สวัสดีครับ

วันนี้มีโอกาส ว่างจากงานมากมาย เลยได้มาลงรีวิวจากทริปที่ได้มีโอกาสไปเยือนแดนจิงโจ้ ประเทศออสเตรเลียมา ถึง 2 ครั้ง แต่รวมกันเป็นรีวิวเดียว

อย่างที่กล่าวไว้ในหัวข้อกระทู้ เป็นซิดนีย์ 2 ฤดู ฤดูแรกคือฤดูร้อน ผมมีโอกาสไปเยือนซิดนีย์มาครั้งหนึ่งในฤดูร้อน เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว  (นั่นหมายความว่า เก็บหมักดองรีวิวไว้นานพอควร) และอีกครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ก็เลยรวมทั้ง 2 ทริปมาไว้ในรีวิวเดียวกันซะเลย ไม่ให้เสียเวลา

การได้ไปเยือนซิดนีย์ ในเวลาที่ต่างกัน 2 ฤดู ทำให้รู้ว่าที่นี่มีอะไรทั้งที่เหมือนและต่างกันในแต่ละช่วงเวลาของปี

เริ่มต้นที่ฤดูร้อนก่อน ... พฤศจิกายน 2553 ผมเดินทางไปซิดนีย์ (เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต แต่เป็นครั้งแรกที่ไปหน้าร้อน)

สำหรับทริปฤดูร้อนนี้เลือกเดินทางโดย Singapore Airlines เพราะตอนที่จองราคาดูคุ้มค่าที่สุด

สำหรับเรื่องไฟลท์บินขอไม่กล่าวถึงมากเพราะรีวิวนี้กะให้เป็นรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว
แต่ถ้าใครอยากได้รายละเอียดการบริการของสายการบิน ผมมีโอกาสทำไว้ก่อนหน้านี้ที่เว็บอื่น (และนั่นเป็นเหตุผลที่ขี้เกียจทำซ้ำด้วย) ดังลิงค์
http://www.skyhighthai.com/phpBB3/viewtopic.php?t=1081
http://www.skyhighthai.com/phpBB3/viewtopic.php?t=1083

ถึงแล้วซิดนีย์ วันนี้เป็นวันหนึ่งในฤดูร้อนของซีกโลกใต้ (กลางเดือนพฤศจิกายน) เพราะว่าซีกโลกใต้จะมีอากาศตรงข้ามกับซีกโลกเหนือ ตอนเราเป็นฤดูหนาว(ที่หายากในประเทศไทย) เขาก็จะเป็นฤดูร้อน(และร้อนมาก)

อากาศสดใส ด้วยแดดจ้าในหน้าร้อน เพื่อนชาว(ไทยที่อยู่ที่)ซิดนีย์ ของผมอาสามารับที่สนามบินและดูแลในทริปนี้

ขอตามไปเที่ยวด้วยคนนะครับ
แก้ไขข้อความครับ

มื้อแรกในซิดนีย์ (ในทริปนี้)  พบกับ .... อาหารไทย

ซิดนีย์ เป็นเมืองที่มีคนไทย (และคนเอเชีย) อยู่เยอะมาก หากเดินไปในเมืองจะพบคนเอเชียเดินกันมากมาย ยิ่งในใจกลางเมือง อาจจะเห็นว่าฝรั่งเป็นชนกลุ่มน้อยเลยก็ได้ ร้านอาหารไทยก็มีอยู่ทุก suburb (หรือย่านของเมือง) ในซิดนีย์ และร้านอาหารเอเชียอื่น ๆ ก็เช่นกัน

วันแรกในซิดนีย์ยังไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะเหนื่อยกับการเดินทาง ไม่ค่อยได้นอนเท่าไรบนเครื่อง ตอนบ่ายจึงใช้เวลาไปกับการนอน ตื่นมาอีกที เพื่อนก็พาไปพบกับวิถีชีวิตชาวซิดนีย์ (หรือวิถีชาวเอเชียในซิดนีย์) คือการไปชอปปิงที่ซุปเปอร์มาเก็ต หาสเบียงมาตุน

ซุปเปอร์มาเก็ตที่เราไปชื่อ Coles เป็นแบรนด์ใหญ่ในออสเตรเลีย (และในอีกหลายประเทศ)

แต่ว่าสิ่งที่น่าสนใจ ที่ผมขอยกมาก็คือ ตอนจ่ายเงิน ซุปเปอร์มาเก็ตที่นี่ ลูกค้าคิดเงินด้วยตัวเอง แล้วก็จ่ายเงินเอง ด้วยเครื่องอัตโนมัติ แบบนี้ (แต่ก็จะมีช่องที่มีแคชเชียร์เป็นมนุษย์นะครับ แต่น้อยกว่าและสะดวกน้อยกว่า) และตามสถานที่อื่น ๆ ก็เน้นการบริการตัวเอง Self Service เยอะมาก แม้แต่การเช็คอินเครื่องบินภายในประเทศ ที่ทั่งสนามบินแทบจะเต็มไปด้วยตู้ Self Check-in Kiosk

ผมก็เลยไม่รู้สึกแปลกใจถ้า Trend แบบนี้จะมาถึงเอเชียในไม่ช้า เพราะใน Australia และยุโรป มันเป็นมานานแล้ว

ตามไปเที่ยวด้วย ขอบคุณนะคะ

มื้อดึก ก็เป็นอีกหนึ่งมื้ออาหารไทย (ก่อนที่ใครจะเปลี่ยนช่อง ผมขอบอกว่าเดี๋ยวมีชาติอื่นให้กินด้วยครับ) ที่ร้านอาหารไทยชื่อดังร้านหนึ่งใกล้ย่าน Thai Town ชื่อ ชนสยาม

แม้จะมาไกลถึงออสเตรเลียแต่ว่า ก็หาต้มเลือดหมูและก๋วยเตี๋ยวน้ำตกกินได้เหมือนอยู่เมืองไทย (แค่ราคาแพงกว่า 8-9 เท่าเมื่อคิดเป็นเงินบาท แค่นั้นเอง....)

เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 2 ซิดนีย์ก็ยังสดใส ท่ามกลางแดดหน้าร้อนเช่นเคย หน้าร้อนที่นี่ร้อนจริง ๆ ครับ อุณหภูมิ 30 กว่าองศาเซลเซียสได้ และอาจสูงเฉียด 40 ได้ไม่ยากเย็น

โปรแกรมวันนี้เราจะไปสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของซิดนีย์แห่งหนึ่ง

สวนสัตว์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก Taronga Zoo

แต่ว่าก่อนจะไปถึงสวนสัตว์ ซึ่งอยู่ทางฝั่งทิศเหนือของซิดนีย์ เราต้องข้ามสะพานข้ามอ่าวซิดนีย์ก่อน และสะพานที่กำลังข้ามนี้ก็คือ Landmark ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของซิดนีย์ Sydney Harbour Bridge นั่นเอง

