่อยอารมณ์ริมทะเลก็ย่อมได้ครับ (แดดแรงไปหน่อยนะ)

แปนที่บริเวณเกาะ Enoshima และ Kamakura เป็นแบบนี้ครับ

ทางซ้ายมือที่เป็นสถานีรถไฟใหญ่ (มีคำว่า JR อยู่)
คือสถานี Fujisawa บางคนก็มาเริ่มที่นี่ครับ
(ถ้าเดินทางจาก Yokohama รถจะแวะ Ofuna ต่อด้วย Fujisawa แล้วต่อไป Odawara ครับ)

ซึ่งถ้านั่งรถไฟบริษัท Odakyu ที่เค้าขายตั๋ว Kamakura Free Pass เหมือนกัน จะต้องนั่ง Odakyu จาก Shinjuku มาลงที่ Fujisawa หรือสถานี Enoshima ก็ได้ครับสุดสาย แต่ขากลับเวลาเที่ยวพระใหญ่ Hase และ Kamakura แล้วต้องกลับไปที่ Fujisawa หรือ Enoshima อีกรอบหนึ่งเพื่อนั่ง Odakyu กลับ Shinjuku จึงค่อนข้างอ้อมพอสมควรครับ

(ดังนั้น ควรอุดหนุน Odakyu แค่ฮาโกเน่ก็พอ ส่วน Kamakura ใช้ JR ดีกว่าครับ)

ตรงกลางภาพก็จะเห็นทางรถไฟสีเขียวๆ (รถไฟสาย Enoden)
แวะไหว้พระใหญ่ Hase (ลงสถานี Hase) แล้วก็ค่อยนั่งต่อมาลง Kamakura แวะไหว้วัดสำคัญเป็นอันจบทริป กลับไป Ofuna ได้ ....

ปากทางเข้าเกาะ Enoshima เดินข้ามไปได้เลยครับ ....

ตามหมอยุ่งฯ ไปเที่ยวญี่ปุ่นในแบบสไตล์หมอยุ่งฯ (ละเอียดสุด ๆ ) ค่ะ

คือละเอียดจนไม่เสร็จซักกะที .... หน่ะครับ
รู้สึกเขินๆ เหมือนกันแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ค้างแต่คามาคุระ กับ โยโกฮาม่านี่หล่ะ เพลียซะ

มาถึงแล้วหล่ะครับเกาะ Enoshima
จริงๆ ก็มีอะไรให้เดินเล่นพอสมควรครับ
แต่ส่วนใหญ่เท่าทีเห็นจะหนักไปทางของฝาก หรือของทะเลทั้งหลาย
ในนี้รู้สึกจะมีถ้ำ และจุดชมวิวด้วย แต่เวลาผมน้อย ก็เลยได้เดินๆ นิดหน่อย แล้วก็เดินข้ามสะพานกลับมาครับ

ฝั่งหนึ่งก็จะเป็นท่าเทียบเรือยอร์ช ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็เดินเช่นกินลมชมทะเล
มีนกบินผ่านไปผ่านมา เรียกได้ว่า เหมือนมาเมืองตากอากาศ
เปลี่ยนบรรยากาศวุ่นวายในเมืองได้ดีครับ

ดูหอยแปลกๆ ที่นี่ .....
ของซื้อของขายกันนะเนี่ยะ

เดินกลับดีกว่า ...

ดูแผนผังนี้ จะเข้าใจพื้นที่นี้มากขึ้นนะครับ
ถ้าออกจากโตเกียวเช้าหน่อย ก็ควบทั้ง Enoshima-Kamakura และ โยโกฮาม่า ได้หมดเลยภายในวันเดียว แบบสบายๆ

ส่วนตัวผม ผมก็ควบได้แต่ต้องทำเวลานิดนึงครับ

กลับมาขึ้นรถไฟสายโบราณ Enoden Line ดีกว่า

รู้สึกว่ารถไฟสายนี้จะมีเจ้าของคือ Odakyu ครับ
ทำให้ Kamakura Free Pass (Odakyu) สามารถขึ้นรถสายนี้ได้ฟรีไม่จำกัดจำนวนเทียวด้วย เช่นเดียวกับ Kamakura free kippu (JR) ที่ซื้อที่สถานี Ofuna ก็สามารถนั่ง Enoden Line ได้ฟรี เช่นเดียวกับ Shonan Monorail และรถ JR รอบๆ ครับ

ทางรถไฟสายนี้ ผมคิดว่าสวยครับ
นอกจากจะวิ่งเลียบทะเลแล้ว บางช่วงเหมือนวิ่งอยู่บนถนนด้วย
เหมือนเป็นรถรางสมัยก่อนเลยทีเดียว

ดูสิครับ บรรยากาศเหมือนวิ่งอยู่บนถนนเลยทีเดียว
แต่นี่คือรถไฟครับ ....

