ตอนที่ 1 เก็บกระเป๋า
" วัดพระธาตุผาแก้ว " เป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ ได้ยินชื่อเสียงความงดงามของวัดนี้มานาน ผมเริ่มจากกหาข้อมูลต่างๆ จากในอินเตอร์เนท จุดหมายการเดินทางก็คือ " เพชรบูรณ์ " เมืองมะขามหวานนี่เอง
โดยปกติแล้ว ผมจะเดินทางไปแบบแบ็คแพ็ค ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่คราวนี้ที่ๆผมจะไปแต่ละแห่ง อยู่ไกลกันมาก บางครั้งต้องไปต่ออีกหลายสิบกิโล เลยจำเป็นที่จะต้องขับรถไปเอง จะสะดวกกว่า และไหนๆก็เอารถไปแล้ว เดินทางคนเดียวที่ว่างในรถเหลือมากมาย เลยมีความคิดที่จะเอาสิ่งของไปให้เด็กๆยากจนที่นั่น เลยหาข้อมูลจากเวปไซด์ ได้มา 1 โรงเรียนคือ โรงเรียนอนุบาลเขาค้อ ผมเลยโทรศัพท์ไปหาที่โรงเรียนว่าที่โรงเรียนขาดอะไรบ้าง คุณครูที่นั่นบอกขาดหลายอย่างเลย แต่ขอเป็นพวกขนมและนม มาแจกเด็กๆละกัน
ผมเลยไปหาซื้อขนมและนม เพื่อเตรียมไปแจกเด็กๆ โดยมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ชมรมแบดฯ ที่รู้ข่าวว่าผมจะเดินทางมาช่วยสมทบซื้อของเพิ่มเติมจนหลังรถผมแน่นไปหมด แถมบางคนไม่พอสายตรงมาหา ตอนที่ผมอยู่เพชรบูรณ์ ช่วยซื้อลูกบอล ซื้ออุปกรณ์การเรียนเพิ่มให้หน่อย เลยต้องไปจัดการให้ไม่อยากขัดศรัทธา ของก็เลยทะลักเข้าไปในห้องโดยสาร ยังไงก็ขอบคุณมาที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของทุกๆคน
ผมออกเดินทางจากบ้านตีห้า ตั้งใจจะไปให้ถึงก่อนเที่ยง โดยฝากชีวิตไว้กับ GPS ของ Galaxy Tab ไม่รู้จะพาผมหลงหรือเปล่านะ พอดี GPS ที่ใช้อยู่ประจำดันมาเสียพอดี ระหว่างทางก็นั่งฟังเพลงขับรถชิลๆไปเรื่อยๆ แวะปั๊มบ้าง แวะชิวบ้าง ไปถึงตัวเมืองเพชรบูรณ์ ประมาณแปดโมงเช้า ก็แวะหาซื้อลูกบอลอุปกรณ์การเรียนเพิ่ม แต่มีเรื่องขอเม้าท์นิสนุง ตอนแรกตั้งใจจะอุดหนุนลูกบอลที่ขายตามร้านชำในตัวอำเภอ แต่บอกตรงๆว่าซื้อไม่ลงจริงๆ แต่ละร้านขายไม่ต่ำกว่าลูกละ 280 บาท แพงเกิน แต่ก็เข้าใจว่าในแต่อำเภอมีขายไม่กี่ร้าน กำไรได้ก็กำไร ผมเลยจำใจต้องเข้า คอนวิเนียนสโตร์ตามวิถีชีวิตคนเมืองจนได้ เพราะราคาถูกกว่าค่อนข้างมาก ส่วนต่างของเงินก็เอามาซื้ออุปกรณ์การเรียนเพิ่มเติมได้อีก อยากบริหารงบที่เพื่อนๆช่วนกันลงขันให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เลยต้องนั่งรอห้างเปิด เก้าโมง ซื้อของเสร็จเลยแวะทานอาหารที่นี่เลย ออกเดินทางต่อ เกือบสิบโมง ตั้ง GPS มุ่งตรงไปที่โรงเรียนอนุบาลเขาค้อทันที GPS มีทางให้เลือก 2 ทาง คือ เขาค้อเส้นเก่าและเส้นใหม่ ผมเลยตัดสินใจที่จะไปทางสายเก่าเพราะระยะทางใกล้กว่าไม่ต้องอ้อมให้เสียเวลา แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่าทางคงจะโหดน่าดูขนาดป้ายบอกทางของกรมทางหลวงยังถูกปิดเหมือนจะไม่ให้ใครรู้ว่าทางนี้สามรถเข้าไปได้ แต่เจ้า GPS ของผมมันดันรู้แฮะ ขับรถเข้าไปไม่ถึงกิโล มองไปด้ายซ้ายจะมีป้ายขนาดใหญ่ เตือนว่า ให้ระวังทางลาดชัน และให้ระวังอีกหลายอย่าง ประมาณว่าไม่จำเป็นอย่ามาทางนี้ เท่านั้นแหละงานเริ่มเข้าซะแล้ว จะเอายังไงดี เจ้า GPS มันก็บอกให้ตรงไป ส่วนตัวผมอยากจะกลับรถไปสายใหม่ สองจิตสองใจ ก็เลยแวะถามชาวบ้านแถวนั้นว่าตกลงมันไปได้หรือเปล่า พี่เขาก็บอกสบายมากเขาวิ่งทุกวัน แต่ก็ระวังๆหน่อยละกันนะ ผมก็เลยตัดสินใจที่จะไปต่อ และก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ โหด มัน ฮา มากๆ สองข้างทางมีแต่เหวแถมถนนยังลาดชันมาก โค้งก็เยอะ ขึ้นเขาลงเขาตลอดเวลา ถนนบางช่วงยังขาดมองลงไปเป็นเหวลึกน่ากลัว แต่ยังโชคดีที่เจ้า GPS เพื่อนยาก คอยบอกทางผมตลอดเวลา เลี้ยวซ้ายบ้าง เลี้ยวขวาบ้าง ระวังโค้งต่อเนื่อง และอีกสารพัด ใครที่จำเป็นต้องผ่านมาทางนี้ก็ขับด้วยความระมัดระวังกันหน่อยนะครับ ไม่จำเป็นก็ไปทางสายใหม่ขับสบายกว่าเยอะ ไม่นานผมก็มาถึงจุดหมายแรกของผม โรงเรียนอนุบาลเขาค้อ
[9 ส.ค. 54 19:21:20
]
ตอนที่ 2 เจริญทองนิ่มวิทยา
สิบเอ็ดโมงตรง ผมก็มาถึงหน้าโรงเรียนอนุบาลเขาค้อ ผมมองไปภายในโรงเรียน บอกตรงๆว่าผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า โรงเรียนนี้จะยากจนจริงหรือเปล่า ทำไมป้ายและอาคารเรียนมันดูดีขนาดนี้ ไม่เห็นเหมือนโรงเรียนยากจนในฝันของผม ไม่เหมือนที่เคยดูหนังไทยสมัยก่อนตอนเด็กๆ ประมาณหนังเรื่องครูบ้านนอก ที่เป็นโรงเรียนเล็กๆ หลังคามุงด้วยสังกะสีเก่าๆขึ้นสนิมแถมมีรูอีกต่างหาก มีเด็กตัวเล็กๆ วิ่งไปวิ่งมา มีครูสามสี่คน คอยวิ่งไล่ แต่ยังไงก็รับปากคุณครูที่นี่แล้วว่าจะมา ก็ต้องทำให้ได้
มองไปทางซ้ายของโรงเรียน เป็นที่ทำการอบต.เขาค้อ ก็เลยมีความคิดที่ว่า จะลองเข้าไปถามดู เผื่อถ้ามีโรงเรียนไหนที่ยากจนเพิ่มเติม ผมจะได้แบ่งของบางส่วนไปให้ เข้าไปถึงก็เจอเจ้าหน้าที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในที่ทำการ ผมก็ยกมือสวัสดีและแนะนำตัวพร้อมกับถามเรื่องโรงเรียนยากจนในฝันของผมทันที ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะออกมาบอกว่าสมัยนี้มันไม่มีแล้วโรงเรียนแบบนั้น ถ้าจะมีคงต้องขึ้นไปบนเขา อยู่ห่างตัวเมืองซักหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงเห็นโรงเรียนเป็นแบบนี้ เด็กๆข้างในน่าสงสารมาก พ่อแม่ยากจนทั้งนั้น พูดจบผู้ชายคนนี้บอกจะพาผมไปพบ ผอ.โรงเรียนเอง ผมบอกไม่เป็นไร เกรงใจ เดี๋ยวผมเข้าไปเองได้ ถามไปถามมา ผู้ชายคนนี้ก็คือนายก อบต.เขาค้อ นี่เอง
พอไปถึงโรงเรียน นายก อบต.เขาค้อ หรือ พี่แดง ก็พาผมเข้าไปพบ ผอ.โรงเรียน คุณเรวัตน์ โมจรินทร์ ท่านก็แนะนำตัวพร้อมกับเล่าประวัติของโรงเรียนเท่าที่ผมจำได้ก็คือ โรงเรียนอนุบาลเขาค้อ ชื่อเดิมคือ โรงเรียนเจริญทองนิ่มวิทยา เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนจำนวนเจ็ดร้อยกว่าคน มีชาวไทยพื้นราบ และชาวเขาเผ่าต่างๆ หลายเผ่า คือ เผ่าม้ง, ลีซอ, เย้า และ มูเซอ สภาพทั่วไปค่อนข้างยากจน ยังมีความเป็นอยู่แบบชาวเขาดั้งเดิม นั่งคุยได้ซักพัก ผอ.เรวัฒน์ ก็ให้เด็กๆช่วยกันขนขอลงจากรถ เมื่อมอบสิ่งของเสร็จ เลยขออนุญาตถ่ายภาพ ผอ.เรวัฒน์ และ นายก อบต. เป็นที่ระลึก และผอ.ยังให้ผมลงสมุดเยี่ยมชมของโรงเรียนพร้อมกับกล่าวขอบคุณที่ยังเห็นความสำคัญของเด็กๆที่นี่ ผมถามว่ายังขาดอะไรอีกหรือเปล่าถ้าคราวหน้ามีโอกาสผมจะแวะมาอีกครั้ง ท่านก็บอกอยากได้อุปกรณ์จำพวกพัฒนาสมองของเด็กๆ เช่น ของเล่นที่ส่งเสริมการเรียน ตัวต่อไม้ แผ่นกระดาน และอีกหลายอย่างโดยเฉพาะที่นี่ยังขาด โต๊ะทานอาหารของเด็กๆ เพราะทุกวันนี้เด็กๆยังต้องนั่งทานอาหารกับพื้น อยากให้นักเรียนได้ทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ
เที่ยงตรงเสียงกริ่งของโรงเรียนก็ดังขึ้น เด็กๆคงได้เวลาพักเที่ยงกันแล้ว ผมเลยถือโอกาสขอตัวลา ผอ.เรวัฒน์ กับ นายก อบต.พี่แดง ไม่งั้นคงได้คุยกันยาวกว่านี้แน่ๆ แต่ก็ขออนุญาตเดินเล่นภายในโรงเรียนเก็บภาพเด็กนักเรียนของที่นี่ เด็กๆก็วิ่งออกมาจากห้องเรียนไปโรงอาหาร ผมก็เลยเดินตามเด็กๆไป ถึงโรงอาหารก็จะมีคุณครูยืนตักอาหารให้ เด็กๆยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ คุณครูยังแอบกระซิบดังๆ ให้ผมฟังว่า จริงๆแล้วทางโรงเรียนได้งบประมาณมา 300 คน แต่ที่โรงเรียนมีนักเรียนกว่าเจ็ดร้อยคน ก็เลยต้องนำเงินมาเฉลี่ยเพื่อทำอาหารให้เด็กๆทานได้ทุกคน นึกแล้วก็สงสารผู้บริหารงานของที่นี่เหมือนกันคงจะลำบากน่าดู ที่ต้องบริหารงบมีรัฐบาลให้มาเพื่อที่จะเพียงพอต่อเด็กๆทุกคน
คุยกับคุณครูเสร็จ ผมก็เดินมาที่ข้างๆโรงอาหาร ที่นี่จะมีร้านค้าขายของ ขายขนม จะมีเด็กไปมุงกันเต็มไปหมด บางคนมีสตางค์ก็ยืนซื้อขนม แต่บางคนไม่มีก็ได้แต่ยืนมอง ผมก็เลยไปเหมาขนมขาไก่ กับโอโจ้ มาได้หนึ่งตะกร้า ให้เด็กๆมายืนหยิบขนมคนละถุง เด็กก็มายืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะยกมือไหว้ขอบคุณ แต่บางคนคงเขินๆไม่กล้าเข้ามา ผมก็เลยต้องเดินเอาไปให้แทน ผมเดินเล่นเก็บภาพเด็กๆได้ซักพัก เสียงกริ่งก็ดังอีกครั้งคงจะได้เวลาที่เด็กจะต้องเข้าเรียน และผมใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบสองชั่วโมง ได้เวลาที่จะออกเดินทางต่อแล้ว
..