ทารองกา ซู มีอะไรให้ดูบ้าง

อย่างแรกก็คือ วิว ครับ ที่ตั้งของ Taronga Zoo อยู่บนเนินเขา ใกล้ย่าน Mosman ซึ่งจะตรงข้ามกับตัวย่านธุรกิจของซิดนีย์ (CBD - Central Business District) เวลามองไปยังฝั่งซิดนีย์ จึงเห็นโอเปราเฮาส์ สะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ และบรรดาตึกสูงในซิดนีย์ เป็นวิวด้านหลัง

อย่างที่ 2 คือช้าง

ช้างที่ทารองกา เป็นช้างไทย ที่ทางไทยมอบให้ และก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสวนสัตว์แห่งนี้

ส่วนที่จัดแสดงช้างนั้น เป็นพื้นที่ใหญ่โต สร้างเป็นอาคารแบบไทย ตั้งอยู่ใจกลางของสวนสัตว์ และได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากมาย (เหมือนกับแพนด้า ที่เมืองไทย แบบนั้นเลย อ้อ แถมช้างไทยก็มาเกิดลูกที่นี่ด้วย ... ตอนที่ลูกช้างเกิด ชาวซิดนีย์ ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ลงข่าวหนังสือพิมพ์ไปหลายวัน ...เหมือนแพนด้าเลยแฮะ)

ไปเที่ยวด้วยคนครับ

อย่างที่บอกว่า เขาพยายามตกแต่งส่วนจัดแสดงช้างให้ดูเป็นไทย ๆ เพียงแต่ว่าป้ายภาษาไทยที่เอามาประดับตกแต่งนั้น เป็นภาษาไทยที่อ่านไม่ออก...(มุมขวาล่าง)

อย่างที่ 3 คือสัตว์ออสเตรเลีย

แน่นอนว่าที่นี่คือออสเตรเลีย ดินแดนที่เป็นทวีปที่โดดเดี่ยวอยู่ในซีกโลกใต้ และมีลักษณะทางชีววิทยาหลาย ๆ อย่างที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก สัตว์ออสเตรเลีย หลายชนิดจึงถูกจัดแสดงไว้ที่นี่ ไม่เพียงแต่ จิงโจ้ โคอาล่า นกอีมู แม้แต่สัตว์เลื้อยคลาน กิ้งก่า งู ที่เป็นสัตว์ถิ่นของที่นี่ก็มี

แต่ภาพที่ผมเอามาให้ดูนั้นคือ Tasmania Devil ถึงแม้ชื่อว่า Devil จะดูเหมือนเป็นปีศาจร้าย แต่ปัจจุบันสัตว์เหล่านี้ เช่นเดียวกับ จิงโจ โคอาล่า และวอมแบด กลับเป็นเหยื่อ ที่โดนรถชนตายทุกวัน จนสวนสัตว์แห่งนี้ต้องสร้างส่วนจัดแสดงเป็นรูปถนนที่มีซากจิงโจ้นอนตาย เพื่อเตือนให้ชาวออสเตรเลียและผู้มาเยือน ขับรถอย่างระมัดระวัง จะได้ไม่ไปทำร้ายสัตว์เหล่านี้

อย่างที่ 4 คือ โชว์

ที่นี่ก็มีโชว์ความสามารถของสัตว์เช่นเดียวกับสวนสัตว์อื่น ๆ เช่นโชว์แมวน้ำ (ในคลิป) โชว์นก

และยังมีสัตว์อีกมากมายจากทั่วโลกและสิ่งอื่น ๆ ในสวนสัตว์แห่งนี้เป็นอย่างที่ 5 6 7 ... อีกแน่นอนครับ

หลังจากใช้เวลาทั้งเช้าและบ่ายไปกับสวนสัตว์ทารองกา

ในตอนเย็น ผมของพาไปยังชายหาดเลื่องชื่อของซิดนีย์ Bondi Beach

ชายหาดบอนได ที่เป็นที่นิยมของผู้ที่ต้องการมาว่ายน้ำและเล่นเซิร์ฟ

เพราะว่าทริปนี้ผมเดินทางมาในฤดูร้อน กลางวันจึงมีช่วงเวลาที่นานมาก กว่าจะมืดและพระอาทิตย์ตกจริง ๆ ก็เกือบ 2 ทุ่ม

ทำให้มีเวลาเดินเล่นสบาย ๆ ที่ชายหาดได้นานหน่อย ในภาพเป็นเวลา หนึ่งทุ่มสิบนาทีแล้วครับ ยังไม่มืดเลย

วันต่อ มาวันที่ 3 ในทริปนี้

เช้านี้เริ่มต้น อาหารเช้า ไม่ใช่อาหารไทยแล้ว แต่เป็นอาหารญี่ปุ่น เป็นร้านอุด้งและโซบะชื่อดังร้านหนึ่ง

ร้านนี้ชื่อ Menya Mappen ตั้งอยู่ในตึก Skyview Shopping Plaza (George St.)

ราคาเริ่มต้นที่ราว 3 AUD และหากใครต้องการเครื่องเคียง เช่นกุ้งทอด ไก่ทอด ก็สามารถหยิบเพิ่มได้ โดยบวกราคาเข้าไปตามที่เราต้องการ

จากนั้น เราไปชม Power House Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แบบ Contemporary Museum

แสดงเกี่ยวกับ เทคโนโลยี นวตกรรม วิทยาศาสตร์ต่าง ๆ รวมไปถึง ศิลปะหรือแนวแฟชัน ในแต่ละยุคแต่ละสมัย

ลองดูรายละเอียดที่ http://www.powerhousemuseum.com/

ค่าเข้าชมปรกติในเวลาที่ผมไปคือ 10 AUD

จาก Power House Museum ผมเดินข้าม Daring Harbour ไปอีกฝั่ง

อย่างที่ชื่อบอกไว้ Darling Harbour ที่นี่คือท่าเรือ ที่มีเรือยนต์ เรือแทกซี่ เรือยอตช์มาจอดมากมาย แต่สำหรับคนที่ไม่มีเรือหรือไม่ได้คิดจะมานั่งเรือ รอบ ๆ ดาร์ลิง ฮาร์เบอร์ ยังมีร้านค้าให้ชอปปิง และก็ร้านอาหารให้มานั่งรับบรรยากาศริมน้ำอีกด้วย

ขอบคุณครับ ^^ ช่องเก็บเงินแปลกดี ได้สาระดีครับ

หลังจากเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงอีกฝั่งของ Darling Harbour ก็มาพบกับสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เราจะไปชมในวันนี้นั่นก็คือ Sydney Aquarium

ดูป้ายสิ เขาบอกว่าที่นี่มีฉลามด้วย

จริงๆ แล้วในแถบนี้มีฉลามชุกชุมมากมาย ในอ่าวซิดนีย์เอง หรือขึ้นไปตามแนวแม่น้ำก็สามารถพบฉลามลึกเข้าไปในแผ่นดินได้หลายสิบกิโล

มาดูอะไรที่ Sydney Aquarium

อย่างแรกก็ มาดูปลา ที่เป็นปลาท้องถิ่นของออสเตรเลีย ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม

อย่างในน้ำจืดนี่เขาก็ยกระบบแม่น้ำ เมอเรย์ ดาร์ลิง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของที่นี่ (Murrey Darling) มาจำลองให้ดู รวมไปถึงสัตว์ที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของที่นี่นั่นคือ ตุ่นปากเป็ด หรือ Platypus ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีเฉพาะในออสเตรเลียและหาดูยากมาก เพราะมันชอบซ่อนตามโพรงไม้และไม่ชอบแสงสว่าง อย่างตอนที่ผมไปคราวนี้มันก็ไม่ยอมออกมาให้ดู ... แต่ไม่เป็นไรค่อยเจอกันช่วงหน้าหนาว

อย่างที่ 2 ก็คือสัตว์น้ำเค็ม ซึ่งมีมากมายหลายชนิด อย่างในภาพอาจจะเห็นไม่ชัดแต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่ามี หมึก ตัวโตเกาะตู้อยู่ ปลาอื่น ๆ ก็มีมากมาย โดยเฉพาะปลาตามแนวปะการัง

ออสเตรเลียมีแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นก็คือ Great Barrier Reef ดังนั้น เรื่องสัตว์น้ำเค็ม หรือสัตว์ที่อาศัยตามแนวปะการังเขาก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน

อย่างที่ 3 มาดูพะยูน หรือ Dugong ที่นี่มีพะยูนตัวโตด้วยครับ

โดยส่วนที่จัดแสดงพะยูน จะเป็นทางเดินใต้น้ำซะด้วย โดยสร้างไว้เป็นกระชังรูปเรือลงไปในอ่าวเลยครับ แล้วก็มีทางเดินลอดไปข้างใต้(ดังนั้นมันจะโคลงเคลงๆ ไปมาเลยมีเสียงดังตลอดเวลา ในคลิป)

อย่างต่อไปคือมาดูฉลาม

อย่างที่บอกไปแล้วว่าแถบนี้เป็นที่อยู่ของฉลาม ฉลามชุมอยู่นะ ดังนั้นเห็นทะเลที่ออสเตรเลีย ไม่ใช่อยากจะโดดลงไปเล่นที่ไหนก็ได้นะครับ ทางออสเตรเลียเขาเป็นห่วงสวัสดิภาพของคนมาก ทั้งจากฉลาม จากกระแสน้ำ สภาพคลื่นลม หรือลักษณะภูมิประเทศตรงนั้น ตามชายหาดต่าง ๆ ถ้าจะว่ายน้ำได้เขาจะมีประโยคหนึ่งที่ใช้ประชาสัมพันธ์คือ Only swim between the red and yellow flags

คือถ้าอยากว่ายน้ำให้ดูซะก่อนว่า ซ้ายมือคุณมีธงเหลือแดงหรือไม่ และขวามือคุณมีธงเหลืงแดงหรือไม่(คือมันมีทั้งสีเหลืองและแดงอยู่ในผืนเดียวกัน) ถ้ามีทั้งซ้ายและขวา ถึงจะว่ายได้ตรงกลางระหว่างธงทั้งสอง

ที่แสดงฉลามที่นี่ก็คล้าย ๆ พะยูนคือ ลอดไปใต้น้ำแบบนี้

อย่างที่ 5 มาเดินในอุโมงค์ใต้น้ำ (แต่ผมก็เชื่อว่าถ้าท่านอื่น ๆ มาจะต้องพบอย่างที่ 6 7 8 ... แน่นอนเพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ก็ต้องมีสิ่งที่หลายคนชอบและประทับใจไม่เหมือนกัน)

อุโมงค์ที่นี่ไม่ได้เป็นแก้วแค่ 180 องศา หรือ 200 องศา แต่ .. ทั้ง 4 ทิศรอบตัว แม้แต่พื้นที่ยืนอยู่ก็เป็นแก้วและเห็นได้โดยรอบ

ตามไปด้วยครับ เผอิญกำลังจะดูรีวิวการบินไทยของคุณ JK ในเวบเอชไฟลท์อยู่พอดีเลย

เนื่องจากว่าวันนี้เพื่อนชาว(ไทยที่อยู่ที่)ซิดนีย์ ต้องไปทำงานกันหมด เลยทิ้งให้ผมเดินทางกลับเอง โดยสอนวิธีการขึ้นรถเมล์ให้เรียบร้อย

รถเมล์ที่นี้เกือบทุกสาย ไม่ได้ขายตั๋วบนรถ ต้องซื้อตั่วให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ได้ ตั๋วจะซื้อได้ที่ไหนบ้างนั้นก็ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป มักจะมีขายแทบทั้งสิ้น ตั๋วมีทั้งแบบรายเที่ยว และตั๋วหลายเที่ยว

อย่างใบที่ผมถืออยู่เรียกว่า My Bus 1  - 10 rides คือขึ้นรถเมล์ได้ในโซน ได้ 10 ครั้ง

แต่ก่อนจะไปแวะหาอะไรกินเป็นอาหารเย็นสักเล็กน้อย คราวนี้ออกแนวฝรั่งบ้างเป็น Fast Food ทั่วไปจากร้าน Ogalo แค่นี้ก็ร่วม 10 AUD แล้ว

วันรุ่งขึ้นอีกแล้ว วันที่ 4 ในทริปนี้

วันนี้อากาศไม่สดใสซะเลย แสงแดดหน้าร้อนหายไปไหน (เป็นวันเดียวที่ฝนตกในทริปนี้) แต่ว่าวันนี้เรามีโปรแกรมสำคัญจะไปชมวิวเมืองซิดนีย์จากจุดที่สูงที่สุดซะด้วย

Sydney Tower ก็คือหอคอยสีเหลือ ที่ปลายจมูกยีราฟนั่นแหละครับ (ภาพถ่ายจาก ทารองกา) เป็นอาคารที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองของออสเตรเลีย (อันดับหนึ่ง Q1 building เป็นตึกพักอาศัยอยู่ที่ Gold Coast)

บนทาวเวอร์ก็จะมีกิจกรรมมากมาย ใครจะขึ้นไปชมวิวเฉย ๆ ไปเดินรอบหอคอย ก็ได้

แต่วันนี้เราขึ้นไปกินบุฟเฟต์มื้อกลางวัน ครับ ค่าบุฟเฟต์กลางวันอยู่ที่ 45-50 AUD (ตอนเย็นจะแพงกว่าหน่อย)

อาหารก็เป็นอาหารนานาชาติ หลากหลายทั้งตะวันตกและเอเชีย  แต่ว่า มีอาหารไทยเยอะมาก(เชื่อแล้วว่าทำไมมีร้านอาหารไทยทุก Suburb) ทั้งต้มยำ ผัดไทย หมูผัดพริก แล้วก็หอยแมลงภู่ไทย (ก็เขาเขียนว่า Thai Mussel) เวลาอยู่เมืองไทยไปกินที่ไหน เจอหอยแมลงภู่ก็มักจะบอกว่าเป็นหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ แต่พอไปถึงออสเตรเลีย อยู่ใกล้นิวซีแลนด์นิดเดียว (ก็ไม่นิดหรอก แต่ก็ไม่ไกล) กลับเจอหอยแมลงภู่ไทย เอ๊ะยังไง

อ้อมีเนื้อจิงโจ้กับไส้กรอกจรเข้ด้วย แต่ผมชิมคำเดียว แล้วขอไม่กลืนอะ รสแปลก ๆ ยังไงไม่รู้