เราต้องลงที่สถานี Hase ครับ (ฮาเสะ ผมเคยอ่านว่า เฮส ตั้งนาน)

เดินไปอีกหน่อยก็จะถึงวัดพระใหญ่ Diabutsu แล้ว ...
ส่วนตัวผมชอบพระใหญ่ทีนี่มากกว่า นองปิง เกาะลันเตาครับ
ดูอลังการกว่า ....

เดินไปเพลินๆ ประมาณ 300 เมตรก็ถึงปากทางเข้าวัดแล้วครับ ....

ค่าบัตรเข้าชม 200 เยนครับ
เปิดตั้งแต 7 โมงเช้าถึง 17.30 น.

ส่วนตัวผมคิดว่า เป็นสถานที่หลักที่ The Must เลยทีเดียว

ผมไม่แน่ใจว่า Diabutsu กับ พระใหญ่วัดโป้หลิน นองปิง เกาะลันเตา ฮ่องกง พระที่ไหนใหญ่กว่ากัน

แต่ส่วนตัวผม ผมชอบที่นี่มากกว่าครับ ดูขลังกว่ากันเยอะ
(มายากกว่าด้วยหล่ะ)

ระหวางเดินกลับสถานี Hase

แวะชมสวนสวยที่วัด Hasedera ครับ ....
ค่าเข้าชม 300 เยน คนเยอะใช้ได้ทีเดียว

ขึ้นไปชมวิวเมืองคามาคุระข้างบนดีกว่า

เดินผ่านทางเขียวชะอุ่ม ร่มรื่น กำแพงมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็ม สวยจริงๆ

ในวัดมีอุโมงค์เข้าไปสักการะนักรบเล็กๆ ดังภาพนี้ด้วยนะครับ
ดูรูปปั้นเหมือนนักรบ ที่เสียชีวิตจากสงคราม ประมาณนั้นครับ
(โปรดศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง)

เดินกลับมาสถานี Hase ครับ
ตรงหัวสถานีจะติดถนนใหญ่
ก็เลยสงสัยว่า แล้วจะป้องกันคนนอก
ไม่ให้เข้ามาในเขตสถานีได้อย่างไร ....

นี่หละครับ เค้ากันกันแบบนี้เลย
ถ้าทำแบบนี้ในไทย สงสัยพี่ไทยคงหาทางออกได้หล่ะครับ

สี่โมงเย็น นั่งมาถึงสถานี Kamakura ครับ
สถานีรถไฟ Enoden Line จะอยู่ติดกับสถานีของ JR พอดีเลยครับ

หน้าตาสถานี JR Kamakura เป็นเช่นนี้ ... มีป้ายรถเมล์อยู่ข้างหน้า
แต่ผมก็ไม่กล้าขึ้นครับ กลัวไปผิด แห่ะๆๆๆ

จำได้ว่ามีรถเมล์สายนึงทีผ่านหน้าวัด (ศาลเจ้า) นะครับ
วัดที่จะไปคือ Tsurugaoka Hachimangu Shrine ครับ

จะเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้ มีถนนคนเดิน และใช้เวลาเดินก็ไม่ถือว่าไกลมากครับ

เดินมาเรื่อยๆ ก็ถึงได้หน้าศาลเจ้า

ถ้าจำไม่ผิด ที่นี่เป็นที่ที่ ดร.วิกานดา (เมียหลวง) มาเสี่ยงเซียมซีครับ

เดินเข้าไปกันเลยครับ

ช่วงเริ่มเย็นๆ ผมก็ว่าดีนะครับ แดดไม่ร้อน กำลังสบายๆ

แล้วก็เดินขึ้นไปข้างบนกัน .....

มีเสาโทริอิ หลายต้นอยู่

แต่แค่น้ำจิ้มเมื่อเทียบกับวัด ฟูจิมิ อินาริ ที่เกียวโต แฮๆๆๆ

เดินผ่านถนนคนเดินครับ มีร้านค้ามากมายทีเดียว
เลือกช๊อปปิ้งได้ตามใจชอบที่นี่

ได้เวลากลับแล้วครับ เย็นๆ คนเยอะนะเนี่ยะ .....

