อย่างที่บอกเอาไว้ในตอนที่แล้วว่าจะมาแนะนำม้าของไอซ์แลนด์ พันธุ์โพนี

ม้าโพนีเป็นพันธุ์ที่ถือว่าสายเลือดบริสุทธิ์ในโลก เพราะไม่มีการผสมข้ามพันธุ์กับพันธุ์ใดๆ เนื่องจากมีกฎหมายห้ามนำม้าเข้าประเทศและหากมีการนำม้าโพนีออกไปนอกประเทศแล้วจะไม่อนุญาตให้นำม้าตัวนั้นกลับเข้าประเทศโดยเด็ดขาด

The Icelandic horse is a breed of horse developed in Iceland. Although the horses are small, at times pony-sized, most registries for the Icelandic refer to it as a horse. Icelandic horses are long-lived and hardy. In their native country they have few diseases; Icelandic law prevents horses from being imported into the country and exported animals are not allowed to return. The Icelandic displays two gaits in addition to the typical walk, trot, and canter/gallop commonly displayed by other breeds. The only breed of horse in Iceland, they are also popular internationally, and sizable populations exist in Europe and North America. The breed is still used for traditional farm work in its native country, as well as for leisure, showing, and racing.

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Icelandic_horse
http://icelandichorse.is/wp/?page_id=6

รูปถ่ายเก่า

เห็นรูปแรกจะนึกว่าม้าโพนีมีแต่ตัวเล็กเหมือนคนแคระ ตัวที่หุ่นดีๆ ก็มี

เอ นี่ก็เข้าไปตอนที่ 5 แล้ว ยังไม่ได้บอกเลยว่า ไอซ์แลนด์อยู่บริเวณไหน อยู่ใต้กรีนแลนด์ อยู่ระหว่างอเมริกาและยุโรปครับ

เวลาห่างจากบ้านเรา 7 ชั่วโมง นั่นหมายถึงไอซ์แลนด์อยู่ในเขต Time Zone UTC +0.00 ครับ

รูปจาก http://www.lonelyplanet.com/maps/europe/iceland/

รอชมครับ :)

วันที่ 4 พ.ค. 54 แผนการเดินทางในวันนี้ Hvammstangi-Akureyri-Godafoss-Reykjahlio-Dimmuborgir

ยินดีครับคุณ Title_boy

รูป 1 กับ 2 ม้าตัวเดียวกันหรือเปล่าคะ เหมือนไปตัดผมม้ามา 55555

บ้านพักของเจ้าของฟาร์มสเตย์

ภายในบ้าน

อาหารเช้า

ย้อนกลับไปที่แยกเข้าสู่เมือง Hvammstangi เพื่อเติมลมยางและปรึกษาข้อมูลชมแมวน้ำที่ i แต่ i เปิดตั้งแต่เดือนมิถุนาลงไป

บ้านในเมือง

ไปรษณีย์

แวะซุปเปอร์เพื่อซื้อเสบียง แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร เพราะคิดว่าไปซื้อแถวที่พักก็ได้

นึกว่า ส.ขอนแก่น

แวะปั้มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมัน

แฟนผมล้างรถโดยใช้แปรงยักษ์ที่ปล่อยน้ำจากตรงกลาง ปรับความแรงน้ำได้

ขอสร้างภาพหน่อย จริงๆ ล้างแทนเพราะอากาศเย็นมาก น้ำก็เย็นมาก และอยากมีรูปถ่ายตอนล้างรถ อิอิ

ไม่มีที่เติมลมแบบดิจิตอล มีแต่ที่ดูดฝุ่นซึ่งต้องเสียเงินแบบหยอดเหรียญ แต่ล้างรถจะฟรี ล้างเอง เติมน้ำมันเอง ไม่ต้องจ่ายตังก์ เพราะค่าแรงที่ไอซ์แลนด์แพงมาก เลยทำเองทุกอย่างครับ