ไม่ได้มีแค่บุฟเฟต์เพราะเราขึ้นมาดูวิวด้วย แต่วันนี้อากาศแย่มาก เขาบอกว่าในวันอากาศดี ๆ จะมองเห็นไปได้ไกลถึงสนามบินและ Olympic Park แต่วันนี้ตามสภาพขมวิวใกล้ ๆ ไปก่อนละกันครับ

อ่อ พื้นของหอคอยหมุนไปรอบ ๆ ได้ด้วย ทำให้กินไปไม่ต้องย้ายที่ก็ได้ชมวิวรอบทิศน์ (แต่อย่าเผลอวางอะไรไว้ริมหน้าต่างหละ เพราะมันจะหมุนหายไป)

ฝนตกไม่หยุดหย่อน ไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ (ก็ที่เที่ยวในร่ม เช่นพิพิธภัณฑ์ หรือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เข้าไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว) จึงแก้ปัญหาด้วยการไปเดินห้าง ไปดูซิว่าห้างออสเตรเลียเขาเป็นยังไงกัน

ก็ไปทั้งห้างที่เป็น Mall ที่มี Mart หรือห้างหลาย ๆ ห้างอยู่ภายในอย่าง Westfields แล้วก็ไปห้างเฉพาะทางอย่าง IKEA ด้วยครับ

ตอนเย็น อากาศเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ว่าก็มืดซะแล้ว เรากลับมาหาอะไรรับประทานเป็นอาหารเย็นในเมือง มื้อนี้เราไปกินร้านชื่อดังของ Sydney Pancake On the Rocks ซึ่งมีสาขาดั้งเดิมที่ย่าน The Rocks ใกล้ ๆ สะพาน Harbour Bridge แต่สาขาที่เราไปคือสาขา Darling Harbour

อาหารที่ขายเป็นอาหารตะวันตก ทั้งคาวและหวาน หวานก็อย่างที่ชื่อบอกคือแพนเค้ก (แต่ก็มีแพนแค้กชนิดอาหารคาวนะ)
นอกจากนั้นแล้วยังมีเมนู สเตก พิซซ่า เครป และอาหารประเภทย่างอย่างซี่โครงหมูย่างที่เสริฟทั้งแผงในภาพ คห. ถัดไป

ทั้งหมดกินแค่ 3 คน แต่ก็อิ่มมากหละ ราคารวมราว 70 AUD

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายในซิดนีย์ (ของทริปหน้าร้อน) เลยขอถ่ายภาพดาร์ลิงฮาร์เบอร์ยามค่ำคืนเก็บไว้สักหน่อย

วันต่อมา เป็นวันเดินทางกลับแล้วครับ แต่ไฟลท์ออกตั้ง 6 โมงเย็นยังมีเวลาอีกมากมาย แวะเข้าไปในเมืองสักหน่อยก่อน

ซิดนีย์ เป็นเมืองที่ค่าจอดรถแพงมาก ติดอันดับต้น ๆ ของโลก และการจอดรถที่นี่ ก็จะมีเวลาจำกัด ในแต่ละพื้นที่ว่าจอดได้กี่โมงถึงกี่โมง แต่ละช่วงจะจอดได้ทีละกี่ชั่วโมง ชั่วโมงละกี่เหรียญ (ซึ่งจะบอกในป้ายที่ติดแถว ๆ นั้นครับ)

เวลาจอดแล้ว แม้ไม่มีเทศกิจมาคอยเดินเก็บตังค์และแจกบัตรรถ แต่คนขับก็ต้องลงมาหยอดมิเตอร์ ตามเวลาที่เราต้องการจอด จากนั้นพอหยอดเงินไป ก็จะได้ใบเสร็จมาหรือเขาเรียกกันว่า ticket ก็นำใบเสร็จนี้ไปวางไว้ในรถ ตรงกระจกด้านหน้า ถ้าใครไม่วางหรือจอดเกิน จอดผิดที่ เดี๋ยวก็จะมีตำรวจคอยวนมา ถ้าเจอว่าใครไม่จ่ายตังค์ เดี๋ยวบิลค่าปรับก็ส่งไปถึงบ้านเองแหละครับ

ในย่านกลางเมืองซิดนีย์มีรถรางด้วยนะครับ หน้าตาเป็นดังรูป อาจจะดู modern ไม่ใช่รถรางแนว Classic เลยไม่ค่อยเชิญชวนให้ใช้บริการ(สำหรับนักท่องเที่ยว) อ้อ แล้วก็ยังมีรถ monorail ด้วย

ตอนนี้กำลังจะเดินจากจุดที่จอดรถไปยัง ย่าน Paddy Market หรือ Market City ซึ่งขายสินค้าที่ระลึกในราคาถุก ๆ แต่ระหว่างทางเพื่อนชาว(ไทยที่อยู่ที่ซิดนีย์)บอกว่าไหน ๆ ก็มาแล้วเผื่อจะนำโชค ไปเลือกเบอร์ลอตโต(หรือหวยนั่นแหละ) แต่ลอตโตที่นี่ไม่เหมือนลอตเตอรี่ที่เมืองไทย คือไม่ได้มีเลขมาเป็นใบ ๆ ให้เราเลือกซื้อ

แต่มีกระดาษมาแผ่นใหญ่ ให้เราเลือกฝนเลขไปเองว่าจะเอาเลขอะไร (คล้าย ๆ กระดาษคำตอบตอนเอนทรานซ์) แถมยังมีหลายเจ้าหลายแบบ เอาหละก็ฝนๆ ไปตามที่เพื่อนบอก ใบนี้เลือกกี่เลข ใบนั้นเลือกกี่เลขแล้วเลือกหมวดต่อ อะไรก็ว่าไป

.....

แต่ผ่านมา 9 เดือนแล้วนับแต่วันที่เลือกเลขไป ไม่เห็นเพื่อนแสดงความยินดีอะไร ... สงสัยจะไม่ถูกแหง ๆ

มาถึงแล้ว Market City แวะกินอาหารเช้ากันก่อน

เป็นร้านซูชิครับ ชื่อ Takumi แต่เพื่อนๆชาว(ไทยที่อยู่ที่)ซิดนีย์ เรียกกันว่าซูชินักเรียน เพราะถ้าแสดงบัตรนักเรียนนักศึกษาจะได้ส่วนลด ก็เป็นซูชิตามสายพาน คิดราคาตามจานเหมือนบ้านเราแหละครับ จานละ 3 AUD ลดเหลือ 2.5 AUD

ในห้าง Market City ก็ยังมีร้านขายของที่ระลึก พวกพวงกุญแจจิงโจ้ โคอาล่า โมเดลโอเปราเฮาส์หรือใครที่บอกว่ามาออสเตรเลียต้องมาซื้อยา วิตามิน ครีมรกแกะ เขาก็มาซื้อกันที่นี่

ก่อนกลับไปทางสนามบิน ผมบอกกับเพื่อนว่า ยังมีอีก 1 สิ่งที่มาคราวนี้อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำนั่นคือ กิน Krispy Kream (ใช่แล้ว โดนัท ชื่อดังที่มีคนไปต่อคิวซื้อกันยาวเหยียดนั่นแหละ ซึ่งอยู่ที่เมืองไทยผมไม่เคยได้กิน เพราะขี้เกียจต่อคิว (ประมาณว่าความหิวมันแซงจนบอกว่าไปกินอย่างอื่นเหอะ))  (แต่ก็รู้จักมันเพราะเคยกินในต่างประเทศมา 2-3 ครั้งก่อนหน้านี้แล้ว) แต่ว่าที่นี่ไม่มีคิว

