วันนี้เรามาพูดถึงลักษณะทางธรณีวิทยาของไอซ์แลนด์กันดีกว่า
ข้อมูลจาก http://www.knowledgecompany.co.th/default.asp?Folder=822

ไอซ์แลนด์ วางตัวคร่อม อยู่ระหว่างแอตแลนติกกลาง และมหาสมุทรกลาง ของโลกเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มากที่สุด ในน่านน้ำกลาง ไอซ์แลนด์ถูกพัฒนามา ตามแนวสันเขาของแอตแลนติกกลาง เนื่องจากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ระหว่างสันเขาใต้น้ำ จากตะวันตกเฉียงใต้และสันเขา Kolbeinseyสู่ทางเหนือ และได้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ 20-25 ล้านปีที่แล้วและหลอมรวมเป็น พื้นที่แผ่นดินใหญ่หลังจากการเกิดการประทุ ของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ ไอซ์แลนด์เกิดการปะทุของภูเขาไฟมากมายหลายครั้ง จนเกิดกลายเป็นเขตภูมิภาค บนโลกเราใบนี้ และพื้นที่ก็ค่อยๆขยาย

ช่วงระยะเวลาเวลาของยุคธารน้ำแข็งไพลอีสโตซีน จะเป็นลักษณะของน้ำแข็งขนาดกว้างใหญ่ ปกคลุมภูเขาไฟอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ จะเกิดการละลายของน้ำแข็งภายใต้ผิวน้ำ และด้วยภายใต้เงื่อนไขนั้น จะคล้ายกับส่วนที่อยู่ใต้น้ำของ World Rift System ภูเขาไฟที่ถูกสร้างขึ้น ภายใต้ธารน้ำแข็งย่อย ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นสองแบบ

น้ำพุร้อน - ความร้อนจากใต้พิภพ
ไอซ์แลนด์เต็มไปด้วยน้ำพุร้อน ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าน้ำพุร้อนในประเทศอื่นๆ ในโลก และอุณหภูมิที่สูงเช่นนี้ จะเกิดเฉพาะจุด น้ำพุร้อนเหล่านี้จะก่อตัวขึ้นจากช่องเปิดของไอน้ำ บ่อโคลน และซัลเฟอร์ของหยาดน้ำฟ้า

เขตพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง
เขตพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงคือที่ธารน้ำแข็ง Torfajokull ทางตะวันออกของ Hekla และทะเลสาป Grimsvotn ในบริเวณธารน้ำแข็ง Vatnajokull มีขนาดไกล้เคียงกับ Hengill (ใกล้กับ Reykjavik) ซึ่งปัจจุบันได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการทำเป็นน้ำร้อนสำหรับเมืองหลวงภูเขา Kerlingarfjoll, Namafjall, ภูเขา Kverkfjoll และพื้นที่ Krisuvik พลังงานทั้งหมดที่ถูกขับออกมาจากธารน้ำแข็ง Torfajokull ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุด

วันนี้ตื่นไปถ่ายรูปริมทะเลสาบเล็กตรงที่หมาของเจ้าของที่พักนำทางมาเมื่อคืน

เพื่อนๆ ที่เห็นกระทู้บอกว่า ไม่เอารูปคุณแฟนมาใส่ในกระทู้บ้างเลย ผมจึงเอารูปที่ she พยายามกระโดดแล้วถ่ายรูป แต่ไม่มีรูปที่ลอยในอากาศ

ออกเดินทางเพื่อไปดูปลาวาฬที่ Husavik ที่นี่ถ้าไม่เที่ยง คนจะน้อยมากและรถก็น้อยมาก เหมือนกับหลายๆ เมืองที่ผ่านมา เมฆฝนมาอีกแล้ว จะเห็นปลาวาฬมั๊ยเนี้ยะ

ภาพวิวระหว่างทาง สวยงาม แปลกตาดีครับ

ถนนสายนี้ สวยดีครับ

ชมวิวเพลิน หันมาเจอถนนเปลี่ยนไป เริ่มเป็นดินบด

ซักพัก งานเข้าแล้ว กลายเป็นหินกรวดไปซะได้

น่าจะอีกนาน

เห็นเมืองอยู่ไกลๆ ถึงแล้ว เมืองค่อนข้างใหญ่

ถึงบริเวณบริษัทที่จัดไปดูปลาวาฬ ถ่ายรูปกับป้ายเพื่อเป็นที่ระลึก มองไปด้านข้างมีป้ายของอีกบริษัทนึง ออกช้ากว่า 15 นาทีและแพงกว่า 2 ยูโร