เติมน้ำมันไป 3000 ISK ได้ 12.9 ลิตร

ดูจากแผนที่ในเล่มแล้ว มีแมวน้ำให้ดูบริเวณหินทะลุที่โผล่อยู่ริมทะเล เรียกว่า Hvitserkur ขับรถย้อนกลับมาทางที่พัก เลยไปซักพักก็ยังไม่เจอทางเข้า ลองย้อนกลับมาที่พัก เจอว่าทางไปอยู่ข้างที่พักนั่นเอง เสียน้ำมันไปเปล่าๆ เกือบ 20 กิโล ดูสภาพถนนพอไหว

ยิ่งลึก สภาพถนนยิ่งแย่ลงๆ ต้องลดความเร็ว และหลบหลุมบ่อ

เจอฝูงม้าโพนี

ฝูงแกะแบบที่ครึ่งท่อนบนไม่ใส่เสื้อผ้า แต่เหมือนใส่กระโปรง

แกะอีกประเภทนึงครับ อ้วนปั้กเลย และขนเหมือนถักเปีย แต่ผมว่าเหมือนขนหมาเป็นสังกะตังมากกว่า

ใครที่เคยไปนิวซีแลนด์ ชัดเจนว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง

เจอแล้วครับ หินทะลุ แต่เดินไปไม่ไหว เพราะไม่มีทางบอกและมีแอ่งน้ำเป็นหย่อมๆ พวกผมใส่รองเท้าผ้าใบแบบพื้นโปร่งสำหรับวิ่ง ทำให้น้ำเข้าเท้า แถมทรายเป็นสีดำจากหินภูเขาไฟ เลยไม่กล้าเดินไปต่อ ได้แต่ถ่ายรูปไกลๆ อากาศเย็นมากจนต้องเอาหมวดไหมพรมมาใส่

น้องแฟนหาแมวน้ำจนเจอ มันลงไปว่ายน้ำหมดแล้ว เพราะมีนักท่องเที่ยวเพิ่งกลับออกไป คงจะทำให้แมวน้ำตื่น น้องแฟนรออยู่เกือบชั่วโมง ได้แต่เห็นแมวน้ำฝูงย่อมๆ ว่ายมาดูพวกเรา เหมือนกับพวกเราเป็นตัวประหลาด

มันคงคิดว่า ตัวอะไรน่ะ มานั่งดูพวกเราอยู่

สภาพชายหาดที่เป็นทรายสีดำ

เดินลุยน้ำเข้าไปดูหินทะลุใกล้ๆ เพราะมีชื่อเสียงมาก แต่ได้ใกล้สุดแค่นี้

เดินทางต่อ เจอป้ายบอกว่าข้างหน้าเป็นเมืองนะ ตอนแรกนึกว่าป้ายบอกว่าเป็นโบสถ์

เมืองไม่ใหญ่มาก เดินทางไปตามสาย 1

ป้ายบอกระยะทางเป็นกิโลเมตร

ขาประจำมาอีกแล้วครับ เมฆฝน

เจอกลุ่มบ้านเล็กๆ กลางหุบเขา เป็นฟาร์มปศุสัตว์

หญ้าที่นี่เป็นสินค้าส่งออกครับ เพราะดินภูเขาไฟอุดมด้วยแร่ธาตุ อีกทั้งอากาศที่เหมาะสม ทำให้หญ้าของไอซ์แลนด์เป็นหญ้าดีที่ต่างประเทศต้องการ

จะเห็นตู้อุปกรณ์อย่างดีแบบนี้แทบทุกแห่งในแถบชนบท ไม่รู้ที่มาที่ไป ตอนแรกคิดว่าเป็นเสาอากาศของมือถือ แต่มันน่าจะมีเสา ถ้าจะเป็นแหล่งจ่ายไฟพลังงานแสดงอาทิตย์ ก็ไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าอะไรแถวนี้เลย