เพื่อนก็เลยพาแวะไปสักเล็กน้อย สาขานี้คือสาขา Mascot เป็นร้านใหญ่โต อยู่ใกล้ ๆ สนามบิน

ราคาที่นี่ก็ แบบ Original Glaze ราคาราวชิ้นละ 2.30 AUD

แบบมีหน้าก็ 2.30 - 3.20 AUD พอซื้อทีละ 4, 6 หรือ 12 ชิ้นก็จะถูกลงไปหน่อย

จากนั้นก็ใช้เวลาช่วงบ่าย นั่งชมเครื่องบินริมทะเลอีกสักพัก แล้วก็มุ่งหน้าไปยังอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เช็คอินเที่ยวบินขากลับ และร่ำลาเพื่อน ๆ ชาว(ไทยที่อยู่ที่)ซิดนีย์ ที่ดูแลอย่างดีในทริปนี้ ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับ

อ้อที่สนามบินซิดนีย์เขามี Viewing Area หรือ Observation Deck ให้ชมเครื่องบินด้วยนะ

ผ่านไปราว 8 เดือนผมมีโอกาสเดินทางไปซิดนีย์อีกครั้ง ในเดือน กรกฎาคม 2554 เป็นครั้งที่ 3 ที่ได้ไปซิดนีย์ และเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไปช่วงหน้าหนาว

ครั้งนี้เลือกใช้บริการของสายการบินไทย เพราะมีโปรโมชันแลกไมล์ในอัตรา 50 เปอร์เซ็นต์พอดี เลยเก็บรวบรวมไมล์ที่มี แล้วเดินทางไปซิดนีย์

สำหรับรีวิวเที่ยวบินก็ทำไว้ในอีกเว็บเช่นเคย ตามลิงค์ http://www.hflight.net/forums/topic/6702-

แต่ว่าคราวนี้ขอพรีวิว ไฟลท์การเดินทางในรูปแบบวิดีโอละกันครับ จาก 9 ชั่วโมงตัดมาแค่ 6 นาที 20 วินาที เราก็เดินทางไปถึงซิดนีย์

ซิดนีย์ หรือ นิว เซาธ์เวลส์ในหน้าหนาว ท้องฟ้าก็ยังสดใส แดดก็ยังส่องแสงแรงเช่นเคย เพียงแต่ว่าอุณหภูมิแตกต่างจากหน้าร้อน คือ แค่ 1x องศาเซลเซียส ในตอนกลางวัน (และบางวันก็ไม่เกิน 15) และในตอนกลางคืนถึงค่ำ ๆ เป็นเลขตัวเดียว บางพื้นที่อาจถึง 0 หรือติดลบ

เริ่มต้นด้วยการ ข้ามสะพาน Harbour Bridge อีกแล้ว

ผมมีธุระเล็กน้อยที่เมือง Terrigal เมืองตากอากาศ ชายหาดริมทะเล ทางตอนเหนือของซิดนีย์ ห่างออกไปราว 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยรถยนต์

สถานที่แรกที่จะไปในทริปหน้าหนาว คือ Australian Reptile Park หรือสวนสัตว์เลื้อยคลานแห่งออสเตรเลีย ตั้งอยู่แถว Central Coast 50 กม. ทางตอนเหนือของซิดนีย์ แต่ที่นี่ก็ไม่ได้มีแต่สัตว์เลื้อยคลานนะครับ เดี๋ยวพาไปดูกัน

เริ่มแรกเข้ามาถึงก็เจอบ่อก่อนเลย นั่นคือจระเข้

จระเข้ออาสเตรเลียนี่ก็ดัง อย่างที่บอกไปแล้วในรีวิวหน้าร้อนว่าในน้ำเค็มตามชายหาด ถ้าลงไปเล่นไม่ดูให้ดีอาจเจอฉลาม ในน้ำจืด ตามแม่น้ำ บ่อบึง ไม่ดูให้ดีก็เจอไอ้เข้ได้ครับ

ถัดไป ก็โคอาล่า แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือเพราะยังเช้าอยู่ (แต่ตอนนี้ก็ 10 โมงแล้วนะ) โคอาล่าเลยหลับไม่สนใจแบบนั้น

เต่ายักษ์ ตัวใหญ่มาก เป็นเต่าบก คือไม่ต้องลงไปในน้ำนัก

ในสวนมีพื้นที่เป็นสนามโล่ง ๆ ให้นักท่องเที่ยวมาเดินเล่นได้ ..... ไม่ได้เดินเล่นเฉย ๆ สิ มันจะธรรมดาไป ตรงนี้เป็นพื้นที่่เขาปล่อยให้จิงโจ้และนกอีมู สามารถเดินไปมาได้อย่างเสรีครับ จะได้เข้ามาทักทายนักท่องเที่ยวได้ ว่าแต่ไหนหละจิงโจ้

ทางเข้าสวนสัตว์เลื้อยคลาน  น่ากลัวดีจังเลยค่ะ  ^^"

ยังไม่เจอจิงโจ้ แต่เจอวอมแบดก่อน Wombat เป็นสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องเช่นเดียวกับจิงโจ้ และโคอาล่า (โคอาล่าไม่ใช่หมีนะครับ แต่เป็นพวกเดียวกับจิงโจ้และวอมแบด) เป็นสัตว์ถิ่นของออสเตรเลียอีกชนิดหนึ่ง

เจอแล้วจิงโจ้ แต่เขาอุตส่าห์ ทำให้เป็นสวนเปิดเพื่อที่จิงโจ้จะออกไปวิ่งเล่นกับนักท่องเที่ยวได้ แต่ว่า ทุกตัวกลับมาหลบอยู่ตรงนี้หมดเลยครับ (ตรงนี้เขียนว่า  Kangaroo Rest No Entry) ก็คือจุดพักจิงโจ้ ห้ามเข้า แต่มีรั้ว เตี้ย ๆ กัน ให้จิงโจ้ข้ามออกไปได้ แต่คนห้ามเดินเข้าไป

สรุปว่าจิงโจ้มันเบื่อคน เลยไม่ยอมออกไปไหน หลบอยู่แต่ตรงที่คนเข้าไม่ถึงเนี่ยแหละ

และแล้วหลังจากทริปหน้าร้อน พลาดไม่ได้เจอ ตัวนี้ ในที่สุด ผมก็ได้เจอแล้ว ตุ่นปากเป็ด คราวนี้ยอมออกมาว่ายน้ำโชว์ (มา 4 ครั้งถึงจะเจอ)

จากสวนสัตว์เลื้อยคลาน เราก็มุ่งหน้าเข้าซิดนีย์ครับ ไปแวะรองท้องกันที่ร้าน Harry's Pie