ลาก่อน เจริญทองนิ่มวิทยา แล้วผมจะกลับมาใหม่
[9 ส.ค. 54 19:21:59
]
ตอนที่ 3 ลู๊ดดดดดดดด สิบสอง
ตอนนี้ร่างกายผมเริ่มจะหมดสภาพ เพราะเมื่อคืนนอนน้อย แถมยังขับรถมาระยะทางค่อนข้างไกล (หรืออาจมีผลจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อน ไปไหนไปกัน ไปได้ทุกทีแรงไม่มีตก ) ดูจากสภาพของตัวเองผมคงต้องหาที่นั่งพักจิบกาแฟซักหน่อย จะได้มีแรงออกเดินทางต่อ เพราะทริปนี้ผมวางโปรแกรมเที่ยวไว้หลายที่ ออกจากโรงเรียนอนุบาลเขาค้อผมมุ่งตรงไปยังแยกแคมป์สน ระหว่างทางมีรีสอร์ทอยู่หลายแห่ง ผมเริ่มมองหาที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้ พอมาถึงแยกแคมป์สนเลี้ยวซ้ายตรงไปอีกไม่ไกล ก็จะถึง Route 12 ร้านกาแฟที่มีการตกแต่งสถานที่ได้คล้ายๆจุดพักรถต่างประเทศ ส่วนชื่อ Route 12 มาจากร้านตั้งอยู่บนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลย 12 หล่มสัก - พิษณุโลก นี่เอง
มองจากด้านนอกเป็นอาคารชั้นเดียว เรียงกันอยู่หลายร้าน มีร้านขายกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ร้านไอศกรีม ฯลฯ แต่จริงๆแล้วที่นี่จะมีสองชั้น อีกชั้นจะอยู่ด้านล่าง เป็นส่วนของร้านอาหารและห้องน้ำ ผมชอบห้องน้ำชายของที่นี่เป็นพิเศษ ชอบตรงที่โถปัสสาวะชาย เป็นแบบโอเพ่นแอร์ คือเปิดโล่งรับธรรมชาติเต็มที่ ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาเราไปยืนปัสสาวะอยู่ข้างถนนบนยอดเขาวิวสวยๆ ขอบอกใครผ่านไปผ่านมาต้องลองซักครั้ง แต่สาวๆกับชายเทียม คงอดแน่ๆ แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าห้องน้ำของสาวๆจะเป็นยังไง จะโอเพ่นแอร์หรือเปล่า ใครมีโอกาสไปอย่าลืมหลังไมค์มาบอกด้วยนะ จะเข้าไปดูเดี๋ยวจะหาว่าเป็นพวกโรคจิต ไม่กล้าจริงๆ
หลังจากนั้นผมเดินเข้าไปสั่งกาแฟ ในร้าน กาแฟที่นี่ราคาค่อนข้างถูกถ้าเทียบกับบรรยากาศของสถานที่ กาแฟแก้วละ 40-60 บาท สำหรับบรรยากาศแบบนี้โดยส่วนตัวผมถือว่าไม่แพง เมื่อสั่งกาแฟเสร็จก็มองหาที่นั่ง มีที่นั่งภายในร้านกับด้านนอกร้าน ผมเลือกด้านนอกร้านเพราะวิวดีกว่า สามารถเดินไปทานตรงจุดไหนก็ได้ มีอยู่สองบริเวณคือ smoking area กับ non-smoking area แยกกันค่อนข้างชัดเจน โชคดีที่วันนี้เป็นวันศุกร์นักท่องเที่ยวน้อย จึงสามารถเลือกที่จะนั่งตรงไหนก็ได้ ผมเลือกทำเลที่ดีที่สุดและสวยที่สุด ของที่นี่ เชื่อไหมตอนแรกผมตั้งใจว่าจะมาซื้อกาแฟทานซักพักและจะออกเดินทางต่อ แต่ผมใช้เวลาที่นี่เกือบสามชั่วโมง ผมนั่งเฉยๆ ปล่อยอารมณ์ตัวเองไม่ยึดติดกับอะไร สิ่งที่ผมเจอคือความสงบ ความสบาย อย่างที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ที่มีชีวิตวุ่นวาย มีแบบแผนตลอดเวลา มีกำหนดการการเดินทาง มีเป้าหมายที่ชัดเจน ผมจึงตัดสินใจยกเลิกแผนการของผมทั้งหมด ตั้งใจว่าครั้งนี้ขอทำตามใจตัวเองซักครั้ง ไม่ต้องมีแบบแผน ไม่ต้องมีกำหนดการ ปล่อยตามอารมณ์ไปเรื่อยๆ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็จะทำ อยากให้เวลากับตัวเองให้เต็มที่
ที่ Route 12 จะมีนักท่องเที่ยวมาเกือบตลอดเวลา มากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่จะมากันเป็นคู่ๆ ส่วนผมมาคี่ๆ ก็ได้แต่มองด้วยความอิจฉาไปตามระเบียบ บางคนมาซื้อกาแฟ บางคนมาทานอาหาร บางคนมาถ่ายรูป ยังมีคนมาถ่ายพรีเวดดิ้งที่นี่ แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้ช่วยช่างภาพบอกผมว่า พวกเขาเดินทางจากพิษณุโลกมาถ่ายที่นี่โดยเฉพาะ เป็นที่ยอดนิยมของคนแถวนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงสวน portrait แห่งชาติของชาวกรุงขึ้นมาทันที
มองนาฬิกา สี่โมงกว่า ผมคงจะต้องออกเดินทางต่อ ที่พักยังหาไม่ได้ แต่ยังไงก็ขอไปเห็นวัดพระธาตุผาแก้วกับตาตัวเองซักครั้งว่าจะงดงามเพียงใด ก่อนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
[9 ส.ค. 54 19:22:37
]
ตอนที่ 4 ฟ้าใส
ขับรถออกจาก Route 12 ย้อนกลับมาทางแยกแคมป์สน เลยแยกแคมป์สนไปอีกไม่ไกลจะเห็นป้ายทางเข้าวัดพระธาตุผาแก้ว อยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านทางแดง ทางลงค่อนข้างชันมาก ทางแคบต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร ขับเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะถึงวัดพระธาตุผาแก้ว แต่ไม่ให้นำรถเข้าไปจอดในวัด อนุญาตเฉพาะผู้ที่มาปฏิบัติธรรมเท่านั้น ผมเลยต้องจอดรถฝั่งตรงข้ามวัด มีป้ายติดไว้ว่า ค่าจอดรถเก๋ง 10 บาท รถตู้ 20 บาท ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมรถตู้ถึงต้องแพงกว่า ล้อมันก็มี สี่ล้อเท่าๆกับรถเก๋ง แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะเดี๋ยวพี่คนเก็บตังค์จะหากวนทีน ห่วงสวัสดิภาพของรถ กลัวจะเป็นอะไรไป วันหลังถ้าใครมีโอกาสไปช่วยฝากถามให้หน่อย แบบว่าอยากรู้จริงๆนะ
วัดพระธาตุผาแก้ว เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นท่ามกลางธรรมชาติและบรรยากาศที่เงียบสงบ เทือกเขาสลับซับซ้อนโดยรอบมีพระเจดีย์ที่งดงามโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา คือ เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต รอบๆ องค์พระเจดีย์แบ่งเป็นสถานที่พักของนักปฏิบัติธรรม และเขตสังฆาวาส แยกเป็นสัดส่วน ที่สะดุดตากว่าสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งอื่นๆ อยู่ที่การสร้างกุฎิ อาคารที่พักของนักปฏิบัติธรรมอย่างสวยงาม กลมกลืนกับธรรมชาติ ด้วยยึดหลักที่ว่า หากได้อยู่ในสถานที่สงบสวยงาม จิดใจก็จะสงบได้โดยง่าย
ผมเข้ามาภายในวัดจะพบกับสระน้ำขนาดใหญ่ มองเห็นเงาสะท้อนน้ำของพระธาตุ ผมก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพมุมนี้ ผมเดินขึ้นบันไดทางขึ้นเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว ซึ่งประดับตกแต่งได้อย่างสวยงาม สองข้างทางร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกไว้รอบๆ พอมาถึงด้านบนของเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว จะพบลานกว้าง องค์พระเจดีย์ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ยิ่งเวลามีแสงแดดมากระทบพระเจดีย์สีทองเป็นประกาย งดงามมาก และตอนนี้ฟ้าเปิด ท้องฟ้าค่อนข้างใสมีเมฆประปราย ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าตัดกับเจดีย์สีทอง ผมเดินหามุม เก็บภาพไปเรื่อยๆ มุมถ่ายภาพมีมากเหลือเกิน สงสัยวันนี้คงจะเก็บไม่หมดแน่ๆ คงต้องใช้กับเวลาที่นี่มากพอสมควร มองนาฬิกาอีกทีไวเหมือนโกหก เกือบหกโมงเย็นแล้ว ผมคงจะต้องหาที่พัก ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินไม่งั้นคงจะได้นอนในวัดแน่ๆ
