สวัสดีครับเพื่อนๆ  กลับมารีวิวต่อสำหรับทริปโหด มันส์ และเพลีย กรุงเทพ-เวียดนาม  หลังจากที่นำเสนอไปแล้วในตอนแรกสำหรับการเดินทางจากกรุงเทพไปจนถึงเมืองเว้ ประเทศเวียดนาม ซึ่งต้องใช้เวลานานโขในการเดินทาง  กว่าจะถึงที่พักก็ปาเข้าไปมืดค่ำของอีกวันหนึ่ง เล่นเอาหมดสภาพกันไปตามๆ กัน  สำหรับวันนี้มาต่อกันในวันที่สามของทริปซึ่งก็เหมือนเดิมเวลาทั้งหมดก็ยังคงใช้ชีวิตกันอยู่บนรถและการเดินทางกันตลอด  

มาเริ่มกันเลยดีกว่า  ก่อนอื่นใครที่เคยไปเที่ยวกับทัวร์น่าจะรู้เลขรหัสของการตื่น-การกิน-และการเริ่มต้นออกเดินทาง ยกตัวอย่างเช่นถ้าไกด์บอกเลขมาว่า 5-6-7 นั่นก็หมายถึง
-ตื่นตั้งแต่ตีห้า อาบน้ำแปรงฟัน จัดสัมภาระ
-กินอาหารเช้าเวลาหกโมง
-และออกเดินทางกันในเวลาเจ็ดโมง
สำหรับวันที่ 3 ของทริปนี้เริ่มจากได้รับเลขรหัสที่ 5-6-7  และต้องแพ็คกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อย้ายที่พักพิงไปพักผ่อนนอนหลับกันที่ ดานัง ด้วย แค่ฟังโปรแกรมแล้วก็แทบน้ำตาร่วง  เดินทางอีกแล้วเหรอ..เรา..ฮือฮือ

มาดูโปรแกรมคร่าวของการเดินทางสักหน่อย
-ตื่นตั้งแต่ตีห้า กินอาหารเช้าหกโมง ออกเดินทางในเวลาเจ็ดโมงเช้า
-แวะไปสักการะสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ที่ "เจดีย์วัดเทียนมู่" ให้เวลาครึ่งชั่วโมง
-เข้าไปชม"นครจักรพรรดิ์" ซึ่งกว้างใหญ่มากมายในเวลาชั่วโมงครึ่ง
-ไปชม"สุสานจักรพรรดิ์ไคดิ้ง"ที่วิจิตรสวยงาม ในเวลาครึ่งชั่วโมง
-แวะกินอาหารเที่ยง
-เดินทางกันร้อยกว่ากิโลเมตรเพื่อไปชมเมือง"ฮอยอัน"ฉันรักเธอ
-ก่อนถึงเมืองฮอยอัน แวะร้านจำหน่าย"ไข่มุก"และร้านจำหน่าย"หินอ่อนแกะสลัก"
-เที่ยวชมเมืองฮอยอัน เมืองโบราณที่ยังคงวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ที่น่าหลงใหล โดยให้เวลาเต็มที่ไปเลย สองชั่วโมง
-พานั่งรถไปกินอาหารเย็นกันที่เมืองดานัง ก่อนที่จะมุ่งกลับที่พักในเมืองนี้
สรุปแล้วมีเวลาได้เที่ยวตามสถานที่ต่างๆ กันแค่ประมาณ 5 ชั่วโมง นอกนั้นหมดไปกับการเดินทาง..เดินทางและก็เดินทาง  (ที่กล่าวมานี้ไม่ได้ตำหนิบริษัททัวร์ที่ผมไปนะครับ แต่โปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยวแบบนี้เป็นเหมือนกันหมดในทุกๆ บริษัททัวร์  เพียงแค่รู้สึกว่าการท่องเที่ยวแบบนี้ไม่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่เฉื่อยชา โอ้เอ้ และอ่อนแอแบบเรามากกว่า)

หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวและลงไปกินข้าวเช้ากันแล้วตามกำหนดเวลา  ลูกทัวร์ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ล๊อบบี้รอเวลาที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวตามโปรแกรมสำหรับวันนี้  

มาชมบางส่วนของโรงแรมที่พักของคณะเรา "Green Hotel Hue"

ตามพี่น้อยไปเที่ยวต่อครับ

ตามมาเที่ยวด้วยครับคุณน้อย  แต่ว่าตื่นตีห้าเลยหรอครับ
ผมไม่ไหวแน่เลยไปเที่ยวยังต้องตื่นขนาดนี้