มีคนกล่าวอ้างว่าเป็นพายที่อร่อยที่สุดในโลก หากใครได้ดูรายการที่นี้หมอชิต เทปที่มางาน คาร์นิวัล ที่ซิดนีย์ ในรายการก็กล่าวถึงร้านนี้เช่นกัน ร้านนี้อยู่ที่ Wooloomooloo อ่านว่า วูลูมูลู่

ร้านนี้ดัง และมีคนดังมากินมากมาย มีใครบ้างผมจำไม่ค่อยได้ จำได้แต่ผู้พันแซนเดอร์ส์ แห่งไก่ KFC เคยมาแน่ ๆ

พายก็มีหลายแบบให้เลือก ราคาก็ ราว 4.5 AUD ขึ้นไป

หอคอยซิดนีย์ และธงชาติ ออสเตรเลีย ในวันฟ้าใสมาก

จากนั้นเราไปที่ Macquaries Chair ซึ่งเป็นสวนในแหลมที่ยื่นเข้าไปในอ่าวซิดนีย์ ทำให้เวลามองกลับมาจะได้ภาพซิดนีย์ในมุมนี้ เอาไว้เป็น Background ถ่ายรูป

หรือหากมองไปอีกมุมหนึ่ง ก็จะเห็น Sydney Opera House และสะพาน Harbour Bridge สองแลนด์มาร์กสำคัญของซิดนีย์ อยู่คู่กันแบบนี้

อ่อ ที่นี่ในวันปีใหม่ยังเป็นจุดที่เขานิยมมาดูพลุกันด้วย

อีกมุมหนึ่งของที่นี่

เดินย้อนเข้ามาอีกหน่อยจะเป็นทางเข้าสู่ Royal Botanic Garden หรือสวนพฤกษศาสตร์ สถานที่รวมพันธ์ไม้หลายชนิดจากทั่วโลกมาแสดงไว้ นับได้ว่าเป็นสวนพฤกษศาสตร์ และสวนสาธารณะกลางเมืองที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเหมาะแก่การมาเดินเล่นตากแดดยามหน้าหนาว ให้อุ่นขึ้น (หน้าร้อนผมไม่เดิน เพราะมันร้อนมาก อาจจะละลายติดสวนได้)

หนึ่งในต้นไม้ในสวนนี้ ขอยกรูปมาต้นเดียวละกันครับ ไม่งั้นจะยาว กระทู้เดียวก็ไม่จบ

เดินเลาะไปเรื่อย ๆ ไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะเจอกับสิ่งนี้

ใช่แล้วนั่นคือ Sydney Opera House หรือโรงอุปรากรแห่งซิดนีย์นั่นเอง ก็เป็นสถานที่ใช้จัดแสดงละคร อุปรากรต่าง ๆ ครับ ใครอยากได้บรรยากาศมากก็ซื้อตั๋วเข้าไปดูโชว์ได้ครับ แต่ว่าถ้าทำแบบนักท่องเที่ยวทั่วไปก็ยืนถ่ายรูปด้านหน้าก็พอ

ตามไปเที่ยวออสเตรเลียด้วยคนครับ

เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะถึง Circular Quay คำว่า Quay ก็คือท่าเรือนั่นเอง ที่นี่ก็จะมีเรือไปยังที่ต่าง ๆ มากมายทั้งใกล้และไกล ไปทั้ง Taronga Zoo หาด Manly Darling harbour ฯลฯ

อ่อคำนั้น ออกเสียงว่า คีย์ นะครับ

โอเปราเฮาส์ในอีกมุมหนึ่ง

เดินอ้อม Circular Quay มาเรื่อย ๆ ก็จะมาถึง ตลาดนัดที่ Argyle St. (ณ ซิดนีย์ ไม่ใช่ ฮ่องกง)

ก็อารมร์ตลาดนัด เปิดท้ายขายของ นั่นแหละครับ ใครรักการชอปปิงก็เดินดูได้ไม่เบื่อ

แต่ตัวผมไม่ชอปเลยขอแวะกินวอฟเฟิล และชอคโกแลตที่ร้าน Guylian ถึงแม้จะเป็น Belgian Chocolate แต่ได้มากินที่ซิดนีย์ก็ไม่เป็นไร

กินวอฟเฟิลแล้ว แต่ว่า อาหารเที่ยงกินมาน้อย (หรือยังไม่ได้กินก็ไม่รู้) เลยไปต่อที่ร้าน Pancakes On The Rock

ใช่แล้วครับ ร้านเดียวกับที่กินรอบหน้าร้อน แต่วันนี้มากินที่สาขาแรกตามชื่อ คือสาขา The Rocks (ย่าน The Rocks ว่ากันว่าเป็นย่านที่ชาวอังกฤษเริ่มมาตั้งอาณานิคมเป็นครั้งแรก)

ดูคนต่อคิวสิครับ เยอะมากมาย อ่อ สาขานี้เปิด 24 ชั่วโมงด้วยครับ .... คนกินเยอะขนาดนั้น

Pork Ribs หรือซี่โครงหมูเช่นเคย

สำหรับท่านที่อยากทราบราคาและเมนู ก็ http://pancakesontherocks.com.au/home

ผมไม่ได้ค่าโฆษณา แถมยังเสียตังค์ให้ร้านนี้ไปหลายร้อยเหรียญแล้ว

กินเสร็จก็เริ่มจะมืดแล้ว เก็บภาพตึกแถวนั้นมาสักหน่อย

ตอนมาหน้าร้อนกว่าจะมืดก็ 2 ทุ่มครับ

แต่พอหน้าหนาวภาพนี้ถ่ายตอน 4 โมง 50 นาทีครับ ... พอ 5 โมงกว่า ๆ ก็มืดแล้ว

ยามเย็นไปเดินชอปปิงที่ย่าน Center Point ครับ (ย่านห้าง Westfields หรือ Glass House) แต่ห้างออสเตรเลียปิดเร็วนะครับ ในเมืองใหญ่อย่างซิดนีย์วันธรรมดาอาจปิด 2 ทุ่ม บ้างร้านก็อาจจะเปิดถึง 4 ทุ่มเที่ยงคืน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะปิดเร็ว บางที่ 5 โมงก็ปิดแล้ว

แต่ถ้าออกไปตามเมืองเล็ก บางแห่ง 5 โมงห้างร้านปิดหมดแล้วครับ แทบจะเงียบสนิท

ผมก็ไม่ค่อยชอปปิงเลยเดินไปเรื่อยถึง Town Hall หรือศาลาว่าการเมืองครับ

วันต่อมาเรามีโปรแกรมเดินทางไกลครับ เพราะว่าจะไปเล่นหิมะที่ Snowy Mountains แต่ว่าต้องใช้เวลาเดินทางนาน ไปก็ราว 7 ชั่วโมงจากซิดนีย์  (ออสเตรเลียเขาจำกัดความเร็วนะครับ บนถนน Motorway ได้อย่างมากก็ 110 บนถนนทั่วไป ก็ 80) เลยวางแผนว่าจะไปแวะค้างคืนที่ แคนเบอร่า ก่อน Canberra

แต่ตอนนี้เราอยู่ที่ Goulburn เป็นทางผ่านไปแคนเบอรราครับ เป็นเมืองที่มีชื่อด้านขนแกะ เลยมีแกะตัวโตขนาดนี้