[9 ส.ค. 54 19:23:12
]
ตอนที่ 5 ป้าวิ
ก่อนที่ผมจะเดินออกจากวัด มีพระรูปหนึ่งเดินสวนมา ผมวางกล้องวางกระเป๋า ยกมือไหว้ท่าน ท่านก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง ถามผมว่ามาถ่ายรูปหรือ ท่านยังแนะนำว่าให้ไปดูภาพตัวอย่างที่โรงทานซิ มีรูปตัวอย่างหลายมุมสวยๆทั้งนั้น ผมยิ้มชอบใจที่ท่านรู้เรื่องมุมกล้องด้วย ผมจึงขออนุญาตเก็บภาพท่านเอาไว้ ใครผ่านไปผ่านมาก็ยกมือไหว้พระรูปนี้ และเรียกท่านว่าหลวงลุง ผมถามหลวงลุงว่าทางวัดให้เข้าออกได้กี่โมง หลวงลุงบอกทางวัดจะเปิด แปดโมงเช้าและจะปิดเวลาห้าโมงเย็น เพราะมีผู้มาปฎิบัติธรรมต้องการความสงบ ผมจึงขออนุญาตหลวงลุงจะเข้ามาก่อนเวลาเพราะอยากจะเก็บแสงเช้าและแสงเย็นได้หรือเปล่า หลวงลุงบอกว่าได้ไม่มีปัญหา แค่เข้ามาถ่ายรูปจะเป็นไรไป แต่ต้องรักษาความสงบเวลาอยู่ในวัด จะได้ไม่ไปรบกวนผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่ ท่านยังบอกให้ผมมาตอนตีห้าของวันรุ่งขึ้น เพราะพระที่วัดจะออกบิณฑบาต ประตูวัดจะเปิด โยมก็เข้ามาได้ ท่านยังแนะนำว่าให้หาที่พักใกล้ๆแถวนี้ เช้าจะได้เดินมาได้สะดวก และตอนเย็นจะอยู่ดึกแค่ไหนก็ได้ ผมกราบขอบคุณท่านที่อนุญาตและให้คำแนะนำอะไรหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ก่อนที่จะลาท่าน
ผมคงต้องหาที่พักที่ใกล้วัดที่สุดอย่างที่หลวงลุงแนะนำ ผมจะได้มาสะดวกในตอนเช้า ขับรถออกจากวัดมาไม่ถึง 500 เมตร ก็เจอที่พักแห่งหนึ่งชื่อ นิยมซิตี้ฮิลล์ ภายในดูร่มรื่นมีบ้านหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ภายในหลายหลัง ผมเลยตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไป เมื่อลงจากรถก็เจอ " ป้าวิ " ป้าวิเป็นภรรยาของลุงนิยม เจ้าของที่นี่ ป้าวิเป็นคนคุยเก่ง ชวนผมคุย ถามประวัติซักไซ้ผมว่ามาจากไหน ไปไหนมาบ้าง มาทำอะไร อะไรอีกมากมาย ผมก็ตอบทุกคำถามที่ป้าวิถาม ถามไปถามมา ป้าวิเคยเป็นคุณครูที่เคยสอนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลเขาค้อที่ผมไปมาตอนกลางวัน แต่ตอนนี้รีไทร์ตัวเองออกมาช่วยลุงนิยมดูแลที่นี่ ป้าวิเป็นคนธรรมมะธรรมโม ไปปฎิบัติธรรมที่วัดเป็นประจำ รู้เรื่องที่วัดพระธาตุผาแก้วทุกอย่าง รู้จักพระทุกรูป เพราะรีสอร์ทแห่งนี้สร้างก่อนวัดเสียอีก ผมคุยนั่งคุยกับป้าวิเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นป้าวิก็พาผมเดินชมที่พักหลังต่างๆ มีทั้งห้องแอร์และพัดลม ป้าวิบอกว่าถ้าจะเอาวิวดีที่สุดของที่นี่ต้องเป็นหลังที่อยู่ข้างบนสุด จะเห็นวัดพระธาตุผาแก้วได้ชัดเจน ผมเดินขึ้นไปดูจึงตัดสินใจบอกป้าว่าจะเอาหลังนี้แหละ วิวดีเผื่อบางที ผมจะนั่งเก็บแสงเย็นที่นี่เลย แต่ป้าวิมีขู่ผมว่าอยู่คนเดียวไม่กลัวเหรอ กลางคืนข้างบนนี่มันเงียบมากนะ เท่านั้นแหละผมก็เปลี่ยนใจในทันที มานั่งนึกว่านอนห้องพัดลมหน้าต่างก็ต้องเปิด กลางคืนถ้ามีเสียงอะไรแปลกๆ ผมคงจินตนาการไปไกลแน่ๆ นึกแล้วขนลุก ยิ่งนอนคนเดียวด้วย ไม่เอาดีกว่า เลยบอกป้าวิว่านอนห้องแอร์ก็ได้ อยู่ด้านล่างใกล้ที่พักของป้าวิดีกว่า อุ่นใจกว่าเยอะ เดี๋ยวตอนกลางคืนผมค่อยเดินขึ้นมาถ่ายรูปด้านบนก็ได้ ป้าวิยิ้มหัวเราะชอบใจในความคิดของผม ส่วนเรื่องราคาที่พักขออุบเอาไว้ ใครมีความสามารถอะไรก็ใช้วิชาต่อราคากันเอาเองนะ ส่วนของผมได้ราคาพิเศษมากๆ ไม่กล้าบอกเดี๋ยวป้าวิจะโทรมาด่าผม
เมื่อได้กุญแจมาแล้ว ผมลาป้าวิเข้าห้องพัก ห้องพักที่นี่ก็สะอาดดี แม้จะดูไม่หรูหรา แต่ก็อยู่ได้สบายมาก มีแอร์ มีน้ำอุ่น มีทีวี ก็พอแล้ว ส่วนตู้เย็นไม่มีนะ แต่โชคดีที่ผมเอากระติกน้ำแข็งใบใหญ่มาด้วย ซื้อน้ำมาตุนไว้ เลยไม่มีปัญหา จริงๆแล้วผมนอนง่ายนอนที่ไหนก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าให้มีจิ้งจกกับตุ๊กแกเป็นพอ แต่ในห้องน้ำนี่ซิ ไม่รู้ป้าวิแกเอาตุ๊กตากระรอกมาแปะไว้ทำไมก็ไม่รู้เดินเข้าห้องน้ำทีไรขนลุกทุกที นึกว่าเจอตุ๊กแกเผือกซะแล้ว ก่อนที่จะนอนประมาณ 4 ทุ่ม ทางวัดได้เปิดไฟที่เจดีย์พระธาตุ ผมเลยหยิบกล้องออกมาเก็บภาพเอาไว้ เพราะปกติแล้วที่วัดจะไม่เปิดไฟ จะเปิดไฟเฉพาะในวันที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น ถือว่าเป็นโชคดีของผมที่วัดเปิดไฟวันนี้ เมื่อถ่ายภาพเสร็จ ผมก็เตรียมตัวเข้านอน ชาร์ตแบตกล้องให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้าไปถ่ายภาพพระบิณฑบาต
[9 ส.ค. 54 19:24:09
]
ตอนที่ 6 แห้ว
ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่ อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปถ่ายภาพพระบิณฑบาต เปิดประตูห้องตอนตีห้าฟ้ายังมืดอยู่ มีแสงรำไร ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม อากาศวันนี้ค่อนข้างเย็น มีลมพัดตลอดเวลา เมฆค่อนข้างมาก ผมรีบเดินขึ้นด้านบน ห้องที่ป้าวิบอกว่าวิวดีที่สุดของที่นี่ ยืนถ่ายได้ซักพัก ผมก็ลงไปมามุมและทำเลที่ดีที่สุด รอเวลาพระเดินออกมาจากวัด รอ รอและรอ ก็ยังไม่เห็นพระเดินออกจากวัดซะที ซักพักก็มีชาวบ้านเดินถือปิ่นโตเข้าไปในวัด ผมได้แต่มองตามเพราะมั่นใจว่ามุมนี้ดีที่สุดแล้ว ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างก็ยังไม่เห็นพระซักรูป ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในวัด เจอพี่ที่ดูแลที่นี่ เลยถามด้วยความสงสัย และคำตอบที่ผมได้รับก็คือ วันนี้วันพระ พระจะไม่ออกไปบิณฑบาต แต่ชาวบ้านจะเข้ามาตักบาตรที่วัดแทน ผมก็ถึงบางอ้อ นี่เรากินแห้วตั้งแต่เช้าเลยหรือเนี่ย
ผมเลยเดินเข้าไปในวัดเดินเก็บภาพภายในวัดไปเรื่อยๆ ชาวบ้านก็เริ่มทยอยกันเข้ามา ถือตะกร้า ปิ่นโต เดินขึ้นไปชั้น 2 ขององค์พระธาตุเจดีย์ ผมก็เดินตามขึ้นไป เห็นชาวบ้านก็ช่วยกันจัดแจง คนละไม้คนละมือ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ผมรู้สึกว่าชาวบ้านที่นี่ให้ความสำคัญกับศาสนาเป็นอย่างมาก ด้วยความเกรงใจ ผมไม่กล้าที่จะเข้าไปด้านใน ไม่อยากไปรบกวนคนที่มาทำบุญ ชาวบ้านคงจะรู้สึกแปลกๆที่มีคนแปลกหน้ามาถ่ายรูปพวกเขา ผมเลยตัดสินใจเดินออกมาด้านนอก บอกตรงๆว่ายังรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากที่ไม่ได้เห็นการตักบาตรแบบนี้ ไว้คราวหน้าผมคงจะไม่พลาดแน่ๆ