แวะมาชมและมาตามไปเที่ยวต่อครับ

เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างใหญ่มีพื้นกว้างขวางและทาสีได้เหมาะกับชื่อโรงแรมมาก

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมนะครับทุกท่าน
-ยินดีต้อนรับครับคุณOne Light One Shadow
-ยินดีต้อนรับครับคุณBANBONDOI  มีเช้ากว่านี้อีกนะครับ ตีสีครึ่ง..วันกลับครับ
-ยินดีต้อนรับครับคุณกัปตันลูกชุบ  
.................................................................................................
บริเวณสวนของโรงแรม

มีสระว่ายน้ำด้วยนะครับ

บริเวณล๊อบบี้

ชั้นลอยเป็น แกลอรี่ จำหน่ายงานศิลปะ

งานตกแต่งด้วยไม้ไผ่

รอชมด้วยคนค่ะ

ยินดีต้อนรับครับคุณ เล็กแห้งตับสด
.................................................................................................
แล้วเมื่อถึงเวลาที่กำหนด คณะทัวร์ก็ออกเดินทาง สถานที่แรกที่จะไปกันก็คือ "เจดีย์วัดเทียนมู่"  

ระหว่างเดินทางต้องข้ามสะพานไปยังอีกฝั่ง  ที่เวียดนามนี้สว่างเร็วมากแค่ยังไม่ถึงแปดโมงเช้าท้องฟ้าก็เปิดไปหมดแล้ว

ซินจ่าวเวียดนามครับ คุณน้อย

ขับผ่าน "กำแพงนครจักรพรรดิ์"ไปก่อนเดี่ยวค่อยกลับมาใหม่

ซินจ่าวเช่นกันครับคุณชาย Koon Shy_Tour Dee ตามไปเที่ยวกันต่อนะครับ
.................................................................................................
ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมมายัง "เจดีย์วัดเทียนมู่"ยังไม่ถึงสิบนาทีดีเลยครับ  นักท่องเที่ยวเยอะมากมายโดยเฉพาะคนไทย เดินไปทางไหนก็ได้ยินภาษาไทย รู้สึกไม่เหมือนกับมาเที่ยวเมืองนอกเลยเรา

มารับรู้ประวัติศาสตร์ของ"วัดเทียนมู่"กันบ้างดีกว่า
เจดีย์เทียนมู่  (Thien  mu  pagoda)  ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของริมแม่น้ำ หอมทางไปสุสานของพระเจ้ามิงห์หม่าง วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า  ส่วนทางฝั่งซ้ายและขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึกและระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ถัดมาทางด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ คอยยืนเฝ้าปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามาเยือนและวัดแห่งนี้

ทางประวัติศาสตร์และการเมืองในช่วงยุคหลังของเวียตนาม เมื่อพระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ได้ใช้รถออสตินสีฟ้าคันเล็กเป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ ปัจจุบันรถออสตินสีฟ้าคันนั้นได้ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้

พวกเรามีเวลาที่วิ่งหา อาร์ซี กันที่วัดเทียนมู่ ประมาณครึ่งชั่วโมง  ซึ่งมันน้อยมากกับเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของที่นี่  เพียงแค่จะหามุมถ่ายรูปสวยๆ ยังไม่มีเลยครับ แถมนักท่องเที่ยวก็มาในเวลาเดียวกันหมด ยิ่งทำให้ยากที่จะได้รูปที่ถูกใจ  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความทุกข์ใจของนักท่องเที่ยวที่นิยมชมชอบในการถ่ายรูป

แต่ก็ถือว่าเป็นบททดสอบความอดทนอีกบทหนึ่งนะครับ  ว่าคุณจะรอและฉกฉวยโอกาสที่มีมาอันน้อยนิดได้เพียงใด

รูปปั้นเต่าแบกศิลาจารึก มีความเชื่อว่าถ้าได้รูปเต่าจะประสบความสุขความเจริญ...สาธุสาธุสาธุ

ส่วนอีกฝั่งเป็นที่ตั้งของระฆังสำริดใบใหญ่หนักประมาณ 2.000 กิโลกรัม

3 ใน 6 ของรูปปั้นเทพเจ้าที่คอยปกปักรักษาดินแดนแห่งนี้เอาไว้

ก่อนจะเดินเข้าไปยังด้านในจะเห็นนักท่องเที่ยวเต็มพื้นที่ไปหมด..แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว

ถ่ายย้อนกลับไปยังซุ้มประตูทางเข้าจะเห็นยอดบนสุดของเจดีย์วัดเทียนมู่

เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูจะพบกับวิหารของวัดซึ่งกำลังมีการทำพิธีกรรมบางอย่างอยู่

ไม่รู้ว่าเป็นท่านเจ้าอาวาสหรือเปล่า กำลังนำสวดมนต์และให้สินให้พรเป็นภาษาเวียดนามอยู่

ตามไป ปโหด มันส์ และเพลีย  ด้วยคนนะคะ ^^

ยังไม่เคยไปเวียดนามเลยค่ะ เส้นทางนี่น่าสนใจ ^^

ขอบคุณที่พาเที่ยวค่ะ

เดินถัดจากวิหารเข้าไปลึกยังด้านใน ผ่านอาคารที่เป็นที่ตั้งของรถออสตินที่เป็นของ พระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสองค์ก่อน ซึ่งใช้เป็นพาหนะไปยังไซง่อนและได้ทำการเผาตัวเองเพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ (ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมเนื่องจากไม่สามารถฝ่าฝูงชนที่ยืนออรอฟังคำบรรยายอยู่เต็มพื้นที่ไปได้)  จะมีอาคารอีกหลายหลังแต่ไม่ได้เปิดให้เข้าชม

ว้าว...........ไม่เคยเห็นพระเวียดนามเลยค่ะ................

เพิ่งเห็นเป็นบุญตา..............เหมือนพระจีนเลย ^_^

-ยินดีต้อนรับครับคุณ  toastlover
-ยินดีต้อนรับครับคุณ  หนูกิตหอ 4 ชาย
.................................................................................................
เดินลึกเข้าไปด้าานในสุดจะพบกับ "สถูปเจดีย์เจ้าอาวาสพระภิกษุทิกกวางหยุก" ตั้งเด่นเป็นสง่าคอยให้นักท่องเที่ยวมาระลึกถึงความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของท่าน

ยินดีต้อนรับครับคุณ hermione_jane ถูกต้องแล้วครับ เหมือนพระจีนเลยเพราะเวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศจีนมาเกือบสองร้อยปี  ก็เลยได้รับวัฒนธรรมหลายๆ อย่างมาด้วย
.................................................................................................
เหลือบมานาฬิกา..โอ้แม่เจ้า..ได้เวลาต้องรีบไปขึ้นรถแล้ว  ก็เลยรีบจ้ำอ้าวไปยังที่จอดรถ ผ่านทางออกด้านข้างของวัด

พอมาถึงรถยังมีอีกหลายท่านที่กำลังเพลิดเพลินกับการช๊อปกันอยู่ก็เลยปลีกตัวไปหามุมถ่ายรูปอีกหน่อย  เดินไปยังท่าเรือจะเห็นเรือหัวมังกรจอดรอรับนักท่องเที่ยวที่บางบริษัทเหมาะลำพาลูกทัวร์มาแวะที่วัดเทียนมู่แห่งนี้ ซึ่งก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง..แต่เสียดายคณะของเราไม่ได้มาโดยทางเรือ

เมื่อลูกทัวร์มากันครบจำนวนแล้ว  สถานที่ต่อไปที่จะเข้าไปเยี่ยมชมกันก็คือ "นครจักรพรรดิ์"  รถของคณะเราย้อนกลับไปยังเส้นทางเดินแล้วไปจอดยังที่จอดรถด้านนอกกำแพงนครจักรพรรดิ์ แล้วเดินกันเป็นขบวน(ไม่ได้เดินขบวนนะครับ)  มุ่งหน้าเข้าไปยังด้านใน

บริเวณที่จอดรถบัสจะเป็นร้านขายอาหาร-เครื่องดื่มและของที่ระลึก

เดินข้ามสะพานนี้ไปก็ถึงแล้ว แต่การเดินถนนที่เวียดนามนี้ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่มีติดตัวมาอย่างเต็มที่ บางครั้งอาจจะต้องใช้สัมผัสที่ 6 ซิกเซนต์เพิ่มเข้าไปด้วย  เพราะชาวเวียดนามขับรถกันอย่างน่าหวาดเสียวแถมยังนิยมชมชอบในการบีบแตรให้หนวกหูเล่นกันอีก  กลับจากเวียดนามทริปนี้หูผมแทบดับไปเลย

กำแพงนครจักรพรรดิ์แห่งนี้จะมีคูน้ำอยู่ด้วยรอบ มีป้อมปราการแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์

เมื่อเดินลอดซุ้มประตูเข้ามาจะเห็นอาคารหลังเล็กที่เป็นที่ตั้งของ "ปืนใหญ่สมัยโบราณ"

เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับกำแพงนครชั้นใน

ที่ซุ้มประตูกำแพงชั้นในจะมีจุดเก็บเงินค่าเข้าชมสถานที่ (แต่ไม่ทราบว่าราคาเท่าไหร่นะครับเพราะบริษัททัวร์เป็นคนออกให้)

เดินผ่านเสาประตูและข้ามสะพานแห่งนี้ก็จะถึงบริเวณพระราชวังกันแล้ว  ต้องขอบอกเลยครับว่าทริปนี้ผมไม่ได้ฟังคำบรรยายจากไกด์ชาวเวียดนามเลยเพราะมัวแต่ถ่ายรูปกัน พอหันจะมาฟังก็จบการบรรยายกันไปแล้ว..เศร้าใจจัง

มีการขี่ช้างไล่จับตั๊กแตน เอ้ย..ไม่ใช่..ขี่ช้างชมวังกันด้วยนะครับ

มาเที่ยวเวียดนามต่อกับคุณน้อยนะคะ

กระถางแจงกันลายมังกร หน้าอาคารว่าราชการขององค์จักรพรรดิ์

ยินดีต้อนรับครับคุณบง Yai Klong_Tour Rai
.................................................................................................
ที่อาคารแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ แต่ภายในจะเป็นตั้งของพลับพลาที่ประทับ ไว้คอยว่าราชการของจักรพรรดิ์เวียดนามในสมัยก่อนนี้

เข้ามาชมทัวร์เวียตนามค่ะ   อ่านโปรแกรมแล้วเหนื่อยแทนเลยค่ะ   ไม่ทราบว่ารถที่ใช้พาเที่ยวสภาพดีและขับดีหรือเปล่าคะ  ^_^

ตามมาลองของด้วยคนค่ะ.... อิอิอิ... ปรกติก็ไม่ชอบไปกับทัวร์เหมือนกัน   ยกเว้นแต่จะไปในประเทศที่อันตราย...

ภายในจะมีวีดีทัศน์จำลองเหตุการณ์การว่าราชการในโถงแห่งนี้  และยังมีโมเดลจำลองของนครจักรพรรดิ์แห่งนี้ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาความเป็นมาเป็นไปอีกด้วย

หลังจากที่ชมไปได้สักพักก็เดินออกไปด้านหลัง ซึ่งจะเป็นลานกว้างมีรูปปั้นมังกรสีทองตัวนี้ตั้งเด่นไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน

-ยินดีต้อนรับครับคุณ ชอบกินชอบเที่ยว  สภาพรถก็พอใช้ได้ คนขับก็โอเคนะครับ เพราะที่เวียดนามนี้จะมีกฎหมายบังคับความเร็วในการขับขี่  แต่พอดีโชคร้ายได้รถที่แอร์ไม่ค่อยเย็นก็เลยเหนื่อยกันไปตามระเบียบ
-ยินดีต้อนรับครับคุณ ป้าฟู  เหมือนกันครับ..ไม่ถนัดในการเที่ยวกับทัวร์เลย แต่ครั้งนี้มีเหตุจำเป็นครับ
.................................................................................................
พอเดินมาได้ถึงตอนนี้ ท้องฟ้าก็เริ่มขมุกขมัวขึ้นมาอีกแล้ว ฝนเริ่มตกลงมาเปราะแปะๆ ก็เลยเดินเข้าไปหลบฝนและเข้าไปชมภาพถ่ายโบราณที่อาคารทางด้านซ้ายมือ  ตอนแรกคิดว่าถ่ายรูปไม่ได้ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปภาพถ่ายโบราณที่จัดแสดงอยู่มาให้ได้ชม  มารู้ว่าสามารถถ่ายรูปภายในได้ในอาคารนี้ก็เลยอดเรา  ไม่มีเวลากลับไปถ่ายรูปอีกแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันกำหนดเวลาเดินทางกันต่อ  ถ่ายรูปได้มาแค่นี้กับโมเดลจำลองเรือหัวหงส์

และเรือหัวมังกร ซึ่งถูกตั้งโชว์ไว้ด้านนอกด้านหลังอาคารจัดแสดง

... เที่ยวกับทัวร์นี่เหนื่อยจริงๆเลยนะคะ แม้จะถูก แต่ไม่ค่อยได้มีเวลาชื่นชมธรรมชาติสักเท่าไหร่ ...