ป้ายติดกัน มองผ่านๆ จะไม่รู้เลย

คุณแฟนขอถ่ายภาพกับวิวด้านหลังที่เป็นท่าจอดเรือ วิวเป็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมทอดยาวเป็นพื้นหลัง

มารอชมวาฬค่ะ ^^

เราขึ้นเรือของบริษัท Gentle Giant ราคา 52 ยูโร (ชาร์จเงินเป็นยูโรเลย) ออกก่อนคู่แข่ง 15 นาทีและถูกกว่า 2 ยูโร ถามเจ้าหน้าที่ว่าทะเลเป็นอย่างไร บอกว่าเยี่ยม ไม่มีคลื่น น่าจะโชคดี

ออฟฟิศขายตั๋วเพิ่งเปิดได้สองวัน คนเก็บเงินบอกว่าเข้าห้องน้ำได้ พวกเราถามว่าคืนเงินหรือเปล่าถ้าไม่เห็นปลาวาฬ (ที่นิวซีแลนด์ไปว่ายน้ำกับปลาโลมา แต่มาน้อยมากเขาคืนเงินให้ครึ่งนึง) เขาบอกไม่คืนเงินแต่ว่ามารอบบ่ายอีกรอบได้ฟรี สาธุขอให้เจอปลาวาฬ

@K.Blue Whale ต้องทำใจนะครับ เขาบอกว่าช่วงนี้มีแต่วาฬรุ่นเล็ก ส่วนรุ่นใหญ่เหมือนในป้ายยังไม่มาครับ จะมาช่วงมิถุนายนครับ

อากาศบริเวณท่าเรือหนาวมาก ไม่ได้เอาลองจอนมาซะด้วย การแต่งตัวระหว่างนักท่องเที่ยวเอเชียกับฝรั่งต่างกันมากฝรั่งใช้รองเท้าปีนเขาและสวมกางเกงคล้ายกางเกงสกีแบบกันเปียก แต่ของพวกเราใส่รองเท้าผ้าใบและกางเกงยีนส์

ตามมาขึ้นเรือชมปลาวาฬด้วยคนค่ะ

เรือที่เราจะขึ้น

หันไปดูเรือของบริษัทข้างๆ -*-

เรือเป็นเรือเล็ก ข้างบนมีชุดหมีใส่ทับสำหรับกันหนาว มีไซส์ต่างๆ ให้เลือก ใส่แล้วอุ่นขึ้นเยอะ ดาเนียล เจ้าหน้าที่ทัวร์เริ่มอธิบายเกี่ยวกับความปลอดภัยบนเรือรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับปลาวาฬ ดาเนียลเป็นคนอินเดีย เคยอยู่ที่เยอรมันแถวๆ Ruhrgebiet ด้วย เขาบอกว่าเขาจะให้สัญญาณเป็นเข็มนาฬิกา ถ้าเจอปลาวาฬกรี๊ดออกมาได้เลยดังๆ

เรือออกจากฝั่ง คลื่นไม่ใหญ่มาก

เริ่มออกมาไกลแล้ว คลื่นค่อนข้างสงบ ดี ชอบๆ เพราะกลัวจะเมาเรือเหมือนตอนไปดูนกอัลบาทรอสที่นิวซีแลนด์

มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ปลาวาฬชอบขึ้นมาหายใจ

สักครึ่งชม ได้เริ่มเบื่อกับการมองหา เห็นแต่ฝูงนกน่าเบื่อเต็มไปหมด จากนั้นดาเนียลซึ่งอยู่บนดาดฟ้าเรือก็เริ่มบอกว่าเห็นไกลๆ จากนั้นเรือก็เร่งเครื่องเต็มที่ไปจุดที่เห็น จากนั้นก็เห็นปลาวาฬพันธ์ Milke หลายตัว อาจจะถึง 7 ตัวได้ ใกล้บ้างไกลบ้าง แต่ว่าพันธุ์นี้ไม่กระโดดตีลังกาเหมือนไอ้หลังค่อม แม้ถ่ายรูปได้ไม่เลิศเหมือนคนเอาเลนส์ตัวเป้งๆ มา ก็ถือว่าใช้ได้ และก็ได้เห็นมันพ่นลมหายใจด้วย

จัดไปเต็มๆ ต่อเนื่องเลยครับ

..

..

..

..