ผมเดินออกไปทางด้านหลังของวัดไปลองหามุมสูงๆดูบ้าง ระยะทางไม่ไกลแต่ต้องเดินขึ้นเขาไปพอสมควร แถมรองเท้า ผมก็ถอดไว้ด้านหน้าวัด ลืมหยิบติดมือมาด้วย เลยต้องเดินเท้าเปล่า ประกอบด้วยลมพัดแรงตลอดเวลา พื้นเย็นเฉียบ ทำให้รับรู้ถึงความหนาวเย็นตั้งแต่เส้นผมยันไปถึงปลายเท้าเลยทีเดียว ไหนๆก็เดินมาแล้ว ก็ต้องเดินต่อไป ผมเดินมาถึงมุมที่ค่อนข้างสูงพอสมควร เป็นมุมที่เห็นทั้งวัดได้ชัดเจน เห็นทั้งองค์พระธาตุเจดีย์ รวมไปถึงสถานที่พักของนักปฏิบัติธรรม ยืนถ่ายภาพได้ซักพักใหญ่ๆ ก็มีรถของชาวบ้านขับผ่านไป ผมจึงตัดสินใจรีบวิ่งตามรถและขอติดรถลงไปด้านหน้าวัดด้วย จะได้ไม่ต้องเดินเท้าเปล่ากลับไป หลังจากผมโดดขึ้นหลังรถเรียบร้อย พี่ที่บนหลังรถก็ยิ้มให้ ผมถามว่ากำลังจะไปไหน พี่เขาก็ได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร ผมก็เลยเดาว่าพี่เขาคงเป็นคนต่างชาติแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเผ่าไหน ไม่ม้งก็มูเซอ ไม่มูเซอก็คงเป็นลีซอ เราสองคนก็เลยแต่นั่งยิ้มไปตลอดทาง พอมาถึงหน้าวัดผมก็โดดลงจากรถ ยกมือไหว้ขอบคุณที่ให้ผมติดรถลงมาด้วย ผมเดินกลับเข้าไปในวัดอีกที เห็นชาวบ้านเริ่มทยอยกันลงมา ผมจึงกลับที่พักขอนอนเอาแรงดีกว่า ง่วงเหลือเกินตอนนี้ พอมาถึงที่พักเจอคุณลุงนิยมเจ้าของรีสอร์ท ยิ้มทักทาย ชวนผมจิบกาแฟด้วยกัน นั่งคุยกับคุณลุงเกือบสิบนาที ผมเลยขอตัวไปพักผ่อน พอมาถึงห้องล้างขา รีบกระโดดขึ้นเตียง นอนต่อดีกว่า
[9 ส.ค. 54 19:25:23
]
ตอนที่ 7 คอหมูย่าง
หลังจากหลับไปสามชั่วโมง ตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบเที่ยง ชาร์ตแบตให้ตัวเองเต็มที่ พร้อมที่จะลุยต่อแล้ว มองขึ้นไปบนฟ้า มีเมฆมากพอสมควร ถ่ายภาพวันนี้คงจะไม่ได้อะไรแน่ๆ ก็เลยอยากไปหาที่นั่งชิลๆ แบบเมื่อวานดีกว่า อยากนั่งจิบกาแฟ นั่งฟังเพลง พักผ่อนสมอง คงจะดีเหมือนกัน อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ลมแรงกว่าเมื่อวานมาก ผมเปิดคตำราพิชัยยุทธท่องเที่ยวเมืองเพชรบูรณ์ของนายรอบรู้ที่พกมาจากบางกอก เปิดหาร้านอาหารใกล้ๆแถวนี้ มีให้เลือกหลายที่แต่ตัดสินใจไปจบลงที่ ภูแก้วสเต็กคอทเทจ อยู่ภายใน ภูแก้วรีสอร์ท ผมจำได้ว่าอยู่ระหว่างทางไป Route 12
ขับรถจากปากทางเข้าวัดพระธาตุผาแก้วไม่ถึงสิบนาที ก็ถึงแล้วภูแก้วรีสอร์ท ด้านหน้ามีร้านอาหารอยู่หลายร้าน น่าทานทั้งนั้น แต่ไหนๆตั้งใจจะมาที่นี่ก็ต้องทานให้ได้ ขับเข้าไปไม่ไกลจะเห็นร้านอยู่ทางซ้ายมือ เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งแบบเรียบง่าย มีป้ายเชลล์ชวนชิมอยู่ด้านหน้า แสดงว่ารสชาติต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ไม่งั้นเชลล์คงไม่มาชิม ผมจอดรถเดินเข้าไปในส่วนของร้านอาหาร มีพนักงานมาต้อนรับ ให้ผมเลือกที่นั่งได้ตามสบาย ผมเลือกส่วนที่อยู่ด้านนอก บรรยากาศดีกว่า ซักพักพนักงานคนเดิมก็นำเมนูมาให้ ในนั้นมีรายการอาหารหลายรายการ มีทั้งสเต็กภูแก้ว สเต็กพริกไทยดำ สเต็กไก่สไปซี่ สเต็กไส้กรอก สเต็กปลาย่าง และอีกสารพัดเมนู ราคาเฉลี่ยอยู่ประมาณ 150 -200 บาท ต่อจาน ก็ถือว่าเป็นราคาค่อนข้างปกติ ไม่แพงอย่างที่คิด ผมดูเมนูแบบไม่ต้องคิดเลย มาภูแก้วสเต็กก็ต้องกินสเต็กภูแก้วซิถึงจะถูก ต้องขอลองชิมเมนูที่มีหาทานได้ที่นี่ที่เดียว ระหว่างรออาหารผมก็นั่งฟังเพลง ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ดีเหมือนกัน ชีวิตแบบนี้ที่ไม่ต้องมีแบบแผน ไม่ต้องมีกำหนดการ อยากทำอะไรก็ทำ หิวก็กิน อยากนั่งก็นั่ง อยากนอนก็นอน
ไม่ถึงสิบนาทีพนักงานคนเดิม ก็เดินมาเสิร์ฟอาหารที่ผมสั่งเอาไว้ นั่นก็คือ " สเต็กภูแก้ว " พอจานมาวางตรงหน้าผมก็ตะลึงกับสิ่งที่ผมเห็น สเต็กภูแก้ว ทำจากเนื้อหมูที่นำมาย่าง รู้สึกคุ้นตามากๆ ยิ่งน้ำซอสที่วางอยู่ข้างคล้ายกับน้ำจิ้มแจ่วที่คุ้นเคย ตรงกลางจานมีถ้วยใบเล็กๆข้างในมีเส้นมะละกอสีสันคล้ายๆส้มตำ แต่อย่าใช้คำว่าคล้ายเลยขอใช้คำว่าเหมือนเลยดีกว่า แถมผักที่วางอยู่ข้างๆจาน คุ้นตามากๆไม่ว่าจะเป็น ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักกาดขาว แต่ปกติเวลาไปทานสเต็ก จะมีผักกาดแก้วไม่ใช่หรือแต่นี่ไหงเป็นผักกาดขาวไปได้ เมื่อดูองค์ประกอบโดยรวมเรียบร้อย ผมฟันธงเลยว่า ไอ่เนื้อหมูย่างที่ดูคุ้นตาในตอนแรก มันก็คือ คอหมูย่างที่เราเห็นได้ตามร้านขายอาหารอีสานทั่วๆไป ที่ยังไม่ได้หั่นเป็นชิ้นๆ แต่ไหนๆ ก็สั่งมาแล้วก็ต้องลองชิมซักหน่อย เผื่อสิ่งที่ตาเห็นไม่เหมือนสิ่งที่เราคิด ผมค่อยๆบรรจงหยิบมีดแล่ชิ้นเนื้อหมู เป็นชิ้นบางๆ ขอใช้คำว่าแล่นะ ไม่อยากใช้คำว่าหั่นเดี๋ยวสิ่งที่ผมคิดมันจะเป็นจริง เมื่อได้ชื้นหมูบางๆ และจิ้มกับน้ำซอส ได้ชิมแล้วบอกได้เลยว่า สเต็กภูแก้ว มันคือ คอหมูย่างดีๆนี่เอง ยิ่งทานกับเส้นมะละกอ และผักเครื่องเคียง รับรองใช่เลย เกิดมาเพิ่งเคยได้กิน ส้มตำ คอหมูย่าง บรรยากาศที่ดีที่สุดตั้งเคยทาน ใครมีโอกาสผ่านไปและอยากลองเมนูนี้อย่าลืมซื้อข้าวเหนียวร้อนๆติดมือไปด้วยนะ รับรองสุดยอด
[9 ส.ค. 54 19:27:16
]
ตอนที่ 8 เด็ก(แก่)เลี้ยงแกะ
ขับรถออกจากภูแก้วรีสอร์ท ผมมุ่งตรงไปกินกาแฟต่อที่ Kho in love จุดชมวิวที่เป็นที่นิยมแห่งหนึ่งของที่นี่ Kho inlove ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) ห่างจากแยกแคมป์สนประมาณ 2 กม.ที่จอดรถกว้างขวาง แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจาก ทางเข้าอยู่ในจุดที่อาจมีรถลงจากเนินเขาด้วยความเร็วสูง ที่นี่เป็นทั้งจุดชมวิว ร้านกาแฟ ร้านอาหาร จุดแวะพัก และสถานที่ท่องเที่ยวชิลๆ สำหรับคนมีคู่ ส่วนคนมีคี่แบบผมเลยแวะเข้าไปให้คนอื่นๆ เขาอิจฉากัน เอกลักษณ์ของร้าน ค้ออินเลิฟ คือการผสมผสานระหว่าง วิถีชีวิตชาวบ้าน และชาวเขาบนเขาค้อ ให้เข้ากับเสน่ห์ความเป็นอยู่แบบไทยๆ การวางมุมน่ารักๆไว้มากมาย เหมาะแก่การมาพรีเวดดิ้งเป็นอย่างมาก ดอกไม้เมืองหนาวสวยๆ และวิวมุมสูงจากเนินเขา มองลงไปยังหุบเขาที่สลับซับซ้อนอยู่ด้านล่าง และที่นี่ยังมีร้านกาแฟ เป็นมุมเล็กๆ อยู่ด้านหน้า จอดรถก็เดินเข้าร้านได้ทันที ผมเดินเข้าไปสั่ง เอสเพรสโซร้อนมาจิบให้หายหนาว ที่ร้านจัดโต๊ะมุมเล็กๆ 3-4 โต๊ะ ไว้สำหรับนั่งจิบกาแฟ รสชาติกาแฟที่นี่ไม่เป็นสองรองใคร ในร้านมีสินค้าที่ระลึกน่ารักมากมายไว้ให้เลือกซื้อนำไปเป็นของฝาก ส่วนบนชั้น 2 ของที่นี่ เป็นร้านอาหาร ที่ตกแต่งประดับประดาไปด้วยของเก่าโบราณต่างๆ บนอาคารชั้นบนมีการรวบรวมเครื่องมือ เครื่องใช้ ตามวิถีการดำรงชีพของชาวเขา ตกแต่ง อยู่โดยรอบ เสียดายถ้าไม่ได้หม่ำสเต็กคอหมูย่างมา คงจะได้ลองลิ้มชิมรส ขนมจีน อินเลิฟแน่ๆ
กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ สำหรับการแวะเยือน Kho in love คือการให้นมแกะ เป็นกิจกรรมที่น่ารัก และถูกใจเด็กๆ มาก รวมทั้งตัวผมด้วย ไม่รอช้าเดินเข้าไปซื้อนมมาสองขวดเทรวมกัน คุณป้าบอกให้อ่านป้ายก่อนเข้านะ เท่าที่จำได้คือ อย่าให้แกะดูดขวดเปล่าเพราะจะทำให้ท้องอืด ผมเดินเข้าไปด้านใน ฝูงแกะก็วิ่งเข้ามารุมเพื่อดูดนมจากขวดที่ผมถืออยู่ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าแกะตัวเล็กๆจะมีแรงมากมายขนาดนี้ ผมจึงขอให้ป้าที่ยืนเฝ้าแผงขวดนมช่วยถ่ายรูปผมกับแกะให้หน่อย คุณป้ารีบปฏิเสธบอกว่าป้าถ่ายไม่เป็น เดี๋ยวไปตามคนมาถ่ายให้ ซักพักมีคุณลุงคนหนึ่งแต่งตัวดี ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง อาสามาถ่ายรูปให้ ท่าทางคุณลุงคงจะเป็นช่างภาพเก่า รู้เรื่องมุมกล้อง สั่งให้ผมหันซ้ายหันขวาด้วยนะ ยังบอกผมว่าถ่ายมุมนี้ แบ็คกราวไม่ดีให้ผมขยับอีกหน่อย ผมยิ้มชอบใจในความตั้งใจของคุณลุงคนนี้มากเป็นพิเศษ ผมยกมือไหว้ขอบคุณที่ช่วยมาเก็บภาพให้ ก่อนไปคุณลุงยังแอบแซวผมเล็กๆว่า มาคนเดียวไม่เหงาหรือไง มาหาคู่ที่นี่ก็ได้นะ เดินไปเรื่อยๆเผื่อจะเจอ คุณลุงหัวเราะแล้วเดินจากไป ผมได้แต่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไร หลังจากนั้นผมก็ให้นมแกะต่อ เมื่อนมในขวดหมดผมขออนุญาตป้า ขอถ่ายภาพแกะเล่นๆต่อนะ คุณป้าบอกตามสบายจ้า วันนี้นักท่องเที่ยวน้อย ผมอยู่ในฟาร์มแกะแห่งนี้ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง เพลินกับความน่ารักของแกะตัวน้อยๆแต่แรงมหาศาลเหลือเกิน สนุกดีเหมือนกัน วันหลังมีโอกาสคงต้องแวะมาที่นี่อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินขึ้นรถคุณลุงช่างภาพ เดินเข้ามาหาชวนผมคุย และที่สำคัญคุณลุงยังแนะนำให้ผมไปถ่ายภาพวิถีชีวิตที่หมู่บ้านเข็กน้อย เลยไปไม่ไกลจากที่นี่ และคุยกันอีกหลายเรื่อง ดูจากการพูดจามีหลักการแบบนี้ ผมว่าช่างภาพส่วนตัวของผม คงจะต้องเป็นเจ้าของที่นี่แน่ๆ หรือไม่แน่คุณลุงอาจจะเป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะ คราวหน้ามาผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ รับรอง ....
[9 ส.ค. 54 19:27:53
]
ตอนที่ 9 สองนิ้ว
ผมตัดสินใจไปบ้านเข็กน้อย อย่างที่คุณลุงแนะนำ ออกจาก Kho in love เลี้ยวขวาแต่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะด้านขวาเป็นทางลาดชัน รถส่วนใหญ่ขับมาด้วยความเร็วพอสมควร ขับมาได้อีกไม่ไกลประมาณสิบนาที ก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จะสังเกตุได้ง่ายๆ ทางเข้าจะมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ ด้านบนมีตัวหนังสือบอกชัดเจนว่า " เข็กน้อย วิถีชุมชนม้งใหญ่สุดในสยาม " ขับรถจากถนนมิตรภาพสายพิษณุโลก-หล่มสัก เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงหมู่บ้านดูเผินๆ เหมือนกับหมู่บ้านต่างจังหวัดธรรมดา แต่ถ้ารู้ถึงประวัติที่มาของที่นี่จะรู้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
ประวัติคร่าวๆ คือ เมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว ชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ได้อพยพจากจังหวัดเชียงราย พะเยา และน่าน มาอาศัยอยู่ในเขตรอยต่อของ 3 จังหวัด คือ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย การอพยพครั้งนี้ทำให้ชาวม้งซึ่งเคยอยู่รวมกันต้องแยกย้ายกระจายตามที่ต่างๆ ทำให้ยากต่อการควบคุมดูแลของรัฐบาล ในปี พ.ศ. 2513 - 2515 กอ.ปค.จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ขอกันพื้นที่บ้านเข็กน้อยประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร และได้อพยพชาวเขาจากศูนย์แรกรับทั้ง 3 แห่ง รวมทั้งบ้านป่าหยาบมารวมกันที่บ้านเข็กน้อย เพื่อเป็นแหล่งเดียวกัน โดยกองทัพภาคที่ 3 ได้ระดมชายที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปีที่เป็นชาวม้ง เพื่อเข้ารบและรับการฝึกอาวุธ เรียกเป็นทางการว่าทหารชาวเขาอาสาสมัครเขาค้อ มีหน้าที่ต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และลาดตระเวณหาข่าวให้กับทหารไทย เพราะพื้นที่ซ่องสุมของพรรคคอมมิวนิสต์มีลักษณะเป็นป่าเขา เป็นเหว เป็นถ้ำ ซึ่งเป็นการยากต่อการเข้าไป ในพื้นที่ และทหารไทยไม่คุ้นเคยกับลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ จุดที่พักค่ายทหารในช่วงนั้นคือ ตำบลเข็กน้อยในปัจจุบัน และได้อนุญาตให้ชาวม้งไปรับครอบครัวมาอยู่ด้วยกันในพื้นที่ตั้งค่าย อาจจะถือได้ว่า กองร้อยทหารชาวเขาอาสาสมัครเป็นจุดกำเนิดของหมู่บ้านชาวม้งในปัจจุบันนี้ก็เป็นได้
กลับมาที่เรื่องของผมต่อ ขับเข้ามาในหมู่บ้าน ก็มีเรื่องประทับใจเรื่องแรกก็คือ ตอนที่ผมขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน เริ่มจะงงๆ ว่าที่ผ่านมาเป็นชุมชนของชาวม้งหรือเปล่า เห็นคุณตากำลังนั่งถางหญ้าอยู่ ผมจอดรถและเปิดกระจกไปถามทาง คุณตารีบลุกขึ้น ชี้นิ้วไปทางโน้นทางนี้ แล้วพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งผมก็งงๆว่าคุณตาพูดอะไร คุณตาก็คงรู้ว่าผมไม่เข้าใจ พยายามจะให้ผมเข้าใจในสิ่งที่แกพูดให้ได้ ผมยกกล้องมาถ่ายรูปแล้วก็ยกมือไหว้ขอบคุณและขับรถออกไป ตอนที่ผมกลับรถออกมา คุณตายังโบกมือ บ๊ายบาย ให้ผมอีก แต่สิ่งที่ผมสงสัยจนถึงตอนนี้ คือ คุณตาจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดกับคุณตาหรือเปล่านะ ผมกลับเข้ามาในหมู่บ้าน เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังขายผักอยู่ ผมจอดรถลงไปถ่ายภาพ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เลยแวะเข้าร้านชำแถวๆ นั้นซื้อขนมไปเป็นของเซ่นเพื่อที่จะขอถ่ายรูป ซักพักก็มีเด็กหลายคนมายืนมุมดูคนแปลกหน้าต่างถิ่น บางคนเดินเข้ามาขอขนมบ้าง บางคนก็อายๆไม่กล้าที่จะเดินเข้ามา แต่ที่แน่ๆ เด็กทุกคนคงอยากกินขนมเหมือนกัน ผมเลยกลับไปที่ร้านชำร้านเดิม ควักเงินซื้อขนมไปอีกหลายสิบถุงเดินแจกเด็กๆ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ บางคนก็ไม่กล้ามาเอาต้องเดินเข้าไปให้ หมดเงินไปอีกหลายร้อย แต่สิ่งที่เสียไปแลกกับรอยยิ้มของเด็กๆก็มีความสุขแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะมาถ่ายภาพแนวไลฟ์ วิถีชาวบ้าน แต่สิ่งที่ได้กลับไปกลับเป็นความทรงจำดีๆ และรูปถ่ายชูสองนิ้วของเด็กเหล่านี้ นึกถึงทีไร ก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที
เด็กๆที่นี่ น่าสงสารมากครับ ใครที่ผ่านมาแถวนี้อยากให้ลองแวะเข้ามาครับ มีโอกาสก็ซื้อขนมมาแจกเด็กๆ หาซื้อตามร้านชำในหมู่บ้าน จะได้ช่วยอุดหนุนคนในท้องถิ่นไปด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaipost.net/tabloid/240711/42195 และ http://www.oknation.net/blog/chaiyos.../07/11/entry-1 ด้วยนะครับ