ส่วนอาคารฝั่งตรงข้าม เห็นว่าเป็นที่ที่ให้นักท่องเที่ยวได้แต่ชุดเวียดนามโบราณและมีฉากให้ถ่ายรูป  จุดนี้ก็ไม่ได้เข้าไปเพราะเห็นนักท่องเที่ยวเยอะแยะไปหมด  รอต่อคิวที่จะเปลี่ยนชุดแต่งกาย ถ้าจะไปต่อคิวด้วยเวลาน่าจะไม่ทันก็เลยขอบาย  รอจนฝนซาแล้วก็เดินเข้าไปยังกำแพงอีกชั้นซึ่งจะพาไปยังบริเวณเขตพระราชฐาน  บริเวณพระราชฐานนี้กำลังถูกบูรณะซ่อมแซมเพื่อให้ได้กลับมาสวยดังเดิม  เนื่องจากนครจักรพรรดิ์แห่งนี้ได้ถูกปล่อยปละละเลยจนทรุดโทรมมาตั้งแต่สมัยอดีตในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ตามไปด้วยครับ

ยินดีต้อนรับครับคุณkungtalay   ใช่เลยครับแต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ชอบที่จะผจญภัยการท่องเที่ยวแบบแบกเป้  การไปกับทัวร์ก็ถือว่าสะดวกสบายดีนะครับ  แต่ก็ต้องแลกกับเวลาในการเดินทางตามโปรแกรรมซึ่งใช้เวลาค่อยข้างเยอะทีเดียว
.................................................................................................
ศิลปะแบบวัฒนธรรมจีนล้วนๆ

ยินดีต้อนรับครับคุณม่วงมหากาฬ
.................................................................................................
โถงทางเดินนี่ก็ด้วย

เดินชมโดยรอบได้สักพัก หันซ้ายแลขวาไม่เห็นกรุ๊ปทัวร์ของคณะเราสักคน  ออกไปกันหมดแล้วเหรอเนี้ย  ก็เลยรีบเดินกลับกลัวไม่ทันแล้วก็มาทันกันที่กำแพงประตูด่านที่ 2  นึกว่าโดนปล่อยลอยแพซะแว๊ว

ยังพอมีเวลาอีกนิดหน่อยก็เลยขึ้นไปยังซุ้มประตูเพื่อชมภาพมุมสูงกันบ้าง

เดินไปยังด้านหน้าของซุ้มประตูจะเห็นลานกว้างและป้อมปราการอันแข็งแรง

ภาพโบราณที่จัดแสดงไว้

แล้วก็มารอรวมตัวกันด้านล่างรอเวลาเดินทางกันต่อ

จากนั้นก็เดินกันต่อจุดหมายปลายต่อไปของคณะเราก็คือ "สุสานไคดิ้ง" ซึ่งต้องข้ามแม่น้ำกลับอีกฝั่ง ผ่านถนนทางด้านหลังของโรงแรมที่พักเมื่อคืน

สุสานจักรพรรดิ์ไคดิงห์ ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ถูกต้องตามศาสตร์ฮวงจุ้ย อยู่ห่างจากเมืองเว้ออกไปราว 10 กิโลเมตร ซึ่งอดีต เว้ (Hue) เป็นเมืองเอกของราชวงศ์เหงียน ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม

จักรพรรดิ์ไดคินห์ เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน และเป็นจักรพรรดิ์ที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากราษฏร ขณะที่ส่วนใหญ่ยังยากจน โดยมีฝรั่งเศสเป็นผู้ร่างกฏหมาย และจักรพรรดิ์เป็นผู้ลงพระนาม เพื่อตราใช้เป็นกฏหมาย

ส่วนหนึ่งของเงินภาษีได้นำไปสร้างสุสานให้กับตนเองขณะที่ยังมีชีวิต ตามความเชื่อที่ว่าจะได้เป็นที่อาศัยในภพหน้า เรื่องนี้สร้างความโกรธเคืองให้กับรัฐบาลและประชาชนในสมัย จนศิลปินผู้หนึ่งได้ระบายความรู้สึกผ่านงานศิลปะอันวิจิตรตระการตาโดยการใช้เท้าวาดภาพมังกร บนเพดานสุสานทุกห้อง เป็นการประชดประชัน ชื่อภาพว่า “ มังกรในม่านเมฆ ”  ความทราบถึงจักรพรรดิ์ไคดินห์ จึงเรียกศิลปินผู้นี้มาสอบถามความจริง แต่ก็ไม่ได้ลงโทษ เนื่องจากเป็นภาพที่พระองค์ชื่นชอบ และภาพที่วาดนั้นมีความสวยงามวิจิตรบรรจงมาก