กลับจากสถานี JR Kamakura ไปเปลี่ยนรถที่ Ofuna
ลงที Yokohama ครับ

แป๊บเดียวก็ถึงสถานี Yokohama แฮ่ๆๆๆ

เดี๋ยวเราจะไปต่อรถไฟฟ้าใต้ดินกันครับ

ดูจากผังสถานีนะครับ ที่นี่ก็จะเป็นชุมทางใหญ่

มีรถไฟของ Tokyu (ใต้ดินและไป Shibuya) และ Keikyu (ไป Shinagawa / Haneda Airport) และ JR อยู่ด้วยกัน

ไม่รู้จะไปเที่ยวยังไงดี Tourist Information Center ช่วยท่านได้ครับ

ดูผังนะครับว่าวันนี้เราจะไปไหนกันบ้าง ??

เริ่มแรกก็คือจะนั่งรถไฟสาย Minatomirai Line
ไปลงสุดสายที่ Motomachi - Chugakai

แล้วก็เดินมาเรื่อยๆ เที่ยวไชน่าทาวน์ ออกริมทะเล เดินไปเที่ยวชมเรือนิมปอนมารู แล้วก็ตีกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานี Sakuragicho ต่อ JR ไปชิม Ramen Stadium ที่สถานี Shin-Yokohama (ชินกังเซ็นผ่านที่นี่)

มุดใต้ดินไปลงสุดสาย ก็จะโผล่ออกมาแถวๆ ย่าน China Town พอดี

แล้วก็เดินตามแผนที่เลยนะครับ หาอะไรทานแถวๆ China Town ก็ได้
แล้วค่อยเดินออกมาตรงริมทะเลครับ
ระยะทางพอจะเดินได้หมดเลย

โผล่ออกมาก็ประมาณนี้ครับ (ตรงนี้คือป้ายทางเข้าหลัก)

แต่รู้สึกได้ว่า China Town ญี่ปุ่น จะดูเรียบร้อยกว่าประเทศอื่นๆ พอสมควรทีเดียว แต่เอกลักษณ์หลักที่มีขายก็คงหนีไม่พ้น เรื่องอาหารการกินครับ สไตล์จีนๆ หาทานได้มากมาย

เป็น China Town ที่เรียบร้อยมากๆ

แต่ของกินก็ว่าเยอะอยู่นะครับ

เดินจาก China Town ไปไม่ไกล ก็ออกทะเลแล้วครับ

เย็นสบายๆ เพลินๆ ดีครับ

เด็กๆ มาทัศนศึกษากัน ถ่ายรูปหมู

เดินไปได้ถึงนู้นเลยนะครับ ค่อยๆ เดินไป ไม่เหนื่อย

สำหรับคนที่ไม่อยากเดิน ก็เหมือนมีรถบัส 100 เยนอยู่นะครับ

รายละเอียดตามภาพนี้ (เข้าใจว่าน่าจะยังวิ่งอยู่ครับ)

เดินไปเดินมา กำลังจะมืดแล้วครับ เปิดไฟกันแล้ว ....

ทางเดินโอเคมากๆ เลยนะครับ เดินไปเดินมากลายเป็นทางเดินยกระดับ เหมาะแก่การชมวิวเป็นอย่างดี (แต่ถ้ามาเดินกลางวันคงร้อนตับแล่บ)

เดี๋ยวเราจะเดินไปตรงเกาะครับ ตรงเกาะก็จะมีห้างอยู่
และมีชิงช้าสวรรค์

แล้วก็จะเดินลัดมาทางเรือนิปปอนมารู ก่อนขึ้นรถไฟ JR
ที่สถานี Sakuragicho ครับ

อย่างอันแรก Yokohama Red Brick Ware House

ก็เหมือนเป็นห้างห้างหนึ่ง มีความรู้สึกจะหนักไปทางของกินครับ
(ถ้าเปรียบเทียบที่เชียงใหม่ จะเหมือนริมปิงซุปเปอร์สโตร์เลย)

หน้าห้าง World Porter

ถ้าเดินข้ามไปอีกหน่อยก็ชิงช้าสวรรค์แล้วครับ
แต่พอดี ขอเดินข้ามสะพานลัดไปเรือนิปปอนมารูแล้วกันนะ

วิวช่วงกลางคืนก็สวยดีนะครับ

เรือ นิปปอนมารู ยามค่ำคืน (ถ่ายได้ไม่เต็มลำด้วยแฮะ)

แล้วเราก็เดินกลับมาถึงสถานี JR Sakuragicho

เราจะไปสถานี Shin-Yokohama กันครับ
จะไปชิมราเมน ที่ราเมนสเตเดี้ยม

แล้วเราก็มาถึงสถานี Shin-Yokohama ครับ
ไมได้มาขึ้นชินกังเซ็นนะครับ
เดินออกจากสถานีตรงไปไม่ไกล ก็ถึง Shin-Yokohama Ramen Stadium แล้ว ตามแผนที่เลยครับ