[9 ส.ค. 54 19:28:57
]
ตอนที่ 10 ใจง่าย
ออกจากเข็กน้อยเดินทางกลับมาที่พัก ล้างหน้าล้างตา ตั้งใจจะไปเก็บแสงเย็นที่วัดพระธาตุผาแก้ว แต่ท้องฟ้าวันนี้มีเมฆมาก ท้องฟ้าไม่เปิดเหมือนเมื่อวาน เมื่อไปถึงวัด เดินถ่ายภาพอยู่ เจ้าหน้าที่วัดที่ดูแลองค์พระเจดีย์เดินมาหาผมและบอกผมว่า ที่นี่จะมีการนั่งสมาธิ สวดมนต์ เป็นประจำทุกวันพระ และที่สำคัญวันจะมีการเปิดไฟที่องค์พระเจดีย์ ให้ผมไปตั้งกล้องรอได้เลย ทุ่มกว่าๆก็จะเปิดไฟแล้ว ผมมองนาฬิกาตอนนี้แค่ห้าโมงเย็นยังมีเวลาอีกพอสมควร ผมแอวแซวบอกให้พี่เจ้าหน้าที่เปิดเร็วหน่อยก็ได้นะ เพราะจะได้เก็บแสงเย็นพร้อมองค์พระเจดีย์ด้วย พี่เจ้าหน้าที่ยิ้มๆแล้วเดินไป ผมเดินขึ้นไปบนเจดีย์พระธาตุฯ เก็บรายละเอียดภายในวัด ลวดลายของผนังและพื้นของที่นี่จะประดับตกแต่งด้วยข้าวของมากมายที่มีลวดลายสวยงาม ถ้วยชามสังขโลก จานลวดลายชนิดต่าง กระเบื้องสี และมีพลอยชนิดต่างๆ จำนวนมากมาย หลังจากเดินเก็บรายละเอียดภายในเรียบร้อย ผมออกมาด้านนอกตั้งขาตั้งและเซทกล้องรอเวลา ระหว่างนั้นหลวงลุงปารมี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาแก้ว ก็เดินมานั่งสนทนาธรรมกับลูกศิษย์ของท่าน ใกล้ๆกับที่ผมนั่งรอแสงเย็น เลยได้นั่งฟังไปด้วย ได้ฟังเรื่องราวต่างๆมากมาย เช่น ประวัติความเป็นมา ขั้นตอนการสร้างวัดตั้งแต่แรก ยิ่งได้ฟังจากปากของพระลุงปารมีเอง ฟังแล้วทำให้ผมรู้สึกศรัทธาวัดแห่งนี้มากขึ้น นั่งฟังอยู่นานพอสมควรซักพักฝนเริ่มตกลงมา ทุกคนก็ต่างแยกย้ายเข้าไปหลบด้านในองค์พระเจดีย์ฯ ผมเลยเข้าไปเก็บบรรยากาศด้านในอีกที เมื่อฝนหยุด ก็ออกมานั่งรอที่เดิม โชคดีนะที่ฝนหยุดทันเวลา ถ้าหยุดช้ากว่านี้ซักสิบนาที ผมคงไม่ได้เก็บแสงสุดท้ายของวันนี้แน่ๆ
ขณะที่ผมกำลังถ่ายภาพองค์พระเจดีย์อยู่ ก็มีมีผู้ที่มาปฏิบัติธรรมเดินเข้ามาหา และชวนผมไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ด้วยกัน ผมได้แต่ทำหน้างงๆ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครชวนนั่งสมาธิ แต่ก็ไม่รู้จะปฎิเสธยังไง ด้วยความใจง่ายจึงตอบตกลง และผมก็เดินตามขึ้นไปที่ชั้น 2 ขององค์พระเจดีย์ ภายในมีผู้ที่มาปฎิบัติธรรมหลายสิบคน รวมถึงชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆวัดด้วย ผมจัดแจงเซทกล้องเพื่อที่จะถ่ายภาพเก็บบรยากาศ คนที่ชวนผมก็บอกว่า ถ้าเป็นไปได้ไม่อนุญาตถ่ายภาพนะคะ เพราะเสียงชัตเตอร์จะไปรบกวนคนอื่นๆที่นั่งสมาธิ ผมก็เลยเก็บกล้องกลับใส่กระเป๋า เอาแล้วไง แล้วผมจะทำอะไรดี ซักพักคนที่ชวนผมก็หยิบหนังสือสวดมนต์พร้อมเบาะรองนั่งมาให้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยขอตั้งใจดูซักครั้ง เผื่อจะได้อะไรกลับไปบ้าง ผมทำทุกอย่างที่ทุกคนเขาทำกัน สวดมนต์ตามที่พระท่านนำสวด ผมอ่านผิดๆถูกๆ เพราะไม่คุ้นเคยกับ ภาษาบาลี-สันสกฤต เลย คนที่นั่งข้างผมคงจะรำคาญผมน่าดู แต่ก็พยายามเต็มที่ ระหว่างนั้นผมนึกขึ้นได้ว่า ที่ห้ามถ่ายรูปเพราะเสียงชัตเตอร์จะไปรบกวนคนอื่น แต่ถ้าผมถ่ายโดยไม่มีเสียงชัตเตอร์หละ ก็ได้ใช่มั๊ย ผมเออออห่อหมกเอาเอง หยิบGalaxyTab มาปิดเสียง เก็บบรรยากาศมาได้นิดหน่อย หลังจากสวดมนต์เสร็จ ก็นั่งสมาธิต่อเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นหลวงลุงก็เทศนาเรื่องต่างๆให้ทุกคนฟัง บอกตรงๆว่า ตอนสวดมนต์ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งอะไรเท่าไหร่ เพราะไม่เข้าใจในภาษา แต่มาได้ตรงที่พระเทศน์นี่แหละ ได้ฟังเรื่องราวต่างๆ บทเรียนการใช้ชีวิต การดำรงชีวิตอยู่ การเกิดแก่เจ็บตาย สัจธรรมต่างๆ ได้ข้อคิดอะไรมามากมาย ที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ผมไม่รู้สึกเสียเวลาเลยที่ต้องมานั่งอยู่ในนี้เกือบสามชั่วโมง ได้อะไรกลับไปเยอะพอสมควร หลังจากเสร็จพิธี ผมช่วยเก็บหนังสือสวดมนต์ของคนอื่นๆไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ และตั้งใจจะเดินมาขอบคุณคนที่มาชวนผมมาสวดมนต์ แต่เมื่อออกจากห้องผมก็ไม่เจอเธออีก ไว้พรุ่งนี้ผมคงต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง
[9 ส.ค. 54 19:29:39
]
ตอนที่ 11 ชีช้ำกะหล่ำปลี
กลับมาจากวัดเมื่อคืน อาบน้ำเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียง หลับยาวถึงแปดโมงเช้า ฝนตกตลอดทั้งคืน ตื่นเช้ามาวันนี้ก็ยังตกอยู่ งัวเงียๆจะนอนต่อ แต่นึกขึ้นได้ว่าผมอยากจะขอบคุณคนที่มาชวนผมนั่งสมาธิเมื่อคืน เลยรีบไปอาบน้ำแต่งตัว เพราะวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่นี่แล้ว ผมขับรถไปจอดหน้าวัด เดินเข้าไปในวัด แต่วันนี้ไม่พบใครเลย สงสัยคงเป็นเพราะฝนตกจึงไม่มีใครออกมา ผมเดินกลับไปที่รถด้วยความผิดหวังเล็กๆ เลยไม่รู้จะไปไหนดี จึงขับรถตระเวนหามุมถ่ายรูปใหม่ๆแถวๆนี้ จำได้ว่าที่วันก่อนผมเดินไปหลังวัดเห็นมีสวนกะหล่ำปลีที่ชาวบ้านปลูกไว้ ผมจึงไปที่นั่นไปหาอะไรแปลกๆใหม่ๆถ่ายดูบ้าง
พอไปถึงเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งอยู่ที่แปลงกะล่ำปลี ผมจึงเดินเข้าไปกะว่าจะไปถ่ายภาพแนววิถีชีวิตซักหน่อย แต่อุปสรรคแรกที่เจอคือระหว่างทางที่เดินไป เละมาก เมื่อคืนฝนตกทำให้ทางเดินเฉอะแฉะไปหมด เหยียบไปก้าวแรกก็จมไปครึ่งขา ถอยตอนนี้คงจะไม่ทัน ไหนๆก็เลยแล้ว ผมเลยเดินแบบเละๆต่อไปเรื่อยๆ พอไปถึงยังไม่ทันจะถ่ายภาพ ก็มีเจ้าหมาตัวน้อยๆแต่เห่าเสียงดังวิ่งมาไล่คนแปลกหน้าอย่างผม ทุกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่นั้นหันมามองผมเป็นทางเดียวกัน เจ้าของเลยต้องวิ่งมาอุ้มไป ทุกคนต่างอมยิ้มที่เห็นสภาพผมเละไปทั้งตัว คงงงๆว่ามันมาทำอะไร ผมได้แต่ยิ้มๆ บอกว่ามาถ่ายรูปครับ พวกเขาคงเห็นความพยายามของผมที่เดินเข้ามา จึงบอกว่าตามสบายจ้า คนในหมู่บ้านทางแดงส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ปลูกกะหล่ำปลีเป็นอาชีพ ไม่นานฝนเริ่มตกลงมาอีก ชาวบ้านต่างก็ทยอยกันเดินหลบฝน แต่ผมดันหันไปเห็นมุมที่ผมถูกใจอยากกด like ให้ หมื่นๆที จึงบอกว่าเดี๋ยวผมตามไปขออยู่ตรงนี้อีกซักพัก เท่ากับว่าตอนนี้มีผมอยู่ในสวนแห่งนี้คนเดียว