ลืมรูป

จากนั้นไม่นานเราก็มาถึง Canberra

แคนเบอรร่า เป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรเลียครับ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนไม่รู้จัก เพราะเป็นเมืองหลวงเล็ก ๆ อันแสนเงียบสงบ

งั้นก็ขอกล่าวถึงออสเตรเลียสักเล็กน้อยว่า(แต่เพิ่งมากล่าวตอนค่อนไปทางท้ายของรีวิว)

ออสเตรเลียปกครองในระบอบสหพันธรัฐ หรือก็คือเป็นรัฐรวม มีมลรัฐหลาย ๆ รัฐเป็นประเทศเดียว (แบบอเมริกา) แต่ชื่อย่างเป็นทางการของออสเตรเลียคือ เครือรัฐออสเตรเลีย the Commonwealth of Australia

ออสเตรเลียประกอบไปด้วย 6 รัฐและสองดินแดนได้แก่ รัฐ New South Wales ซึ่งเป็นที่ตั้งของซิดนีย์ และซิดนียืเป็นเมืองหลวงของรัฐนี้ , Victoria (มีเมืองเมลเบิรน), Queensland (มีบริสเบน) , South Australia (มีอเดเลด) , Western Australia (มีเพิร์ธ) และ Tasmania (มี Hobart) ทั้ง 6 ขื่อมีสถานะเป็นรัฐ แต่ก็ยังมีอีก 2 ดินแดนคือ Northern Territory (มีดาร์วิน) และ Australian Capital Territory - A.C.T. ที่แปลง่าย ๆ ว่า ดินแดนของเมืองหลวงของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของแคนเบอรานั่นเอง

ในบรรดารัฐและดินแดนทั้งหลายของออสเตรเลียแต่ละรัฐและดินแดนก็มีเมืองหลวงระดับรัฐ มีสถาระดับรัฐ แต่ว่าทั้งประเทศออสเตรเลียมีเมืองหลวงของประเทศก็คือกรุงแคนเบอร์รา แห่งนี้แหละครับ

ลงผิดอีกหละสงสัยจะง่วง

แต่ก่อนจะไปชมความเป็นเมืองหลวงของแคนเบอรรา ด้วยความหิวขอไปหาอาหารเที่ยงก่อน ที่ห้าง Canberra Center ที่สุดแสนจะคึกคักที่สุดแล้วในแคนเบอรรา (เพราะว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงอันสงบเงียบจริง ๆ )

อาหารเที่ยงมีเป็ดและหอยที่ร้านนี้ครับ เป็นร้านจีน เป็ดแม้จะไม่อร่อยเท่าเป็น Four Seasons ณ ลอนดอน แต่ก็พอไปได้แหละ ในดินแดนออสเตรเลียนี้

บรรยากาศในหน้าหนาวที่แคนเบอรรา ที่นี่หนาวก็ที่ซิดนีย์อีก เลขตัวเดียวตอนกลางวันก็มีให้เห็น

เอาหละได้เวลาทัวร์เมืองหลวง

นี่คืออาคารรัฐสภาของออสเตรเลียครับแต่เป็นหลังเก่า

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อก่อนนี้บรรดาดินแดนในทวีปออสเตรเลียทั้ง New South Wales, Victoria, Queensland ฯลฯ ล้วนเป็นอาณานิคม หรือส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร(อังกฤษ)ทั้งสิ้น และแล้ววันหนึ่งทั้งหมดก็ได้รับเอกราชจากอังกฤษ และรวมตัวเป็นประเทศใหม่ขึ้นมา ตอนแรกก็มีรัฐสภาแห่งแรกอยู่ที่เมืองเมลเบอร์น ก่อน
แต่ว่าเมืองเมลเบิร์นนั้นอยู่ในรัฐวิคตอเรีย ถ้าเป็นแบบนั้นก็กลายเป็นว่า เมืองหลวงก็ไปอยู่ในวิคตอเรีย และวิคโตเรียก็จะเหนือรัฐอื่น ....และด้วยเหตุผลอีกมากมาย จึงมีการคิดที่จะสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ เป็นเมืองหลวงของออสเตรเลียทั้งประเทศ เป็นเมืองสำหรับการว่าราชการโดยเฉพาะ (ไม่ได้โตมาพร้อมกับการเป็นเมืองท่าและค่าขาย) เป็นเมืองหลวงที่มีการวางผังเมืองให้สวยงามสำหรับการเป็นเมืองหลวง เขาก็เลยมาตั้งเมืองหลวงใหม่ที่่แคนเบอรราแห่งนี้และก็ให้เป็นดินแดนพิเศษไม่อยู่ในอาณาเขตรัฐใดเรียกว่า Australian Capital Territory (แต่ว่า ดินแดนของ ACT ทั้งหมด ล้อมรอบไปด้วยรัฐ New South Wales นะ

ตรงข้ามกัน มีชาวอะบอริจินมาประท้วงเรียกร้องเอกราช

(ผมมาออสเตรเลียครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้วใน เดือนก.ค. 2552 แล้วก็ได้มาแคนเบอรรา ก็เจอม็อบ อะบอริจิน ประท้วงอยู่ตรงนี้แหละครับ .... 2 ปีผ่านไป กลับมา ก็ยังอยู่ที่เดิม)

จากอาคารรัฐสภาหลังเก่าเมื่อกี๊ นานเข้ามันก็เก่าและก็ทรุดโทรมครับ ควรค่าแก่การอนุรักษ์ เขาจึงสร้างรัฐสภาหลังใหม่ บนเนินที่เรียกว่่ Capital Hill ซึ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมือปี 1988 ครับ เป็นอาคารที่ซ่อนอยู่ในเนินหญ้าดูโมเดิร์น

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมอาคารรัฐสภาหลังใหม่นี้ได้ฟรี และเข้าไปชมห้องประชุมสภาได้ด้วยทั้งห้องของ สภาสูง และสภาผู้แทน (ยกเว้นตอนที่เขามีประชุม)

จากหน้ารัฐสภาบน Capital Hill มองตรงไปจะเห็นรัฐสภาหลังเก่าอยู่ข้างล่างพอดี และมองเลยไปจะเป็น War Memorial

คืนนี้พักค้างคืนในแคนเบอร์ราครับ วิวจากโรงแรมที่พักมองเห็น Black Mountain Tower เป็นหอโทรคมนาคมครับ ตั้งอยู่บนเขา สามารถขึ้นไปชมเพื่อชมวิวเมืองแคนเบอรราได้ครับ (แต่เก็บค่าเข้านะครับ)

วันต่อมา

วันนี้จะไป Snow กันครับ ที่ Snowy Moutains บริเวณที่เรียกว่า Perisher Valley ซึ่งอยู่บนเขาในเขต Kosciuszko National Park

แต่ก่อนจะไป เราไม่ได้พกชุดสำหรับเล่นหิมะไปจากเมืองไทยหรอกครับ (เพราะคงไม่ซื้อเก็บไว้ที่บ้าน เมืองไทยร้อนซะขนาดนี้) ก็ต้องไปเช่ากันก่อน จะมีจุดให้เช่าเครื่องใช้ เสื้อผ้า ร้องเท้า สกี เลื่อน สเกต ทุกอย่าง ที่เมือง Jindabyne ทางขึ้นไป Perisher Valley