สำหรับใครที่อยากลองนั่งชินกังเซ็นขำๆ ก็ดูราคากันก่อนนะครับ
ขนลุกซู่เลยทีเดียวเชียว

ใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ เข้าไปได้เลย

แน่นอนว่า ไม่ฟรีครับ

ผู้ใหญ่ต้องเสียตังค์บัตรผ่านเข้าไป 300 เยน
ค่าราเมนข้างในจ่ายเองต่างหากนะครับ

ชั้นบนก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ราเมน และร้านขายของที่ระลึกรวมถึงพวกราเมนสำหรับเป็นของฝากกลับบ้าน ส่วนชั้นล่างจะเป็นร้านราเมนชื่อดังมารวมๆ กันครับ

มีแผนที่คู่มือเป็นภาษาไทยด้วยนะครับ ....

แนะนำร้านตามนี้เลย ....

ผมกำลังคิดว่า ถ้าเปรียบเทียบของไทย
ให้นึกถึง เพลินวาน ที่หัวหินครับ
แนวบรรยากาศย้อนยุคหน่อย เพื่อให้ดูอินกับบรรยากาศนั่นเอง

วิธีการซื้อก็ดูตามร้านที่น่าสนใจ แล้วก็ซื้อตั๋วกับตู้อัตโนมัติได้เลยครับ

เอาตั๋วไปแลกราเมนออกมา .....

มาแล้ว .... แผล่บๆๆ

ของกินอย่างอื่นก็มีขายเช่นกัน ....

ราเมนอีกซักถ้วยนึงนะครับ (กินคนเดียวนะนั่น)

เมื่ออิ่มแล้วไปเล็งของฝากกันต่อได้ครับ ....
แต่ต้องแช่เย็น จึงคิดว่าคงไม่เหมาะสำหรับการนำกลับไทยครับ

จริงๆ ว่าไปแล้วตรงพิพิธภัณฑ์ก็น่าสนใจอยู่นะครับ
เรียกได้ว่า มาโยโกฮาม่า ก็ไม่น่าจะพลาดที่นี่ครับ

สำหรับตัวผมแล้ว มีโอกาสได้ไปลอง Ramen Stadium
ที่ฟูกุโอกะด้วย ส่วนตัวผมคิดว่า ที่นี่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ได้น่าสนใจ
แต่ Ramen Stadium ที่ฟูกุโอกะ ดูจะมีสีสันในการแข่งขันการทำราเมนให้อร่อยเลื่องชื่อได้มากกว่าครับ และรสชาติแต่ละร้านนี่ก็ใช้ได้ทีเดียว
ว่าแล้วก็อยากจะมีโอกาสกลับไปเยือนคิวชูอีกซักครั้งหนึ่งครับ
อยากไปลองนั่งเจ้า Sakura Shinkansen, ไปเที่ยวออนเซ็น Beppu, ชมเมืองคุมาโมโต้ ฯลฯ มากมาย

ปิดท้ายกระทู้ด้วยภาพนี้ครับ ....

สถานีชินโยโกฮาม่า ...
เป็นกระทู้ที่นับว่ายาวมากๆ แถมดีเลย์ไป 1 สัปดาห์
เที่ยวครบสูตรทั้ง 4 แห่ง ซึ่งผมก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์
สำหรับท่านที่เล็งจะไปเที่ยวโตเกียว และเมืองใกล้เคียงครับ

ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านกระทู้มาจนจบครับ

#146 ใช่หอยซาซาเอะหรือเปล่าครับ เห็นในรายการโกโกริโกะ น่าทานมากๆครับ

อ่านเพลินเลยค่ะ ตอนนี้  ... อยากไปเที่ยวมาก

ตามอ่านจนตาลายเลยค่ะ รีวิวเยอะและละเอียดมากกกกกก
ขอเก็บไว้เป็นคัมภีร์เที่ยวญี่ปุ่นฉบับตั้งไข่เลยละกัน
ขอบคุณคุณหมอยุ่งมากค่ะ

ตามเข้ามาอ่านต่อค่ะ

เก็บเข้าคลังแล้วขอบคุณนะคะ

ตอนเราไปช่วง มิ.ย. หน้า  Red Brick Ware House เป็นลานโล่งๆอย่เลยแฮะ

เอาดอกไม้มาวางสวยดีนะคะ  ชอบจังเลย รวิวละเอียดมากๆ

เห็นแล้วอยากกลับไปอีก