สุสานไคดินห์ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 11 ปี (ค.ศ 1920 -1931) และปูนซิเมนต์ที่นำมาก่อสร้างได้ซื้อมาจากประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงแรกๆของการผลิตปูนซิเมนต์ในบ้านเรา มี่ต่างชาติเป็นผู้ดำเนินการปัจจุบันสุสานแห่งนี้มีอายุราว 80 กว่าปี แต่สภาพปูนซีเมนต์ยังไม่มีการผุกร่อน หากไม่บอกว่าหินแกะสลักนี้เป็นปูนซีเมนต์ ก็คงเข้าใจว่าเป็นหินแกรนิต  
สุสานไคดิงห์เป็นศิลปะแบบหลุยส์ (โรโกโก ROCOCO) ผสมผสานกับศิลปะเวียดนาม ที่เข้ากันได้อย่างกลมกลืน ความวิตรตระการตาของสุสานแห่งนี้ถือว่ามีเพียงแห่งเดียวในประเทศเวียดนาม

สถานที่แห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน หลังจากจักรพรรดิ์เบ่าได๋ (จักรพรรดิ์องค์สุดท้าย หรือองค์ที่ 13 ของราชวงศ์เหงียน)สละอำนาจให้กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์
รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญอีกครั้งหลังจากที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ เมื่อไม่นานมานี้เอง ขณะเดียวกันเวียดนามก็เปิดประเทศรับการท่องเที่ยวจากโลกภายนอก สุสานไคดินห์จึงได้รับการบูรณะ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม แต่ก็ทำแบบขอไปที เนื่องจากจักรพรรดิ์องค์นี้เป็นที่เกลียดชังของคนเวียดนาม และยังอยู่ในความทรงจำของชาวเวียดนามมาจนทุกวันนี้
สุสานไคดิงห์จึงเป็นเพียงแค่สถานที่ทางประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง ไม่มีการจัดเจ้าหน้าที่มาดูแลแม้แต่คนเดียว จะมีแต่คนปิดเปิดประตู ต่างกับพระราชวังแห่งอื่นๆที่จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดเวลา และห้ามถ่ายภาพในจุดสำคัญๆ  (ข้อมูลจาก http://www.photoontour.com ขอขอบคุณมากนะครับ)

ตามมาเที่ยวฮอยอันต่อค่ะ
ที่รู้สึกเหนื่อยและเพลียคงจะเป็นเพราะเดินทางด้วยรถในวันแรกกระมัง

ไปกับทัวร์ถ้าเป็นเครื่องจะไม่เหนื่อยอย่างนี้หรอกค่ะ ถึงแม้ว่าจะต้องตื่นเช้าไปหน่อย

ที่นี่มีหุ่นหินของทหาร ม้าศึกและช้างศึก คล้ายกับสุสานจักรพรรดิ์ในประเทศจีนด้วยนะครับ

ยินดีต้อนรับครับคุณ Memories pink ถูกต้องเลยครับ
.................................................................................................
คณะของเรามีเวลาในการเที่ยวชม"สุสานไคดิงห์"กันประมาณครึ่งชั่วโมงก็ต้องลากันกลับแล้วเดินทางกันต่อ

ออกจาก"สุสานไคดิงห์" แวะกินข้าวเที่ยงกันก่อนที่นี่เลยครับ

เป็นห้องอาหารพื้นเมืองที่ตกแต่งแบบโบราณ

รสชาติอาหารเวียดนามพื้นเมืองพื้นบ้านก็พอรับได้ แต่สู้อาหารไทยไม่ได้จริงๆ นะครับ...ไม่ได้โม้

สวนสวยและหุ่นจำลองเลียนแบบมาจาก"สุสานไคดิงห์"

ทางเดินเข้าร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่

และด้วยความโอ้เอ้ของเรา พอถึงโต๊ะอาหารรูปร่างอาหารก็ไม่เป็นทรงพอที่จะให้ได้ถ่ายรูปได้แล้ว อดเห็นภาพไปตามระเบียบ

หลังจากอิ่มหน่ำสำราญกันไปแล้วกับอาหารมื้อเที่ยง จากนั้นก็ถึงเวลาเดินทางกันต่อไปยังจุดหมายปลายทางต่อไปนั่นก็คือ "เมืองฮอยอัน"

ระยะทางจากเมืองเว้ ไปยังเมืองฮอยอัน ประมาณร้อยกว่ากิโลเมตรตามคำบอกเล่าของคุณลุงประเสริฐ ไกด์ชาวเวียดนาม เส้นทางผ่านท้องทุ่งนาและขุนเขา