แหล่งน้ำไกลๆ ทำไมสีขาวด่างๆ

ที่แท้ น้ำที่ยังเป็นน้ำแข็งอยู่นั่นเอง

มาถึงบริเวณภาคเหนือของไอซ์แลนด์แล้วครับ

ไม่เข้าใจว่าคืออะไร ไม่มีป้ายบอก

ฟาร์มปศุสัตว์ ธรรมชาติสุดๆ

ไอซ์แลนด์ไม่ค่อยมีต้นไม้สูงๆ ครับ นานๆ จะเห็นต้นสนที่เริ่มเขียว ดีใจจริงๆ

ใกล้ถึงเมือง Akureyri ซึ่งเป็นเมืองหลักของภาคเหนือของไอซ์แลนด์แล้วครับ เร่งเครื่อง 100-120 กม./ชม. เพราะถนนดีครับ

ถึงแล้วครับ Akureyri

ศิลปะที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้

เมืองใหญ่ อาคาร บ้านเรือน และถนนกว้างขวาง แต่ไม่มีรถเลยครับ

ศูนย์การค้าครับ เป็นถนนคนเดินด้วย

..

และโบสถ์รูปทรงแปลกๆ

หุ หุ เห็นป้ายสีเหลืองบนหลังคารถมั๊ยครับ ว่ามันคือคำว่า ...

อีก 2 รุ่น จัดไป

เก็บบรรยากาศก่อนออกเดินทางต่อครับ

อีกซักภาพละกัน

ออกจากเมืองมาได้ซักพัก ถ่ายกลับไปยังบริเวณเมืองจากระยะไกล

สวยมากครับ  ตามไปเที่ยวด้วยครับ

ถึงแล้วครับ น้ำตกที่ชื่อ GODAFOSS

..

ดูความยิ่งใหญ่ครับ น้ำแรงมากจนเสียงดังไปไกล

เทียบกับขนาดของคนที่มุมขวาลิบๆ โน่นครับ

บริเวณที่จอดรถ สะอาดมาก ต่างกับบ้านเราโดยสิ้นเชิง

บ้านสีเหลือง เป็นของเจ้าของที่นี่หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่มีโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ปั้มน้ำมันด้วยครับ แต่วันที่ไปเป็นวันหยุดทำให้ไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้

แต่ถึงจะปิด ก็มีอย่างนึงที่ไม่ปิดทำการ ตู้ไปรษณีย์

อัตราค่าส่ง

ออกเดินทางกันต่อ เพื่อไปยังที่พัก เพราะระยะทางอีกไกล

สงสัยว่าน้ำทำไมสีขาวด่างๆ น้ำที่ยังเป็นน้ำแข็งนี่เอง

แต่บางส่วนเริ่มละลายแล้ว

ขับรถต่อ

เจอชุมชน

ป้ายโรงแรมที่ค่อนข้างหรูหน่อย

โรงแรม

มีบ้านสวยอยู่หลังเดียวกลางทุ่งหญ้า

เจอบ่อที่มีไอน้ำพุ่งขึ้นมา แสดงว่าใกล้กับแหล่งภูเขาไฟ นั่นหมายถึง ใกล้ที่พักซึ่งอยู่ในบริเวณทุ่งภูเขาไฟแล้ว

ภูเขาไฟเก่าที่ดับแล้ว

บริเวณนี้มีหินลาวาเต็มไปหมด พื้นที่ไม่เรียบ ไม่ค่อยมีหญ้า แต่ที่แน่ๆ ไม่มีต้นไม้

สวยมากครับ ภูเขาสีขาว พื้นดินสีดำน้ำตาล

ใกล้ถึงที่พัก เริ่มมีบ้านและมีม้าโพนี

เข้าสู่บริเวณเมืองที่เป็นที่พัก จะเริ่มน่ากลัว แผนที่ในหนังสือก็ไม่ชัดเจน Ovi Maps ก็ไม่รู้จักพื้นที่นี้ แถมใกล้จะ 2 ทุ่มแล้ว

..

..