ฝนเริ่มลงเม็ดหนาขึ้น ลมก็แรง หนาวก็หนาว เปียกก็เปียก แต่ก็ไม่ทำให้ผมย่อท้อ อิอิ แต่จริงๆแล้วถือโอกาสล้างตัวไปด้วย ผมถ่ายภาพจากมุมนี้ได้เยอะพอสมควร จากมุมนี้จะเห็นวัดพระธาตุผาแก้วได้อย่างชัดเจน เพราะมุมค่อนข้างสูง ส่วนฝนที่ตกไม่หยุดก็ไม่ทำให้ E-5 เพื่อนยากของผมระคายเคืองผิวแม้แต่น้อย กล้องยังไม่บ่นแล้วผมจะบ่นทำไม เละก็เลยด้วยกัน ถ่ายอยู่ได้ซักพัก เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เสื้อเปียกไปหมด ผมเลยลุยขี้โคลนออกมาอีกรอบ ผลปรากฏว่าเละกว่าเดิมอีก ผมเลยหยิบน้ำเปล่าในรถมาล้างขาล้างตัว เพราะถ้าขึ้นไปสภาพแบบนี้ขากลับคงจะได้เปลี่ยนเบาะเปลี่ยนพรมพื้นใหม่แน่ๆ ผมกลับมาที่รีสอร์ท เจอน้องสุ หลานของป้าวิ แอบยิ้ม คงขำสภาพของผมที่ก้าวลงมาจากรถ ลุงนิยมเดินมาหาอดหัวเราะไม่ได้ เลยสั่งให้น้องสุรีบชงกาแฟมาให้ผมดื่ม พร้อมขนมปังปิ้งอีกสองแผ่น ลุงนิยมบอกผมว่าผมคงจะตกทั้งวันแน่ๆ เพราะเมื่อคืนมีพายุเข้า พายุที่ว่านี้คือ " นกเต็น " ที่ทำความเดือดร้อนให้แก่หลายจังหวัดในตอนนี้
[9 ส.ค. 54 19:30:34
]
ตอนที่ 12 รอ รอ รอ
อาบน้ำล้างตัวเสร็จ อากาศเย็นสบายผมปิดแอร์เปิดหน้าต่าง ของีบอีกซักหน่อย ตื่นอีกทีเกือบเที่ยงแล้วเก็บของเก็บกระเป๋าขึ้นรถ ป้าวิ กับ ลุงนิยม เดินมาส่งผมที่รถ ลุงนิยมบอกว่าจะไปจริงหรือ อยู่ต่ออีกคืนก็ได้นะ ลุงให้พักฟรี ไม่คิดเงิน โห..ลุงทำไมใจดีแบบนี้ แกคงเห็นความตั้งใจของผมที่มาที่นี่จริงๆ ผมบอกปฏิเสธไป แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วที่ลดราคาค่าห้องให้ ป้าวิก็คะยั้นคะยอให้ผมอยู่ต่อให้ได้ ผมบอกว่าต้องกลับแล้วจริงๆ ไว้คราวหน้าผมมา ลดราคาค่าห้องผมแทนละกัน คุณลุงบอกได้เลย ไม่มีปัญหา ก่อนออกมาป้าวิ กำชับผมว่าให้ขับรถดีๆค่อยๆขับไม่ต้องรีบ ฝนตกแถวนี้ถนนลื่นมาก แถมยังสั่งให้ผมเมื่อถึงบ้านแล้ว ให้โทรศัพท์มาบอกด้วย ผมยกมือไหว้ขอบคุณในความหวังดี แต่ป้าวิแอบกระซิบผมว่า ถ้ามาหน้า ไฮ-ซีซั่น ป้าไม่ใจดีแบบนี้นะ ผมหัวเราะบอกว่าหน้าไฮฯ ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวผมจะกลับมาใหม่
ผมกลับมาทางเขาค้อเส้นใหม่ เพราะเข็ดกับเส้นเก่า แถมฝนตกกลัวจะไม่ถึงบ้านแน่ๆ ก่อนกลับตั้งใจว่าอยากเก็บภาพอีกมุมหนึ่งของวัดพระธาตุผาแก้ว คือจุดชมวิวที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโล คือที่ อช.เขาค้อ เดิมที่นี่เป็นร้านกาแฟชื่อดัง คอฟฟี่ฮิลล์ เจ้าของเดียวกับ Kho in love ที่ผมไปเมื่อวาน มุมที่นี่จะเห็นวัดพระธาตุผาแก้วได้ชัดเจน ผมไปถึงเมฆค่อนข้างมาก บางจุดมีไอหมอกขึ้น ผมจึงตัดสินใจว่า ผมอยากได้องค์พระเจดีย์ที่นี่ ผมตั้งขาตังกล้องรอเวลาที่หมอกขึ้นตรงกับองค์พระเจดีย์ ระหว่างนั้นผมได้แต่รอ รอ และรอ รอเท่าไหร่ก็ยังไม่มาซักที แต่ยังดีที่นี่มีร้านค้าสวัสดิการ เป็นร้านกาแฟ ผมก็สั่งกาแฟคาปูชิโนร้อนมาจิบนั่งตากฝนรอเวลา คนที่ทำกาแฟไม่ใช่ใคร เจ้าที่อุทยานนี่เอง ผมนั่งรอเวลาที่หมอกมา นั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ พี่เขาบอกว่าอากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เอาแน่นอนไม่ได้ ถ้าฝนหยุด มีแสงแดดนิดๆ หมอกก็จะลอยขึ้นมา ผมจึงตัดสินใจที่จะรอ รอเท่าไหร่ก็ยังไม่มาซักที ผมเลยเดินไปถ่ายดอกไม้ แมลง ใน อช.เขาค้อไปเรื่อยๆ ถ่ายหมดทุกมุมแล้ว ผมก็ไปยืนแพนรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมาหน้าอุทยาน และแล้วความฝันของผมก็เป็นจริงๆ มีหมอกบางๆค่อยๆลอยขึ้นมา เมื่อเก็บภาพเสร็จแล้ว มองนาฬิกาอีกทีบ่ายสองโมงกว่า นี่ผมนั่งรอหมอก สองชั่วโมงกว่าเลยหรือเนี่ย ผมรีบเก็บของขึ้นรถ ลาเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะกลับผมได้พบกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินทางเหมือนกับผมขับรถมาคนเดียวเที่ยวไปเรื่อยๆ ถามไปถามมาพี่เขาเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก ผมเลยสอบถามเรื่องน้ำตกชาติตระการ เพราะเป็นที่ผมอยากไปมานานแล้ว ได้ข้อมูลมาพอสมควร สองจิตสองใจจะอยู่ต่ออีกคืนดีหรือเปล่า พี่เขาบอกน่าไปเดี๋ยวนี้ไปสะดวกกว่าแต่ก่อนมา ยังแนะนำให้ผมขับรถต่อไปหมู่บ้านร่มเกล้า ซึ่งพี่เขาบอกว่าเป็นที่สนใจอีกแห่งหนึ่ง แต่พี่ที่อุทยานทักผมว่าพายุเข้าตอนนี้ไม่น่าไป ผมเลยได้สติเลิกฟุ้งซ่านที่จะไปต่อแล้ว ไปคงจะไม่ได้อะไร ไว้โอกาสหน้าก็ได้ เลยเก็บข้อมูลเก็บเอาไว้เที่ยวครั้งต่อไป ผมยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วขึ้นรถ ตั้ง GPS กลับบ้านทันที
[9 ส.ค. 54 19:31:06
]
ตอนที่ 13 ผิดแผน
ขับรถออกจาก อช.เขาค้อ กลับมาทางถนนสาย 12 พิษณุโลก-หล่มสัก มุ่งหน้าไป อ.หล่มสัก ฝนตกตลอดทาง ถนนค่อนข้างลื่นเหมือนที่ป้าวิบอก ผมขับด้วยความระมัดระวังพอสมควร เส้นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขาตลอดเวลาแต่ทางค่อนข้างดี ไม่เหมือนกับตอนที่ผมมาเส้นเก่า สองข้างทางวิวสวยเห็นภูเขาสลับซับซ้อนแถมมีหมอกลอยอยู่เป็นระยะๆ แต่เสียดายฝนตกไม่งั้นผมคงจะได้ลงไปเก็บบรรยากาศ และอีกอย่างรถที่ขับผ่านไปผ่านมาวิ่งค่อนข้างเร็ว ถนนลื่น กลัวจะเป็นอันตราย เพราะมุมส่วนใหญ่ที่สวยมักจะเป็นทางโค้งเสมอ ถ้ามีคันไหนหลุดโค้งขึ้นมา ไม่อยากนึกสภาพเลยจริงๆ
ระหว่างทางที่ขับรถจากหล่มสักเข้าเพชรบูรณ์ มีชาวบ้านกำลังยืนตากฝนทำงานอยู่ในท้องนา บางคนกำลังไถนา บางคนมาหาปลา บางคนกำลังเก็บเกี่ยวข้าว และอีกหลายกิจกรรม ถ้าเป็นสมัยก่อนผมคงมองผ่านๆแล้วขับรถเลยไป โดยที่ไม่สนใจว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่จากการที่ผมได้ออกทริปสวัสดีเมืองไทย กับพี่ๆน้องๆ คาเมราท ทำให้ผมต้องสนใจกับภาพกิจกรรมแบบนี้ อดใจไม่ได้ที่จะหยิบกล้องลงไปเก็บภาพทุกที จึงตัดสินใจยอมตากฝนอีกรอบ ผมจอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินลงไปถ่ายภาพ ผมชอบที่คนไทยมีนิสัยเป็นกันเอง ตอนแรกทุกคนก็ต่างเขินไม่กล้ามองกล้อง แต่พอผมยกมือสวัสดีและขออนุญาตถ่ายภาพ ทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บางคนแซวกันไปแซวกันมาบอกให้ทำหน้าหล่อๆสวยๆ ชาวบ้านคนหนึ่งยังชวนผมให้ลงมาถ่ายใกล้ๆ แต่ผมไม่อยากเละอีกแล้ว จึงบอกขอถ่ายอยู่ตรงนี้แหละ เปียกอย่างเดียวก็พอแล้วอย่าให้เละอีกเลย คราวนี้คงจะหาที่ล้างตัวลำบาก เลยหยิบเลนส์เทเล ยิงจากระยะไกลอย่างเดียว