ขึ้นเขามาเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็ราว 3 ชั่วโมงจากแคนเบอรรา ก็เริ่มเห็นหิมะสองข้างทางแล้วครับ (ที่นี่แม้จะอยู่บนเขา แต่ไม่ได้มีหิมะทั้งปีนะครับ มีเฉพาะฤดูหนาว)

ถึงแล้ว หิมะขาวโพลนไปหมด ที่นี่ก็จะเป็นศูนย์สำหรับเล่นสกีและหิมะ

ก็มีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า ห้องน้ำไว้พร้อม อ้อ แล้วก็มีลิฟท์ (แบบในหนังที่เป็นกระเช้านั่งห้อยขา) ขึ้นไปบนเนินสูง ๆ ให้นักสกีได้สไลด์ลงมาไกล ๆ

แต่นั่นมันสำหรับคนเล่นเป็นแล้ว

สำหรับผม คนเมืองร้อนที่ไม่คุ้นเคยกับหิมะและสกี ขอเนินเตี้ย ๆ แถว ๆ นี้นั่งเล่นหิมะ กับเล่นเลื่อนไถลลงมาจากเนินสักนิดหน่อยก็สนุกแล้ว

วันที่ไปเล่นหิมะ ก็เล่นจนถึงเย็นจากนั้นก็กลับเข้าไปซิดนีย์ ไปถึงก็มืดค่ำชวนหลับไหลแล้ว ไม่ได้ทำอะไรอีก ตัดภาพมาวันรุ่งขึ้นเลยละกัน วันนี้ไปชอปปิงอีกแล้วที่ Paddy Market เลือกซื้อโคอาล่า จิงโจ้ ฯลฯ กลับไปเป็นของฝาก

นี่แหละ Market City วันนี้อากาศดูมัว ๆ แม้ฝนไม่ตก แต่ก็เป็นวันเดียวในทริปนี้เช่นกันที่ไม่มีแดด

เพื่อนชาว(ไทยที่อยู่ที่)ซิดนีย์ ชวนเดินเล่นชมเมือง ย่าน QVB หรือ Queen Victoria Building ก็เป็นย่านชอปปิงอีกแห่งที่นักชอปเขาชอบกัน

เดินไปเรื่อย ๆ ผ่านสวนสาธารณะ St James Park

เดินกลับเข้าไปใน Royal Botanic Garden อีกครั้ง เจอฝูงนกกระตั้วหงอนเหลืองมากมาย ไม่หนีไปไหนด้วย

นาฬิกา

เดินไปเรื่อย ๆ จนถึง Darling Harbour ยามเย็น

แวะนั่งกินชอคโกแลตเย็น แต่นั่งตากฮีทเตอร์ แก้หนาว ชมชาวซิดนีย์ ใช้ชีวิตยามเย็น ที่ร้านชอคโกแลต Lindt (ชอคโกแลตสวิส แต่กินที่ซิดนีย์ก็ได้) แก้วนี้น่าจะราว ๆ 10 AUD

จากนั้นก็ทิ้งท้ายด้วย Krispy Kream อีกครั้ง แต่ร้านนี้อยู่แถว ๆ World Square

วันต่อมา วันสุดท้ายแล้วของทริปนี้ วันนี้จะต้องกลับกรุงเทพฯ กับการบินไทย ตอนสามโมงครึ่ง

ตอนเช้า เพื่อนชาว(ไทยที่อยู่ที่)ซิดนีย์ ขอทิ้งท้ายด้วยการเดินไปที่ Darling Harbour อีกครั้ง

ซิดนีย์ เคยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค ฤดูร้อนเมื่อปี 2000 นะครับ (แต่จัด 15 ก.ย. - 1 ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงหนาวตอนปลาย ๆ กำลังจะเริ่มฤดูใบไม้ผลิ ของซีกโลกใต้)

รถไฟนำชม Darling Harbour

วันนี้เพื่อนพาไปส่งที่สนามบินด้วย รถไฟครับ ที่สนามบินซิดนีย์ทั้งอาคารระหว่างประเทศและภายในประเทศมีสถานีรถไฟตรงสู่ในเมือง(และต่อไปที่อื่น ๆ ได้มากมาย)

ราคาตั๋วเที่ยวเดียวจากในเมืองไปยังอาคารระหว่างประเทศก็ 15.8 AUD

รถไฟที่นี่มี 2 ชั้นด้วยแต่สภาพค่อนข้างสกปรก

ก็ต้องขอปิดท้ายด้วยภาพนี้ ภาพตัวเมืองซิดนีย์จากหน้าต่างเครื่องบินในไฟลท์ขากลับ

การไปเยือนซิดนีย์ 2 ครั้ง ในหน้าร้อนและหนาว ในช่วงเวลาห่างกันราว 8 เดือน ทั้งสองทริปมีรูปภาพและเรื่องร่าวอีกมากมายที่อยากนำมาลงและก็เล่า แต่ด้วยพื้นที่ในเว็บบอร์ดก็จำกัด ลงยาวไปกว่านี้คนดูก็จะตาลายและกลัวกระทู้จะมีอันเป็นไปได้ง่าย ก็ขอปิดท้ายไว้เพียงเท่านี้ละกันครับ

ขอบคุณเพื่อนชาวไทยที่อยู่ที่ซิดนีย์ และผู้ร่วมเดินทางที่คอยดูแลในทั้ง 2 ทริปด้วยครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน และคอมเมนท์

ขออภัยด้วยที่ยังไม่ได้ตอบคอมเมนท์ของแต่ละท่านที่โพสท์เข้ามาก่อนหน้านี้ (เพราะง่วงแล้วแค่เขียนเรื่องก็งงแล้ว)

สวัสดีครับ

ตามมาเที่ยวออสเตรเลียด้วยค่ะ
ข้อมูลยังแจ่มเหมือนเดิม
ติดตามกันมาตั้งแต่ยังอยู่HFแล้ว
พลาดได้อย่างไรกับรีวิวแจ่มๆอย่างนี้

ฮือ.อ.อ.อ..ดูแล้วคิดถึงSydneyจังเลยครับ อยากไปอีกจัง ...

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ :)

ตามมาคิดถึงซิดนีย์ด้วยคน ขอบคุณนะคะ ข้อมูล update มาก ๆ ค่ะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ  

อุโมงค์ใต้น้ำนี่ชอบมากเลยครับแบบเป็นใต้น้ำทั้ง 4 ทิศเลยแม้แต่พื้นที่ยืน
อยากไปเล่นกับฝูงนกกระตั้วแบบใกล้ๆจังครับดูเชื่องดีจัง

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

ขอบคุณครับ

มีแต่คนไปออส ช่วงนี้

ไปเที่ยวออสเตรเลียด้วยคนครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีดี

และข้อมูลแน่นๆ ไม่ผิดพลาด ไม่ผิดเพี้ยน ของ เจเคมากนะครับ

ยกนิ้วให้ (^^)

ขอบคุณมากครับ กำลังหาข้อมูลเข้าออสช่วงปีใหม่อยู่เหมือนกันครับ