ตอนแรกมีปัญหากับการหาทางเข้าที่พักเล็กน้อย เลยไปหมู่บ้าน Reykjahlio ประมาณช่วงทุ่มกว่า ทั้ง i และซุปเปอร์มาเก็ตปิดหมดแล้ว น้ำมันก็ใกล้หมดเลยแวะปั้มน้ำมัน เจอคนเยอรมันที่ล้างรถอยู่นึกว่าเป็นคนถิ่นเลยเข้าไปถามทาง เห็นเป็นรถ 4*4 ทะเบียนเยอรมัน คงจะเอาข้ามเฟอรี่มา หมู่บ้านนี้มีโรงแรม 4 ดาว อย่างน้อยสองแห่ง วิวจากตรงโรงแรมใหญ่นี้สวยดี แสงแดดก็กำลังดี โรงแรมใหญ่บอกให้ย้อนกลับไปทางเดิม 7 นาทีจะเจอที่พัก

ในที่สุดก็ถึงที่พัก เช็คอินเสร็จขับรถมาจอดใกล้ที่พัก ซึ่งแบ่งออกเป็นหลังเดี่ยว และ หลังคู่ พวกเราเลือกแบบหลังเดี่ยว

จอดบ้านใกล้บ้านพัก เหมือนบังกะโลบ้านเรา

ในห้องนอน มีเตียงแบบนี้ 2 เตียง แคบมากๆ

มีหัองครัวพร้อมอุปกรณ์ แต่ซุปเปอร์ปิด ไม่มีของสดเลย ต้องพึ่งมาม่าแทน

ผมอาบน้ำพักผ่อน แต่แฟนผมไปเล่นกับหมาของเจ้าของบังกะโล ตัวสูงใหญ่เท่าลาบาดอร์

ขี้เล่นมาก จะคาบไม้มาให้โยน เพื่อมันจะได้วิ่งไปเก็บมา หลายรอบมาก หนาวก็หนาว ดันจะมาชวนเล่นอีก จะ 3 ทุ่มอยู่แล้ว แต่แสงเหมือน 4 โมงเย็น

บ้านนี้ห้องน้ำเล็กไปหน่อย น้ำกระเด็นเฉอะแฉะและไม่ค่อยมีที่วางของ หน้าต่างครัวเปิดไม่ได้เพราะว่าชนชั้นวางของแต่ว่ามีฮีทเตอร์ที่ฝังไว้ใต้พื้นในครัว ส่วนฮีทเตอร์ในห้องนอนเป็นแบบเสียบปลั๊ก ก็เลยช่วยให้หายหนาวได้ ไม่มีรูปครับ

ลาตอนนี้ด้วยภาพวิวพระอาทิตย์ตกดินประมาณ 4 ทุ่ม โดยมีหมาเป็นไกด์นำทางแฟนผมทั้งไปและกลับ ส่วนผม หลับไปแล้วตามระเบียบครับ

ม้าดูสวยสง่าจังเลยครับ
เห็นแกะแล้วอยากไปเล่นด้วยจังเลยครับ อิ อิ
อยากไปชมแมวน้ำใกล้ๆแบบนี้บ้างจังครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

ตามมาชมครับ :)

ที่พักดูสบายๆ  ดีจังค่ะ  น้องหมาน่ารักมากกกกกกกกก  

ไปด้วยคนครับ

อยากดูอีก  อยากดูอีก  เอามาลงเร็วๆ นะ @^_^@

รูปเปิดน้องม้าโพนี น่ารักดีค่ะ

ชอบม้าโพนีครับ ตัวสีขาวดูงามสง่ามาก
ขอยคุณที่พาเที่ยวครับ

  ชอบมากค่ะ ติดตามมาชมรีวิวอีก 

ว๊าววว ดีจังเลยได้ไป north iceland ด้วย เราไม่ได้ไป north อ่ะค่ะ
ตามมาดูรูปสวยๆฝั่ง north ค่า ^^ และจะขอติดตามดูไปเรื่อยๆเลยนะคะ

ปล.ได้เจอน้องหมาตัวนึงคล้ายๆในคห.90 ที่ restaurant museum ขี้เล่นมากๆเลย(แต่เล่นกะคนอื่นนะ) พอเราเรียกแล้วเค้าวิ่งหนีอ่ะค่ะ 555

@@@@@ บันทึกการเดินทาง ICELAND – PARIS – BELGUIM – AACHEN 30 เม.ย.-19 พ.ค. 54 [ตอน 6] @@@@@

ขอบคุณมากค่ะที่พาเที่ยว