ผมออกเดินทางต่อ ตั้งใจจะมุ่งตรงกลับบ้านไม่แวกที่ไหนอีกแล้วถ้ายังแวะแบบนี้อยู่เรื่อยๆ คงจะได้ถึงบ้านตอนเช้าแน่ๆ ระหว่างทางเห็นป้ายบอกทางไปน้ำตกธารทิพย์รบกวนสมาธิอยู่เป็นระยะ พอมาถึงทางเข้า มีป้ายบอกให้กลับรถ แต่พยายามฝืนตัวเองบอกว่าอย่าไปเลย ฝนตกๆคงไม่ได้อะไร ขับเลยไปอีกหลายสิบกิโล ผมก็ต้องกลับรถจนได้ ไหนๆก็มาแล้วและตัวเองก็อยากไป จะมาฝืนตัวเองทำไม ถ้ามาถึงกรุงเทพแล้วมานึกเสียดายว่าไม่ได้เข้าไปคงต้องเอากล้องเขกหัวตัวเองแน่ๆ มาถึงทางเข้าเจ้าหน้าที่ให้ลงทะเบียนก่อนที่จะเข้าไปในอุทยาน เจ้าหน้าที่เตือนว่าฝนตกให้ระวังหินลื่นเป็นพิเศษ ผมขอบคุณและขับรถเข้าไปจอดรถตรงที่ใกล้ที่สุด แล้วต้องเดินเท้าต่อเข้าไปในตัวน้ำตก ผมหยิบกล้องใส่เลนส์ไวด์และขาตั้งกล้องไปสองอย่าง จะได้เดินเข้าไปได้สะดวก พอไปถึงสุดทางเดิน จากมุมนี้ผมถ่ายภาพค่อนข้างยากเพราะจากจุดที่ยืนอยู่ค่อนข้างไกลกับตัวน้ำตก จะกลับไปเปลี่ยนเลนส์ก็ขี้เกียจ ถ้าจะเข้าไปใกล้ๆตัวน้ำตก ต้องเดินลุยน้ำเกือบครึ่งตัวเข้าไป เพราะหน้าฝนน้ำค่อนข้างมากแถมฝนตกตลอดเวลา ไหนๆก็มาแล้วเลยตัดสินใจเดินลุยเดินเข้าไป ภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆที่บุกน้ำลุยดงหนามเข้ามา ใครที่จะไปต้องระวังให้มากนะครับหินลื่นมาก ผมถ่ายภาพจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงกลับมาที่รถ และเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ
[9 ส.ค. 54 19:31:47
]
ตอนที่ 14 กลับบ้าน
ออกจากน้ำตกธารทิพย์เกือบห้าโมงเย็น คราวนี้คงจะไปแวะไหนแล้วจริงๆ นอกจากจะแวะทานอาหารตอนเย็น ก็มานั่งนึกว่าจะทานอะไรดี ผมแวะเข้าปั๊นเติมน้ำมันใน อ.เมืองเพชรบูรณ์ ตอนแรกกะว่าจะหาทานอะไรง่ายๆ เลยเดินเข้าเซเว่น ที่สโลแกนเขาบอกว่า หิวเมื่อไหร่ก็แวะมาที่เซเว่นอีเลฟเว่น ผมเดินเข้าไปในนั้น มองซ้ายมองขวา ก็เหมือนเซ่เว่นแถวบ้าน ไม่มีอะไรแตกต่างเลย เดินไปหน้าตู้แช่อาหาร ของโปรดที่ทานประจำคือ ข้าวกะเพราหมู ยืนนึกอยู่นาน จึงตัดสินใจเดินออกมา มาไกลบ้านซะขนาดนี้ จะมากินของใกล้บ้านได้ไง ต้องหาของกินที่แถวๆบ้านไม่มีดีกว่า เลยมาจบที่ "วิเชียรบุรี "
อาหารขึ้นชื่อของ อ.วิเชียรบุรี คงหนีไม่พ้นไก่ย่าง หลายคนคุ้นๆกับคำนี้ " ไก่ย่างวิเชียรบุรี " ผมผ่านอำเภอนี้หลายรอบแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้แวะซักที ยังไงๆคราวนี้คงต้องแวะชิมให้ได้ มาถึงวิเชียรบุรี ผมเพิ่งสังเกตุว่าที่นี่มีร้านไก่ย่างหลายร้าน น่าทานไปหมด คงถึงเวลาที่รจนาต้องเลือกคู่แล้ว คนต่างถิ่นแบบผมไม่รู้จะเลือกร้านไหนดี ผมเลยเลือกร้านที่มีรถจอดมากที่สุด มาถึงในร้านมีคนมากพอสมควร มาถึงที่นี่ก็ต้องสั่งไก่ย่างทาน ไก่ตัวละ 150 บาท ผมเลยสั่งมาหนึ่งตัว แบ่งกลับบ้านครึ่งตัว ทานที่นี่ครึ่งตัว ไก่ย่างวิเชียรบุรีขึ้นชื่อด้านหนังกรอบเนื้อนุ่ม แต่ไม่รู้เพราะผมมาเย็นไปหรืออากาศมันชื้นก็ไม่รู้ จากหนังกรอบเนื้อนุ่ม มันกลายเป็น หนังนุ่มเนื้อกรอบ แทน ด้วยความหิวก็เลย ต้องยอมทาน ยังไงๆก็ดีกว่าข้าวกล่องเซเว่นแน่นอน แต่ยังดีที่น้ำจิ้มไก่ย่างอร่อย ก็เลยพอให้อภัยได้ ที่นี่มีซุ้มกาแฟขาย ก็เลยซื้อเอาไว้ดื่มในรถ แก้ง่วง เพราะระยะทางอีกค่อนข้างไกล คราวนี้ผมจะได้ยิงยาวกลับบ้านซะที ฝนตกตลอดทางจาก เพชรบูรณ์ถึงกรุงเทพ กลับมาถึงบ้านประมาณ 4 ทุ่ม แต่ก็ไม่ลืมที่จะโทรรายงานตัวกับป้าวิทันทีที่ถึงบ้าน
สรุปการเดินทางในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่ทำตามใจตัวเองเป็นหลัก แม้จะไม่ได้ไปสถานที่สำคัญต่างๆ ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดาย ไปครั้งนี้ผมได้พักผ่อนจริงๆ อยากทำอะไรก็ทำ อยากนอนก็นอน อยากไปไหนก็ไป ชีวิตไม่ต้องมีกฏเกณฑ์ ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผน เป็นตัวของตัวเองเป็นอย่างเต็มที่ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ ได้คำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้กลับไปอีกหลายข้อ และที่สำคัญได้ความประทับใจกลับไปมากมาย แต่ที่ประทับใจกลับไม่ใช่ " สถานที่ " ที่ผมไป แต่เป็น " คน " ในสถานที่นั้นๆ ที่สร้างความประทับใจให้ผม นึกถึงทีไรก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ทุกที ...... แล้วผมจะกลับมาใหม่ " เมืองมะขามหวาน เพชรบูรณ์ "
[9 ส.ค. 54 19:32:27
]
เที่ยวคุ้มเลย
จากคุณ : ชานมชงเอง
[9 ส.ค. 54 19:53:04
]
ภรรยาผมอยากไปมากครับ แต่ผมเกรงว่าไอ้ลูกชายของผมมันจะพาหม่าม๊ามันไปไม่ไหว เพราะรถผมเก่าแล้ว กลัวจะไหลรูดจากทางเอา
ขอเก็บข้อมูลไว้ครับ ถ้าหารถได้ หรือเอาลูกชายไปอัพเกรด คงมีโอกาสได้พาภรรยาไปเที่ยวครับ
[9 ส.ค. 54 19:57:55
]
แวะเข้ามาชมรีวิวค่ะ
อ่านจนเมื่อยเลย อิอิ
[9 ส.ค. 54 21:16:28
]
เป็นรีวิวที่ละเอียดดีมากเลยครับ ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ
จากคุณ : เล็กทาโร่
[9 ส.ค. 54 21:29:11
]
ข้อแรก ใจดีจริงๆ แจกขนมเด็ก ๆ ด้วย
ข้อสอง วิววัดพระธาตุสวยเหลือเกิน ทำให้เราอยากไปเขาค้ออีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อ 2 ปีก่อน ก็ไปมา 2 รอบแล้ว
ข้อสาม สงสัยจะแก่ลงไปจริงๆ ถึงต้องโด้ปนิดหน่อย จึงจะไปไหว อิอิ
ข้อสี่ ไม่มีและ ไปล่ะ หุ หุ
[9 ส.ค. 54 22:09:58
]
ขอบคุณครับ
จากคุณ : tonhok
[9 ส.ค. 54 22:25:31
]
ตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ ...คุณ จขกท ใจดีจริงๆ เขียนบรรยายสนุกด้วย เห็นภาพเลยค่ะ ^^
จากคุณ : ปลาผัดคื่นช่าย
[9 ส.ค. 54 23:06:57
]
เที่ยวคนเดียวก็ไม่เหงาเหมือนกันนะ
จากคุณ : ปูใบไม้
[10 ส.ค. 54 05:17:14
]
ขอบคุณค่ะ ปิดเทอมจะได้ พาครอบครัวไปเหมือนกัน คิดถึงจัง เขาค้อ
จากคุณ : แม่จีน-ไท (GT2007)
[10 ส.ค. 54 10:48:05
]
อ่านจบจนได้ ไล่ลงมาดูคร่าวๆ ทีแรกนึกว่าจะอ่านไม่จบ
แต่อ่านไป อ่านไป ก็ต้องอ่านให้จบนั่นแหละ ไหนๆ อ่านแล้ว
555 เหมือนที่คุณต้องเลี้ยวเข้าไปน้ำตกธารทิพย์นั่นแหละ
เที่ยวอย่างนี้ดีเหลือเกิน ได้กำไรเยอะแยะจริงๆ
[10 ส.ค. 54 11:48:30
]
ยกนิ้วให้เลยค่ะ รีวิวละเอียดมาก
[10 ส.ค. 54 12:14:16
]
เข้ามายืนยันว่าลุงนิยมและภรรยาใจดีมากๆๆ
เวลาเราไปต้องออกมาตีห้า + กลับสี่ทุ่ม(ทำวัตรเช้าเย็น)ไม่เคยบ่น แถมบอกว่าไปส่งวัดให้ก็ได้ด้วย ห้องพักสะอาดสมราคา
เดือนหน้าก็จะไปวัด+ค้างที่นี่อีกล่ะค่ะ
[10 ส.ค. 54 13:31:09
]
รีวิวเยี่ยมไปเลยครับ
จากคุณ : ปุย (thotsapui)
[10 ส.ค. 54 15:12:12
]
ละเอียดดีนะคะ
ภาพเยอะดีด้วย
กิจกรรมหลากหลาย เที่ยวไทยได้คุ้มจริงๆค่ะ
[10 ส.ค. 54 16:38:25
]
-ขอบคุณนะครับ
จากคุณ : noiwanwannoi
[10 ส.ค. 54 17:06:44
]
ตามมาเที่ยวด้วยครับ
ข้อมูลแน่นมาก รายละเอียดเพียบเลยครับ
เสียดายลุยฝนตลอด แต่ก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์สบายปอด และความชุ่มชื้นของสีเขียวสบายตา
[10 ส.ค. 54 19:59:22
]
ขอบคุณทุกท่านนะครับ แวะเข้ามาชมกระทู้นี้ ขอบคุณทุกกิ๊ฟด้วยนะครับ
จากคุณ : ชัตเตอร์ โอลี่
[10 ส.ค. 54 23:51:10
]
อ่านรีวิวแล้วรู้สึกเหมือนไปเองเลย ^p^
จากคุณ : ทางสีฝุ่น
[11 ส.ค. 54 13:33:21
]
เห็นแล้วอยากไปร่วมทริปด้วยคน น่าไปมากๆเลยคับ เด็กๆน่ารักมาก
จากคุณ : BooM (boomzaa1990)
[24 มี.ค. 55 15:10:24
]