ระหว่างรอปลาวาฬ มีนกลอยเข้ามาใกล้เรือ

ซักพักมาฝูงใหญ่เลย

โผล่ขึ้นมาอีกแล้ว

หมดเวลา และปลาวาฬหายไป ไกด์เลยเอาสมุดภาพปลาวาฬแบบต่างๆ มาให้ดู พันธุ์ที่เราเห็นไปคือพันธุ์ Minke ไกด์ออกเสียงว่า "มิงกี้"

ตามมาเที่ยวด้วยครับ

จากนั้นเรือก็ตรงดิ่งกลับท่าเรือ ขากลับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ได้เห็นนกพัพฟินปากแดงตีนแดงด้วย ดาเนียลบอกวันนี้ว่าถือว่าโชคดีมาก และถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทั้งๆ ที่บ่ายเมื่อวานไม่เจอไอ้ปลาพันธุ์ Milke สักตัว

ระหว่างทางไกด์เสิร์ฟโกโก้ร้อนกับโดนัทด้วย เป็นแบบที่ขายบน Air Iceland แล้วฟ้าก็เริ่มใสแดดเปรี้ยง เหมือนหน้าร้อนของที่นี่เลย น่าอิจฉาพวกลงเรือรอบบ่ายนัก การล่องเรือชมปลาวาฬใช้เวลาทั้งหมด 3 ชม หนาวมากกกกก มือแข็งน้ำมูกไหลกันทุกราย แดดทำให้อุ่นขึ้นได้เพียงนิดหน่อย

ภาพตอนเรือจอดเทียบท่า สวยกว่าตอนออกเรือไปมากมาย

ก่อนออกเดินทาง แวะตึกพิพิธภัณฑ์ปลาวาฬเป็น i ด้วย มีหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่ม โดยเฉพาะเกี่ยวกับปลาวาฬและนกพัพฟิน แต่ที่จริงแล้วแวะเข้าห้องน้ำและเติมน้ำดื่ม หลังจากนั้นแวะซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อตุนเสบียงก่อนออกเดินทางไป Asbyrgi ทางถนน 85

วิวระหว่างทาง แดดออกแล้วช่างสวยงามจริงๆ

..

..

เจอฝูงวัวด้วย

แวะแหล่งดูนก ซึ่งอยู่บริเวณริมหน้าผา

ไม่ค่อยเห็นนกเท่าไหร่ สงสัยออกไปหาอาหาร

..

..

ถ่ายวิวทะเล สวยจริงๆ

เดินทางมาถึงหุบเขารูปเกือกม้า ชื่อ Ásbyrgi (Shelter of the Gods - แปลเองนะครับ เพราะ Shelter แปลว่า ที่หลบ หรือ ที่พัก) เป็นส่วนของอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull National Park

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก
http://www.northiceland.is/WhattoSeeDo/ViewAttraction/asbyrgi
http://www.visitnortheasticeland.is/local-pearls-and-attractions/asbyrgi/

ดูประวัติการเกิดหุบเขาแห่งนี้ มาจากธารน้ำแข็งหดตัวนั่นเอง

ทางเข้า

หน้าหนาวต้นไม้แห้งแล้ง แต่ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้จะเขียวสวยมาก

หุบเขานี้ยิ่งใหญ่และแปลกตามาก

เทียบกับขนาดของรถ

ถ้าเดินต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ต้องการเดินทางไปดูน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปมากกว่า จึงเลือกที่จะออกจากที่นี่ ทิ้งไว้แต่ความทรงจำ

ซะหน่อยนึงก่อนจาก

แวะ i ที่ทางเข้าหินภูเขาไฟรูปเกือกม้า ถามทางเจ้าหน้าที่ว่าทางโหดที่วนเป็นวงกลมผ่านไปยัง Dettifoss เข้าได้ไหม โชคดีมากที่เพิ่งมีเจ้าหน้าที่ไปสำรวจเมื่อเช้าประกอบกับวันนี้อากาศดีมาก เจ้าหน้าที่บอกว่าไปได้ เราตามเส้นทางนั้นมา ถนนไม่โหดอย่างที่คิด แต่ฝุ่นโคลนตลบอบอวลจนรถดูไม่ได้ กระจกหลังเคลือบไปด้วยโคลนจนมองแทบไม่เห็น จริงๆ มีป้ายบอกว่าถนนปิดแต่ไม่เห็นยักปิด

ถึงแล้ว Dettifoss ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยวัดจากปริมาณน้ำที่ไหลถึง 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำตกนี้มีความสูง 45 เมตร กว้าง 100 เมตร ทำให้มีละอองน้ำที่กระจายขึ้นมาเหมือนโฟมปกคลุมไปทั่ว