ขับรถมาได้ประมาณชั่วโมงครึ่งก็แวะจุดพักรถที่ ร้านขายไข่มุก ที่หมู่บ้านลังโค ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเลมีชายหาดที่สวยงามกว้างยาว  เนื่องจากผมไม่ได้ซื้อไข่มุกก็เลยแยกตัวไปถ่ายรูปกับวิวทะเลสวยๆ ของที่นี่

ขอพักไปทำธุระก่อนเดี๋ยวกลับมารีวิวต่อ

ตามมาชมต่อครับ


ที่ถามในกระทู้รีวิวที่แล้ว ผมพาลูกทัวร์ไปเที่ยวน่ะครับ(ช่วงเข้าพรรษา)


เหนื่อยมากกกก ๕๕๕

..

จะว่าไปก็เที่ยวหลากหลายดีนะครับ แต่อึดสุดๆ -__-

..

กลับมารีวิวต่อครับ
-ยินดีต้อนรับครับคุณ pakma_13 ไว้โอกาสหน้าพาเที่ยวบ้างนะครับ
-ยินดีต้อนรับครับคุณ POGGHI  หลากหลายแต่เข้าไม่ถึงสักที่ครับ
.................................................................................................
หลังจากลูกทัวร์ช๊อปปิ้งกันอย่างบางเบาแล้ว คุณลุงประเสริฐก็เรียกลูกทัวร์ขึ้นรถเพื่อเดินทางกันต่อ

มาเที่ยวเวียดนามวันที่ 3 อีกค่ะ  

ต้องยอมรับว่าถนนที่เวียดนามค่อนข้างเรียบและเดินทางสะดวก มีการสร้างสะพานข้ามลำน้ำและทะเลสาบกันหลายแห่ง

ยินดีต้อนรับครับคุณ สาวหน้าใส
.................................................................................................
และเส้นทางที่จะมุ่งหน้าจากเมืองเว้ ไปยังเมืองดานัง และเมืองฮอยอัน จะต้องขับรถผ่านอุโมงค์ที่เจาะเข้าไปในภูเขาแห่งนี้  ซึ่งประเทศเวียดนามได้รับการช่วยเหลือขุดเจาะจากประเทศญี่ปุ่นโดยมีการขอนำหินและแร่ธาตุที่ขุดจากภูเขาลูกนี้นำกลับไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อการค้นคว้าวิจัยอีกด้วย

ระหว่างที่รถจะเข้าสู่อุโมงค์

อุโมงค์แห่งนี้มีระยะทางประมาณ 6.3 กิโลเมตร ภายในอุโมงค์เป็นถนนเลนส์สวนกัน มีการจัดระบบอำนวยความสะดวกในการเดินทาง หากมีอุบัติเหตุภายในอุโมงค์จะมีรถลากนำรถที่ประสบอุบัติเหตุภายในไม่เกิน 10 นาที

วิ่งรถมาได้ประมาณสิบกว่านาทีก็เห็นแสงจากปลายอุโมงค์แล้วครับ

หลังจากรถเคลื่อนออกจากอุโมงค์ก็จะเห็นเมืองดานังซึ่งเป็นเมืองท่าและเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศเวียดนาม

จุดหมายปลายทางถัดไปของคณะเราก็คือ "เมืองฮอยอัน" ซึ่งจะต้องผ่านเมืองดานังไปก่อน หลังจากเที่ยวเมืองฮอยอันเสร็จก็กลับมาพักที่เมืองดานังแทน

ที่เห็นตึกสูงๆ อยู่ไกลริบๆ นั่นก็เป็นใจกลางเมืองดานังนั่นเอง

แต่ระหว่างทางยังต้องแวะโปรแกรมทัวร์ธุรกิจกันอีกที่หนึ่งก่อนนั่นก็คือ ร้านจำหน่ายหินอ่อนแกะสลัก ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวบ้านย่านนี้

สินค้ามีทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ อาทิ

เมากันทั้งผัวเมีย

สินค้าชิ้นเล็กๆ ก็มีจำหน่ายกันภายในอาคาร  อย่างเช่นชิ้นนี้ ฮก ลก สิ่ว

ตามมาเที่ยวต่อจากตอนที่แล้วครับ

ลูกแก้วก็มีหลายขนาดหลากหลายสีสัน

ยินดีต้อนรับครับคุณชายชอบเที่ยว
.................................................................................................
ปล่อยให้เสียตังค์กันประมาณครึ่งชั่วโมง  แล้วก็เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองฮอยอัน ไปตามรอยละครเรื่อง ฮอยอัน...ฉันรักเธอ กัน

หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง  รถของคณะทัวร์พวกเราก็มาถึงบริเวณที่จอดรถบัสในเมืองฮอยอัน จากนั้นก็ต้องเดินเท้ากันต่อเพื่อเยี่ยมชมเมืองโบราณแห่งนี้

เน็ต...เหนื่อยมาก  เดี๋ยวกลับมารีวิวต่อดีกว่า ขอจบช่วงนี้ด้วยบรรยากาศบ้านเมืองในฮอยอันที่ยังคงอนุรักษ์ความเก่าแก่ให้เป็นจุดขายในการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

ตามมาดู ฮอยอัน สักวันเราจะไปบ้าง ( แต่ไม่ขออึดแบบคุณน้อยนะคะ เป็นพวกอ่อนแอเช่นกันค่ะ )

ตามมาเที่ยวต่อครับ

จากไม่ค่อยอยากไปเวียดนาม คงต้องเปลี่ยนความคิดแล้ว

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
เห็นแล้วอยากกลับไปเที่ยวเวียดนามอีกสักครั้ง

ขอบคุณครับพี่น้อย อ่านตอนนี้ให้ความรู้สึกว่าชะโงกทัวร์มันคืออะไร เห็นภาพเลยครับ


แต่พี่น้อยก็เก็บบรรยากาศมาได้สวย น่าไปเที่ยวนะครับ

นั่งเท้าคางชมทริปเวียดนาม ^)^

...ตามมาเที่ยวเวียตนามด้วยคนนะคะ  

เห็นแล้วก็อยากไปมั่งจังเลยค่ะ แต่ใจยังไม่กล้าพอที่จะไปเองเลยค่ะ รอชมรูปสวยๆ ต่อนะคะ  ^-^

แวะมาชมต่อจนจบครับ

ช่วงเช้าตามไม่จบ ^ ^

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ

เจดีย์เทียนมู่กับสุสานจักรพรรดิ์ไคดิงห์ นี่ดูสวยขลังจังเลยครับ
ของที่ระลึกพวกลูกแก้วก็สวยมากเลยครับอยากไ้ดเ้สักชิ้น

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

รอเที่ยวต่อค่ะ

ตามทัวร์ไปเที่ยวด้วยค่ะ ฮอยอันสวย ของกินก็อร่อย
ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นชนบทได้ดี ได้ไปดูตลาดปลาริมน้ำตอนเช้าไหมคะ?

ขอบคุณครับ กดเก็บเข้าคลังให้เรียบร้อยแล้ว


เห็นการเดินทางแล้วต้องบอกเลยว่า โหดน่าดู
ถ้าเป็นผม ผมจะขอนอนอยู่ที่เว้่ไม่ไปฮอยอันหรอก มันเหนื่อยและโหดเกิน

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมนะครับทุกท่าน  ว่าจะทำรีวิวนี้ให้จบในหนึ่งวันแล้วก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่หวัง  งานมันชุมเป็นยุงจริงๆ  
-ยินดีต้อนรับครับคุณ ชาติหน้าขอเกิดมาหมวย
-ยินดีต้อนรับครับคุณ tiger's nest
-ยินดีต้อนรับครับคุณ the Sixth Floor
-ยินดีต้อนรับครับคุณ Coffee Blended
-ยินดีต้อนรับครับคุณ ใสบัว
-ยินดีต้อนรับครับคุณ ปลายฟ้าที่ภูตะวัน
-ยินดีต้อนรับครับคุณ กัปตันลูกชุบ
-ยินดีต้อนรับครับคุณ Destiny-Boy
-ยินดีต้อนรับครับคุณ mercipians
-ยินดีต้อนรับครับคุณ คุณแม่ติดเน็ต  เสียดายไม่ได้นอนพักค้างคืนที่ฮอยอันครับ
-ยินดีต้อนรับครับคุณ TheFootball
ที่ผ่านไปยังไม่จบวันที่สามเลย  ก็เลยตั้งใจที่จะรีวิวต่อจนจบสำหรับการเดินทางไปกับทัวร์ในวันที่ 3 นี้ รอชมกันต่อในรีวิวนะครับ

ทริปลองของ...ไปกับทัวร์เป็นอย่างงี้นี่เอง..เวียดนามกลาง (เว้-ฮอยอัน-ดานัง) วันที่3 part 2