สวยครับ  ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ

ช่วงที่ไปบางส่วนยังเป็นน้ำแข็งอยู่แต่ก็สวยไปอีกแบบ ทางเดินลงไปตอนแรกทำเป็นขั้นบันไดใหญ่ๆ เดินง่ายดี สักพักทางเดินต่อไปก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งที่ไม่แน่นเท่าไร พยายามเดินตามรอยเท้าที่มีอยู่เพราะน้ำแข็งจะแน่น แต่ไม่วายตกหลุมจนขาหายไปข้างนึง

ใกล้กับน้ำตก ละอองน้ำลอยสูงขึ้นมา

เดินเข้าไปใกล้ๆ

เดินเข้าไปใกล้อีก

บริเวณด้านข้างน้ำตก

บริเวณที่กลายเป็นธารน้ำ

มองลงไปด้านล่าง ตกลงไปไม่รอดแน่นอน

เดินไปใกล้ๆ กับจุดที่น้ำตก ต้องระวังมากเพราะบริเวณนี้ลื่น

เดินทางกลับที่พัก แต่ใกล้ๆ กับที่พักมีแหล่งโคลนเดือดและปล่องไอความร้อนชื่อ Namafjall

ไม่มีคำบรรยายครับ

..

..

..

..

..

..

..

ออกเดินทางกลับที่พัก ระหว่างทางเจอแหล่งน้ำร้อนใต้ดิน น้ำร้อนจนพุ่งขึ้นมาเป็นไอน้ำ

..

มีการตั้งโรงไฟฟ้าบนปล่องไอน้ำด้วย

..

มีที่พักชมวิวแปลกๆ อีกที่นึง

..

เจอคนกำลังสอนม้าเดิน โดยใช้ม้า 2 ตัวที่ฝึกมาแล้วขนาบข้างตลอดเวลา

กลับถึงที่พัก หมาตัวเดิมมานั่งยืนรอ จะชวนเล่น

กำลังนั่งกินข้าวเย็นอยู่ ไม่ว่างเล่นด้วย มันก็เลยนอนรอแทน

หลังจากทานอาหารค่ำและอาบน้ำพักผ่อนพอมีแรง จึงออกไปดูทุ่งหินภูเขาไฟที่ชื่อ Dimmuborgir หรือ Dark Castles ซึ่งเกิดจากลาวาฟอร์มตัวจนเป็นรูปร่างแปลกตามีอาณาเขตกว้างขวาง หากเดินรอบทางเดินที่สั้นที่สุดใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที แต่ถ้าเดินให้รอบทั้งหมดต้องใช้เวลาประมาณ 40-60 นาทีเลยทีเดียว


ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.dimmuborgir.is/new/area.htm
http://www.visitnortheasticeland.is/local-pearls-and-attractions/dimmuborgir/

..

..

ช่วงที่ไปถึงเวลา 2 ทุ่มกว่าแล้ว ทางเข้าปิดแต่ผลักเข้าไปเดินได้ มีจักรยานจอดอยู่ 2 คัน และยังมีแสงอยู่เลยเลือกไปเดินรอบสั้น

..

..

..

..

..

..

พระอาทิตย์เริ่มตก กลับดีกว่า กลับขึ้นรถเอา 3 ทุ่มกว่าแล้ว

ขับรถกลับที่พัก ระหว่างทางแวะถ่ายวิวไปเรื่อยๆ ช่วงพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยมาก

..

..

..

..

..

ปิดด้วยภาพพระอาทิตย์ตกดินที่เวลาประมาณ 4 ทุ่ม เป็นความเห็นที่ 100 พอดีครับ

ต้องขออภัยหากภาพไม่สวย บาดตา เพราะใช้กล้องมือถือ Nokia N8 ครับ

ตามมาชมครับ ขอบคุณครับ

ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

ขอบคุณนะคะที่พาเที่ยวค่ะ

เข้ามาชมรีวิวสนุกสนุกอีกค่ะ  เที่ยวเพลินมาก  

ตามมาชมค่ะ ชอบจัง รีวิวได้ละเอียดเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะ จะติดตามชมต่อไปค่า ^^

@@@@@ บันทึกการเดินทาง ICELAND – PARIS – BELGUIM – AACHEN 30 เม.ย.-19 พ.ค. 54 [ตอน 7] @@@@@

ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10929156/E10929156.html